คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 19
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 3901
งานนี้ผ่านไปยังครับ
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 3903
แฮ่....VIB007 เขียน:
เด็กสมัยนี้ใฝ่รู้กันจริงๆ
น่าเลื่อมใส
สมัยปีสอง
ผมยังไม่เอาไหนอยู่เลย
ยังไม่รู้จักการลงทุนสักนิดเดียว
วันๆเอาแต่เที่ยวเล่น(สนุ๊กแถวสามย่าน)
...นับถือ นับถือ
ยังดีไม่เจอVIB007 เขียน: งานอะไรฟ่า
ขอด้วยคนครับ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 3904
มีแซวpor_jai เขียน:
เด็กสมัยนี้ใฝ่รู้กันจริงๆ
น่าเลื่อมใส
สมัยปีสอง
ผมยังไม่เอาไหนอยู่เลย
ยังไม่รู้จักการลงทุนสักนิดเดียว
วันๆเอาแต่เที่ยวเล่น(สนุ๊กแถวสามย่าน)
ไม่ได้ไปเล่นนุ๊กครับ
ส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าห้องเรียน
แต่เตร็ดเตร่ไปเรื่อย เสียดายเวลาจริงๆ
ไม่ได้ยินคำถามแบบนี้มานานแล้วนะครับ..ฮาpor_jai เขียน:
ยังดีไม่เจอ
ขอด้วยคนครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 3908
[/quote]hongvalue เขียน:
4.พี่ไม่เขียนบทความเกี่ยวกับเศรษฐกิจจีนบ้างเหรอครับ
ผมกำลังจะเริ่มศึกษาปูทางเอาไว้ก่อนเพราะมองว่าอีกหน่อยคงจะต้องดูที่จีนเยอะแน่
เอ้า เขียนให้อ่านเป็นน้ำจิ้มก่อน
แต่ลงท้ายก็ยัง"แขวะ"ประเทศไทยอยู่ดี
ไม่รู้ว่าเวลาตีพิมพ์ กอง บก จะลงท่อนแขวะนี้หรือเปล่า
ลองอ่านดู
[/b]Value Way ฉบับวันที่ 31 สิงหาคม 2552
เหลียวมองจีนวันนี้
ชั่วโมงนี้ใครไม่พูดถึงประเทศจีนถือว่าล้าสมัยเต็มทน ถนนทุกสายทั่วโลกต่างมุ่งไปยังประเทศจีน โดยเฉพาะหลังวิกฤติซัพไพร์มของอเมริกาที่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศต่างๆทั่วโลกซวนเซไปตามๆกัน ประเทศในเขตที่พัฒนาแล้วยังเอาตัวเองไม่รอดในสถานการณ์ปัจจุบัน อเมริกายังไม่ฟื้นไข้ ยุโรปตะวันตกยังหาทางออกร่วมกันไม่ได้ ญี่ปุ่นยังมีปัญหาภายในประเทศ ดังนั้นทุกคนจึงตั้งความหวังไว้กับประเทศเกิดใหม่อย่างจีนและอินเดียที่จะเป็นกลไกในการพาให้เศรษฐกิจโลกพ้นจากปากเหว
ในส่วนของประเทศจีนเอง กลไกทางเศรษฐกิจยังต้องพึ่งพาการส่งออกอยู่ค่อนข้างสูง โดยส่วนใหญ่เป็นการส่งสินค้าไปยังประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างอเมริกาหรือยุโรป เมื่อประเทศคู่ค้าเกิดปัญหาเศรษฐกิจถดถอย พลอยทำให้ยอดการส่งออกของจีนลดลงตามไปด้วย ในช่วงหลังวิกฤติซัพไพร์ม โรงงานต่างๆในประเทศจีนต้องปิดตัวลงเป็นจำนวนมาก พนักงานหลายล้านคนต้องถูกออกจากงานและกลับสู่ภูมิลำเนาเดิมที่ต่างจังหวัด
รัฐบาลจีนได้เรียนรู้บทเรียนจากอดีตในช่วงการประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมินเมื่อกว่าสิบปีที่แล้ว สาเหตุจริงๆของการประท้วงครั้งนั้นไม่ได้เกิดจากความต้องการสิทธิเสรีภาพของนักศึกษาหรือประชาชนเท่านั้น ในช่วงเวลาดังกล่าว เศรษฐกิจของประเทศจีนถือว่าเป็นช่วงที่ตกต่ำที่สุดในยุคสมัยใหม่ อัตราการเติบโตของผลิตภัณท์มวลรวมของประเทศหรือจีดีพีอยู่ในระดับต่ำ อัตราการว่างงานสูงเป็นประวัติการณ์ ถ้าหากปล่อยให้สภาพเศรษฐกิจกลับไปเหมือนเมื่อช่วงเวลานั้น สภาพความวุ่นวายในสังคมจะมีมากขึ้น รวมถึงเป็นการบั่นทอนความมั่นคงของรัฐบาลและพรรคคอมมิวนิสต์อีกด้วย
ดังนั้นเป้าหมายหลักของรัฐบาลจีนจึงมุ่งไปที่การสร้างงานและประคับประคองเศรษฐกิจไม่ให้ถดถอย เพื่อให้อำนาจของพรรคยังคงอยู่ต่อไปได้ เมื่อการพึ่งกาการส่งออกทำให้เศรษฐกิจหดตัว รัฐบาลจีนจึงหันมากระตุ้นการลงทุนและการบริโภคในประเทศแทน มาตรการทางเศรษฐกิจด้วยเงินลงทุนกว่าแสนล้านดอลลาร์ผ่านการลงทุนของรัฐบาล และการเพิ่มการปล่อยสินเชื่อของธนาคารภายใต้การดูแลของรัฐ ช่วยให้เศรษฐกิจของจีนหลุดพ้นจากภาวะถดถอยไปได้ ในช่วงไตรมาศล่าสุดจีดีพีของจีนมีอัตราการเติบโตสูงมากที่สุดในโลกที่ 7% ขณะที่สหรัฐอเมริกา ประเทศในแถบยุโรป รวมถึงประเทศในเอเชียต่างมีจีดีพีติบลบกันถ้วนหน้า
เงินกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีนส่วนใหญ่จะเป็นการนำไปสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน เนื่องจากประเทศจีนเป็นประเทศที่มีพื้นที่กว้างขวาง ความจำเป็นในด้านการคมนาคมจึงเป็นสิ่งสำคัญ จากถนนลูกรังระหว่างเมืองเมื่อสามสิบปีที่แล้ว ปัจจุบันจีนเป็นประเทศที่มีถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ระยะทางยาวที่สุดในโลก ถนนสมัยใหม่ของจีนมีระดับมาตรฐานเทียบเท่ากับถนนในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างอเมริกาหรือยุโรป
นอกเหนือจากนั้นจีนยังให้ความสำคัญกับการขนส่งด้วยรถไฟ รัฐบาลจีนกำลังเร่งสร้างรถไฟหัวกระสุนความเร็วสูงเชื่อมระหว่างปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ระยะทางกว่าสองพันกิโลเมตรซึ่งคาดว่าจะเปิดใช้ได้ในอีกสองสามปีข้างหน้า ในแผนการพัฒนาการรถไฟของจีนจะทำให้จีนเป็นประเทศที่มีเส้นทางรถไฟหัวกระสุนยาวที่สุดในโลกคือกว่าสองหมื่นกิโลเมตรเชื่อมระหว่างภาคตะวันออกของประเทศสู่ปักกิ่งและคุนหมิงในทางใต้
ปัจจุบันเศรษฐกิจของจีนมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา ถ้าจีนยังสามารถเติบโตในอัตรานี้ไปได้ มีการคาดการณ์ว่าในอนาคตเศรษฐกิจของจีนจะใหญ่ที่สุดในโลกในอีกยี่สิบปีข้างหน้า ล่าสุดตลาดหุ้นของจีนมีมาร์เกตแคปสูงกว่าตลาดหุ้นญี่ปุ่นไปแล้วเมื่อเดือนที่ผ่านมา
จากประเทศที่แทบจะอยู่ท้ายของตารางเศรษฐกิจโลกเมื่อสามสิบปีก่อนจนมาถึงเป็นหนึ่งในมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก จีนเป็นประเทศที่ถือว่าเป็นกรณีศึกษาของการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในช่วงเวลาอันรวดเร็ว หันกลับมามองดูประเทศไทย ดูแล้วอดสูใจ ถ้าคนไทยยังมัวแต่ทะเลาะกันเองอยู่อย่างนี้ ประเทศชาติคงย่ำอยู่กับที่เช่นนี้ไปอีกนาน
-
- Verified User
- โพสต์: 1400
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 3909
มาช่วยแชร์ความคิดครับVIB007 เขียน: [/b]
1. เงินกระตุ้นเศรษฐกิจ + การควบคุมการจากรัฐบาลโดยตรง
- ผมคิดว่านี่คือปัจจัยหลักที่ทำให้จีนสามารถประคับประคองการเติบโต
เศรษฐกิจของประเทศเขาได้ดีกว่าประเทศอื่นๆ เนื่องจากประเทศเขาเกินดุลการค้าสะสมหลายปีติดต่อกัน + มีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศสูงสุด
และก็การมีรัฐคอยหนุนหลัง/สั่งการ กิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นส่วนใหญ่
- เป็นปัจจัยที่ อินเดีย เสียเปรียบจีนค่อนข้างมาก แม้ว่าจะมีทุนสำรองระหว่างประเทศสูงเป็นอันดับ3 เมื่อเปรียบเทียบในกลุ่ม 4 ประเทศ (BRIC - บราซิล/รัสเซีย/อินเดีย/จีน) แต่ก็มีดุลการค้าติดลบหลายปี (จากการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเยอะในช่วงที่ราคาสูง) และมีดุลบัญชีเดินสะพัดติด - หลายปี (จากการใช้จ่ายสร้างสาธารณูปโภคของรัฐหลายปีติดต่อกัน + สัดส่วนรายได้จากการส่งออกน้อยและกระจุกตัวอยู่ที่ภาค IT) นอกจากนี้อินเดียเป็นเสรีนิยมประชาธิปไตยเต็มตัว และมีการคอรัปชั่นเยอะ ทำให้ไม่สามารถควบคุม/สั่งการได้อย่างจีน
2. พื้นที่กว้างขวาง
- รัฐบาลจีนทราบดีว่า ที่ผ่านมา ความเจริญส่วนใหญ่ยังกระจุกตัวอยู่แต่
แถบชายฝั่งทะแลและภาคตะวันออกของจีนเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่ภาคตะวันตกและภาคเหนือ (สวนตัวผมว่า พท. น่าจะมากกว่า 50 % ของพท.ทั้งหมด) ยังขาดแคลนสาธารณูปโภคที่จำเป็น โดยเฉพาะคนจีนแถบนั้นประสบปัญหาภัยแล้ง ผลผลิตทางเกษตรตกต่ำ ไม่มีน้ำสะอาดดื่มกินอย่างเพียงพอ รวมไปถึงขาดแคลนไฟฟ้า (ปีที่แล้ว รัฐบาลจีนอัดฉีนเงินให้สร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มอีกหลายร้อยโรงงาน ที่มณฑลทิเบต + รวมถึงให้มีการควบรวมผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ในประเทศ และกระตุ้นให้มีการผลิตเหล็ก/ถ่านหินออกมาเพื่อใช้ในประเทศ)
ปล. พี่ VIB007 พอทราบไหมว่า มีพท. มณฑลไหนบ้าง ที่ยังไม่ได้เข้าไปพัฒนาเลย เพราะถนนหนทาง/การขนส่งก็น่าจะ cover หมดแล้ว
3. ตลาดหุ้นจีน
- รัฐบาลจีนมีการสนับสนุนนำรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้และเสิ่นเจิ้น 2-3 ปีที่ผ่านมา จีนได้นำธนาคารขนาดใหญ่
3 แห่งเข้าตลาดหุ้น (ICBC, CCB, Bank of China) และเร็วๆนี้จะนำ Agriculture Bank of China เข้าตลาดด้วย (ไม่รู้เข้าไปแล้วหรือยัง กำลังเพิ่มทุนและลดสัดส่วนหนี้เสียอยู่ :8) )
4. การลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ
- การเปิดเสรีให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในธุรกิจที่จีนขาดความชำนาญ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตสูง เช่น รถยนต์ โทรคมนาคม และอุตสาหกรรมบริการ อย่างพวกธนาคารและวาณิชธนกิจ (สินค้าทางการเงินพิเศษของจีนยังอยู่ในแวดวงจำกัด และส่วนใหญ่ยังเป็นพวกสินเชื่อ + การพยายามถีบตัวเองให้เป็น Universal Banking)
ปล. ถึงจะชื่อว่าเปิดเสรี แต่ทางการก็ยังกำหนดกรอบกติกาเพื่อที่ไม่ให้อุตสาหกรรมที่มีอยู่ของตัวเองเสียเปรียบ เช่น ธุรกิจธนาคาร จะกำหนดโควต้าการปล่อยสินเชื่อของธนาคารต่างชาติให้ไม่เกิน x % และออกใบอนุญาตให้เป็นได้เพียง ธนาคารท้องถิ่นเล็กๆเท่านั้น
5. การกว้านซื้อธุรกิจต่างประเทศของจีน
- ทางการจีนได้ออกคำสั่งให้ รัฐวิสาหกิจ ที่ตนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ (จริงๆก็ถือไว้หมดแหละ) ไล่ซื้อธุรกิจต่างประเทศ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมน้ำมัน/ก๊าซธรรมชาติ (เพื่อเพิ่มหลักประกันทางด้านพลังงานของชาติในอนาคต และเป็นการลดการนำเข้าน้ำมันของตน) และธุรกิจธนาคาร (เพื่อซื้อ know how + นวัตกรรม)
6. การปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม และ การควบรวมอุตสาหกรรมภายใน
ประเทศ
- ปีที่แล้ว ทางการจีนได้มีการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมเทเลคอม เพื่อลดช่องว่างทางการแข่งขันลง ไม่ให้ใครได้เปรียบ/เสียเปรียบเกินไป จนเจ๊ง(ผู้เล่นรายใหญ่ 3 แห่ง ได้แก่ China Mobile China Unicom China Telecom) รายละเอียดตรงนี้ หากมีเวลาผมจะนำมาลงต่อ...จำไม่ได้ครับ :8)
- ต้นปี 2009 (ถ้าผมจำไม่ผิด ) รัฐบาลให้มีการควบรวมอุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำ 3 แห่งใหญ่ เพื่อสร้างเสถียรภาพในแง่ราคาเหล็กในประเทศ
7. การขยายกิจการไปต่างประเทศ โดยอาศัยความร่วมมือระหว่างรัฐบาล
2 ประเทศ
- China Mobile เข้าไปลงทุนสร้าง เครือข่ายสัญญาณ GSM ให้แก่ปากีสถาน โดยสร้างตราสินค้าตัวเอง ขึ้นมาใหม่ ชื่อ ZoNG
- ICBC ไปเปิดสาขาใหม่ที่ดูไบ
ฯลฯ
ปล. เขียนไปเริ่มเหนื่อยแล้วครับ รู้สึกว่า ข้อหลังๆเนี่ย น้ำเยอะไปหน่อย
ไว้มีเวลาจะมาลงเจาะ สาระสำคัญแต่ละเรื่องให้มากขึ้นนะครับ :oops:
- hongvalue
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2703
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 3910
ผมเห็นด้วยนะครับ ผมว่าหลายคนมั่นใจในแนวทางของตัวเองมากเกินไปจนถึงขนาดเยียดแนวทางอื่นๆผมว่าVIB007 เขียน:
ผมแนะนำว่าเราอย่าเป็นกบในกะลาเลยครับ
โลกข้างนอกยังมีอะไรให้เราเรียนร้อีกมากมาย
แต่ไม่ได้บอกว่าเราต้องเปลี่ยนตัวเองจาก"เต่า"เป็น"กระต่าย"นะ
โชคดีครับ
ลักษณะนี้จะทำให้พัฒนาตัวเองได้ยากเพราะว่าเขาเลือกที่จะปิดใจว่าสิ่งที่เขาเป็นอยู่ดีที่สุดแล้ว การเรียนรู้ว่าคนอื่นๆหรือแนวทางอื่นๆเป็นอย่างไรนั้นดีต่อการลงทุนของตัวเองแน่นอน
อ่านน้ำจิ้มเสร็จแล้วอย่าลืมต่อจานหลักนะครับVIB007 เขียน:
เอ้า เขียนให้อ่านเป็นน้ำจิ้มก่อน
แต่ลงท้ายก็ยัง"แขวะ"ประเทศไทยอยู่ดี
ไม่รู้ว่าเวลาตีพิมพ์ กอง บก จะลงท่อนแขวะนี้หรือเปล่า
ลองอ่านดู
ผมจะรออ่านครับ :lol:
Voldtrest เขียน:
มาช่วยแชร์ความคิดครับ
.................
.................
.................
ปล. เขียนไปเริ่มเหนื่อยแล้วครับ
สนใจเรื่องบัญชี กลยุทธ์ลงทุน fundflow แจมได้ที่ blog ผม
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
-
- Verified User
- โพสต์: 1400
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 3911
ตารางนี้เป็นตัวเลขทางเศรษฐกิจช่วงสิ้นปี 2008 และผมพยายามมองย้อนกลับไป ถึง พื้นฐานทางเศรษฐกิจแต่ละประเทศที่มีอยู่
Are They Still Growth ???
Apr 22 4:30 PM
GDP growth อัตราเงินเฟ้อ ว่างงาน อัตราดอกเบี้ย
Brazil 1.80% 5.90% 8.20% 11.25%
China 6.70% -1.60% 9%** 5.31%
Germany -2.50% 1.00% 7.90% 1.50%
Iceland -10.00% 17.60% 6.60% 18.00%
India 5.10% 10.40% 6.80% 5.50%
Japan -2.60% 0.00% 4.10% 0.10%
Mexico 0.30% 6.20% 5.00% 6.75%
Russia -0.70% 12.00% 8.10% 13.00%
UK -1.20% 0.10% 6.30% 0.50%
US -1.60% 0.20% 8.10% 0%-0.25%
ตัวเลขทางเศรษฐกิจเหล่านี้น่าสนใจมาก
1. มีเพียง 4 ใน 10 ประเทศที่ GDP growth ยังเป็น + ในตอนนี้อาจหมายถึง การบริโภคภายใน
ประเทศยังคงเพิ่มขึ้นไม่ว่าจะมาจากความต้องการบริโภคของคนในประเทศ การลงทุนสร้างสาธารณูปโภคของภาครัฐ (แต่เพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่น้อยลงเมื่อเทียบกับปีก่อน) โดยเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนที่มากกว่า การลดลงของภาคส่งออก ตัวเลขจึงยังเป็น +
2. กลุ่มประเทศที่จะมีการบริโภคภายในประเทศสูงมากๆเช่นนี้ได้ในเวลานี้ มักเป็นประเทศที่มีฐานประชากรขนาดใหญ่ (Demand มาก) และผลผลิตที่ได้จากอุตสาหกรรมส่วนใหญ่จะถูกบริโภคในประเทศ ส่วนที่เหลือจึงส่งออก เช่น เอทานอลที่ผลิตได้ในบราซิลส่วนใหญ่จะเป็นเชื้อเพลิงในรถยนต์ที่ขับขี่กันในบราซิล
3. ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อ กับ อัตราดอกเบี้ย จริงๆควรมีความสัมพันธ์กัน และน่าจะอยู่ในระดับต่ำทั้งคู่
เนื่องจากระดับราคาสินค้าโภคภัณฑ์และราคาน้ำมันได้ตกลงมามากแล้ว ที่ดูน่าผิดปกติ คือ อินเดีย กับ รัสเซีย (ถ้าตัวเลขทางเศรษฐกิจชุดนี้ ออกมาช่วงสิ้นปี 2008-ต้นปี 2009 จริง)
อินเดีย สาเหตุหลักจริงๆที่จะทำให้ตัวเลขเงินเฟ้อสูงได้ จะมาจากการนำเข้าน้ำมันและก๊าซมาโดยตลอด ทำให้ค่าเงินรูปีอ่อนลง แต่ไม่น่าจะถึง2หลัก (ข้อมูลขัดแย้งกับสิ่งที่รัฐบาลอินเดียได้แถลงไว้ปลายปี 2008)
หรือ เป็นเพราะว่าตัวเลขเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นถึง2หลัก มาจากการลดอัตรา
ดอกเบี้ยลง 2 % ช่วงปลายปีเพื่อกระต้นเศรษฐกิจกันแน่
รัสเซีย สาเหตุหลักน่าจะมาจากการขาดแคลนสินค้าจำเป็นหลายอย่างที่รัสเซียไม่มีทำให้ค่าครองชีพสูง กอปรกับ อุตสาหกรรมส่วนใหญ่ในประเทศจะเป็นผลิตน้ำมันและก๊าซ และก็อุตสาหกรรมเหล็ก รายได้จากการส่งออกสินค้าเหล่านี้ลดลงอย่างมาก ประกอบกับเงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นรัสเซียรวดเร็วทำให้ ค่าเงินรัสเซียอ่อนตัวเร็วตาม
** สำหรับประเทศอื่นๆ ที่คิดว่าปกติ มีแง่มุมที่น่าสนใจดังนี้
จีน ช่วงกลางปี 2008 ระดับเงินเฟ้อที่สูงขึ้นเกือบแตะ2หลัก มาจากระดับราคาสินค้าเกษตรและปศุสัตว์เป็นหลัก ไม่ได้มาจากราคาน้ำมันและก๊าซ เนื่องจากอุตสาหกรรมของจีนใช้พลังงานจากถ่านหิน
เป็นหลัก
4. ประเทศไหนจะฟื้นตัวก่อนกันนั้น นอกจากนโยบายกระตุ้นจากทางการแล้ว จะต้องดูต่อไปว่าจะสามารถทำได้อย่างต่อเนื่องและอึดเพียงใด สิ่งที่อาจช่วยบอกเราได้ แต่ไม่มีในตารางนี้ คือ ตัวเลขทุนสำรองระหว่างประเทศ และ ตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัด (ดุลการค้า)
ไว้เท่านี้ก่อนครับ นึกไม่ออกแล้ว
ใครอยากจะ comment เชิญนะครับ ผมอยากรู้ว่าสิ่งที่ผมเขียนเมื่อต้นปี2009 ผิดหรือเปล่า
Are They Still Growth ???
Apr 22 4:30 PM
GDP growth อัตราเงินเฟ้อ ว่างงาน อัตราดอกเบี้ย
Brazil 1.80% 5.90% 8.20% 11.25%
China 6.70% -1.60% 9%** 5.31%
Germany -2.50% 1.00% 7.90% 1.50%
Iceland -10.00% 17.60% 6.60% 18.00%
India 5.10% 10.40% 6.80% 5.50%
Japan -2.60% 0.00% 4.10% 0.10%
Mexico 0.30% 6.20% 5.00% 6.75%
Russia -0.70% 12.00% 8.10% 13.00%
UK -1.20% 0.10% 6.30% 0.50%
US -1.60% 0.20% 8.10% 0%-0.25%
ตัวเลขทางเศรษฐกิจเหล่านี้น่าสนใจมาก
1. มีเพียง 4 ใน 10 ประเทศที่ GDP growth ยังเป็น + ในตอนนี้อาจหมายถึง การบริโภคภายใน
ประเทศยังคงเพิ่มขึ้นไม่ว่าจะมาจากความต้องการบริโภคของคนในประเทศ การลงทุนสร้างสาธารณูปโภคของภาครัฐ (แต่เพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่น้อยลงเมื่อเทียบกับปีก่อน) โดยเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนที่มากกว่า การลดลงของภาคส่งออก ตัวเลขจึงยังเป็น +
2. กลุ่มประเทศที่จะมีการบริโภคภายในประเทศสูงมากๆเช่นนี้ได้ในเวลานี้ มักเป็นประเทศที่มีฐานประชากรขนาดใหญ่ (Demand มาก) และผลผลิตที่ได้จากอุตสาหกรรมส่วนใหญ่จะถูกบริโภคในประเทศ ส่วนที่เหลือจึงส่งออก เช่น เอทานอลที่ผลิตได้ในบราซิลส่วนใหญ่จะเป็นเชื้อเพลิงในรถยนต์ที่ขับขี่กันในบราซิล
3. ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อ กับ อัตราดอกเบี้ย จริงๆควรมีความสัมพันธ์กัน และน่าจะอยู่ในระดับต่ำทั้งคู่
เนื่องจากระดับราคาสินค้าโภคภัณฑ์และราคาน้ำมันได้ตกลงมามากแล้ว ที่ดูน่าผิดปกติ คือ อินเดีย กับ รัสเซีย (ถ้าตัวเลขทางเศรษฐกิจชุดนี้ ออกมาช่วงสิ้นปี 2008-ต้นปี 2009 จริง)
อินเดีย สาเหตุหลักจริงๆที่จะทำให้ตัวเลขเงินเฟ้อสูงได้ จะมาจากการนำเข้าน้ำมันและก๊าซมาโดยตลอด ทำให้ค่าเงินรูปีอ่อนลง แต่ไม่น่าจะถึง2หลัก (ข้อมูลขัดแย้งกับสิ่งที่รัฐบาลอินเดียได้แถลงไว้ปลายปี 2008)
หรือ เป็นเพราะว่าตัวเลขเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นถึง2หลัก มาจากการลดอัตรา
ดอกเบี้ยลง 2 % ช่วงปลายปีเพื่อกระต้นเศรษฐกิจกันแน่
รัสเซีย สาเหตุหลักน่าจะมาจากการขาดแคลนสินค้าจำเป็นหลายอย่างที่รัสเซียไม่มีทำให้ค่าครองชีพสูง กอปรกับ อุตสาหกรรมส่วนใหญ่ในประเทศจะเป็นผลิตน้ำมันและก๊าซ และก็อุตสาหกรรมเหล็ก รายได้จากการส่งออกสินค้าเหล่านี้ลดลงอย่างมาก ประกอบกับเงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นรัสเซียรวดเร็วทำให้ ค่าเงินรัสเซียอ่อนตัวเร็วตาม
** สำหรับประเทศอื่นๆ ที่คิดว่าปกติ มีแง่มุมที่น่าสนใจดังนี้
จีน ช่วงกลางปี 2008 ระดับเงินเฟ้อที่สูงขึ้นเกือบแตะ2หลัก มาจากระดับราคาสินค้าเกษตรและปศุสัตว์เป็นหลัก ไม่ได้มาจากราคาน้ำมันและก๊าซ เนื่องจากอุตสาหกรรมของจีนใช้พลังงานจากถ่านหิน
เป็นหลัก
4. ประเทศไหนจะฟื้นตัวก่อนกันนั้น นอกจากนโยบายกระตุ้นจากทางการแล้ว จะต้องดูต่อไปว่าจะสามารถทำได้อย่างต่อเนื่องและอึดเพียงใด สิ่งที่อาจช่วยบอกเราได้ แต่ไม่มีในตารางนี้ คือ ตัวเลขทุนสำรองระหว่างประเทศ และ ตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัด (ดุลการค้า)
ไว้เท่านี้ก่อนครับ นึกไม่ออกแล้ว
ใครอยากจะ comment เชิญนะครับ ผมอยากรู้ว่าสิ่งที่ผมเขียนเมื่อต้นปี2009 ผิดหรือเปล่า
- hongvalue
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2703
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 3912
[quote="Voldtrest"]
ใครอยากจะ comment
ใครอยากจะ comment
สนใจเรื่องบัญชี กลยุทธ์ลงทุน fundflow แจมได้ที่ blog ผม
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
-
- Verified User
- โพสต์: 1808
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 3913
ผมอ่านหนังสือเรื่อง The War for Wealth แล้วก็รู้สึกว่า บางทีเราอาจมองข้ามในเรื่องของสวสัดิการแรงงานไปครับ มองแต่ในแง่ความเจริญทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว
ไม่ทราบว่าพี่ๆมีความเห็นอย่างไรบ้างครับ
การที่แรงงานจากจีนและอินเดีย รวมไปถึงประเทศทางตะวันออก มีจำนวนมหาศาลทำให้ ค่าแรงทั่วโลกจะถูกกดต่ำลง คนงานจากฝั่งยุโรป หรือ อเมริกาเริ่มตกงาน
สินค้าที่ผลิตจากตะวันตก มีราคาแพงกว่าเพราะ + สวัสดิการทางสังคม
ส่วนสินค้าจากจีนจะมีราคาถูกกว่ามาก ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
(จีนไม่มีสวัสดิการทางสังคม ทำงานหนัก ค่าแรงต่ำ)
สรุปแล้ว คนทั่วโลกได้ใช้ของถูกลง แต่รายได้ ค่าแรง และสวัสดิการจะต่ำลงอันเนื่องมาจากแรงงานที่ล้นโลก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าตกลงมันดีหรือไม่ดี :?:
ไม่ทราบว่าพี่ๆมีความเห็นอย่างไรบ้างครับ
การที่แรงงานจากจีนและอินเดีย รวมไปถึงประเทศทางตะวันออก มีจำนวนมหาศาลทำให้ ค่าแรงทั่วโลกจะถูกกดต่ำลง คนงานจากฝั่งยุโรป หรือ อเมริกาเริ่มตกงาน
สินค้าที่ผลิตจากตะวันตก มีราคาแพงกว่าเพราะ + สวัสดิการทางสังคม
ส่วนสินค้าจากจีนจะมีราคาถูกกว่ามาก ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
(จีนไม่มีสวัสดิการทางสังคม ทำงานหนัก ค่าแรงต่ำ)
สรุปแล้ว คนทั่วโลกได้ใช้ของถูกลง แต่รายได้ ค่าแรง และสวัสดิการจะต่ำลงอันเนื่องมาจากแรงงานที่ล้นโลก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าตกลงมันดีหรือไม่ดี :?:
"Risk comes from not knowing what you're doing" - Warren Buffet
สุดยอดของความซับซ้อนคือความเรียบง่าย
http://www.sarut-homesite.net/
สุดยอดของความซับซ้อนคือความเรียบง่าย
http://www.sarut-homesite.net/
- hongvalue
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2703
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 3914
ถามพี่วิบูลย์หน่อยครับ
ทำไมเดี่ยวนี้ไม่ค่อยเขียนเกี่ยวกับแนว vi แล้วครับ
เห็นเขียนเรื่องเศรษฐกิจเยอะขึ้น
ทำไมเดี่ยวนี้ไม่ค่อยเขียนเกี่ยวกับแนว vi แล้วครับ
เห็นเขียนเรื่องเศรษฐกิจเยอะขึ้น
สนใจเรื่องบัญชี กลยุทธ์ลงทุน fundflow แจมได้ที่ blog ผม
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
-
- Verified User
- โพสต์: 1400
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 3915
[quote="i_sarut"]ผมอ่านหนังสือเรื่อง The War for Wealth แล้วก็รู้สึกว่า บางทีเราอาจมองข้ามในเรื่องของสวสัดิการแรงงานไปครับ มองแต่ในแง่ความเจริญทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว
ไม่ทราบว่าพี่ๆมีความเห็นอย่างไรบ้างครับ
การที่แรงงานจากจีนและอินเดีย รวมไปถึงประเทศทางตะวันออก มีจำนวนมหาศาลทำให้ ค่าแรงทั่วโลกจะถูกกดต่ำลง คนงานจากฝั่งยุโรป หรือ อเมริกาเริ่มตกงาน
สินค้าที่ผลิตจากตะวันตก มีราคาแพงกว่าเพราะ + สวัสดิการทางสังคม
ส่วนสินค้าจากจีนจะมีราคาถูกกว่ามาก ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
(จีนไม่มีสวัสดิการทางสังคม ทำงานหนัก ค่าแรงต่ำ)
สรุปแล้ว คนทั่วโลกได้ใช้ของถูกลง แต่รายได้ ค่าแรง และสวัสดิการจะต่ำลงอันเนื่องมาจากแรงงานที่ล้นโลก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าตกลงมันดีหรือไม่ดี
ไม่ทราบว่าพี่ๆมีความเห็นอย่างไรบ้างครับ
การที่แรงงานจากจีนและอินเดีย รวมไปถึงประเทศทางตะวันออก มีจำนวนมหาศาลทำให้ ค่าแรงทั่วโลกจะถูกกดต่ำลง คนงานจากฝั่งยุโรป หรือ อเมริกาเริ่มตกงาน
สินค้าที่ผลิตจากตะวันตก มีราคาแพงกว่าเพราะ + สวัสดิการทางสังคม
ส่วนสินค้าจากจีนจะมีราคาถูกกว่ามาก ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
(จีนไม่มีสวัสดิการทางสังคม ทำงานหนัก ค่าแรงต่ำ)
สรุปแล้ว คนทั่วโลกได้ใช้ของถูกลง แต่รายได้ ค่าแรง และสวัสดิการจะต่ำลงอันเนื่องมาจากแรงงานที่ล้นโลก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าตกลงมันดีหรือไม่ดี
-
- Verified User
- โพสต์: 1400
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 3916
ส่วนนึงเพราะ...คุณ hongvalue พาพี่ VIB007 แวะโน่นนี่ จนพี่เค้าเพลิดเพลิน แถมถูกคุณยุให้เขียนไง :8)hongvalue เขียน:
ทำไมเดี่ยวนี้ไม่ค่อยเขียนเกี่ยวกับแนว vi แล้วครับ
เห็นเขียนเรื่องเศรษฐกิจเยอะขึ้น
555 เอ...คำตอบมีในคำถามป่าวเอ่ย
ปล. เรื่องจีนที่อยากจะอ่านกันน่ะ ส่วนใหญ่กว่าจะเห็นบทความภาษาไทย ก็นู่น เหตุการณ์ย้อนหลังไป 2-3 ปี ไม่ค่อยเจอที่เขียนเป็นเนื้อฉบับภาษาไทยแบบตามหลัง 1 ไตรมาส อ่ะ
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 3918
Google is always cool! จริงๆครับhongvalue เขียน:
แต่ 3-4 วันมานี้ไม่รู้อะไรดลใจผม
อยู่ดีๆมาก็นึกขึ้นมาได้ว่าผมอยากจะลองหา
ข้อมูลแบบที่พวกโบรกเกอร์ทำดูบ้าง
ผมก็เลยลอง search ทฤษฏี fundflow ทุกรูป
แบบลงไปใน google ปรากฏว่าผมได้ข้อมูลแทบไม่แพ้
ที่พวกสถาบันใหญ่ๆหากันเลย......
ผมเห็นด้วยกับพี่วิบูลย์ที่เราจะมองบริษัทในระยะที่ยาวกว่า 1 ไตรมาสครับ
มองภาพในระยะยาวขึ้น ผมว่าผมคาดการณ์(=คาดเดา?)ได้มากขึ้นครับ
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 3919
ตอบคำถามง่ายๆก่อน อิhongvalue เขียน:ถามพี่วิบูลย์หน่อยครับ
ทำไมเดี่ยวนี้ไม่ค่อยเขียนเกี่ยวกับแนว vi แล้วครับ
เห็นเขียนเรื่องเศรษฐกิจเยอะขึ้น
ก็ตอนนี้เป็นช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ
ก็เลยเขียนเรื่องเศรษฐกิจไม่ให้ตกเทรนด์ไง ฮา
- hongvalue
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2703
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 3925
[quote="VIB007"][quote="Voldtrest"]
ปล. เขียนไปเริ่มเหนื่อยแล้วครับ
ปล. เขียนไปเริ่มเหนื่อยแล้วครับ
สนใจเรื่องบัญชี กลยุทธ์ลงทุน fundflow แจมได้ที่ blog ผม
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
-
- Verified User
- โพสต์: 1400
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 3926
ผมมีซีดีในงานสัมนาเกี่ยวกับเศรษฐกิจและตลาดหุ้นจีน ช่วงท้ายเป็นการ
ถาม-ตอบระหว่างผมกับอาจารย์สมภพและ fund manager บลจ. ทหารไทย
เมื่อกลางปี 2551
ปล. ผมซื้อหน่วยลงทุนของเขาไว้นิดหน่อย เลยมีแรงจูงใจศึกษาข้อมูลพวกนี้มาก ตอนนั้นผมยังไม่มี หุ้นไทย ในพอร์ตเลยซักตัว (ตอนนั้นแพงไปหมดอ่า....ตอนนี้ก็แพง...น่าเบื่อจริงๆ)
ต่อมาผมก็ซื้อกองทุนที่ลงทุนในดัชนีหุ้นอินเดีย+จีน !!!
จากเดิมที่อ่าน จีน อย่างเดียว ก็ไปอ่าน อินเดีย...บราซิล...รัสเซีย
ครบ BRIC เลย !!!
ทำเอาเถลไถล แทบไม่ค่อยได้ศึกษาการลงทุนแนว VI ไปเลย
น่าตีจริงๆ
อันนี้ เป็นสรุปสถานการณ์ล่าสุด ที่เป็นภาษาไทย ของ ดร. กอบศักดิ์ ภู่ตระกูล
http://www.kobsak.com/?m=200908
ถาม-ตอบระหว่างผมกับอาจารย์สมภพและ fund manager บลจ. ทหารไทย
เมื่อกลางปี 2551
ปล. ผมซื้อหน่วยลงทุนของเขาไว้นิดหน่อย เลยมีแรงจูงใจศึกษาข้อมูลพวกนี้มาก ตอนนั้นผมยังไม่มี หุ้นไทย ในพอร์ตเลยซักตัว (ตอนนั้นแพงไปหมดอ่า....ตอนนี้ก็แพง...น่าเบื่อจริงๆ)
ต่อมาผมก็ซื้อกองทุนที่ลงทุนในดัชนีหุ้นอินเดีย+จีน !!!
จากเดิมที่อ่าน จีน อย่างเดียว ก็ไปอ่าน อินเดีย...บราซิล...รัสเซีย
ครบ BRIC เลย !!!
ทำเอาเถลไถล แทบไม่ค่อยได้ศึกษาการลงทุนแนว VI ไปเลย
น่าตีจริงๆ
อันนี้ เป็นสรุปสถานการณ์ล่าสุด ที่เป็นภาษาไทย ของ ดร. กอบศักดิ์ ภู่ตระกูล
http://www.kobsak.com/?m=200908
- hongvalue
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2703
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 3927
[quote="Voldtrest"]
ต่อมาผมก็ซื้อกองทุนที่ลงทุนในดัชนีหุ้นอินเดีย+จีน
ต่อมาผมก็ซื้อกองทุนที่ลงทุนในดัชนีหุ้นอินเดีย+จีน
สนใจเรื่องบัญชี กลยุทธ์ลงทุน fundflow แจมได้ที่ blog ผม
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
- hongvalue
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2703
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 3928
ขออนุญาตินำหัวข้อที่ผมเขียนเรื่องงบการเงินใน blog ทั้ง 3ภาคมาลงในนี้ เผื่อว่าจะมีคนมาต่อยอด discuss กันจากสิ่งที่เขียนนะครับ
hongvalue เขียน: การดูงบการเงินเบื้องต้น (สำหรับนักลงทุนมือใหม่)ภาค1
กรกฎาคม 15, 2009 โดย hongvalue
นักลงทุนที่ไม่เคยศึกษาวิธีการอ่านงบการเงิน
พอเปิดงบมาดูคงจะงงกับตัวเลขอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด
วันนี้ผมมีวิธีดูงบแบบเริ่มต้นมาเล่าให้ฟัง
วิธีคือให้ดูว่า ยอดขายโตเป็นกี่ % ถ้าเทียบกับปีที่แล้ว
ทำได้โดยการนำเอา ยอดขายของปีนี้ตั้ง ยอดขายของปีที่แล้ว
และหารด้วยยอดขายของปีที่แล้ว
สมมุติว่า ยอดขายออกมาโต 10% วิธีดูต่อไป
ให้ไปดูในงบดุลแล้วดูว่า
ลูกหนี้โตกี่% ถ้าลูกหนี้โตเป็น % สูงกว่ายอดขาย
ก็ไม่ดีเพราะหมายความว่าขายของเก็บเงินไม่ได้
2.ให้ไปดูว่าสินค้าคงเหลือโตกี่ % ถ้าสินค้าคงเหลือโต
เยอะกว่า ยอดขายก็สะท้อนว่า ซื้อของมาเก็บไว้เยอะแต่ขายได้ไม่เร็วพอทำให้ stock เยอะขึ้น
3.ให้ดูอัตรากำไรสุทธิของบริษัทว่าโตกี่%
สมมุติยอดขายโต 10% แต่กำไรโตแค่ 5%
เราต้องไปดูว่าเกิดจากอะไร
3.1 อาจเกิดจากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารโตเร็วกว่าก็สะท้อนการจัดการที่ไม่ดีของบริษัท
3.2อาจเกิดจาก gross margin ลดลง ซึ่งสะท้อนการควบคุมต้นทุนที่ไม่ดี
3.2อาจเกิดจากรายการอื่นๆเช่น ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน ขาดทุนจากการด้อยค่า
แบบนี้ก็ไม่ค่อยมีนัยยะ ให้นำรายการพวกนี้บวกกลับเข้าไปที่กำไรสะสม
เดี่ยวจะวนมาเขียนต่อให้ลึกกว่าเดิมในตอนที่ 2
บันทึกโพสใน Uncategorized | 8 Comments »
สนใจเรื่องบัญชี กลยุทธ์ลงทุน fundflow แจมได้ที่ blog ผม
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
- hongvalue
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2703
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 3929
hongvalue เขียน: การวิเคราะห์งบ 2
กรกฎาคม 26, 2009 โดย hongvalue
ต่อจากภาค 1
1.การดูว่าธุรกิจมีกำไรเท่าไหร่ไม่สะท้อนที่คุณภาพของบริษัทมากนักนักลงทุนเวลาดูกำไรจึงควรดูตัวเลขที่ชื่อ กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ไปด้วย
ถ้าบริษัทมีกำไร 100 ล้าน แต่ดำเนินงานแล้วมีเงินสดแค่ 50 ล้าน
เราจะบอกว่าบริษัทนี้มีความสามารถหรือไม่ การเป็นแบบนี้แสดงว่าธุรกิจสภาพคล่องไม่ดีนัก เงินสดน่าจะหายไปจากไหนซักที่
เช่น ลูกหนี้ สินค้าคงเหลือ
ถ้ากลับกันบริษัทเดิมมีกำไร 100 ล้านแต่ธุรกิจทำเงินสดได้200 ล้านแบบนี้ มันก็สะท้อนให้เห็นว่ากำไรของบริษัทที่สองมีคุณภาพมากกว่า
สมัยก่อนมีการปั่นหุ้นตัวนึงในตลาด mai กำไรโตมากๆ คร่าวๆว่ามากกว่า 10 เท่า
แต่ว่าลูกหนี้บริษัทโตเร็วมากเช่นกัน กลายเป็นว่า กระแสเงินสดจากการดำเนินงานติดลบ ทั้งๆที่กำไรโตเยอะ
แบบนี้ก็ไม่ดี สุดท้ายหุ้นตัวนี้ก็เข้าทำนอง สูงสุดคืนสู่สามัญ
2.ถึงกระแสเงินสดการดำเนินงานจะสูงก็ยังไม่พอ ควรดูว่า free cash flow เยอะไหมโดยดูจาก กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน กระแสเงินสดจากการลงทุน
เพราะว่าบางธุรกิจดำเนินงานได้เยอะก็จริงแต่ต้องลงทุนหนักก็คงไม่ดีนัก
ผมถามท่านว่า ถ้าท่านเลือกหุ้นสองบริษํท บริษัทแรก
มีกระแสดเงินสดจากการดำเนินงาน 100 ล้าน แต่ต้องลงทุน150 ล้าน กับบริษัที่สอง กระแสดเงินสดจากการดำเนินงาน100 ล้านแต่ลงทุน 75 ล้าน ท่านจะเลือกอะไร
ก็ต้องบริษัทที่สองเพราะสุดท้าย ผู้ถือหุ้นบริษัทนี้ยังได้
อะไรกลับเข้าตัวเองมากกว่า
เพราะ free cash flow ที่เป็นบวก สามารถนำไปคืนหนี้ และ จ่ายปันผล ได้หรือจะซื้อหุ้นคืนก็ได้เหมือนกัน
ดังนั้นต่อจากตอนแรก เมื่อเราวิเคราห์งบดุล กำไรขาดทุนแล้ว ต้องวิเคราะห์กระแสเงินสดบริษัทคู่ไปด้วย เพราะดูภาพของบริษัทให้ครบถ้วน
3.ถ้าเรารู้ว่าบริษัทมี free cash flow เยอะแล้วจะต้องชอบบริษัทที่หนี้ธนาคารน้อยกว่า เพราะ fcf เยอะแต่หนี้เยอะ เขาต้องไปคืนหนี้ ทำให้มีเงินปันผลน้อยลง ถ้าเราอยากเก็งกำไรหุ้นที่คิดว่ากำไรจะโตแล้วจะปันผลได้เยอะๆ
เราต้องหาหุ้นที่มี free cash flow ที่สูงและมีหนี้ธนาคารน้อยหุ้นเหล็กหลายตัวมีหนี้เยอะมาก เรียกว่าเยอะกว่า marketcap ด้วยซ้ำประมาณว่า คำนวณ ev จะมากเป็น 2 เท่าของ marketcap เลยแบบนี้มี free cash flow เราคงได้ปันผลน้อย
บันทึกโพสใน Uncategorized | 3 Comments »
สนใจเรื่องบัญชี กลยุทธ์ลงทุน fundflow แจมได้ที่ blog ผม
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
- hongvalue
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2703
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 3930
hongvalue เขียน:การวิเคราะห์งบการเงินตอน 3
สิงหาคม 25, 2009 โดย hongvalue
พอดีมีคน request เรื่องนี้มาหลายคนเลยจะมาเขียนต่อเท่าที่ทราบพี่กบ krisy ก็อ่าน blog ผมถ้าไงช่วยมา comment เพิ่มเติมให้หน่อยนะครับเพราะพี่เก่งงบการเงินกว่าผมมากมายนักครับ
รอบนี้เป็นเรื่องอัตราส่วนทางการเงิน
1.gross margin การดู gross margin นั้นควรดูในแง่เทียบกับบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันว่ามีมากกว่าหรือน้อยกว่าเช่น
สมมุติว่าบริษัท a กับ b อยู่อุตสาหกรรมเดียวกันแต่ a มี gross margin 35% b มี 25% แบบนี้เบื้องต้นแสดงว่า a มีการบริหารจัดการที่ดีกว่า b ทำให้ได้กำไรขั้นต้นที่สูงกว่า ข้อควรระวังในการดูGross margin ก็คือถ้าดูกับบริษัทที่เป็นวัฏจักร หรือ cyclicalGross margin จะสูงมาก แต่นั้นหมายความว่าราคาหุ้นตอนนั้นมีโอกาสตอบรับวัฏจักราขาขึ้นไปแล้ว ถ้าเป็นหุ้นวัฏจักรเราควรดูว่าในรอบวัฏจักรของเขาเคยมี gross margin ต่ำสุดเท่าไหร่ และสูงสุดเท่าไหร่ และซื้อตอน gross margin ต่ำๆ
2.asset turnover ก็คือการดูว่ายอดขายของบริษัทนั้นสามารถนำมาหมุนได้กี่รอบถ้าเทียบกับขนาดของสินทรัพย์ถ้า a มีสินทรัพย์
1 ล้านบาท มียอดขาย 2 ล้านบาท b มีมีสินทรัพย์
1 ล้านบาท มียอดขาย 3 ล้านบาทในกรณีแบบนี้นักลงทุนคงอยากเป็นเจ้าของบริษัท b มากกว่าเพราะว่ามีความสามารถในการขายที่สูงกว่าภายใต้แนวคิดมีสินทรัพย์ขนาดเท่ากัน ส่วนใหญ่หุ้นที่มีลักษณะ asset turnover สูงมักจะเป็นหุ้นค้าปลีกเช่น se-ed makro hmpro
เป็นต้น
3.ที่นี้มีคำถามว่าสมมุติว่าเราดูหุ้นโรงแรมสองตัว ตัวแรก grossmargin สูงกว่าตัวที่สองเราจะตัดสินว่าตัวแรกดีกว่าไหม
คำตอบคือยัง เพราะว่าโรงแรมแรกอาจจะจับลูกค้าระดับบนที่มีการใช้จ่ายต่อหัวสูงทำให้ กำไรขั้นต้นสูงกว่าแต่ว่าเขาไม่ได้มี asset turnover สูง แต่โรงแรมที่สองจับลูกค้าระดับล่างดังนั้น gross margin จึงต่ำกว่า แต่ว่าเขาได้ asset turnover สูงกว่า
แบบนี้การเปรียบเทียบระหว่างบริษัทเราจะต้องดูที่ business model ว่าใครจับลูกค้าแบบไหน ไม่ใช่ใช้อัตราส่วนทางการเงินไปตัดสินเลยว่าใครเป็นอย่างไรดีหรือไม่ดี ดังนั้นก่อนวิเคราะห์เราต้องรู้
ตัวธุรกิจก่อนจึงจะวิเคราะห์งบการเงินได้ดี
4.อัตราส่วนต่อมาที่ต้องดูคือ account receivable สมมุติว่าเราคำนวณออกมาว่าได้กี่เท่าปล่อยเครดิตกี่วันก็ไม่ควรเอาตัวเลขมาเป็นนัยยะทันทีเนื่องจากว่าไส้ในของลูกหนี้แต่ละบริษัทอาจจะมีอายุไม่เท่ากัน
ลูกหนี้ของบริษัทแรกส่วนใหญ่อาจจะเป็นเกินกำหนดชำระเป็นเวลา
3 เดือนส่วนใหญ่แต่บริษัทที่สองอาจจะเกินกำหนดชำระแล้ว 1 ปีเป็นส่วนใหญ่เราต้องไปดูว่าบริษัทนั้นได้ตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญสมเหตุสมผลกับยอดหนี้ที่เกินกำหนดชำระไหม และถ้าบริษัทไหนยอดหนี้ส่วนใหญ่เป็นประเภทยังไม่ถึงกำหนดชำระเป็นส่วนใหญ่ลูกหนี้ก็จะมีความ safety สูงกว่า
บันทึกโพสใน Uncategorized | 4 Comments »
ถ้าพี่ฉัตรชัยพี่กบkrisy อ่านก็ช่วย comment หน่อยนะครับว่ามีอะไรไม่ถูกต้องหรือไม่ หรือว่าจะช่วยยกตัวอย่างจากของจริง
ก็ได้ครับ ผมอยากถกเรื่องงบการเงินครับกำลังสนใจจะ
ขุดงบบางบริษัทลึกๆอยู่เลยต้องมาทวนซะหน่อย
สนใจเรื่องบัญชี กลยุทธ์ลงทุน fundflow แจมได้ที่ blog ผม
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP