บทที่ 19 เล่มใหม่ของคุณนรินทร์ น่าอ่านครับ

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
nasesus
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1278
ผู้ติดตาม: 0

บทที่ 19 เล่มใหม่ของคุณนรินทร์ น่าอ่านครับ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

เป็นที่ทราบกันว่าสิบกว่าปีที่ผ่านมา อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกถูกพยุงไว้ด้วย ภาวะความไม่สมดุลของโลก (Global Imbalance) ที่มีสหรัฐ ทำหน้าที่เป็นนักบริโภคสินค้ามือเติบ และมีประเทศส่งออกทั้งหลายในเอเชียทำหน้าที่คอยเติมเงินในกระเป๋าของสหรัฐ อยู่ตลอดเวลาด้วยการนำเงินที่ได้จากการส่งออกสินค้าไปสหรัฐ กลับมาปล่อยกู้ให้กับสหรัฐ ผ่านทางการนำทุนสำรองไปซื้อตราสารสกุลดอลลาร์ เพื่อให้เงินเอเชียอ่อนเมื่อเทียบกับดอลลาร์ กำลังซื้อที่เกิดขึ้นจากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งของสหรัฐ ช่วยทำให้ประเทศในเอเชียส่งออกสินค้าได้มาก เศรษฐกิจโลกจึงเติบโตได้ดี

แน่นอนว่าภาวะเช่นนี้ย่อมไม่อาจดำรงอยู่ได้ตลอดไป เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ผู้บริโภคจะยืมเงินผู้ขายมาซื้อสินค้าของผู้ขายไปเรื่อยๆ โดยไม่มีวันใช้หนี้คืน ภาวะไม่สมดุลของโลกทำให้สหรัฐ ขาดดุลการค้าอย่างมากมายมหาศาล ในขณะที่ ประเทศในเอเชียก็ได้ดุลการค้าสหรัฐ แบบมหาศาลด้วย ที่ผ่านมา ไม่มีใครคิดอยากแก้ไขปัญหานี้ เพราะทุกฝ่ายต่างได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจโลกที่เติบโตได้ดี เมื่อปัญหาไม่ได้รับการแก้ไข ปัญหาก็พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ สหรัฐ ขาดดุลการค้ามากจนน่ากลัว

เวลานี้คล้ายๆ กับว่า วิกฤติซับไพร์มจะเป็นตัวจุดชนวนให้เกิดการปรับสมดุลขึ้นเอง วิกฤติซับไพร์มทำให้การบริโภคภายในประเทศของสหรัฐลดลง แม้ว่าประเทศในเอเชียจะพยายามโอบอุ้มค่าเงินดอลลาร์เหมือนเดิมแต่ก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งกำลังซื้อของสหรัฐที่ลดลง เพราะปัญหาซับไพร์มได้ เมื่อกำลังซื้อจากสหรัฐลดลง เศรษฐกิจโลกก็ย่อมต้องชะลอตัวลงด้วยเป็นธรรมดา ซึ่งอาจมองว่าเป็นเรื่องไม่ดี แต่ในอีกแง่หนึ่ง นี่คือโอกาสที่โลกจะได้แก้ไขปัญหาความไม่สมดุลที่สะสมมานาน

ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัวขึ้นจากวิกฤติซับไพร์มได้เร็วหรือช้า หลายฝ่ายยังมีการถกเถียงกันอยู่ ถ้าหากเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวขึ้นได้เร็ว ไม่ช้าไม่นานโลกของเราก็อาจจะกลับไปสู่วงจรอัฐยายซื้อขนมยายเหมือนเช่นเดิม ทำให้ปัญหาความไม่สมดุลของโลกไม่ได้รับการแก้ไขต่อ แต่ถ้าเศรษฐกิจสหรัฐทรุดหนักแบบยืดเยื้อยาวนาน การปรับสมดุลก็จะเกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่องจนเสร็จสมบูรณ์ในที่สุด เพราะโลกอาจหันไปหาวิธีการใหม่ๆ ในการพยุงการเติบโตทางเศรษฐกิจแทนการพึ่งพาการบริโภคของสหรัฐ

สมมติว่าวิกฤติครั้งนี้ยาวนานจนทำให้เกิดการปรับสมดุลได้จริง มาลองคิดกันเล่นๆ ว่า เศรษฐกิจโลกหลังปรับสมดุลแล้วจะมีหน้าตาเปลี่ยนไปอย่างไร?

แน่นอนว่าเมื่อประเทศในเอเชียเลิกโอบอุ้มค่าเงินดอลลาร์ เงินดอลลาร์จะต้องอ่อนค่าลงอีกเมื่อเทียบกับสกุลเงินเอเชีย เมื่อค่าเงินถูกปล่อยไปตามความเป็นจริงมากขึ้น ดุลการค้าของประเทศต่างๆ จะใกล้เคียงกันมากกว่าเดิม สหรัฐจะขาดดุลน้อยลง ประเทศในเอเชียก็จะเกิดดุลน้อยลงด้วย

ที่ผ่านมาเวลาที่ประเทศส่งออกในเอเชียพยายามทำค่าเงินของตัวเองให้อ่อน ประเทศเหล่านี้จะต้องเทขายเงินของตัวเองออกมาแล้วเอาเงินดอลลาร์ที่ได้รับมาเก็บไว้ในทุนสำรอง ทุนสำรองคือสภาพคล่องที่ถูกดูดออกไปจากระบบ มันจอดอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำประโยชน์ ทุกๆ ปี ประเทศในเอเชียยอมสูญเสียโอกาสในการลงทุนที่เกิดจากสภาพคล่องที่ดูดซับออกไปเพื่อช่วยภาคส่งออกเป็นเงินจำนวนมหาศาล ซ้ำร้าย ประเทศในเอเชียกลับเอาเงินส่วนนี้ไปปล่อยกู้ในตลาดสหรัฐซึ่งช่วยทำให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงในสหรัฐ อยู่ในระดับต่ำกว่าที่ควรจะเป็นอีก เท่ากับเป็นส่งเสริมการลงทุนให้กับสหรัฐ นั่นเอง เพราะปกติแล้ว เงินทุนควรไหลออกจากประเทศร่ำรวยไปสู่ประเทศล้าหลังที่ยังขาดแคลนทุนเพื่อการพัฒนาประเทศ แต่ทุกวันนี้ เงินทุนกลับไหลออกจากประเทศที่ยังล้าหลังไปหาประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างเช่น สหรัฐ

ถ้าวงจรที่ไหลกลับของเงินทุนนี้กลับทิศทางเสียได้ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงในสหรัฐจะสูงขึ้น ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยในเอเชียจะต่ำลงซึ่งจะส่งผลดีต่อการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศเอเชีย การเติบโตภายในประเทศเอเชียเองก็จะเข้ามาทดแทนการส่งออกที่หดตัวลง เศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้ก็จะมีเสถียรภาพมากขึ้น เนื่องจากไม่ได้พึ่งพาการส่งออกในสัดส่วนที่สูงมากเหมือนอย่างในปัจจุบัน ถ้าเศรษฐกิจโลกมีปัญหาก็จะไม่ได้รับกระทบรุนแรงเหมือนเช่นที่เป็นอยู่

ค่าเงินเอเชียที่แข็งขึ้น แม้ว่าจะทำให้ส่งออกสินค้าได้น้อยลง แต่ในทางตรงกันข้ามกลับทำให้ความเป็นอยู่ของคนในประเทศสูงขึ้นด้วย เพราะคนในประเทศจะสามารถบริโภคสินค้านำเข้าเช่น น้ำมันดิบ ได้ในราคาที่ถูกกว่าเดิม ที่จริงแล้วทุกวันนี้เราไม่จำเป็นต้องส่งออกให้ได้มากๆ เหมือนแต่ก่อน เนื่องจากเราไม่ใช่ประเทศที่ติดหนี้ต่างประเทศมากมายเหมือนสมัยวิกฤติต้มยำกุ้งอีกต่อไปแล้ว การปล่อยให้เงินบาทแข็งขึ้นตามความเป็นจริงบ้างกลับเป็นเรื่องที่ดีกว่า เพราะเป็นการทำให้วิถีชีวิตของคนในประเทศขยับเข้าใกล้เคียงชาวตะวันตกมากขึ้น ในขณะเดียวกัน ก็ขายสินค้าได้เงินมากกว่าเดิม ไม่ต้องยอมขายขาดทุนเพื่อล่อให้เขาซื้อสินค้าเหมือนที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

สรุปแล้ว โลกหลังปรับสมดุลแล้วมีแต่ข้อดีกับข้อดี เพียงแต่ว่าก่อนที่เราจะไปถึงตรงนั้นได้ เราจะต้องได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวแรงเสียก่อน ซึ่งเป็นการชดใช้ฟองสบู่ที่โลกได้สร้างขึ้นมาตลอดสิบกว่าปี สักพักหนึ่งเมื่อทรัพยากรถูกเคลื่อนย้ายจากภาคส่งออกเข้าสู่ภาคเศรษฐกิจในประเทศมากขึ้น เราจึงจะเริ่มเห็นผลดีของการปรับสมดุลใหม่

บางกระแสบอกว่า ฝันไปเถิด การปรับสมดุลใหม่จะไม่มีวันเกิดขึ้นแน่นอน เพราะจีนและญี่ปุ่นไม่มีทางเลิกหนุนค่าเงินดอลลาร์เป็นอันขาด แต่เมื่อไม่นานมานี้ เราเริ่มเห็นท่าทีของจีนที่เปลี่ยนไป ฝันอาจกำลังเป็นจริงก็ได้ครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
LittleChicky
Verified User
โพสต์: 277
ผู้ติดตาม: 0

บทที่ 19 เล่มใหม่ของคุณนรินทร์ น่าอ่านครับ

โพสต์ที่ 2

โพสต์

หนังสือชื่ออะไรครับ  เดี๋ยวไปลองหามาอ่านบ้าง
นักลงทุนผู้ชาญฉลาดไม่ควรซื้อหุ้นสามัญเพียงเพราะว่ามันมีราคาถูก แต่ควรซื้อเฉพาะว่ามันสัญญาว่าจะทำกำไรงดงามให้กับเขา...ฟิลลิป เอ พิชเชอร์
ภาพประจำตัวสมาชิก
nasesus
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1278
ผู้ติดตาม: 0

บทที่ 19 เล่มใหม่ของคุณนรินทร์ น่าอ่านครับ

โพสต์ที่ 3

โพสต์

มนุษย์เศรษฐกิจ 2.0 ครับ
teeratho
Verified User
โพสต์: 29
ผู้ติดตาม: 0

บทที่ 19 เล่มใหม่ของคุณนรินทร์ น่าอ่านครับ

โพสต์ที่ 4

โพสต์

สามารถอ่านย้อนหลังได้ที่นี่ครับ คอลัมน์ของพี่เค้าลงในกรุงเทพธุรกิจ

http://newsroom.bangkokbiznews.com/list.php?user=Narin
yy
Verified User
โพสต์: 6427
ผู้ติดตาม: 1

บทที่ 19 เล่มใหม่ของคุณนรินทร์ น่าอ่านครับ

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ยังมีอีกเล่มนึงที่น่าสนใจ คือ 50 ไอเดียการลงทุน (รวบรวมจากเว็บบล็อกของคุณนรินทร์) เล่มเล็กๆ ตัวหนังสือเลยเล็ก รังแกคนสายตาเริ่มยาวน่าดูเลย .. เป็นฉบับ Limited edition นะครับ ... ไม่เห็นมีใครพูดถึงเล่มนี้เลย เหมาะมาสำหรับคนที่ยังแสวงหาแนวทางการลงทุน
คนที่รู้ว่าตัวเองยังไม่รู้ ย่อมมีโอกาสเรียนรู้
อะไรดีละ
Verified User
โพสต์: 680
ผู้ติดตาม: 0

บทที่ 19 เล่มใหม่ของคุณนรินทร์ น่าอ่านครับ

โพสต์ที่ 6

โพสต์

ผมเห็นด้วยนะที่โลกไม่สมดุล  ทางการค้า..และ การออม
แต่ปัญหาน่าจะอยู่ที่ "จีน" เต็มๆ ครับ
ประเทศทางยุโรป และ ญี่ปุ่น  นั้น  สามารถปรับตัวด้วยกลไกของ อลป.ได้อยูแล้ว  เงินเยน และ ยูโร ก็แข็งขึ้นมากเมื่อเทียบกับดอลล์  
แต่  เงินหยวนของจีนต่างหาก คือ ปัญหา .... ทำให้จีนยังคงได้ดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างมาก  ทุนสำรองก็สูงถึง 2 ล้านล้านเหรียญ  

ประเทศจีน...ต้องจัดการทำให้ค่าเงินแข็งขึ้นอย่างเร็ว  
เพื่อช่วยเหลือ ประเทศในเอเชียเอง  อเมริกา และ ศก.โลก  
มีการประเมินว่าค่าเงินหยวนควรแข็งค่ากว่านี้ราว 30 เปอร์เซนต์  และ ปรับให้ซื้อขายได้ค่อนข้างเสรี  
ถ้าเป็นแบบนั้น  ค่าเงินในเอเชียอย่าง "บาท" จะแข็งตามไปด้วยราว 15 เปอร์เซนต์  จะทำให้การค้าสมดุลขึ้น  
ไทยจะส่งออกไปจีนได้มากขึ้น ....   อเมริกาจะขาดดุลน้อยลง  
ทุกประเทศจะปรับตัวเข้าสมดุลทางการค้า  การออม  ได้อย่างเร็วกว่านี้ครับ
อะไรดีละ
Verified User
โพสต์: 680
ผู้ติดตาม: 0

บทที่ 19 เล่มใหม่ของคุณนรินทร์ น่าอ่านครับ

โพสต์ที่ 7

โพสต์

ตั้งชื่อไว้ดีกว่า... "Paradox of Yuan"  
ค่าเงินหยวนควรแข็ง เพราะ จีนได้ดุลบัญชีเดินสะพัดสูงที่สุดในโลก
แต่เนื่องจาก หยวนผูกค่าไว้กับ ดอลลาร์
ดอลลาร์ ควรอ่อน..เพราะ อเมริกาขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมากสุดในโลก
ดังนั้น.... หยวนจึง ควรแข็ง แต่ก็กลับอ่อน...เกิดเป็น paradox

วิธีแก้ไขดีที่สุดก็คือ...หยุดการผูกค่าเงินกับดอลล์เสียทีครับ
:)
โพสต์โพสต์