มีใครได้เคยอ่านแนวคิดเกี่ยวกับ Peak oil บ้างครับ
- Minesweeper
- Verified User
- โพสต์: 472
- ผู้ติดตาม: 0
มีใครได้เคยอ่านแนวคิดเกี่ยวกับ Peak oil บ้างครับ
โพสต์ที่ 1
ผมเพิ่งได้อ่านเรื่องเกี่ยวกับ peak oil เป็นครั้งแรก เมื่อไม่กี่วันนี้เอง
อ่านแล้วรู้สึกหดหู่ แบบบอกไม่ถูกเลย โดยเฉพาะแนวคิดประเภท de-population
พยายามที่จะแยกแยะ หาข้อเท็จจริง หาจุดแย้ง แต่ว่ามันเศร้าจนคิดไม่ออก
ใครที่ได้อ่านแล้ว อยากให้ลองวิเคราะห์ วิจารณ์หน่อยน่ะครับ
เผื่อผมจะได้มี กะจิตกะใจทำงาน รู้สึกดีขึ้นบ้าง
ปล. ใครยังไม่ได้อ่าน ก็ไม่แนะนำให้อ่านนะครับ ยกเว้นคุณจะใจแข็งจริงๆ
อ่านแล้วรู้สึกหดหู่ แบบบอกไม่ถูกเลย โดยเฉพาะแนวคิดประเภท de-population
พยายามที่จะแยกแยะ หาข้อเท็จจริง หาจุดแย้ง แต่ว่ามันเศร้าจนคิดไม่ออก
ใครที่ได้อ่านแล้ว อยากให้ลองวิเคราะห์ วิจารณ์หน่อยน่ะครับ
เผื่อผมจะได้มี กะจิตกะใจทำงาน รู้สึกดีขึ้นบ้าง
ปล. ใครยังไม่ได้อ่าน ก็ไม่แนะนำให้อ่านนะครับ ยกเว้นคุณจะใจแข็งจริงๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 2326
- ผู้ติดตาม: 0
มีใครได้เคยอ่านแนวคิดเกี่ยวกับ Peak oil บ้างครับ
โพสต์ที่ 3
ยังไม่ได้อ่าน แต่อ่านบทความเกี่ยวกับผลกระทบในอนาคตครับ
ผมลองนึกดูเกี่ยวกับเหตุการณ์ในลักษณะคล้ายกัน ( จำลองอารมณ์ความกลัว )
เลยพอนึกออก เหตุการณ์ที่ร้ายแรง 11 กย. ตึกเวิร์คเทรดถล่มจากการก่อการร้าย ช่วงนั้นผมยังจำได้ นักวิเคราะห์ออกมาพูดแย่ๆกัน ประกอบกับภาพเหตุการผู้เสียชีวิต เครื่องบินชนเพนตากอน และร่วงอีก 1 ลำก่อนชนทำเนียบขาว หลายกระแสออกมาให้ความคิดเห็น เศษรฐกิจโลกจะถดถอย มีแต่ภัยสงคราม
ผมเชื่อว่าใครอยู่ในตลาดทุนคงคุมขมับ ใจคงห่อเหี่ยว แล้วเหตุการณ์ผ่านมา มีสงครามเกิดขึ้นจริง มีภัยก่อการร้ายจริง
แต่เศษรฐกิจไม่ได้ถดถอย ร้ายแรง อย่างที่วิเคราะห์กัน
เศษรฐกิจมีขึ้น-มีลง หุ้นมีขึ้น-มีลง คงต้องมองแบบทางธรรมครับ ว่าทุกอย่างเป็นไตรลักษณ์ ไม่เที่ยง มีเปลี่ยนแปลงได้
น้ำมันขึ้นราคา มองในแง่ดีก็จะมีผู้คิดค้น พลังงานทดแทนแบบใหม่
ผมลองนึกดูเกี่ยวกับเหตุการณ์ในลักษณะคล้ายกัน ( จำลองอารมณ์ความกลัว )
เลยพอนึกออก เหตุการณ์ที่ร้ายแรง 11 กย. ตึกเวิร์คเทรดถล่มจากการก่อการร้าย ช่วงนั้นผมยังจำได้ นักวิเคราะห์ออกมาพูดแย่ๆกัน ประกอบกับภาพเหตุการผู้เสียชีวิต เครื่องบินชนเพนตากอน และร่วงอีก 1 ลำก่อนชนทำเนียบขาว หลายกระแสออกมาให้ความคิดเห็น เศษรฐกิจโลกจะถดถอย มีแต่ภัยสงคราม
ผมเชื่อว่าใครอยู่ในตลาดทุนคงคุมขมับ ใจคงห่อเหี่ยว แล้วเหตุการณ์ผ่านมา มีสงครามเกิดขึ้นจริง มีภัยก่อการร้ายจริง
แต่เศษรฐกิจไม่ได้ถดถอย ร้ายแรง อย่างที่วิเคราะห์กัน
เศษรฐกิจมีขึ้น-มีลง หุ้นมีขึ้น-มีลง คงต้องมองแบบทางธรรมครับ ว่าทุกอย่างเป็นไตรลักษณ์ ไม่เที่ยง มีเปลี่ยนแปลงได้
น้ำมันขึ้นราคา มองในแง่ดีก็จะมีผู้คิดค้น พลังงานทดแทนแบบใหม่
งด เลิก เสพ สุรา บุหรี่ วันนี้ เพื่อชีวิตที่ดีของท่าน
- ครรชิต ไพศาล
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 4637
- ผู้ติดตาม: 1
มีใครได้เคยอ่านแนวคิดเกี่ยวกับ Peak oil บ้างครับ
โพสต์ที่ 4
เขาคิด เอา กล้อย อ้อย มัน ผลไม้ ขายไม่ออกมาทำ เอทเทอร์นอร ใช้ในรถยนต์แล้ว
เขาคิดเอานำ้มันพืช มาทำ ไบโอดีเซล ใช้ในรถยนต์แล้ว
เขาคิดเอา ขี้หมู ขี้ไก่ มาหมักให้เกิดก๊าซ มาทำเชื้อเพลิงป้อนโรงงานไฟฟ้าในฟาร์มแล้ว
ทำไมไม่ทำให้มากๆเพื่อนำมา เพื่อใช้ในพาหนะรถยนต์ บ้าง :lol: :lol:
เขาคิดเอา แกลบข้าว มาทำเชื้อเพลิงป้อนโรงงานไฟฟ้าแล้ว
ยังไม่มีใครคิด เอาแกลบที่มีมากๆในประเทศไทย รวมทั้งซังข้าว,ซังข้าวโพด ฯ
มาผ่านกรรมวิธีเคมีเหมือนโรงกลั่นน้ำมัน
มาทำให้ แกลบกลายเชื้อเพลิงเหลวหรือก๊าซ เพื่อใช้ในพาหนะรถยนต์ บ้าง :lol: :lol:
ถ้าทำได้น่าจะดีนะ :lol: :lol:
เขาคิดเอานำ้มันพืช มาทำ ไบโอดีเซล ใช้ในรถยนต์แล้ว
เขาคิดเอา ขี้หมู ขี้ไก่ มาหมักให้เกิดก๊าซ มาทำเชื้อเพลิงป้อนโรงงานไฟฟ้าในฟาร์มแล้ว
ทำไมไม่ทำให้มากๆเพื่อนำมา เพื่อใช้ในพาหนะรถยนต์ บ้าง :lol: :lol:
เขาคิดเอา แกลบข้าว มาทำเชื้อเพลิงป้อนโรงงานไฟฟ้าแล้ว
ยังไม่มีใครคิด เอาแกลบที่มีมากๆในประเทศไทย รวมทั้งซังข้าว,ซังข้าวโพด ฯ
มาผ่านกรรมวิธีเคมีเหมือนโรงกลั่นน้ำมัน
มาทำให้ แกลบกลายเชื้อเพลิงเหลวหรือก๊าซ เพื่อใช้ในพาหนะรถยนต์ บ้าง :lol: :lol:
ถ้าทำได้น่าจะดีนะ :lol: :lol:
ความสุขอื่น ยิ่งกว่าความสงบใจไม่มี นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ
หัดเล่น Facebook กะเขาบ้างแล้วนะครับ ใช้ชื่อ Kanchit Paisan ครับ
Facebook เพจ Eps16year Settrade Set ตลาดหลักทรัพย์ งบดุล ปันผล อัตราส่วนการเงิน กราฟ
Google เพจ kanchitpaisan
Google+ KANCHIT PAISAN
หัดเล่น Facebook กะเขาบ้างแล้วนะครับ ใช้ชื่อ Kanchit Paisan ครับ
Facebook เพจ Eps16year Settrade Set ตลาดหลักทรัพย์ งบดุล ปันผล อัตราส่วนการเงิน กราฟ
Google เพจ kanchitpaisan
Google+ KANCHIT PAISAN
- Minesweeper
- Verified User
- โพสต์: 472
- ผู้ติดตาม: 0
มีใครได้เคยอ่านแนวคิดเกี่ยวกับ Peak oil บ้างครับ
โพสต์ที่ 5
ก็พอทำใจได้บ้างแล้วครับ ...
แต่ยอมรับว่า ความคิดหลายๆ อย่าง เปลี่ยนไปมากครับ
เรื่องพลังงานทดแทน ผมก็คิดแย้งไว้บ้างเหมือนกันครับตอนที่อ่าน แต่ว่าคนเขียนเขาเขียนดักประเด็นได้หมดเลย เขาบอกว่าพลังงานทดแทนที่ไม่ได้มาจาก fossil fuel ไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้พอเพียงกับความต้องการที่เกิดจากเศรษฐกิจที่โตขึ้นเรื่อยๆ ได้ทัน
ถ้าสนใจรายละเอียดก็ Search จาก google ก็ได้ครับ ผมไม่อยากจะแนะนำ link โดยตรงเพราะมันค่อนข้างแรงเกินไป และ ผมก็ยังไม่ถึงกับเชื่อทั้งหมด
แต่แค่เชื่อบางส่วนก็ทำให้ความคิด อะไรๆ มันเปลี่ยนไปแล้วครับ
8)
แต่ยอมรับว่า ความคิดหลายๆ อย่าง เปลี่ยนไปมากครับ
เรื่องพลังงานทดแทน ผมก็คิดแย้งไว้บ้างเหมือนกันครับตอนที่อ่าน แต่ว่าคนเขียนเขาเขียนดักประเด็นได้หมดเลย เขาบอกว่าพลังงานทดแทนที่ไม่ได้มาจาก fossil fuel ไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้พอเพียงกับความต้องการที่เกิดจากเศรษฐกิจที่โตขึ้นเรื่อยๆ ได้ทัน
ถ้าสนใจรายละเอียดก็ Search จาก google ก็ได้ครับ ผมไม่อยากจะแนะนำ link โดยตรงเพราะมันค่อนข้างแรงเกินไป และ ผมก็ยังไม่ถึงกับเชื่อทั้งหมด
แต่แค่เชื่อบางส่วนก็ทำให้ความคิด อะไรๆ มันเปลี่ยนไปแล้วครับ
8)
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 9795
- ผู้ติดตาม: 0
มีใครได้เคยอ่านแนวคิดเกี่ยวกับ Peak oil บ้างครับ
โพสต์ที่ 6
ทุกครั้งที่เกิดวิกฤตน้ำมัน (ราคาแพงมโหฬาร) เรื่อง peak oil ก็จะถูกนำ
มาวิจารณ์อย่างกว้างขวาง
แต่ผมไม่คิดว่าเราเข้าสู่ช่วง peak oil แล้วครับ และจริงๆ แล้ว
reserve ของ fossil fuel ที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็ยังไม่ได้มีการ
พัฒนาเพื่อนำมาใช้อย่างจริงๆ จังๆ
oil sands ที่ Canada อาจจะเป็นคำตอบสำหรับ Peak Oil ครับ เมื่อถึง
จุดๆ หนึ่ง research เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสกัด sweet crude oil
จาก bitumen ใน oil sands ก็น่าจะเกิดขึ้น
ซึ่งถ้าทำใด้มีประสิทธิภาพเพียงพอ เราจะมีน้ำมันดิบให้ผลาญอีก
ราวๆ 1.6 ล้านล้านบาร์เรล
ที่ผมว่าน่าห่วงกว่าคือ pollution จากการผลาญ fossil fuel
มาวิจารณ์อย่างกว้างขวาง
แต่ผมไม่คิดว่าเราเข้าสู่ช่วง peak oil แล้วครับ และจริงๆ แล้ว
reserve ของ fossil fuel ที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็ยังไม่ได้มีการ
พัฒนาเพื่อนำมาใช้อย่างจริงๆ จังๆ
oil sands ที่ Canada อาจจะเป็นคำตอบสำหรับ Peak Oil ครับ เมื่อถึง
จุดๆ หนึ่ง research เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสกัด sweet crude oil
จาก bitumen ใน oil sands ก็น่าจะเกิดขึ้น
ซึ่งถ้าทำใด้มีประสิทธิภาพเพียงพอ เราจะมีน้ำมันดิบให้ผลาญอีก
ราวๆ 1.6 ล้านล้านบาร์เรล
ที่ผมว่าน่าห่วงกว่าคือ pollution จากการผลาญ fossil fuel
- คัดท้าย
- Verified User
- โพสต์: 2917
- ผู้ติดตาม: 0
มีใครได้เคยอ่านแนวคิดเกี่ยวกับ Peak oil บ้างครับ
โพสต์ที่ 7
The crowd, the world, and sometimes even the grave, step aside for the man who knows where he's going, but pushes the aimless drifter aside. -- Ancient Roman Saying
- Mon money
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 3134
- ผู้ติดตาม: 0
มีใครได้เคยอ่านแนวคิดเกี่ยวกับ Peak oil บ้างครับ
โพสต์ที่ 8
บ้านผมที่มีนบุรีไฟดับบ่อยมากครับ ผมจึงเกิดความคิดว่าผมจะรวบรวมน้ำมันพืชที่ใช้แล้วตามบ้านมากรองแล้วใช้ในเครื่องยนต์ปั่นไฟใช้เองครับ คือไม่ได้คิดเล่นๆนะครับ เอาจริงๆ คือผมเรียนจบช่างยนต์มาครับ
เป็นบุญหนักหนาเหลือเกินที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย เป็นคนไทยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ
- Minesweeper
- Verified User
- โพสต์: 472
- ผู้ติดตาม: 0
มีใครได้เคยอ่านแนวคิดเกี่ยวกับ Peak oil บ้างครับ
โพสต์ที่ 9
ตัวเลข 1.6 ล้านล้าน มาจากไหนครับ ผมจะตามไปอ่านCK เขียน: ซึ่งถ้าทำใด้มีประสิทธิภาพเพียงพอ เราจะมีน้ำมันดิบให้ผลาญอีก
ราวๆ 1.6 ล้านล้านบาร์เรล
ชักรู้สึกมีความหวัง ... :lol:
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 9795
- ผู้ติดตาม: 0
มีใครได้เคยอ่านแนวคิดเกี่ยวกับ Peak oil บ้างครับ
โพสต์ที่ 10
แค่หลุมเดียวนะครับ ที่ว่า 1.6 ล้านล้าน
http://ffden-2.phys.uaf.edu/102spring20 ... /M.Sexton/
เทคโนโลยีตอนนี้สกัดออกมาได้แค่ 3 แสนกว่าล้านบาร์เรลครับ
แต่หลุมทั้งหมด คาดว่ามีประมาณ 6 ล้านล้าน
http://www.wired.com/wired/archive/12.07/oil.html
http://ffden-2.phys.uaf.edu/102spring20 ... /M.Sexton/
เทคโนโลยีตอนนี้สกัดออกมาได้แค่ 3 แสนกว่าล้านบาร์เรลครับ
แต่หลุมทั้งหมด คาดว่ามีประมาณ 6 ล้านล้าน
http://www.wired.com/wired/archive/12.07/oil.html
- Minesweeper
- Verified User
- โพสต์: 472
- ผู้ติดตาม: 0
มีใครได้เคยอ่านแนวคิดเกี่ยวกับ Peak oil บ้างครับ
โพสต์ที่ 11
ขอบคุณครับ
สงสัยอันที่ผมไปอ่านตอนแรกมัน biased ไปเยอะมาก เลยทำให้รู้สึกแย่
คงต้องดูข้อมูลกัน เยอะๆ หลายๆ ด้านครับ
สงสัยอันที่ผมไปอ่านตอนแรกมัน biased ไปเยอะมาก เลยทำให้รู้สึกแย่
คงต้องดูข้อมูลกัน เยอะๆ หลายๆ ด้านครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2326
- ผู้ติดตาม: 0
มีใครได้เคยอ่านแนวคิดเกี่ยวกับ Peak oil บ้างครับ
โพสต์ที่ 13
บทความดีๆ เรื่องพลังงานทดแทนครับ
เชื้อเพลิงทดแทนที่กำลังปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้าของโลกก็คือ "เชื้อเพลิงอัด" (Fuel Cell)
เชื้อเพลิงชนิดนี้ยังเป็นความลับอยู่ตามห้องทดลองต่างๆ ของประเทศที่ก้าวหน้าทางอุตสาหกรรม ถ้าทำสำเร็จจะเป็นความหวังที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ เชื้อเพลิงอัดนี้ หมายถึง เครื่องมือพิเศษทางเคมีไฟฟ้าซึ่งสามารถเปลี่ยนพลังงานจากไฮโดรเจนและออกซิเจนให้เป็นพลังงานไฟฟ้า หรือพลังงานความร้อนโดยไม่มีการจุดระเบิด เขาว่าเครื่องนี้จะมีประสิทธิภาพสูงกว่าเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันปิโตรเลียม ในระยะนี้เชื้อเพลิงประเภทนี้ยังเป็นเรื่องลี้ลับซับซ้อนเกินกว่าที่ชาวบ้านอย่างเราๆ จะเข้าใจได้ ดูประหนึ่งจะเป็นเรื่องนิยายทางวิทยาศาสตร์ แต่ข่าวจากห้องทดลองต่างๆ นั้น เราน่าจะเห็นยานพาหนะที่ใช้เครื่อง Fuel Cell ออกมาวิ่งตามท้องถนนก่อนที่น้ำมันจะหมดไปจากโลก
ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้คือ เรื่องเกี่ยวกับเชื้อเพลิงทดแทนที่เราจำเป็นจะต้องสนใจติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของเราทุกคน
ใครพอทราบเกี่ยวกับ fuel cell บ้างครับ
เชื้อเพลิงทดแทนที่กำลังปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้าของโลกก็คือ "เชื้อเพลิงอัด" (Fuel Cell)
เชื้อเพลิงชนิดนี้ยังเป็นความลับอยู่ตามห้องทดลองต่างๆ ของประเทศที่ก้าวหน้าทางอุตสาหกรรม ถ้าทำสำเร็จจะเป็นความหวังที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ เชื้อเพลิงอัดนี้ หมายถึง เครื่องมือพิเศษทางเคมีไฟฟ้าซึ่งสามารถเปลี่ยนพลังงานจากไฮโดรเจนและออกซิเจนให้เป็นพลังงานไฟฟ้า หรือพลังงานความร้อนโดยไม่มีการจุดระเบิด เขาว่าเครื่องนี้จะมีประสิทธิภาพสูงกว่าเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันปิโตรเลียม ในระยะนี้เชื้อเพลิงประเภทนี้ยังเป็นเรื่องลี้ลับซับซ้อนเกินกว่าที่ชาวบ้านอย่างเราๆ จะเข้าใจได้ ดูประหนึ่งจะเป็นเรื่องนิยายทางวิทยาศาสตร์ แต่ข่าวจากห้องทดลองต่างๆ นั้น เราน่าจะเห็นยานพาหนะที่ใช้เครื่อง Fuel Cell ออกมาวิ่งตามท้องถนนก่อนที่น้ำมันจะหมดไปจากโลก
ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้คือ เรื่องเกี่ยวกับเชื้อเพลิงทดแทนที่เราจำเป็นจะต้องสนใจติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของเราทุกคน
ใครพอทราบเกี่ยวกับ fuel cell บ้างครับ
งด เลิก เสพ สุรา บุหรี่ วันนี้ เพื่อชีวิตที่ดีของท่าน
-
- Verified User
- โพสต์: 2326
- ผู้ติดตาม: 0
มีใครได้เคยอ่านแนวคิดเกี่ยวกับ Peak oil บ้างครับ
โพสต์ที่ 14
เมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว ประเทศผู้ผลิตน้ำมันโอเปคได้เคยประเมินสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบไว้ว่า ถ้าตราบใดที่ราคาน้ำมันดิบอยู่ระหว่าง 22 ถึง 28 เหรียญต่อบาร์เรล จะเป็นราคาที่เหมาะสม เพราะถ้าน้ำมันดิบราคาต่ำกว่า 22 เหรียญต่อบาร์เรลแล้ว ราคาน้ำมันจะถูกเกินไป และจะมีการใช้ขยายตัวอย่างฟุ่มเฟือย แต่ถ้าเมื่อใดที่ราคาน้ำมันดิบทรงตัวสูงกว่า 30 เหรียญอยู่นานๆ แล้ว การค้นคว้าวิจัยด้านพลังงานทดแทนต่างๆ เช่น ลม แสงแดด ชีวมวล ฯลฯ ก็จะเบ่งบาน เป็นคู่แข่งของน้ำมันดิบของโอเปคได้คุ้มค่าการลงทุนขึ้น ซึ่งจะเป็นผลเสียแก่โอเปคเอง
ในราคาน้ำมันดิบปัจจุบันที่พุ่งขึ้นสูงอยู่ในระดับ 40-50 เหรียญต่อบาร์เรลนั้น โอเปคก็เหมือนกับไทยหรือประเทศอื่นๆ ที่ไม่มีเทคโนโลยีในการขุดเจาะน้ำมันเอง อยู่ในมือของชาติตะวันตกเกือบทั้งหมด ไทยได้ค่าสัมปทานจากก๊าซธรรมชาติทุกๆ หนึ่งบาท รัฐได้ 12.5 สตางค์ ส่วนโอเปคทุกๆ ดอลลาร์ที่ขายน้ำมันดิบแขกก็จะได้ค่าสัมปทานราว 20 เซ็นต์เท่านั้นเอง
บริษัทไม่กี่แห่งเท่านั้นในสงครามอ่าวครั้งที่แล้ว เมื่อสิบกว่าปีก่อน มีนายทุนลงขันให้ทำสงครามแต่ในครั้งที่ผ่านมานี้นายจอห์น แคร์รี่ คู่แข่งคนสำคัญของประธานาธิบดีบุช และทำท่าว่าจะเป็นว่าที่ประธานาธิบดีของสหรัฐคนต่อไป ออกมาแฉว่า บุชใช้เงินอเมริกันทำสงครามในอิรักครั้งที่ไม่มีสปอนเซอร์นี้ถึงสองแสนล้านเหรียญสหรัฐ
ถ้าจะปิดหีบได้ลงก็คงต้องมีทางเดียวคือ หาเงินกลับประเทศโดยอาศัยบริษัทน้ำมันสหรัฐเพิ่มราคาน้ำมันดิบขึ้นในตลาดโลกอีกสัก 10 เหรียญต่อบาร์เรล โดยสัดส่วนการขุดเจาะน้ำมันของบริษัทในตลาดโลกที่คุมอยู่ราวกว่า 60 เปอร์เซ็นต์นั้น ถ้าคิดหักค่าภาคหลวงออกและคิดจากปริมาณน้ำมันที่ใช้ในตลาดโลกปีละกว่า 3 หมื่นล้านบาร์เรล เมื่อหักค่าใช้จ่ายอื่นๆ แล้วก็จะเห็นตัวเลขได้ชัดว่าภายในปีหรือ 2 ปี ก็จะชดเชยค่าใช้จ่ายในการทำสงครามครั้งนี้ได้ โดยไม่ต้องมีใครเป็นสปอนเซอร์
คำถามต่อมาคือ ใครเดือดร้อน หรือถามให้ลึกลงไปว่า ใครเดือดร้อนมากหรือเดือดร้อนน้อย ก็ต้องถามคำถามว่า ประการแรก ประเทศใดเป็นผู้ผลิต ประเทศใดส่งออกน้ำมันเป็นสินค้าออก หรือประเทศใดเป็นผู้นำเข้าน้ำมันเพื่อเป็นพลังงาน ซึ่งผู้เดือดร้อนกับผลกระทบเบื้องต้นจะเป็นชาติที่นำเข้าน้ำมันดิบเพื่อใช้เป็นพลังงาน ประการที่สอง เป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่าประการแรกคือ ประเทศใดมีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ หรือมีการใช้งานอย่างไม่มีประสิทธิภาพ มิใช่คำนึงแต่ว่าใช้พลังงานมากหรือน้อยแต่เพียงอย่างเดียว
เมื่อเร็วๆ นี้ มีผู้ออกมาพูดว่า ระบบลอจิสติกส์ของไทยนั้นแพงเกือบจะที่สุดในโลก เมื่อเทียบสัดส่วนกับจีดีพีของประเทศ คือสูงกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ ผู้เขียนลองเทียบ Benchmark กับประเทศที่พัฒนาแล้ว ค่าใช้จ่ายลอจิสติกส์ของสหรัฐก็อยู่ราวๆ 10-11 เปอร์เซ็นต์ ใกล้เคียงกับญี่ปุ่นในอียูซึ่งเป็นประเทศที่มีความหนาแน่นของคนสูง มีพื้นที่เล็กและมีรายได้ค่อนข้างดี ก็มีค่าลอจิสติกส์อยู่ในราว 7-9 เปอร์เซ็นต์
ถ้าวิเคราะห์ตัวเลขของไทยว่า จริงหรือไม่ที่สูงกว่าทั้งโลกที่เขามีประสิทธิภาพในการใช้พลังงานสูงกว่า 2 เท่า ก็ลองใช้ตัวเลขของจีดีพีของไทยที่ราว 5.5 ล้านล้านบาทต่อปี และคิดสัดส่วนใหญ่ของการคมนาคมขนส่งที่ใช้เชื้อเพลิงน้ำมันเบนซินประมาณ 21 ล้านลิตรต่อวัน และดีเซล 60 ล้านลิตรต่อวัน โดยคำนวณราคาเฉลี่ยที่เป็นจริงของทั้งดีเซลที่รัฐต้องอุดหนุนและราคาเบนซินที่ราว 21 บาทต่อลิตร แล้วจะเป็นเงิน 1,700 ล้านบาทต่อวัน คูณด้วย 365 วันต่อปี จะออกมาเป็น 620,000 ล้านบาท หรือราว 11.3 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีของประเทศ
ถ้าเราจะคิดว่าค่าน้ำมันนี้เป็นราว 50% ของค่าลอจิสติกส์ของไทยที่เหลืออีก 6 แสนล้านบาท เป็นค่าเสื่อมราคาของพาหนะที่ใช้อยู่ในประเทศไทย ค่าบำรุงรักษา ค่างบประมาณในการซ่อมสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ทั้งถนน ฯลฯ และค่าเสื่อมราคาของการสร้างโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นของรัฐทั้งอดีตและปัจจุบัน รวมทั้งค่าบุคลากรที่มีอาชีพเกี่ยวข้องกับระบบลอจิสติกส์ทั้งหมดของไทย ตัวเลขหกแสนล้านก็อาจจะน้อยไปเสียด้วยซ้ำ ถ้านับรวมน้ำมันเครื่องบิน น้ำมันเตา น้ำมันก๊าด ฯลฯ
ถ้าโครงสร้างค่าใช้จ่ายของประเทศอื่นคล้ายกับไทยคือ ราว 50% เป็นค่าน้ำมันแล้ว ค่าน้ำมันในประเทศที่มีประสิทธิภาพในการใช้พลังงานสูงจะเป็นเพียง 5% ของจีดีพี ในขณะที่เรามีค่าใช้จ่ายมากกว่า 11% ของจีดีพี ภาพนี้ชัดเจนขึ้นว่า ถ้าราคาน้ำมันดิบสูงขึ้นเป็น 2 เท่า ผลกระทบต่อประเทศที่มีสัดส่วนการใช้พลังงานต่อจีดีพีสูงอย่างไทยจะได้รับผลกระทบอย่างเต็มตัว และถ้าอัตราส่วนการเจริญเติบโตเดิมของจีดีพีปกติอยู่ที่ 5-6% แล้ว ถ้ารัฐไม่มีมาตรการในการประหยัดพลังงานอย่างเป็นรูปธรรม การเจริญเติบโตของจีดีพีจะเป็นง่อยอย่างง่าย และผลกระทบทันทีทันใด กับดุลการค้าที่เคยเกินดุลก็จะกลับขาดดุลได้อย่างรวดเร็ว และถ้าไม่หาทางแก้ไขก็จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมอย่างหมักหมมต่อไป ในสภาพการแข่งขันของประเทศในระยะยาว
ด้านต้นทุนนั้น ถ้าเราดู Benchmark ต่างๆ จะเห็นได้ว่า ต้นทุนทางลอจิสติกส์ของไทยจำเป็นต้องได้รับการเอาใจใส่ดูแลจากภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรม เป็นระบบ และด้วยความรวดเร็ว มิฉะนั้นในราคาพลังงานน้ำมันดิบอย่างปัจจุบัน และสภาพต่อเนื่องสู่อนาคต ไทยจะเสียเปรียบและจะเสียฐานในการแข่งขันในเวทีตลาดโลกที่เราอั้นอยู่ราว 1 เปอร์เซ็นต์มาหลายปี อย่าให้ถดถอยลงไปกว่านี้ เพราะเราไม่สามารถแข่งขันได้อีกเลย
ในสภาพการแข่งขันของประเทศในอนาคตในสภาวะน้ำมันแพง ไทยควรเร่งการประหยัดพลังงานในระยะสั้น และควรจัดมาตรการการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในระยะกลาง และระยะยาวต้องหาพลังงานทดแทนในรูปต่างๆ ให้เป็นรูปธรรมมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน พัฒนาอุปกรณ์ประหยัดพลังงานในเทคโนโลยีใหม่ การใช้พลังงานทดแทนจากพืชสีเขียวบางส่วนใช้พลังงานจากดวงอาทิตย์โดยตรง ทั้งในรูปความร้อนและพลังงานไฟฟ้า การใช้โครงสร้างพื้นฐาน ระบบขนส่งมวลชนมีความสำคัญที่สุด เพราะจะแก้ทั้งปัญหาประสิทธิภาพในการใช้พลังงานโดยตัวของมัน
ในราคาน้ำมันดิบปัจจุบันที่พุ่งขึ้นสูงอยู่ในระดับ 40-50 เหรียญต่อบาร์เรลนั้น โอเปคก็เหมือนกับไทยหรือประเทศอื่นๆ ที่ไม่มีเทคโนโลยีในการขุดเจาะน้ำมันเอง อยู่ในมือของชาติตะวันตกเกือบทั้งหมด ไทยได้ค่าสัมปทานจากก๊าซธรรมชาติทุกๆ หนึ่งบาท รัฐได้ 12.5 สตางค์ ส่วนโอเปคทุกๆ ดอลลาร์ที่ขายน้ำมันดิบแขกก็จะได้ค่าสัมปทานราว 20 เซ็นต์เท่านั้นเอง
บริษัทไม่กี่แห่งเท่านั้นในสงครามอ่าวครั้งที่แล้ว เมื่อสิบกว่าปีก่อน มีนายทุนลงขันให้ทำสงครามแต่ในครั้งที่ผ่านมานี้นายจอห์น แคร์รี่ คู่แข่งคนสำคัญของประธานาธิบดีบุช และทำท่าว่าจะเป็นว่าที่ประธานาธิบดีของสหรัฐคนต่อไป ออกมาแฉว่า บุชใช้เงินอเมริกันทำสงครามในอิรักครั้งที่ไม่มีสปอนเซอร์นี้ถึงสองแสนล้านเหรียญสหรัฐ
ถ้าจะปิดหีบได้ลงก็คงต้องมีทางเดียวคือ หาเงินกลับประเทศโดยอาศัยบริษัทน้ำมันสหรัฐเพิ่มราคาน้ำมันดิบขึ้นในตลาดโลกอีกสัก 10 เหรียญต่อบาร์เรล โดยสัดส่วนการขุดเจาะน้ำมันของบริษัทในตลาดโลกที่คุมอยู่ราวกว่า 60 เปอร์เซ็นต์นั้น ถ้าคิดหักค่าภาคหลวงออกและคิดจากปริมาณน้ำมันที่ใช้ในตลาดโลกปีละกว่า 3 หมื่นล้านบาร์เรล เมื่อหักค่าใช้จ่ายอื่นๆ แล้วก็จะเห็นตัวเลขได้ชัดว่าภายในปีหรือ 2 ปี ก็จะชดเชยค่าใช้จ่ายในการทำสงครามครั้งนี้ได้ โดยไม่ต้องมีใครเป็นสปอนเซอร์
คำถามต่อมาคือ ใครเดือดร้อน หรือถามให้ลึกลงไปว่า ใครเดือดร้อนมากหรือเดือดร้อนน้อย ก็ต้องถามคำถามว่า ประการแรก ประเทศใดเป็นผู้ผลิต ประเทศใดส่งออกน้ำมันเป็นสินค้าออก หรือประเทศใดเป็นผู้นำเข้าน้ำมันเพื่อเป็นพลังงาน ซึ่งผู้เดือดร้อนกับผลกระทบเบื้องต้นจะเป็นชาติที่นำเข้าน้ำมันดิบเพื่อใช้เป็นพลังงาน ประการที่สอง เป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่าประการแรกคือ ประเทศใดมีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ หรือมีการใช้งานอย่างไม่มีประสิทธิภาพ มิใช่คำนึงแต่ว่าใช้พลังงานมากหรือน้อยแต่เพียงอย่างเดียว
เมื่อเร็วๆ นี้ มีผู้ออกมาพูดว่า ระบบลอจิสติกส์ของไทยนั้นแพงเกือบจะที่สุดในโลก เมื่อเทียบสัดส่วนกับจีดีพีของประเทศ คือสูงกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ ผู้เขียนลองเทียบ Benchmark กับประเทศที่พัฒนาแล้ว ค่าใช้จ่ายลอจิสติกส์ของสหรัฐก็อยู่ราวๆ 10-11 เปอร์เซ็นต์ ใกล้เคียงกับญี่ปุ่นในอียูซึ่งเป็นประเทศที่มีความหนาแน่นของคนสูง มีพื้นที่เล็กและมีรายได้ค่อนข้างดี ก็มีค่าลอจิสติกส์อยู่ในราว 7-9 เปอร์เซ็นต์
ถ้าวิเคราะห์ตัวเลขของไทยว่า จริงหรือไม่ที่สูงกว่าทั้งโลกที่เขามีประสิทธิภาพในการใช้พลังงานสูงกว่า 2 เท่า ก็ลองใช้ตัวเลขของจีดีพีของไทยที่ราว 5.5 ล้านล้านบาทต่อปี และคิดสัดส่วนใหญ่ของการคมนาคมขนส่งที่ใช้เชื้อเพลิงน้ำมันเบนซินประมาณ 21 ล้านลิตรต่อวัน และดีเซล 60 ล้านลิตรต่อวัน โดยคำนวณราคาเฉลี่ยที่เป็นจริงของทั้งดีเซลที่รัฐต้องอุดหนุนและราคาเบนซินที่ราว 21 บาทต่อลิตร แล้วจะเป็นเงิน 1,700 ล้านบาทต่อวัน คูณด้วย 365 วันต่อปี จะออกมาเป็น 620,000 ล้านบาท หรือราว 11.3 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีของประเทศ
ถ้าเราจะคิดว่าค่าน้ำมันนี้เป็นราว 50% ของค่าลอจิสติกส์ของไทยที่เหลืออีก 6 แสนล้านบาท เป็นค่าเสื่อมราคาของพาหนะที่ใช้อยู่ในประเทศไทย ค่าบำรุงรักษา ค่างบประมาณในการซ่อมสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ทั้งถนน ฯลฯ และค่าเสื่อมราคาของการสร้างโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นของรัฐทั้งอดีตและปัจจุบัน รวมทั้งค่าบุคลากรที่มีอาชีพเกี่ยวข้องกับระบบลอจิสติกส์ทั้งหมดของไทย ตัวเลขหกแสนล้านก็อาจจะน้อยไปเสียด้วยซ้ำ ถ้านับรวมน้ำมันเครื่องบิน น้ำมันเตา น้ำมันก๊าด ฯลฯ
ถ้าโครงสร้างค่าใช้จ่ายของประเทศอื่นคล้ายกับไทยคือ ราว 50% เป็นค่าน้ำมันแล้ว ค่าน้ำมันในประเทศที่มีประสิทธิภาพในการใช้พลังงานสูงจะเป็นเพียง 5% ของจีดีพี ในขณะที่เรามีค่าใช้จ่ายมากกว่า 11% ของจีดีพี ภาพนี้ชัดเจนขึ้นว่า ถ้าราคาน้ำมันดิบสูงขึ้นเป็น 2 เท่า ผลกระทบต่อประเทศที่มีสัดส่วนการใช้พลังงานต่อจีดีพีสูงอย่างไทยจะได้รับผลกระทบอย่างเต็มตัว และถ้าอัตราส่วนการเจริญเติบโตเดิมของจีดีพีปกติอยู่ที่ 5-6% แล้ว ถ้ารัฐไม่มีมาตรการในการประหยัดพลังงานอย่างเป็นรูปธรรม การเจริญเติบโตของจีดีพีจะเป็นง่อยอย่างง่าย และผลกระทบทันทีทันใด กับดุลการค้าที่เคยเกินดุลก็จะกลับขาดดุลได้อย่างรวดเร็ว และถ้าไม่หาทางแก้ไขก็จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมอย่างหมักหมมต่อไป ในสภาพการแข่งขันของประเทศในระยะยาว
ด้านต้นทุนนั้น ถ้าเราดู Benchmark ต่างๆ จะเห็นได้ว่า ต้นทุนทางลอจิสติกส์ของไทยจำเป็นต้องได้รับการเอาใจใส่ดูแลจากภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรม เป็นระบบ และด้วยความรวดเร็ว มิฉะนั้นในราคาพลังงานน้ำมันดิบอย่างปัจจุบัน และสภาพต่อเนื่องสู่อนาคต ไทยจะเสียเปรียบและจะเสียฐานในการแข่งขันในเวทีตลาดโลกที่เราอั้นอยู่ราว 1 เปอร์เซ็นต์มาหลายปี อย่าให้ถดถอยลงไปกว่านี้ เพราะเราไม่สามารถแข่งขันได้อีกเลย
ในสภาพการแข่งขันของประเทศในอนาคตในสภาวะน้ำมันแพง ไทยควรเร่งการประหยัดพลังงานในระยะสั้น และควรจัดมาตรการการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในระยะกลาง และระยะยาวต้องหาพลังงานทดแทนในรูปต่างๆ ให้เป็นรูปธรรมมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน พัฒนาอุปกรณ์ประหยัดพลังงานในเทคโนโลยีใหม่ การใช้พลังงานทดแทนจากพืชสีเขียวบางส่วนใช้พลังงานจากดวงอาทิตย์โดยตรง ทั้งในรูปความร้อนและพลังงานไฟฟ้า การใช้โครงสร้างพื้นฐาน ระบบขนส่งมวลชนมีความสำคัญที่สุด เพราะจะแก้ทั้งปัญหาประสิทธิภาพในการใช้พลังงานโดยตัวของมัน
งด เลิก เสพ สุรา บุหรี่ วันนี้ เพื่อชีวิตที่ดีของท่าน