หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
miracle
Verified User
โพสต์: 18364
ผู้ติดตาม: 1

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์ที่ 31

โพสต์

การตัดสินใจลด port การลงทุนของบริษัทประกันนั้น
ไม่มีผิดหรือถูก
ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ตอนนั้นมากกว่า ว่าเป็นอย่างไง
ผนวกกับมาตราการที่ไม่ชัดเจนจาก คปภ ที่ยังไม่ออกมาว่าต้องตั้งสำรองอะไรบ้างหรือไม่
เหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องลด Port
ก็ไม่เห็นแปลกอะไรมากมาย

แต่ถ้าหาก Port การลงทุนของบริษัทประกันภัย
เพิ่มทุนเสร็จ วันรุ่งขึ้นเงินหายไปแบบนี้ซัก น่ากลัวกว่าอีก
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18364
ผู้ติดตาม: 1

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์ที่ 32

โพสต์

ทุบโต๊ะประกันไม่ผ่านเกณฑ์ใหม่อื้อ  
วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2552

โพสต์ทูเดย์ ธุรกิจประกันขนลุก หลังพบเกณฑ์อาร์บีซีทำหลายบริษัทมีกองทุนต่ำกว่าเกณฑ์ ผู้เชี่ยวชาญแนะคปภ.ขยายเวลาใช้

น.ส.นิตยา พิริยะธรรมวงศ์ เลขา ธิการสำนักงานอัตราเบี้ยประกันภัยวินาศภัย เปิดเผยว่า เกณฑ์การ ดำรงเงินกองทุนตามความเสี่ยง (Risk-Based Capital : RBC) หรือ อาร์บีซี ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) จะนำมาบังคับใช้ในปี 2554 เป็นเกณฑ์ที่เข้มงวดมาก หากนำมาใช้เต็มรูปแบบในปี 2554 จะทำให้บริษัทประกันภัยกว่าครึ่งสอบตกเกณฑ์ ซึ่งคปภ.จะไม่มีกำลังพอในการดูแลบริษัทเหล่านั้น
ทั้งนี้ เนื่องจากสินทรัพย์หลายอย่างไม่ให้นำมาคำนวณเป็นเงินกองทุนขั้นที่ 1 โดยให้เฉพาะสิน ทรัพย์ที่แปลสภาพเป็นเงินสดได้ทันทีเท่านั้น ไม่นับทรัพย์สินที่มีภาระผูกพันเป็นเงินกองทุนขั้นที่ 1 มูลค่าทรัพย์สินที่ถืออยู่จะต้องคำนวณตามมูลค่าราคาตลาดที่มีความผันผวนตลอดเวลา จากเดิมที่อิงราคาประเมิน ของหน่วยงานรัฐอย่างเดียว

น.ส.นิตยา เปิดเผยว่า ผลการทดสอบการดำรงเงินกองทุนตามความเสี่ยงกับบริษัทประกันวินาศภัย 34 แห่ง ที่จะออกมาปลายเดือน ต.ค.นี้ จะไม่สะท้อนภาพรวมของบริษัทประกันภัยทั้งหมด เนื่องจาก ทั้ง 34 บริษัทที่เข้าร่วมทดสอบครั้งนี้ ล้วนแต่มีเงินกองทุนเกินกว่าเกณฑ์ที่คปภ.กำหนดไว้ขั้นต่ำ 150% บางแห่งมีเงินกองทุนถึง 1,000%

ดังนั้น ทางบริษัทประกันวินาศภัยที่เหลือจึงได้เข้าร่วมทดลองทำการทดสอบด้วยมีจำนวน 29 บริษัท โดยไม่เปิดเผยชื่อ เพื่อสะท้อนภาพที่เป็นจริงทั้งระบบ แล้วจะนำผลที่ได้เสนอต่อคปภ.ประกอบการตัดสินใจและวางแผนการนำอาร์บีซีมาใช้ โดยต้องการให้บังคับใช้แบบขั้นบันได ใช้เวลาประมาณ 5 ปี ถือว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสม จะได้มีเวลาเตรียมตัวและปรับปรุง

ตอนนี้นายประกันกลัวมาก หากใช้เต็มรูปแบบทันทีในปี 2554 ประกันวินาศภัยจะเหมือนคนถูกไฟฟ้าชอร์ต น.ส.นิตยา กล่าว


http://www.posttoday.com/finance.php?id=67218

--------------------------------------------------------------------
เดือนนี้ คปภ ให้บริษัทประกันภัย ส่งรรายงานทดสอบเพื่อการตัดสินใจเอา RBC มาใช้งาน
RBC นี้เหมือน บาเซิล 2 ของ ธนาคารพาณิชย์ นี้สิ่งที่ผมบอกไปว่า
ผู้คุมกฏยังไม่ได้ออกกฏมาทั้งหมด มันยังไม่รู้ว่าออกหัวหรือก้อย
ถ้าออกมาทุกคนในอุตสาหกรรมโดนกันทั่วหน้า
:)
:)
นักดูดาว
Verified User
โพสต์: 2513
ผู้ติดตาม: 0

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์ที่ 33

โพสต์

ผมไม่คิดว่า RBC จะเป็นปัญหากับบริษัทประกันภัยทีจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ เพราะเท่าที่เห็นก็มีเิงินกองทุนในระดับสูงอยู่มาก เว้นแต่บางแห่งที่ดูจะด้อยกว่ากลุ่มผู้นำอย่างเห็นได้ชัด

แต่ถ้าเป็นบริษัทนอกตลาด ขอบอกว่าดูไม่จืดครับ เรื่องการประเมินมูลค่าทรัพย์สิน ผมเห็นด้วยเป็นอย่างมากเพราะหลายแห่งนั้นมีปัญหากับสภาพคล่องจริงๆ
chaitorn
Verified User
โพสต์: 2547
ผู้ติดตาม: 0

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์ที่ 34

โพสต์

ปัญหาก็คือ ผู้บริหารการลงทุนของบ.ประกันภัยครับ
ปีที่แล้ว เฉพาะบริษัทที่ผมตามอยู่คือ SCSMG และ SMK ก็พบว่า  
ผู้บริหารได้เปลียนการลงทุน  จากการลงทุนในหุ้นราว 30%
เหลือแค่ 2% สำหรับตัวแรก  และ เหลือแค่ 10% สำหรับตัวหลัง
ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากตลาดฯ ลงมาอย่างหนัก  ก็ถอดใจแล้วคิดว่า  การลงทุนในหุ้นนั้นเสี่ยงเกินไปสำหรับบ.ประกันฯ  

ไม่น่าเลย...แต่ผมคิดว่าพวกเขาตัดสินใจผิดนะครับ  
ใช้ข้อมูลเพียงบางบริษัท แล้วคิดว่าหุ้นในกลุ่มทั้งหมดจะเป็นเหมือนกันหมด ผมคิดว่าการอนุมานแบบนี้ อาจไม่ถูกต้องนะครับ ต้องขอโทษด้วยครับ

เท่าที่ผมเช็คข้อมูลเบื้องต้น ก็ยังมีบางบริษัท ก็ยังถือหุ้นสามัญหรือตราสารทุนในพอร์ตอยู่นะครับ และเริ่มมีส่วนเกินมูลค่าของหุ้นหรือตราสารทุนอยู่ โดยที่ผ่านมาก็ไม่มีการปรับพอร์ต ก็มีครับ บางแห่งก็มีการปรับพอร์ตและทำกำไรในช่วงที่หุ้นขึ้นไปสูง ๆ ในไตรมาสที่ผ่านมาด้วย

และที่สำคัญ ผมคิดว่าเป็น Stress test ในตัวว่า บริษัทที่บริหารการลงทุน เมื่อผ่านวิกฤตแล้ว เงินลงทุนกระทบมากน้อยเพียงใด และกระทบไปจนถึงขาดทุนเลยหรือไม่ครับ ลองดูนะครับ บางบริษัทในช่วงไตรมาส 4 ก็ไม่ขาดทุนก็มีครับ และยังมีเหลือส่วนต่างอยู่ด้วย เพียงแต่ NAV ของตราสารทุนปรับลดลงมาก แต่ไม่ขาดทุนครับ

ดูไตรมาสนี้ให้ดีครับ ผมคิดว่าจะมี บางบริษัทจะ Realize โดยการขายหุ้นทำกำไรด้วย บางบริษัทไม่ได้ Realize เพราะถือยาวเพื่อรับปันผลชดเชยผลตอบแทนจากตราสารการเงินและตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนจากดอกเบี้ยค่อนข้างต่ำ  บางบริษัท ก็อาจ Realize และ ยังถือหุ้นอยู่ด้วย

ลองกลับไปเช็ค พอร์ตประกัน โดยดูจากงบการเงินไตรมาสล่าสุดก็ได้ ผมลองเช็คดูแล้ว มีหลาย ๆ บริษัท น่าสนใจในเรื่อง พอร์ตลงทุนครับ เพราะฟื้นตัวขึ้นมาก

สำหรับ SCSMG นั้น แม้จะไม่มีพอร์ตตราสารทุนนะครับ แต่ หน่วยลงทุน QHPF ซึ่งลงทุนในสัดส่วนค่อนข้างมาก ปรับตัวดีขึ้น ทั้งมูลค่าหุ้น และเงินปันผลที่จ่ายเป็นรายไตรมาสด้วยครับ และ กำไรจากธุรกิจประกันภัยยังดีอยู่ ไม่ได้แย่ลง ลองอ่านใน โพส SCSMG ดูด้วยครับ

สำหรับ SMK ยังไม่ได้ดูรายละเอียดครับ ขอไปดูก่อนครับ แต่ SMK นั้น มี พอร์ตลงทุนจำนวนมาก เมื่อเทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้น และมีพอร์ตเช่าซื้อรถสูงมากครับ ที่ผ่านมาก็มีการทำกำไรมาโดยตลอด

ซึ่งผมกลับเห็นว่า ทั้ง 2 ตัวนี้ น่าสนใจนะครับ เพียงแต่บางตัวอาจจะต้องดูราคาประกอบด้วย เพราะปรับตัวขึ้นไปสูงอย่างต่อเนื่องตามผลประกอบการที่ดีต่อเนื่อง ไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่บางตัวปรับราคาลดลงมาก ต้องรอการปรับเปลี่ยนการบริหารบางอย่างเพื่อแก้ไขจุดอ่อน แต่ตัวนี้ อนาคตก็น่าจะดีครับ เพราะธนาคารผู้ถือหุ้นใหญ่ เริ่มเอาจริงกับการรุกตลาด โดยเฉพาะตลาดเช่าซื้อ อาจได้เห็นการเปลี่ยนแปลงแรง ๆ ในปี 2553 เป็นต้นไป เพราะธนาคารแห่งนี้ เวลาทำอะไรจริงจัง หลาย ๆ ธุรกิจขึ้นไปเป็นผู้นำตลาด แถมมี Market share อันดับ 1 ด้วยเช่น การขยายสาขา ATM การขยายสาขาธนาคาร ธุรกิจกองทุนรวม ธุรกิจแบ็งก์แอสชัวรันซ์ที่เป็นช่องทางการจำหน่ายของธุรกิจประกันชีวิตและประกันภัย ธุรกิจประกันชีวิตที่เติบโตอย่างน่าสนใจจนเพิ่มส่วนครองตลาดขึ้นมาเรื่อย ๆ ครับ และอีกหลาย ๆ ธุรกิจที่จะตาม  ๆ มา เพราะ CEO และ ประธานกรรมการ มีแนวคิดเชิงการตลาดที่จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบของธนาคาร ผ่าน Chage Program ครับ

เรื่อง พอร์ตลงทุนของบริษัทประกันภัย ผมจะลองค้นข้อมูลในตลาดดูครับ ผมคิดว่าน่าสนใจ หลาย ๆ บริษัทมีส่วนเกินตรงนี้เริ่มสูงขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2 แล้ว และไตรมาสนี้ตราสารทุนปรับตัวสูงขึ้นมาก บริษัที่ถือตราสารทุนน่าจะได้ประโยชน์มาก เพียงแต่จะ Realize หรือไม่ ถ้า Realize เมื่อใด กำไรจากการลงทุนจะเติบโตสูงมากเลยครับ ให้จับตาดูไตรมาส 3 ให้ดีครับ

กระทู้นี้ จริง ๆ ผมไม่อยากจะโพสที่ตัวหุ้นโดยตรง อยากให้โพสเป็นแนวคิดของอุตสาหกรรม เพื่อเป็นความรู้ให้กับทุก ๆ คนไปศึกษาในตัวหุ้นที่ตนเองสนใจจะดีกว่านะครับ

และจะได้ทำให้ผู้รู้ในเรื่องประกันภัย โพสเป็นกลางด้วยความสบายใจมากขึ้นครับ

ขอบคุณสำหรับความเห็นของทุก ๆ คนด้วยครับ
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
อะไรดีละ
Verified User
โพสต์: 680
ผู้ติดตาม: 0

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์ที่ 35

โพสต์

miracle เขียน:การตัดสินใจลด port การลงทุนของบริษัทประกันนั้น
ไม่มีผิดหรือถูก
ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ตอนนั้นมากกว่า ว่าเป็นอย่างไง
ผนวกกับมาตราการที่ไม่ชัดเจนจาก คปภ ที่ยังไม่ออกมาว่าต้องตั้งสำรองอะไรบ้างหรือไม่
เหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องลด Port
ก็ไม่เห็นแปลกอะไรมากมาย

แต่ถ้าหาก Port การลงทุนของบริษัทประกันภัย
เพิ่มทุนเสร็จ วันรุ่งขึ้นเงินหายไปแบบนี้ซัก น่ากลัวกว่าอีก
:)

การตัดสินใจจัด asset allocation ที่ดี  ยิ่งสถาบันแล้ว  ยิ่งต้องมีเหตุผล
อย่าง กบข. หรือ สปส. แม้หุ้นจะตกหนัก  ก็จะยังยืนยันจะถือลงทุนในหุ้นที่สัดส่วนเดิมๆ คือ 10% และ 7% ตามลำดับ
แต่บ.ประกัน  โดยเฉพาะ SCSMG นี่   กลยุทธ์การลงทุนคล้าย "แมงเม่า" มากกว่า จะเป็น นักลงทุนสถาบันนะครับ
พอหุ้นลงหน่อย  ก็ปอด....ขายทิ้ง และ แทบไม่ลงทุนอีกเลย   นักลงทุนสถาบันเขาทำกันแบบนี้หรือเปล่าละครับ ??

:)
อะไรดีละ
Verified User
โพสต์: 680
ผู้ติดตาม: 0

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์ที่ 36

โพสต์

SCSMG กับ ฮาราคีรี

งบการเงินของ SCSMG ออกไปเมื่อต้นอาทิตย์นี้
ตัวนี้เป็นตัวแรกของกลุ่มประกันภัยที่ส่งงบการเงินมาให้แก่ตลาดหลักทรัพย์
เพื่อประกาศผลประกอบการ

มีอะไรที่น่าแปลกทำให้ผมต้องมาโพสหรือ
ที่แปลกคือ ไตรมาสสี่ไตรมาสเดียว ขาดหุ้นสามัญและหน่วยลงทุนออกไปมากมาย (รวมกับไตรมาสสามที่ขายไปด้วย ประมาณ พันล้านกว่าบาทแน่นอน) ขายเสร็จแล้วเหลือ หน่วยลงทุนอีก 400 กว่าล้านบาทและหุ้นสามัญอีก 9 ล้านกว่าบาทเท่านั้น

และยังมีขาดทุนในส่วนของผู้ถือหุ้นอีก 16 ล้านกว่าบาท

ถ้าหากไม่ขายหุ้นสามัญและหน่วยลงทุนทิ้งไป
และยังไม่เปลี่ยนแปลงจาก เผื่อขาย เป็นเผื่อค้า ล่ะก็
ส่วนของผู้ถือหุ้นคงดูไม่จืดแน่นอน

เนี่ยคือการจัดการตัดเนื้อร้ายทิ้งที่เดียวแล้วเริ่มกันใหม่ หรือฆ่าตัวตายของฟินิกส์เพื่อเกิดใหม่ หรือ ฮาราคีรี นั้นเอง

ที่สังเกตเห็นอีกส่วนหนึ่งคือ ธุรกิจประกันภัยยังคงทำกำไรให้แก่บริษัท แม้ว่ารายได้หดลง และ ค่าใช้จ่ายหดลงเล็กน้อย สิ่งนี้ทำให้ผมพอมีความหวังว่า SCSMG ยังคงมีธุรกิจหลักที่สามารถทำกำไรได้

ผมยังติดตามดู บริษัทประกันภัยอื่นๆ อีกหลายบริษัทที่ต้องประกาศผลประกอบการ ว่ามีบริษัทไหนที่ทำแบบนี้อีกหรือไม่
หรือทำแบบเดิมคือ ไม่สนใจ เพราะลงทุนระยะยาวอยู่แล้ว

ขอควรระวัง
1. เผื่อขาย การกำไรและขาดทุนอยู่ในส่วนของผู้ถือหุ้น ทำให้ไม่มีผลกระทบต่องบกำไรขาดทุน แต่มีผลกระทบต่อความแข็งแกร่งของบริษัท ภายใต้กรอบกฏหมายและ ข้อบังคับต่างๆของคปภ.
2. เผื่อค้า อันนี้กำไรและขาดทุนเข้าไปในงบกำไรขาดทุนเลย เห็นกันชัดเจนเลย ทำให้รู้เลยว่า บริษัทอ่อนแอในส่วนไหนเลย
3. ต้องดูด้วยว่า ธุรกิจหลักยังคงทำกำไรหรือไม่ อันนี้สำคัญ
4. ดูในส่วนของผู้ถือหุ้นว่า ต้องเพิ่มทุนเพื่อให้เป็นไปตามกฏหมาย และ กฏระเบียบข้อบังคับของ คปภ หรือไม่

ขอให้ทุกท่านโชคดีในการลงทุนน่าครับ



Create Date : 05 กุมภาพันธ์ 2552
Last Update : 5 กุมภาพันธ์ 2552 0:02:42 น.

Counter : 61 Pageviews.  

++ นีใช่ blog ของคนที่นี่หรือเปล่า ??
ฮาราคีรี...นั่นใช่เลย  ฆ่าตัวตายชัดๆ  หุ้นลงแล้วตามแห่ขาย  เหลือลงทุนหุ้นแค่ 3%  ขาดทุนมหาศาล  และ เสียดายกำไรที่น่าจะได้กลับมาอีกไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท  ....  จากราคาดัชนีหุ้นที่ดีดตัวขึ้นมา
ซึ่ง 500 ล้านนี่ไม่ใช่น้อยๆ  1 ใน 4 ของ mkt.cap  เชียวนะ
ผมคิดว่า  นักลงทุนสถาบัน  ควรมีกลยุทธ์การลงทุนที่ดีกว่านี้...จริงไหมครับ
:)
chaitorn
Verified User
โพสต์: 2547
ผู้ติดตาม: 0

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์ที่ 37

โพสต์

เรื่อง RBC ที่คุณ Miracle พูดถึงครับ

อันนี้หละครับ คือจุดเปลี่ยนอุตสาหกรรมที่สำคัญจริง ๆ

จะทำให้เราสามารถแยกบริษัทที่แข็งแกร่ง และเติบโตได้ต่อเนื่องต่อไป

และบริษัทที่อ่อนแอ ซึ่งต้องได้รับการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของบริษัท เพื่อให้สามารถเดินต่อไปได้

หรืออาจต้องยุบเลิกไปในอนาคต หากเงินกองทุนไม่พอ

จะทำให้การเติบโตของอุตสาหกรรม เน้นเชิงคุณภาพ มากกว่าการตัดราคากันมากขึ้น

ไว้เดี่ยวมีเวลา จะมาให้ข้อมูลเรื่องการคำนวณ RBC ที่ผู้บริหารของบริษัทประกันภัยต้องสนใจ รวมถึงเรื่องการกำกับของ คปภ. ในเรื่องนี้ครับ

บริษัทประกันภัยใดที่ไม่เตรียมตัวในเรื่องนี้ให้ดี อาจมีปัญหาการดำเนินงานต่อไปได้ เพราะ มีความเสี่ยงหลาย ๆ ตัวที่เพิ่มขึ้นมา เช่น Insurance Risk  การสำรองเงินทุนเพื่อรองรับค่าสินไหมทดแทนที่เกิดขึ้นในอนาคต เงินสำรองทดแทนหากเกิดภัยที่ร้ายแรงที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจทำให้มีเงินทุนไม่เพียงพอกับการรองรับความเสี่ยงภัยดังกล่าว

Market Risk คือ ความเสี่ยงภัยจากสินทรัพย์ที่ลงทุน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงราคาที่ถือครองตามภาวะตลาด ซึ่งอาจทำให้มีผลขาดทุนจนทำให้เงินกองทุนลดลง เหมือนเช่นไตรมาส 4 ปีที่แล้ว ทำให้บริษัทนอกตลาดบางแห่งซึ่งเป็นบริษัทที่มียอดประกันภัยรถยนต์ที่สูงมาก เงินทุนเกือบไม่พอมาแล้ว ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่สำคัญอีกตัวหนึ่ง

Credit Risk ความเสี่ยงที่บริษัทไม่สามารถเรียกชำระหนี้ได้ เช่น ไม่ได้รับชำระค่าสินไหมทดแทนรับคืนจากบริษัทประกันภัยต่อ ตรงนี้ทำให้ต้องมีการทบทวนระบบการทำประกันภัยต่อให้ดี ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งทำให้ต้องมีการสำรองความเสี่ยงตรงนี้เพิ่มเติมด้วย

Operation Risk ความเสี่ยงที่เกิดจากบุคคลากร และกระบวนการทำงานระบบ รวมทั้งเหตุการณ์ที่มีผลกระทบจากภายนอก จนทำให้เกิดความเสียหายได้

Liquidity Risk ความเสี่ยงที่บริษัทไม่สามารถชำระหนี้ เนื่องจากไม่สามารถเปลี่ยนสินทรัพย์เป็นเงินสดได้เพียงพอกับการชำระหนี้ในอนาคต ซึ่งความเสี่ยงนี้ก็ตรงกับที่คุณนักดูดาวพูดถึง โดยเฉพาะบริษัทนอกตลาดที่เกิดขึ้นมาแล้ว และนำไปสู่การปิดกิจการมาแล้วด้วย เพราะเป็นหนี้อู่ซ่อมรถจำนวนมาก ชื่อย่อ คือ ส. ครับ และเป็นข่าวเกียวกาวเมื่อปีที่ผ่านมาครับ

เอาแค่นี้คร่าว ๆ ก่อนนะครับ เสริมคุณ Miracle และ คุณนักดูดาวเพิ่มเติมครับ :lol:
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
อะไรดีละ
Verified User
โพสต์: 680
ผู้ติดตาม: 0

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์ที่ 38

โพสต์

วอเรน บัฟเฟต์  เคยบอกว่า...ลงทุนในหุ้นประกันภัย  โดยเฉพาะ เบิร์กไชร์ แฮตเตอร์เวย์  ให้ดูที่ BV ครับ

เพราะ ถ้าขายหุ้นออกมา...กำไรหรือขาดทุนก็จะ book เป็นกำไรขาดทุนในไตรมาสนั้นๆ  BV ก็จะโชว์ด้วย
แต่ถ้าไม่ขายออกมา.... กำไรหรือขาดทุนก็จะเก็บไว้ในส่วนผู้ถือหุ้น  ก็จะแสดงใน BV ด้วยเช่นกัน  

ก็ตามนั้นเลย  คือ  ไม่ใช่ดูกำไรขาดทุนแต่ละไตรมาส  แต่ดูว่า BV ของบริษัทสูงขึ้นหรือเปล่า  เทียบกับไตรมาสก่อนครับ
chaitorn
Verified User
โพสต์: 2547
ผู้ติดตาม: 0

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์ที่ 39

โพสต์

อะไรดีละ
วอเรน บัฟเฟต์  เคยบอกว่า...ลงทุนในหุ้นประกันภัย  โดยเฉพาะ เบิร์กไชร์ แฮตเตอร์เวย์  ให้ดูที่ BV ครับ

เพราะ ถ้าขายหุ้นออกมา...กำไรหรือขาดทุนก็จะ book เป็นกำไรขาดทุนในไตรมาสนั้นๆ  BV ก็จะโชว์ด้วย
แต่ถ้าไม่ขายออกมา.... กำไรหรือขาดทุนก็จะเก็บไว้ในส่วนผู้ถือหุ้น  ก็จะแสดงใน BV ด้วยเช่นกัน  

ก็ตามนั้นเลย  คือ  ไม่ใช่ดูกำไรขาดทุนแต่ละไตรมาส  แต่ดูว่า BV ของบริษัทสูงขึ้นหรือเปล่า  เทียบกับไตรมาสก่อนครับ
เห็นด้วยครับ แต่หุ้นเบริกไซต์ ที่บัฟเฟทถือ ไม่มีการจ่ายปันผล ทำให้ไม่ต้องมองกำไรเป็นรายไตรมาส หรือกำไรทั้งปีก็ได้ ดูแค่ BV

แต่หุ้นส่วนใหญ่ในตลาดนักลงทุน ในความเห็นผมเห็นว่า ส่วนใหญ่มักจะเน้นผลการดำเนินงานคือการทำกำไรและอยากให้บริษัทนำกำไรมาจ่ายปันผลด้วย จึงต้องดูกำไรขาดทุนจากงบการเงินและงบกำไรสะสมในส่วนที่ยังไม่จัดสรร คู่กับกระแสเงินสดที่เพียงพอที่จะจ่ายปันผลด้วยครับ

อยากให้นักลงทุนเข้าใจเหมือนคุณ อะไรดีละ ก็จะดีอย่างยิ่งครับ เพราะกำไรมันมาทั้งจากส่วนต่างของราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นตามผลงานในระยะยาว เอาเงินกำไรไปลงทุนต่อเนื่องขึ้นเรื่อย ๆ การจ่ายปันผลหากธุรกิจยังเติบโตได้ดีมาก ๆ กลับจะลดการเติบโตลงหรือหากจะโตต่อ ก็อาจต้องใช้แหล่งเงินทุนอื่น ๆเช่น เงินกู้ยืม หรือการเพิ่มทุน ซึ่งทำให้ ชะลอ Wealth เหมือนกัน เว้นแต่พวกที่ไม่รู้จะนำเงินลงทุนไปขยายงานต่อ ก็จ่ายปันผลมามาก ๆ ก็ดีครับ โดยเฉพาะหุ้นประเภท Cash Cow แต่ไม่ใช่ พวกหุ้น Star ซึ่งยังมี Growth สูง ๆ อยู่ครับ

ขอบคุณสำหรับความเห็นนี้ครับ

:cool:  :cool:  :cool:  :cool:
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
อะไรดีละ
Verified User
โพสต์: 680
ผู้ติดตาม: 0

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์ที่ 40

โพสต์

ยกตัวอย่าง  SMK สมัยก่อน ราคา 35 บาท  P/BV ที่ 0.7  ก็เลยน่าสนใจ
SCSMG ราคา 65  P/BV ที่ 2.5 เท่า...ผมว่ามันแพงมาก
สุดท้าย  ราคาก็สะท้อนออกมา  ตอนนี้  SMK สูงกว่า SCSMG เกือบ 3 เท่า
ตัว (69 บาท ต่อ 24 บาท)  
แต่ถามว่า SCSMG น่าสนไหม...ก็ P/BV ยังสูงกว่า 1.5 เท่าอยู่เลย  ความน่าสนใจมันก็แทบไม่มี  แถมเลิกลงทุนในหุ้นแล้วด้วย  BV ที่ควรจะเพิ่มได้เร็วก็หวังไม่ได้อีก.......

แล้ว ณ ตอนนี้  มีหุ้นประกันภัยที่น่าสนไหม ?
ก็ควรเป็น บ.ที่มีพอร์ตหุ้นอยู่เป็นสัดส่วนที่สูงพอควร  และ มี P/BV อยู่ในระดับที่ต่ำ...นั่นแหละใช่เลย

ตอนนี้ผมคิดว่า "A..."   น่าสนเพราะ บ.มีการจัดประชุมเพื่อวางแผน asset allocation กันทุกไตรมาส  เพื่อสร้างผลตอบแทนการลงทุนที่ดี   P/BV ก็ต่ำระดับ 0.7  แถมรุกด้าน bank assurance อย่างหนัก.....
ผมคิดว่างั้นนะ...  โปรดศึกษาหาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุนครับ  
:)
chaitorn
Verified User
โพสต์: 2547
ผู้ติดตาม: 0

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์ที่ 41

โพสต์

ตอนนี้ผมคิดว่า "A..."   น่าสนเพราะ บ.มีการจัดประชุมเพื่อวางแผน asset allocation กันทุกไตรมาส  เพื่อสร้างผลตอบแทนการลงทุนที่ดี   P/BV ก็ต่ำระดับ 0.7  แถมรุกด้าน bank assurance อย่างหนัก.....
ผมคิดว่างั้นนะ...  โปรดศึกษาหาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุนครับ  
ตัวนี้ น่าสนใจนะครับ เพียงแต่ผมยังไม่ค่อยแน่ใจในเรื่องการให้ความสำคัญของ Bank ที่ถือหุ้นครับ

เพราะสัดส่วนการถือหุ้นของ Bank นี้มันน้อยไปหน่อย

ประโยชน์ร่วมตรงนี้เลยไม่ชัดเจนครับ

ถ้าผมเป็น Bank ผมก็คงต้องมองผลประโยชน์สูงสุดด้วย

การที่สัดส่วนค่อนข้างน้อย ทำไป บริษัท A อาจได้ประโยชน์มากกว่า Bank ทำให้ Bank อาจสนับสนุนบ้าง แต่ก็อาจยอมให้บริษัทประกันภัยอื่น เข้าร่วมด้วยหรือไม่

ผิดกับ S นั้น สัดส่วนถือหุ้นของ Bank สูงมาก และ ยังส่งตัวแทนของธนาคารเข้าร่วมบริหารจำนวนมากอีกด้วย รวมถึง ประธานกรรมการนะครับ

แต่ A ก็น่าสนใจนะครับ เพียงแต่ผมยังติดประเด็นมุมเล็ก ๆ ตรงนี้ ทำให้การเติบโตของประกันภัยมันไม่โตเท่าที่ควรหรือไม่ครับ

เอ จะพูดถึงรวม ๆ กลายเป็นพูดหุ้นเป็นรายตัว แต่ปิดชื่อหุ้นไว้เท่านั้น 55555 :lol:
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
อะไรดีละ
Verified User
โพสต์: 680
ผู้ติดตาม: 0

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์ที่ 42

โพสต์

คุณ chaitorn ก็พูดถูกนะ
bank  สีเหลืองนะ...ขายให้หลายเจ้าเลย  AACP ก็มาขายด้วย  
สินค้าเหมือนกันเลยนะ  แล้วแต่ลูกค้าจะเลือก
แต่แบงก์สีม่วง  นี่  S  เจ้าเดียวล้วนๆ  
สุดท้ายแล้ว  ตัวตัดสินอยู่ที่ P/BV ครับ  
A ค่านี้อยู่ที 0.7  ลงทุนในหุ้นราว 20% ของพอร์ต  ดังนั้นกำไรเยอะแน่
S ค่านี้อยู่ที่ 1.5  แทบไม่ลงในหุ้นเลย BV แทบไม่โตครับ  
ถ้าให้เลือก  ผมเลือก A นะ  
แต่มีหุ้นเพชรอีกตัวหนึ่งในกลุ่มนี้ .... ขอไม่บอกนะ  รอเก็บก่อน  
:)
อะไรดีละ
Verified User
โพสต์: 680
ผู้ติดตาม: 0

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์ที่ 43

โพสต์

สำหรับหุ้นอันตรายในกลุ่มนี้ก็คือ THRE ครับ...
ผมคิดว่า  ระดับราคา P/BV ที่สูงกว่า 2.5 เท่า  ไม่สามารถจะยืนได้ในระยะยาวสำหรับหุ้นกลุ่มประกันภัยนี้  
ไม่รู้นะ...ผมอาจผิดก็ได้ครับ
Laziale
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2147
ผู้ติดตาม: 0

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์ที่ 44

โพสต์

[quote="อะไรดีละ"]คุณ chaitorn ก็พูดถูกนะ
bank
ภาพประจำตัวสมาชิก
il genio
Verified User
โพสต์: 118
ผู้ติดตาม: 0

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์ที่ 45

โพสต์

[quote="อะไรดีละ"]สำหรับหุ้นอันตรายในกลุ่มนี้ก็คือ THRE ครับ...
ผมคิดว่า
Things don't just happen. They happen just.
chaitorn
Verified User
โพสต์: 2547
ผู้ติดตาม: 0

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์ที่ 46

โพสต์

คุณ il genio Comment ได้ดีครับ

ประเด็นของ หุ้น T นั้น เท่าที่ผมดู ประสิทธิภาพการทำกำไร จาก ROA และ ROE นั้น สูงสุดในกลุ่มเลยครับ

แถมการจ่ายปันผลก็จ่ายต่อเนื่อง ปีละ 2 ครั้ง

แต่ ปีที่แล้ว พอร์ตลงทุนปรับลดลงมาพอควร การดู ROE และ ROA อย่างเดียวปีที่แล้ว อาจไม่สะท้อนความสามารถกำไรได้ทั้งหมดครับ

ส่วนที่เราต้องดูประกอบ ก็คงต้องดูเหมือนกับคุณ อะไรดีละ ด้วย คือ ต้องดูส่วนของผู้ถือหุ้น ผ่าน BV ประกอบด้วย ถ้าปีที่แล้วส่วนของเงินลงทุนไม่ปรับลดลงมาก BV จะดีกว่านี้ และจะทำให้ราคาหุ้นในขณะนี้น่าสนใจยิ่งขึ้นอีกด้วยครับ

อย่างไรก็ตาม หากดูประสิทธิภาพการทำกำไรย้อนหลัง หลาย ๆ ปีแล้ว ก็ต้องถือว่าเป็นตัวที่มีประสิทธิภาพการทำกำไรสูงที่สุดในกลุ่มประกันภัยเลยครับ ระดับอัตราส่วน ROE  20 ขึ้น และราคาก็แพงสุดในกลุ่มด้วย ดูจาก P/BV

แต่หากดูจาก มูลค่าหุ้นที่แท้จริง ผ่านกระแสเงินสดที่ทำได้แต่ละปี รวมถึงเงินปันผลที่จ่ายแต่ละปีแล้ว ราคาผมคิดว่าไม่ถูกและไม่แพงครับ เพราะด้วยความสามารถการทำกำไร และกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งนั้นเอง รวมถึง Portfolio ยังมีการกระจายความเสี่ยงอย่างดี จาก การรับประกันภัยต่อทั้งธุรกิจประกันภัย และรวมถึงประกันชีวิตอีกด้วย แถมเป็นหุ้นประกันภัยต่อตัวเดียวในตลาดหลักทรัพย์อีกด้วยครับ การเติบโตของธุรกิจเมื่อมาจากธุรกิจ 2 ด้าน ตัวไหนโตก็ได้ประโยชน์ทั้งคู่ครับ  :lol:
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
chaitorn
Verified User
โพสต์: 2547
ผู้ติดตาม: 0

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์ที่ 47

โพสต์

เอาตัวเลขหุ้น T มาให้ดูครับประกอบ ดูตัวเลขของส่วนของผู้ถือหุ้น ประกอบกับตัวเลขของ ROE ครับ

ตัวเลขทางการเงินที่สำคัญ (ณ วันที่ 18/09/09)


  30/06/09 ** 31/12/08 ** 31/12/07 ** 31/12/06 ** 31/12/05 **
สินทรัพย์ (ล้านบาท)  5,020.81 4,849.24 4,971.53 4,621.76 4,648.54
หนี้สิน (ล้านบาท)  2,758.69 2,768.13 2,475.65 2,269.52 2,288.94
ส่วนผู้ถือหุ้น (ล้านบาท) 2,241.10 2,057.96 2,474.10 2,333.87 2,354.21
ทุนที่เรียกชำระแล้ว (ล้านบาท) 1,187.36 1,187.36 1,187.36 1,187.36 1,180.25
รายได้ (ล้านบาท) 1,753.25 3,543.07 3,146.95 2,833.75 2,808.35
กำไร / ขาดทุน (ล้านบาท) 235.98 473.34 515.13 462.28 481.78
ผลกำไรต่อสินทรัพย์ (%)* 13.14 13.66 13.79 13.25 13.86
ผลกำไรต่อส่วนผู้ถือหุ้น (%)* 20.90 20.89 21.43 19.72 20.44
อัตรากำไรสุทธิ (%) 13.46 13.36 16.37 16.31 17.16
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
chaitorn
Verified User
โพสต์: 2547
ผู้ติดตาม: 0

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์ที่ 48

โพสต์

ใครที่สนใจกลุ่มประกันภัย และประกันชีวิต

ผมมีตัวเลขข้อมูลพื้นฐาน ซึ่งคงต้องไป Verify ข้อมูลอีกครั้งนะครับ หรือปรับแต่งตามความเหมาะสม

ผมได้ข้อมูลจากฐานข้อมูล Doohoon.com มาครับ แล้วมา sort ข้อมูลเฉพาะกลุ่มประกันภัย

ใครสนใจก็ลองไปต่อยอดเพิ่มเติมได้ครับ เป็นข้อมูลที่ Update ถึงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา สำหรับราคาหุ้นบางตัวไม่ปรากฏเพราะหุ้นประกันภัยนั้น ข้อเสียคือ มีสภาพคล่องน้อยมากครับ คนซื้อมักจะถือยาวไม่ยอมขายออกมาง่าย  ๆ ทำให้ราคาบางครั้งผันผวนมาก ๆ อยากได้มาก ก็ไม่ได้ครับ แต่หากดูปันผลย้อนหลังหลาย ๆ ปี บางตัวจ่ายต่อเนื่องมาหลายปีไม่เคยขาดเลยก็มี แถม P/BV ยังค่อนข้างต่ำ และบางตัวกระแสเงินสดมันล้นราคาหุ้นเลยก็คือ หมายถึง เงินสดทังหมดที่มีอยู่ก็เกิน Market Cap แล้ว ยังไม่รวม เงินลงทุนในตราสารหนี้และตราสารทุน ที่ดินอาคารและอุปกรณ์ ซึ่งใช้มาหลายปี จนค่าเสื่อมราคาจะตัดมูลค่าอาคารเกือบหมดแล้วในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เหลือเฉพาะค่าที่ดินก็มีครับ ลองไปค้นกันดูครับ เพราะเป็นทั้งหุ้น Asset Play บวก Dividend Stock รวมถึง มีความเสี่ยงขาดทุนขาลงค่อนข้างต่ำอีกด้วยครับ อย่ามองเฉพาะไตรมาสใด ไตรมาสหนึ่งเท่านั้น ต้องดูย้อนหลังหลาย ๆ ปีด้วยครับ บางตัวยังมีผลขาดทุนอยู่ ไม่สามารถจ่ายปันผลได้ ลุ่ม ๆ ดอน ๆ แม้ PE จะค่อนข้างต่ำก็ตาม เป็นหุ้นก้นบุหร๊ที่ต้องลุ้นระยะยาวก็มี บางตัวก็แข็งแกร่งมาก ๆ แต่ราคาค่อนข้างสูง บางตัวก็มีปัญหาการบริหารงานในปีที่แล้ว แต่ผลการดำเนินงานหลักยังดีอยู่ รอการฟื้นไข้ บางตัวก็กำไรขาดทุนลุ่ม ๆ ดอน ๆ แต่ราคากลับปรับตัวค่อนข้างสูง มีหลาย ๆ ประเภท ต้องไปศึกษากันเองเพิ่มเติมครับ  :lol:

Stock Sector Par value Book value
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
อะไรดีละ
Verified User
โพสต์: 680
ผู้ติดตาม: 0

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์ที่ 49

โพสต์

ผมจะบอกความจริงเรื่องของ ROE ให้ฟังนะครับ
S และ T มี่ชื่อเสียงมาก  เรื่อง ROE สูง.... แต่ความจริงก็คือ 2 บริษัทนี้พยายามอย่างมากที่จะไม่รักษากำไรในหุ้นเอาไว้ในพอร์ต  แต่จะพยายามขายเพื่อโชว์กำไรทุกไตรมาสออกมา

พอโดนหุ้นตกหนักๆ ไปหน่อย S ก็ถึงกับถอดใจ  ขายขาดทุนแหลกลาญไปทำให้งบปีที่แล้ว "แดงฉาน"  ROE  สูงแล้วเป็นไงละ ??

แต่ T ทำตรงกันข้าม  ไม่ขายออกมาเท่าไหร่  แต่เก็บเป็นขาดทุนในพอร์ตแทน  แม้หุ้นจะขึ้นมาบ้าง  ไตรมาส 2 ปีนี้ยังมีขาดทุนถึง 200 ล้าน  
ขณะที่ B นั้น แม้ ROE จะต่ำ  มีกำไรในพอร์ตถึง เกือบ 5 พันล้าน  
ดังนั้น ในระยะยาวแล้ว  T สามารถจะรักษากำไรให้เพิ่มได้หรือไม่ ?? ขายหุ้นก็ออกมาก็โชว์ขาดทุนแล้ว  
ขณะที่ B นั้น  ยังมีกำไรเหลือตั้ง 5 พันล้าน ขายตอนไหนก็โชว์กำไรไตรมาสนั้นได้เลย  

แล้วอย่างนี้  บอกว่า T มี ROE สูง  มันยอดกว่า B ตรงไหนครับ
แต่ละปีก็พยามยามจะรีด  จะโชว์กำไร  เพื่อจ่ายปันผลสูงๆ  
แค่นโยบายต่างกัน  ระหว่าง "แมลงป่อง" กับ "นาคี" เท่านั้น
"นาคีมีพิษเพี้ยงสุริโย  เลื้อยบ่ทำเดโชแช่มช้า  พิษน้อยหยิ่งโยโสแมลงป่อง  ชูแต่หางเอียงอ้าอวดอ้างฤทธี"
:)
อะไรดีละ
Verified User
โพสต์: 680
ผู้ติดตาม: 0

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์ที่ 50

โพสต์

คิดง่ายๆ ว่า  ตอนนี้ต้นไตรมาส 3 ทั้ง 2 บริษัทขายหุ้นออกครึ่งพอร์ต
T จะลงบันทึกขาดทุนเลย 100 ล้าน
ขณะที่ B จะลงบันทึกำไรเลย 2.5 พันล้าน

กำไรขาดทุนของบ.ประกัน...มันแทบไม่ได้บอกอะไรเลย
ขึ้นกับ "การขาย" หรือ "การเก็บ" ในพอร์ตเท่านั้น
ความเสียหายที่เกิดขึ้น S  โชว์ขาดทุนเต็มๆ ปีที่แล้ว  แต่ T เก็บซ่อนไว้ในพอร์ต  ไตรมาส 1 ขาดทุน 400 ล้าน  ไตรมาส 2 เหลือ 200 ล้าน
แต่ถ้าขายในไตรมาส 3  ผมเชื่อว่าเป็นการขายขาดทุนครับ  
ขณะที่ B ไม่สะเทือน เพราะ เก็บกำไรมาตลอดนานหลายสิบปี  ขายเมื่อไหร่กำไรมหาศาลครับ  
:)
ภาพประจำตัวสมาชิก
il genio
Verified User
โพสต์: 118
ผู้ติดตาม: 0

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์ที่ 51

โพสต์

ก็แล้วแต่ แต่ละคนจะมองครับ

ผมไม่ได้บอกว่า ROE เป็นปัจจัยเดียวที่ต้องดู แต่เป็นปัจจัยที่ต้องดูประกอบนอกเหนือจากการดู PBV อย่างเดียว

Argument เรื่อง ROE กับ Book Value คงวนกันไปมาเป็นงูกินหางแน่ เพราะ Book Value สูงทำให้ ROE ต่ำ

ผมจึงยืนยันว่า ดู PBV อย่างเดียวไม่ได้

ส่วนตัวผมมอง THRE กับ BKI ในเชิงคุณภาพของกำไรเปรียบเทียบกับราคา น่าจะอยู่ระดับใกล้เคียงกัน (แม้ว่า PBV และ ROE ของทั้งสองจะต่างกันมาก) เพราะแม้ BKI จะไม่ได้อยู่ในธุรกิจผูกขาดเหมือน BKI แตกำไรของ BKI มีความมั่นคงมากๆ และผลตอบแทนจากการลงทุนไม่ผันผวนเนื่องจากถือหุ้นระยะยาว ไม่ active trade
Things don't just happen. They happen just.
ภาพประจำตัวสมาชิก
il genio
Verified User
โพสต์: 118
ผู้ติดตาม: 0

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์ที่ 52

โพสต์

[quote="อะไรดีละ"]คิดง่ายๆ ว่า
Things don't just happen. They happen just.
woody
Verified User
โพสต์: 3763
ผู้ติดตาม: 0

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์ที่ 53

โพสต์

[quote="il genio"][quote="อะไรดีละ"]คิดง่ายๆ ว่า
Impossible is Nothing
miracle
Verified User
โพสต์: 18364
ผู้ติดตาม: 1

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์ที่ 54

โพสต์

เมื่อแรกเห็นกระทู้นี้กะเป็นผู้อ่านอย่างเดียว
เพราะพี่ chaitorn หาข้อมูลเชิงลึกในกลุ่มประกันภัยได้ดีคนหนึ่ง
ดีไม่ดี อาจจะดีกว่าผมที่มีข้อมูลในมือด้วยซ้ำไป
แถมหลังๆพี่ il genio ก็ช่วยเสริมทำให้ผมเองก็เบาแรงลงไปได้มาก

แต่ในเมื่อผมเปิดประเด็นอะไรก็ต้องสะสางต่อให้จบล่ะกัน

ประเด็นแรก นี้ต้องย้อนเวลากลับไปช่วงไตรมาสสี่ปีที่แล้วก่อน
ภาพรวมคือ เดือน กันยายน 2551 เป็นเดือนมหาวิปโยคของตลาดหุ้นทั่วโลก ก็ว่าได้ เริ่มตั้งแต่ Investment Bank ที่ US ล้ม (ไม่ต้องบอกชื่อว่าใคร)
ตลาดหุ้น ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ทิศทางดิ่งเลวกันหมด ยกเว้นทองคำ ที่ทรงตัวและขึ้นในตอนนั้น
ไม่มีใครทราบได้ว่า เมื่อไร ตลาดหุ้นกลับมาในสภาพเดิม อาจจะเป็น 1 ปี 2 ปี 3 ปี หรือ ไม่กี่เดือน ตอนช่วงนั้นบทวิเคราะห์ทั้งไทยและเทศออกมากระจัดกระจายกันไปไหน มีทั้งบอกว่า เหตุการณ์เป็นไปแบบช่วงครั้งช่วงคราว หรือเป็นไปในระยะนานขึ้น เป็นปี
ในเวลานั้น ไม่มีใครสามารถบอกได้ ว่ามันคือวิกฤติที่ร้ายแรงที่สุดทั้งแต่ 1930s เป็นต้นมา

ในเมื่อตลาดลงแบบนี้ หุ้นในมือ ก็ด้อยค่าไปตลอดเวลา หากไม่ทำการ Cut Loss ทิ้งไป มันก็ทำให้ส่งผลเสียต่อตัวบริษัทที่ขาดทุนมากมาย (บ้างคนในที่นี้ก็เจอมาแล้ว แถมใช้มาร์จิ้น ทำให้เกือบล้มทั้งยืนก็มีน่ะครับ)

เนี่ยคือภาพใหญ่ ผมถามว่า ในเวลานั้น คุณรู้หรือไม่ว่า มันคือวิกฤติ คุณรู้หรือไม่ว่ามันลุกลามเข้า Real Sector คุณรู้หรือไม่ว่า ระยะเวลามันนานแค่ไหน ไม่มีใครบอกได้เลย ต้องรอซักระยะหนึ่งถึงรู้ว่ามันคือ วิกฤติที่ชื่อว่า แฮมเบอร์เกอร์ แล้ว

ถามว่า บริษัทที่ขาดทุนได้รับผลดีอะไร
อย่างแรกที่ผมรู้คือ ในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง สามารถเอาส่วนขาดทุนมาตัดภาษีได้ โดยใช้กฏเกณฑ์นี้ได้ 5 รอบบัญชี เป็นการประหยัดภาษีทางหนึ่ง (ตอนนั้นเพื่อช่วยบริษัทที่มีสภาพย่ำแย่มากๆๆ)

ประเด็นแรกคงเห็นภาพอะไรดีขึ้น

ประเด็นถัดมาคือเรื่อง RBC นี้ มันคล้ายๆกองทุนขั้น 1 และ 2 ของธนาคารแต่ไม่ใช่ซักทีเดียว
ตอนนี้ยังไม่มีใครสามารถบอกได้ว่า คปภ ออกกฏระเบียบในเรื่องนี้ในทิศทางไหน แต่ตอนนี้ที่รู้คือ คปภ ให้บริษัทต่างๆส่งเอกสารมาดู เพื่อให้คปภ หาสูตรในการคำนวณ และกำหนดมาตราฐานให้เป็นไปจริงมากทีุ่สุด

โดย คปภ แบ่งบริษัทเป็นสามกลุ่ม คือ
1. บริษัทขนาดเล็ก
2. บริษัทขนาดกลาง
และ 3 บริษัทขนาดใหญ่
ทำไมต้องแบ่งเป็นสามกลุ่ม อันนี้ไม่สามารถตอบได้ ต้องไปถาม คปภ หรือ คนคิดเอาเองล่ะครับ

ประเด็นต่อมา เรื่องของ Thre (ขอยกชื่อเลยล่ะกัน เพราะมันมีตัวเดียวในอุตสาหกรรมนี้) ตอนหลังๆมันเริ่มทำ ประกันชีวิตต่อ จุดนี้คือเป็นจุดเปลี่ยนแปลงของตัวนี้จุดหนึ่งเลย เพราะว่า ประกันชีวิตต่อ ในเมืองไทยนั้น ไม่ค่อยมีใครทำกันเท่าไร ส่วนใหญ่ส่งออกต่างประเทศ Thre เห็นโอกาสเลยจัดตั้งบริษัทลูกขึ้นมารับประกันชีวิตต่อเลย เพื่อไม่ให้เงินไหลออกนอกประเทศ ตามวัตถุของบริษัทที่ตั้งไว้
ส่วนเรื่องดู P/BV หรือ ดู ROE หรือ PE อันนี้แล้วแต่ถัดล่ะกัน
แต่ผมดูตัวธุรกิจก่อนว่าเจอตออะไรบ้างไหม หรือ โตจากอะไร

ถ้าใครมีบทวิเคราะห์หุ้น BLA ในเมื่อตอนนี้ สังเกตว่า AACP เมื่อก่อนอยู่ในอันดับ 2-3 เมื่อประมาณ 3-4 ปีที่แล้ว เบียดกับ ไทยประกันชีวิตอยู่ แต่ตอนนี้เริ่มอยู่อันดับ 6-7 แล้ว ผมไม่ทราบว่า AACP เกิดออะไรขึ้นหรือเปล่า โฆษณาก็ไม่ค่อยเห็นเหมือนแต่ก่อนด้วย จุดนี้น่าสนใจ
คนที่ยิงโฆษณาบ่อยในกลุ่มนี้คือ AIA (ก็เจอปัญหา AIG ที่ US ส่งผลต่อที่นี้ด้วย แต่เขาแก้ไขช้าไปหน่อย ก็เลยตอนนี้ก็ทำภาพลักษณ์ใหม่) กับ เมืองไทยประกันชีวิต (เห็นบ่อยคือ Smile Club นั้นเอง)

ใครอ่านคงรู้ว่านี้คือการให้ข้อมูลเพิ่มเติมล่ะกัน
ไม่ได้เถียงกันหน้าดำคร่ำเครียดกับเรื่องพวกนี้
มีเรื่องอีกอีกถมเถที่ทำให้เกิดเสียงหัวเราะ เพื่อให้ชีวิตมีความสุข
:)
:)
ภาพประจำตัวสมาชิก
il genio
Verified User
โพสต์: 118
ผู้ติดตาม: 0

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์ที่ 55

โพสต์

[quote="woody"]

มันคงต้องดูโอกาสในการเติบโตของมูลค่าพอร์ตโฟลิโอด้วยหรือเปล่าครับ
Things don't just happen. They happen just.
ภาพประจำตัวสมาชิก
il genio
Verified User
โพสต์: 118
ผู้ติดตาม: 0

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์ที่ 56

โพสต์

ทักทายพี่มิ ผมตั้งใจจะเข้ามาแสดงความเห็นเล็กน้อยเท่านั้นนะครับ เพราะช่วงหลังงานหนักมากและไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร  :D
Things don't just happen. They happen just.
woody
Verified User
โพสต์: 3763
ผู้ติดตาม: 0

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์ที่ 57

โพสต์

miracle เขียน:
ถ้าใครมีบทวิเคราะห์หุ้น BLA ในเมื่อตอนนี้ สังเกตว่า AACP เมื่อก่อนอยู่ในอันดับ 2-3 เมื่อประมาณ 3-4 ปีที่แล้ว เบียดกับ ไทยประกันชีวิตอยู่ แต่ตอนนี้เริ่มอยู่อันดับ 6-7 แล้ว ผมไม่ทราบว่า AACP เกิดออะไรขึ้นหรือเปล่า โฆษณาก็ไม่ค่อยเห็นเหมือนแต่ก่อนด้วย จุดนี้น่าสนใจ

:)
จำได้ว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งผู้บริหารที่เป็นฝรั่งเข้ามา มีประเด็นกับระดับ top ของทีมฝ่ายขายที่เป็นฝั่งคนไทยครับ  

ทั้งนี้เคยได้ยินมาว่ามีเรื่องน่าตื่นเต้นภายในบริษัทนี้จากเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยแต่ขออนุญาตไป confirm กับแหล่งข่าวอีกครั้งนึงก่อนแล้วกันครับ กลัวว่าจะให้ข้อมูลผิดพลาด

http://www.gotomanager.com/news/details.aspx?id=48093
Impossible is Nothing
chaitorn
Verified User
โพสต์: 2547
ผู้ติดตาม: 0

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์ที่ 58

โพสต์

คุณ Miracle
มีเรื่องอีกอีกถมเถที่ทำให้เกิดเสียงหัวเราะ เพื่อให้ชีวิตมีความสุข
แบบนี้เขาเรียกว่า ความสุขของกะทิ หรือไม่ครับ  :lol:

ประเด็นที่ถกกัน ผมได้ความรู้ขึ้นอีกมากเลยครับ

เรื่องใหม่ที่ทราบ การจัดกลุ่มนี้ อึม จัดอย้างไร น่าสนใจครับ จัดแล้วจะทำให้เกิดดการได้เปรียบเสียเปรียบของแต่ละกลุ่มอย่างไร เป็นประเด็นที่รอคำตอบด้วยครับ

ผมลองไปค้นข้อมูลเพิ่มเติมเรื่อง RBC นะครับ

ต่อไปบริษัทประกันภัย จะต้องมีการคำนวณความเพียงพอของเงินกองทุน หรือที่เราเรียกว่า Capital Adequacy Ratio : CAR คล้ายกับธนาคารพาณิชย์

สูตรคือ Total Capital Availabel (TCA) ประกอบด้วย Tier 1 Capital บวก กับ Tier 2 Capital หารด้วย Insurance risk capital charge บวก Credit risk Capital charge บวก Market risk capital charge

โดยสัดส่วนดังกล่าว จะต้องสูงกว่าหรือเท่ากับ Regulatory control level

โดยความหมายของ TCA หมายถึง เงินกองทุนที่บริษัทถืออยู่ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขซึ่งนายทะเบียนกำหนด

TCR คือ เงินกองทุนที่บริษัทพึงต้องดำรงไว้เพื่อรองรับ Insurance risk market risk และ credit risk

สัดส่วนนี้ มี Bechmark กับ ประเทศเพื่อนบ้าน คือ สิงคโปร์กำหนด regulatory control level อยู่ที่ ร้อยละ

120 มาเลเซีย อยู่ที่ร้อยละ 130

ของเมืองไทย ตามหลักเกณฑ์เดิมไม่ต่ำกว่า 100 แต่คปภ. จะเริ่มเข้ามาดูแลเมื่อต่ำกว่า 150 ตามที่ปรากฏตามข่าว โดยจะเสนอให้บริษัทปรับปรุงเงินกองทุนหากต่ำกว่าระดับ 150 ไม่รอจนถึงต่ำกว่า ร้อยละ 100

และตรงระดับเดิม ยังใช้มาตรฐานเดิมอยู่นะครับ ยังไม่ใช้เต็มขั้น

โดยการคำนวณเงินกองทุน

ด้านการรับประกันภัย มาจากสูตร premium liablilities คูณ Standard risk charge( Claim liablities คูณ standdard risk charge)

ด้านการตลาด มาจาก Market exposure คูณ Standard risk chaage

ด้านเครดิต มาจาก Exposure to counterparty คูณ Standard risk charge

การเปลี่ยนแปลงกฏเกณฑ์ดังกล่าว จะทำให้ การดำรงกองทุนแบบเดิมคือ ปัจจุบัน ไม่น้อยกว่า 10% ของ Net premium และไม่น้อยกว่า 30 ล้านบาท

ตาม RBC Framework ใหม่ ต้องคำนวณเงินกองทุนใหม่ตามความเสี่ยงแต่ละด้าน โดยใช้อัตราความเสี่ยงมาตรฐานที่จะประกาศให้ทราบ เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการคำนวณใหม่ ทั้งด้านกองทุน และ Capital Charge ตามความเสี่ยงตามสูตรที่กำหนด

ด้านการประเมินสินทรัพย์เพื่อใช้กำหนดเป็นเงินกองทุนนั้น จากเดิม ใช้ราคามูลค่าทางบัญชี หรือ ราคาตลาด จะเปลี่ยนเป็น ราคาตลาด หรือมูลค่าราคายุติธรรม ซึ่งได้เริ่ม Apply ใช้แล้ว

ด้านหนี้สิน จากเดิม กำหนดวิธีการตายตัว เช่น

เบี้ยประกันภัยในส่วนที่ยังไม่สามารถรับรู้รายได้

UPR คิด 1/24  IBNR คิด 2.5% of net premium

กฏเกณฑ์ใหม่ จะคำนวณตามประสบการณ์ของบริษัท โดยคำนึงถึง Best estimate basis บวก การสำรองเพิ่มเติม ซึ่งต้องดูข้อมูลของ PAD (the prescribed provision of Adverse deviation)

โดย Pad ได้มีการศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างหลาย ๆ กลุ่ม และได้กำหนดเป็นแนวทางให้ประกันภัยแต่ละแห่งได้ใช้เป็นแนวทางในการตั้งสำรองเพิ่ม

ตัวอย่างของ ที่ Pad ให้ข้อเสนอในการตั้งสำรอง Capital charge ตามความเสี่ยงได้แก่

Voluntory Motors ให้ตั้งเพิ่ม ร้อยละ 12

Compulsory Motors ให้ตั้งเพิ่ม ร้อยละ 23
Health PA nonlife PA life และ TA ให้ตั้งเพิ่มร้อยละ 23

Fire
Industrail all risks
Cargo
Other property
Engineering
Liability
other

กลุ่มนี้ทั้งหมด PAD เสนอให้ตั้งเพิ่ม ร้อยละ 30

และ กลุ่ม Financial Hull Aviation เสนอให้ตั้งเพิ่ม ร้อยละ 36

ดังนั้น เรื่อง Capital Charge ตามระดับความเสี่ยงในอนาคตจะเป็นเรื่องที่สำคัญ จากแต่เดิม ตั้งตามจำนวนเงินค่าเบี้ยประกันรับเพียงอย่างเดียว ที่เปลี่ยนไปดูตามระดับความเสี่ยงของประเภทประกันภัยด้วย ความเสี่ยงสูง ๆ ก็ต้องตั้งสำรองสูงขึ้น ความเสี่ยงต่ำกว่าก็ตั้งสำรองน้อยกว่า

ใครแข่งขันลดราคามาก ๆ แต่ต้องตั้งสำรองมาก สุดท้ายจะอยู่ไม่ได้ครับ

จึงต้องคำนึงถึงคุณภาพการรับประกันภัยซึ่งสะท้อนถึงความเสี่ยง และการเติบโตซึ่งต้องดูเงินกองทุนให้เพียงพออีกด้วยครับ

ผมคาดว่า การแข่งขันตัดราคาจะเริ่มลดลงตามลำดับ เมื่อมีการ Apply กฏเกณฑ์ที่เข้มขันขึ้น

ดังนั้น อย่าดูแต่กำไรอย่างเดียว ต้องดูความเสี่ยงของเงินกองทุนให้ Balance กันด้วย

เพราะบางบริษัทอาจยังทำกำไรได้ดี แต่กองทุนไม่พอ ก็อาจมีปัญหาได้ครับ :lol:

เติมประเด็นที่คุณ Miracle อยากให้ความรู้เหล่านี้กับเพื่อน ๆ ที่สนใจกลุ่มประกันภัยครับ

เป็นความสุขของกะทิ ในการหาข้อมูลนะครับ 5555

เป็นมุมหนึ่งนะครับ ลองศึกษาเพิ่มเติมกัน และให้อ่านหมายเหตุประกอบงบการเงินเพิ่ม จะเห็นการ Apply กฏเกณฑ์ที่ คปภ. ให้ Dateline ค่อย ๆ ปรับปรุงตาม Frame ดังกล่าวบ้างแล้วครับ
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
อะไรดีละ
Verified User
โพสต์: 680
ผู้ติดตาม: 0

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์ที่ 59

โพสต์

ผมเข้ามาแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่จะบอกว่า
กำไรแต่ละปีแต่ละไตรมาส  หรือ  ROE   มีความสำคัญน้อย  ไม่ได้บอกผลประกอบการที่ดีขึ้นหรือเลวลงสำหรับธุรกิจนี้

ยกตัวอยาง...เช่น กรณีของปีก่อน
S ตัดสินใจขายหุ้นขาดทุนออกมา.... ROE ติดลบ  ขาดทุนแหลกลาญกว่า 300 ล้าน  แต่หุ้นในพอร์ตแทบไม่เหลือขาดทุน  อนาคตไม่มีตัวถ่วง
T ตัดสินใจเก็บหุ้นขาดทุนไว้ ..... ROE 20%  กำไรดีอยู่ แต่หุ้นขาดทุนในพอร์ตมหาศาล  อนาคตอาจมีตัวถ่วงจากการขายขาดทุนหุ้น
ทั้งๆที่สถานการณ์เลวร้ายพอๆ กัน   แต่ประกาศผลกำไรแตกต่างกันราวฟ้าดิน   ก็แค่คนหนึ่งยอมโชว์ตัวแดง  อีกคนเก็บไว้ในพอร์ตเท่านั้นเอง  

แต่ถ้าเรามาดูที่ BV ก็จะพบว่า...ก็จะเห็นว่ามันลงอย่างหนักทั้งคู่นั่นละ
ดังนั้น BV น่าจะเป็นตัวบอกที่ดีกว่า  สำหรับธุรกิจประกัน  สมดังที่บัฟเฟต์ว่าไว้จริงๆ นั่นละครับ   :)
อะไรดีละ
Verified User
โพสต์: 680
ผู้ติดตาม: 0

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์ที่ 60

โพสต์

ณ ปลายปี 2008  ดูงบ

BV ของ S ปีที่แล้ว  หายไปกว่า 500  ล้าน  แต่ในพอร์ตขาดทุนเพียง 70 ล้าน

BV ของ T หายไปราว 400 ล้าน....ในพอร์ตยังเหลือขาดทุน 364 ล้าน

เสียหายหนักทั้งคู่ครับ    แต่ตัวหนึ่งโชว์ขาดทุน...อีกตัวซ่อนไว้ในพอร์ต

แล้วของ B ละ  BV หายไปถึง 4.5 พันล้าน หนักกว่าอีกนะ...
แต่ในพอร์ตยังคงมีกำไร 2.9 พันล้าน...ดังนั้น ไม่มีตัวถ่วงจากการขายขาดทุนในอนาคต....ผมคิดในแนวนั้นครับ