วิกฤติแฮมเบอเกอร์เปลี่ยนแปลงกลยุทธ์การลงท่านหรือไม่อย่างไร
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
วิกฤติแฮมเบอเกอร์เปลี่ยนแปลงกลยุทธ์การลงท่านหรือไม่อย่างไร
โพสต์ที่ 1
วิกฤติแฮมเบอเกอร์เปลี่ยนแปลงกลยุทธ์การลงท่านหรือไม่อย่างไร
หลายคนบาดเจ็บ เจ็บมากเจ็บน้อย แตกต่างกันไป ใครที่รอดได้ถือว่าโชคดี อ่านจากในเว็บ หลายกระทู้เชิงเทคนิคมีผู้เข้าติดตามพอสมควร หลายท่านเริ่มหันไปดูฟันด์โฟล์ว
เลยอยากทราบว่าหลังจากวิกฤติครั้งนี้กลยุทธ์การลงทุนของแต่ละท่านเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่อย่างไร
หลายคนบาดเจ็บ เจ็บมากเจ็บน้อย แตกต่างกันไป ใครที่รอดได้ถือว่าโชคดี อ่านจากในเว็บ หลายกระทู้เชิงเทคนิคมีผู้เข้าติดตามพอสมควร หลายท่านเริ่มหันไปดูฟันด์โฟล์ว
เลยอยากทราบว่าหลังจากวิกฤติครั้งนี้กลยุทธ์การลงทุนของแต่ละท่านเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่อย่างไร
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
Buffets new strategy
โพสต์ที่ 2
สวัสดีครับทุกท่าน บทความในสัปดาห์นี้ ผมอยากจะนำเสนอมุมมองในการลงทุน
โดยเฉพาะในตลาดหุ้นจากผู้ที่เรียกว่าเป็น นักลงทุนระดับตำนานของโลกอย่าง Warrant Buffet ทั้งนี้ เนื่องจากเขาได้มีการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์การลงทุนในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งอาจจะพูดได้ว่าเป็นการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เป็นครั้งแรกหลังจากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐ โดยกลยุทธ์ใหม่ที่ผมคิดว่ามีนัยสำคัญ คือ การซื้อหุ้นในตลาดหุ้นสหรัฐน้อยลง ผมเชื่อว่าการศึกษากลยุทธ์ของ Buffet น่าจะเป็นประโยชน์กับท่านในการนำไปใช้ปรับปรุงกลยุทธ์การลงทุนของตนเองให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันได้เป็นอย่างดี
หากพูดถึง Warrant Buffet คงไม่ต้องสงสัยว่าความสามารถและความเฉียบแหลมในการลงทุนในตลาดหุ้นนั้นถือเป็นอันดับโลก ซึ่งส่งผลให้เขากลายเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดของโลกคนหนึ่ง โดยหากใครจำกันได้ในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจใหม่ๆ Buffet เป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่กระโดดเข้าไปซื้อหุ้นสถาบันการเงินในสหรัฐที่คนส่วนใหญ่ในขณะนั้นขายเพราะเกรงว่าอาจจะถึงขั้นล้มละลาย เช่น Goldman Sach, Wells Fargo & Co. และ General Electric Co. หลังจากนั้นยังเข้าไปซื้อหุ้นประกันในยุโรป ได้แก่ Swiss Reinsurance Co.อีก โดยในการซื้อหุ้นแต่ละบริษัทในขณะนั้น ต้องยอมรับว่ามีความเสี่ยงสูง แต่ Buffet ก็ได้รับเงื่อนไขในการเข้าซื้อที่ให้อัตราผลตอบแทนดีมากเช่นกัน เรียกได้ว่าเข้าตำรา High risk, high expected return
วานนี้ Berkshire Hathaway Inc ซึ่งเป็นบริษัทที่ Buffet เป็นผู้ถือหุ้น ได้รายงานว่าบริษัทกำลังซื้อตราสารหนี้ภาคเอกชน (Corporate Debt) และ ตราสารที่ออกโดยรัฐบาลนอกสหรัฐมากขึ้น หลังจากที่ในไตรมาส 2/2552 บริษัทมีมูลค่าการเข้าซื้อหุ้นในตลาดหุ้นสหรัฐลดลงในระดับต่ำสุดที่ในรอบ 5 ปี โดยมีมูลค่าลงทุนในหุ้นเพียง 350 ล้านเหรียญสหรัฐ เปรียบเทียบกับการลงทุนในตราสารหนี้ 2,600 ล้านเหรียญสหรัฐ และเป็นการลงทุนในหุ้นที่ลดลงจากไตรมาส 1/2552 ที่มีมูลค่า 624 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยสิ้นไตรมาส 2/2552 บริษัทมีเงินลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลต่างประเทศ 11,100 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก 9,600 ล้านเหรียญสหรัฐ ในไตรมาสก่อน
ในความเป็นของผมนั้น การปรับกลยุทธ์ของ Buffet น่าจะเป็นสัญญาณเตือนว่าระดับราคาหุ้นเริ่มไม่น่าสนใจ ดังนั้น จึงหันไปลงทุนในตราสารหนี้ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำ ในขณะที่ตราสารหนี้ภาคเอกชนในปัจจุบันยังคงมีอัตราผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลมาก (Yield Spread) หรือพูดง่าย คือ ราคาตราสารหนี้ภาคเอกชนอยู่ในระดับต่ำเกินไป ทั้งนี้ เนื่องจากนักลงทุนยังคงกังวลเกี่ยวกับฐานะทางการเงินของบริษัทเอกชนแต่หากภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่อง ราคาของตราสารหนี้ภาคเอกชนก็จะปรับตัวขึ้นตาม ซึ่งก็จะส่งผลให้ส่วนต่างของอัตราผลตอบแทนเมื่อเทียบกับพันธบัตรรัฐบาลลดลง
ผมขอยกตัวอย่างตลาดตราสารหนี้ของไทย ซึ่งก็เป็นภาพที่คล้ายๆ กัน คือ ปัจจุบันอัตราผลตอบแทนของหุ้นกู้เอกชน อายุ 5 ปี ที่มี Credit Rating ในระดับ BBB ให้อัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี ประมาณ 3% ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยก่อนเกิดวิกฤตการณ์การเงินที่ 2% ดังนั้น หากการคาดการณ์ถูกต้องก็หมายความว่าการลงทุนในหุ้นกู้เอกชนในระดับราคาปัจจุบันจะให้อัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าปกติถึง 1% ซึ่งทำให้มีโอกาสที่ราคาหุ้นกู้จะปรับตัวเพิ่มขึ้นหากภาวะเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว
แนวโน้มตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ ผมประเมินว่า สิ่งที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้ คือ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรของสหรัฐที่ปรับตัวสูงขึ้นจากสัปดาห์ก่อนอย่างมีนัยสำคัญ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 5 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 3.5% เป็น 3.8% ซึ่งส่งผลกระทบต่อตลาดพันธบัตรในไทยในทิศทางเดียวกัน ประเด็นสำคัญ คือ การปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้นและรวดเร็ว จะกลายเป็นปัจจัยลบกับตลาดหุ้น เนื่องจาก 1) ความน่าสนใจของพันธบัตรจะเพิ่มขึ้น 2) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เพิ่มขึ้นจะกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยล่าสุด Earnings yield gap ซึ่งตัวเลขที่บอกความน่าสนใจในการลงทุนระหว่างตลาดหุ้นกับตลาดพันธบัตร ส่งสัญญาณว่า ตลาดหุ้นเริ่มไม่น่าสนใจ หรือมี Upside จำกัด
ในขณะเดียวกัน สัปดาห์นี้ เฟดจะมีการประชุม โดยประเด็นในเรื่องการซื้อพันธบัตรเป็นประเด็นที่ตลาดหุ้นให้ความสำคัญ และการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวขึ้น จึงทำให้สามารถคาดการณ์ได้ว่า เฟดคงจะยังคงจำเป็นต้องซื้อพันธบัตรต่อไป เพื่อรักษาระดับอัตราพันธบัตรไม่ให้กระทบต่อผู้ที่กู้เงินซื้อบ้าน เนื่องจากใช้อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรอายุ 30 ปี เป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง การที่เฟดส่งสัญญาณซื้อพันธบัตรย่อมส่งผลให้ตลาดพันธบัตรมีความน่าสนใจเพิ่มขึ้น m
http://www.posttoday.com/stockmarket.php?id=61310
โดยเฉพาะในตลาดหุ้นจากผู้ที่เรียกว่าเป็น นักลงทุนระดับตำนานของโลกอย่าง Warrant Buffet ทั้งนี้ เนื่องจากเขาได้มีการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์การลงทุนในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งอาจจะพูดได้ว่าเป็นการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เป็นครั้งแรกหลังจากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐ โดยกลยุทธ์ใหม่ที่ผมคิดว่ามีนัยสำคัญ คือ การซื้อหุ้นในตลาดหุ้นสหรัฐน้อยลง ผมเชื่อว่าการศึกษากลยุทธ์ของ Buffet น่าจะเป็นประโยชน์กับท่านในการนำไปใช้ปรับปรุงกลยุทธ์การลงทุนของตนเองให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันได้เป็นอย่างดี
หากพูดถึง Warrant Buffet คงไม่ต้องสงสัยว่าความสามารถและความเฉียบแหลมในการลงทุนในตลาดหุ้นนั้นถือเป็นอันดับโลก ซึ่งส่งผลให้เขากลายเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดของโลกคนหนึ่ง โดยหากใครจำกันได้ในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจใหม่ๆ Buffet เป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่กระโดดเข้าไปซื้อหุ้นสถาบันการเงินในสหรัฐที่คนส่วนใหญ่ในขณะนั้นขายเพราะเกรงว่าอาจจะถึงขั้นล้มละลาย เช่น Goldman Sach, Wells Fargo & Co. และ General Electric Co. หลังจากนั้นยังเข้าไปซื้อหุ้นประกันในยุโรป ได้แก่ Swiss Reinsurance Co.อีก โดยในการซื้อหุ้นแต่ละบริษัทในขณะนั้น ต้องยอมรับว่ามีความเสี่ยงสูง แต่ Buffet ก็ได้รับเงื่อนไขในการเข้าซื้อที่ให้อัตราผลตอบแทนดีมากเช่นกัน เรียกได้ว่าเข้าตำรา High risk, high expected return
วานนี้ Berkshire Hathaway Inc ซึ่งเป็นบริษัทที่ Buffet เป็นผู้ถือหุ้น ได้รายงานว่าบริษัทกำลังซื้อตราสารหนี้ภาคเอกชน (Corporate Debt) และ ตราสารที่ออกโดยรัฐบาลนอกสหรัฐมากขึ้น หลังจากที่ในไตรมาส 2/2552 บริษัทมีมูลค่าการเข้าซื้อหุ้นในตลาดหุ้นสหรัฐลดลงในระดับต่ำสุดที่ในรอบ 5 ปี โดยมีมูลค่าลงทุนในหุ้นเพียง 350 ล้านเหรียญสหรัฐ เปรียบเทียบกับการลงทุนในตราสารหนี้ 2,600 ล้านเหรียญสหรัฐ และเป็นการลงทุนในหุ้นที่ลดลงจากไตรมาส 1/2552 ที่มีมูลค่า 624 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยสิ้นไตรมาส 2/2552 บริษัทมีเงินลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลต่างประเทศ 11,100 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก 9,600 ล้านเหรียญสหรัฐ ในไตรมาสก่อน
ในความเป็นของผมนั้น การปรับกลยุทธ์ของ Buffet น่าจะเป็นสัญญาณเตือนว่าระดับราคาหุ้นเริ่มไม่น่าสนใจ ดังนั้น จึงหันไปลงทุนในตราสารหนี้ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำ ในขณะที่ตราสารหนี้ภาคเอกชนในปัจจุบันยังคงมีอัตราผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลมาก (Yield Spread) หรือพูดง่าย คือ ราคาตราสารหนี้ภาคเอกชนอยู่ในระดับต่ำเกินไป ทั้งนี้ เนื่องจากนักลงทุนยังคงกังวลเกี่ยวกับฐานะทางการเงินของบริษัทเอกชนแต่หากภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่อง ราคาของตราสารหนี้ภาคเอกชนก็จะปรับตัวขึ้นตาม ซึ่งก็จะส่งผลให้ส่วนต่างของอัตราผลตอบแทนเมื่อเทียบกับพันธบัตรรัฐบาลลดลง
ผมขอยกตัวอย่างตลาดตราสารหนี้ของไทย ซึ่งก็เป็นภาพที่คล้ายๆ กัน คือ ปัจจุบันอัตราผลตอบแทนของหุ้นกู้เอกชน อายุ 5 ปี ที่มี Credit Rating ในระดับ BBB ให้อัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี ประมาณ 3% ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยก่อนเกิดวิกฤตการณ์การเงินที่ 2% ดังนั้น หากการคาดการณ์ถูกต้องก็หมายความว่าการลงทุนในหุ้นกู้เอกชนในระดับราคาปัจจุบันจะให้อัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าปกติถึง 1% ซึ่งทำให้มีโอกาสที่ราคาหุ้นกู้จะปรับตัวเพิ่มขึ้นหากภาวะเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว
แนวโน้มตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ ผมประเมินว่า สิ่งที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้ คือ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรของสหรัฐที่ปรับตัวสูงขึ้นจากสัปดาห์ก่อนอย่างมีนัยสำคัญ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 5 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 3.5% เป็น 3.8% ซึ่งส่งผลกระทบต่อตลาดพันธบัตรในไทยในทิศทางเดียวกัน ประเด็นสำคัญ คือ การปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้นและรวดเร็ว จะกลายเป็นปัจจัยลบกับตลาดหุ้น เนื่องจาก 1) ความน่าสนใจของพันธบัตรจะเพิ่มขึ้น 2) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เพิ่มขึ้นจะกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยล่าสุด Earnings yield gap ซึ่งตัวเลขที่บอกความน่าสนใจในการลงทุนระหว่างตลาดหุ้นกับตลาดพันธบัตร ส่งสัญญาณว่า ตลาดหุ้นเริ่มไม่น่าสนใจ หรือมี Upside จำกัด
ในขณะเดียวกัน สัปดาห์นี้ เฟดจะมีการประชุม โดยประเด็นในเรื่องการซื้อพันธบัตรเป็นประเด็นที่ตลาดหุ้นให้ความสำคัญ และการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวขึ้น จึงทำให้สามารถคาดการณ์ได้ว่า เฟดคงจะยังคงจำเป็นต้องซื้อพันธบัตรต่อไป เพื่อรักษาระดับอัตราพันธบัตรไม่ให้กระทบต่อผู้ที่กู้เงินซื้อบ้าน เนื่องจากใช้อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรอายุ 30 ปี เป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง การที่เฟดส่งสัญญาณซื้อพันธบัตรย่อมส่งผลให้ตลาดพันธบัตรมีความน่าสนใจเพิ่มขึ้น m
http://www.posttoday.com/stockmarket.php?id=61310
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
เปลี่ยนแปลง
โพสต์ที่ 3
ช่วงเกิดวิกฤติ โชคดีขายออกในช่วงถูกจังหวะ เลยไม่ขาดทุน แต่ระหว่างช่วงเกิดการตกต่ำหนักๆต.ค.51-มกรา52 ใช้วิชาตัวเบาโดดเข้าโดดออกหลายจังหวะ ไดกำไรนิดหน่อย ขายหมูไปเล้าเบอเร่อ โดยเฉพาะ banpu spali ap
เลยทำให้ผลงานตั้งแต่ม.ค.52เป็นต้นมาแพ้ตลาดแบบหมดรูป
ตอนนี้จะกลับมาเป็นวีไออีกแล้ว กำลังฝึกความอดทน และเพิ่มความรอบครอบให้มากขึ้น
เลยทำให้ผลงานตั้งแต่ม.ค.52เป็นต้นมาแพ้ตลาดแบบหมดรูป
ตอนนี้จะกลับมาเป็นวีไออีกแล้ว กำลังฝึกความอดทน และเพิ่มความรอบครอบให้มากขึ้น
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4741
- ผู้ติดตาม: 1
วิกฤติแฮมเบอเกอร์เปลี่ยนแปลงกลยุทธ์การลงท่านหรือไม่อย่างไร
โพสต์ที่ 5
ตอนวิกฤต จับปลาถูกๆ เกือบ 20 ตัวAlastor เขียน:ไม่เปลี่ยนกลยุทธเลยครับ แต่เปลี่ยนหุ้นเฮะ
เพราะเห็นตัวไหนก็ถูกไปหมด
ผ่านไปครึ่งปี ขายปลาเล็กไป
เหลือไว้แต่ตัวใหญ่ๆเนื้อๆ
5-6 ตัวครับ
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
-
- Verified User
- โพสต์: 1922
- ผู้ติดตาม: 0
วิกฤติแฮมเบอเกอร์เปลี่ยนแปลงกลยุทธ์การลงท่านหรือไม่อย่างไร
โพสต์ที่ 6
ก่อนวิกฤต ไม่เคยเหลือเงินสด มีเงินสดไม่ได้ซื้อหมด ลงซื้อเพิ่ม หุ้นดีราคาลงไม่กลัวซะอย่าง
หลังวิกฤต ใจเย็นขึ้นเยอะ ศรีทนได้ เรารอได้ เงินสดเหลือเยอะขึ้นมาก รอจังหวะดีๆแล้วค่อยหวด
หลังวิกฤต ใจเย็นขึ้นเยอะ ศรีทนได้ เรารอได้ เงินสดเหลือเยอะขึ้นมาก รอจังหวะดีๆแล้วค่อยหวด
- Juninho
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1054
- ผู้ติดตาม: 1
วิกฤติแฮมเบอเกอร์เปลี่ยนแปลงกลยุทธ์การลงท่านหรือไม่อย่างไร
โพสต์ที่ 7
เคยเปลี่ยนนิดนึง เหมือน snake bite effect มันแหยง ๆ กลัว ๆ
ตอนที่เปลี่ยน ผลงานไม่ได้เรื่องเลย
แพ้ตลาดไปสิบกว่าเปอร์เซ็นต์
พอกลับมาแนวทางเดิม ผลงานน่าพอใจ ตีตื้นมาจนชนะตลาดได้
คิดแล้วยังเสียดายมาถึงตอนนี้
ไม่น่าเปลี่ยนแนวเลยไม่งั้น ปีนี้ น่าจะได้หนึ่งเด้งไปแล้ว :?
ตอนที่เปลี่ยน ผลงานไม่ได้เรื่องเลย
แพ้ตลาดไปสิบกว่าเปอร์เซ็นต์
พอกลับมาแนวทางเดิม ผลงานน่าพอใจ ตีตื้นมาจนชนะตลาดได้
คิดแล้วยังเสียดายมาถึงตอนนี้
ไม่น่าเปลี่ยนแนวเลยไม่งั้น ปีนี้ น่าจะได้หนึ่งเด้งไปแล้ว :?
You Can Get It If You Really Want
But you must try, try and try
But you must try, try and try
- yoyo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4833
- ผู้ติดตาม: 1
วิกฤติแฮมเบอเกอร์เปลี่ยนแปลงกลยุทธ์การลงท่านหรือไม่อย่างไร
โพสต์ที่ 10
ผมเหมือนเดิมครับ... ซื้อหุ้นราคาถูก
และก็คิดถูกที่ไม่ได้เปลี่ยนแนวทางการลงทุน
แม้ปีที่แล้วจะขาดทุนไปไม่น้อย.. ปีนี้ก็ผลงานได้ดีมาก ที่ขาดทุนได้ได้คืนหมด แถมยังมีโบนัสแถมเพิ่มมาอีกเพียบ ตอนนี้ทำทะลุ all time high ไปแล้ว ถ้านับตามนิยามของดร.นิเวศน์ ปีนี้ก็ถือเป็นปีทองของผม
จริงๆผมว่า Warren ก็เหมือนเดิมนะ... แกก็ยังซื้อสินทรัพย์ที่มีความถูกเทียบกับความเสี่ยงเหมือนเดิม... การเปลี่ยนสินทรัพย์ไม่ได้หมายถึงการเปลี่ยนกลยุทธ์ แกทำแบบนี้มาหลายสิบปี ก็ยังเหมือนเดิม อีกไม่นานแกก็คงทะลุ All time high ของแกได้เหมือนเดิม
และก็คิดถูกที่ไม่ได้เปลี่ยนแนวทางการลงทุน
แม้ปีที่แล้วจะขาดทุนไปไม่น้อย.. ปีนี้ก็ผลงานได้ดีมาก ที่ขาดทุนได้ได้คืนหมด แถมยังมีโบนัสแถมเพิ่มมาอีกเพียบ ตอนนี้ทำทะลุ all time high ไปแล้ว ถ้านับตามนิยามของดร.นิเวศน์ ปีนี้ก็ถือเป็นปีทองของผม
จริงๆผมว่า Warren ก็เหมือนเดิมนะ... แกก็ยังซื้อสินทรัพย์ที่มีความถูกเทียบกับความเสี่ยงเหมือนเดิม... การเปลี่ยนสินทรัพย์ไม่ได้หมายถึงการเปลี่ยนกลยุทธ์ แกทำแบบนี้มาหลายสิบปี ก็ยังเหมือนเดิม อีกไม่นานแกก็คงทะลุ All time high ของแกได้เหมือนเดิม
การลงทุนที่มีค่าที่สุด คือการลงทุนในความรู้
http://www.yoyoway.com
http://www.yoyoway.com
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 242
- ผู้ติดตาม: 0
วิกฤติแฮมเบอเกอร์เปลี่ยนแปลงกลยุทธ์การลงท่านหรือไม่อย่างไร
โพสต์ที่ 12
เปลี่ยนแปลงครับ
ผมเพิ่งลงทุนได้ 3 ปีกว่า ก่อนหน้านี้ เน้นสะสมแต่หุ้นที่ค่อนข้าง defensive , คุณภาพประมาณ grade B เพราะเห็นหุ้น grade A ราคาแพงไปหมด
แต่พอต้นปีนี้ หุ้น grade A หลายตัว ราคาถูกลงมากจนน่าเข้าไปซื้อ แถมแอบรู้สึกลึกๆว่าน่าจะประมาณก้นเหวแล้ว (เพราะหลายคนที่รู้จัก เริ่มพอร์ทว่าง แถมตลาดก็มีแต่ข่าวร้าย ราคาหุ้นส่วนใหญ่ตกไปเท่ากับกำไรของหลายๆปี) เลยขายหุ้นเดิม ซื้อหุ้นที่ beta สูงหน่อย+warrant กะว่ารอสัก 3-5 ปีน่าจะฟื้น
แต่ปรากฏว่าฟื้นเร็วกว่าที่คาดไว้มาก เลยมีโอกาสกำไร 3 หลัก แบบเซียนผู้พี่หลายๆท่านเป็นครั้งแรก
ผมเพิ่งลงทุนได้ 3 ปีกว่า ก่อนหน้านี้ เน้นสะสมแต่หุ้นที่ค่อนข้าง defensive , คุณภาพประมาณ grade B เพราะเห็นหุ้น grade A ราคาแพงไปหมด
แต่พอต้นปีนี้ หุ้น grade A หลายตัว ราคาถูกลงมากจนน่าเข้าไปซื้อ แถมแอบรู้สึกลึกๆว่าน่าจะประมาณก้นเหวแล้ว (เพราะหลายคนที่รู้จัก เริ่มพอร์ทว่าง แถมตลาดก็มีแต่ข่าวร้าย ราคาหุ้นส่วนใหญ่ตกไปเท่ากับกำไรของหลายๆปี) เลยขายหุ้นเดิม ซื้อหุ้นที่ beta สูงหน่อย+warrant กะว่ารอสัก 3-5 ปีน่าจะฟื้น
แต่ปรากฏว่าฟื้นเร็วกว่าที่คาดไว้มาก เลยมีโอกาสกำไร 3 หลัก แบบเซียนผู้พี่หลายๆท่านเป็นครั้งแรก
"Many shall be restored that are now fallen and many shall fall that are now in honor."