พฤหัสฯ. ต.ค. 08, 2009 7:51 pm
มาชวนพี่วิบูลย์คุยเรื่อง
บัฟเฟตต์ ครับ พอดีผมกำลังพยายามทำความเข้าใจแนวทางการลงทุนของหลายๆท่านอยู่ครับ จะได้นำมาประยุกต์ใช้เป็นแนวทางของผมเอง
มีข้อสงสัยดังนี้ครับ
ผมอยากทราบว่า
- ในระยะแรกๆของการลงทุน บัฟเฟตต์ ไม่ได้ซื้อแล้วถือหุ้นอย่างยาวนานรึเปล่าครับ เท่าที่ผมเคยอ่าน ช่วงแรกๆ ที่พอซื้อลงทุนแล้วราคาขึ้นไป กำไร 50% ก็ขายทำกำไร ประมาณนี้รึเปล่าครับ ทยอยสะสมกำไรให้ทุนเพิ่มก่อน
- ต่อมาพอทุนเริ่มเพิ่มขึ้น(พอร์ตใหญ่) ก็เปลี่ยนมาเป็นซื้อหุ้นจำนวนมาก หรือ ซื้อทั้งบริษัท ทำให้ บัฟเฟตต์ สามารถมีเงินสดจากส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทลูกหรือเงินปันผลที่มีจำนวนมาก และนำเงินสดนั้นมาซื้อลงทุนในบริษัทอื่นๆ ได้โดยที่ไม่ต้องขายหุ้นเดิมที่ถืออยู่รึเปล่าครับ ถึงแม้จะราคาปรับตัวขึ้นไปมากก็ตาม เลยเป็นที่มาของการถือหุ้นอย่างยาวนาน แทบไม่ต้องขายหุ้นเพื่อนำเงินมาลงทุนต่อครับ
- การที่ บัฟเฟตต์ บอกว่าไม่ต้องสนใจราคาหุ้นระยะสั้น ไม่ได้หมายความว่า ไม่ให้ดูราคารึเปล่าครับ เพียงแต่ดูได้ แต่อย่าไปใส่ใจมาก ยกเว้นจะเกิดเหตุการณ์ใหญ่ๆ เช่น หุ้นตกหนักๆ หรือ ราคาขึ้นไปมาก
เพราะถ้าไม่ดูราคาเลย เราจะรู้ได้อย่างไรว่าตอนไหนหุ้นถูก หรือ ตอนไหนหุ้นแพงเกินไปครับ
- แก่นที่แท้จริงของ Value Investment ก็คือยึดหลักการซื้อถูกขายแพง ใช่มั๊ยครับ
ซื้อหุ้นเมื่อราคาต่ำว่ามูลค่าที่เหมาะสม ขายเมื่อเห็นว่าราคาหุ้นเกินมูลค่าที่เหมาะสม หรือเจอตัวที่น่าสนใจกว่า
VI ไม่ได้จำเป็นต้องถือหุ้นไว้ตลอดไป หากเห็นว่าราคาหุ้นสูงเกินความเหมาะสม หรือเราพอใจในกำไรแล้ว ก็ขายทำกำไรไป ไม่ได้ผิดหลัก VI แต่อย่างใด
ยกตัวอย่าง บัฟเฟตต์ก็ซื้อถูกขายแพง , ผมได้ดูบทสัมภาษน์เกี่ยวกับการซื้อและขายปิโตรไชน่าของบัฟเฟตต์ :
http://www.youtube.com/watch?v=Lc791is6X0o
ฟังคร่าวๆ ก็ประมาณว่า บัฟเฟตต์เห็นว่าบริษัทนี้ควรมีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ $100 billion แต่ตอนที่ซื้อมาใช้เงินลงทุน $488 million , Mkt. ทั้งบริษัท = $37 billion และขายหุ้นทั้งหมดได้เงินมา $4 billion Mkt. ทั้งบริษัท = $275 billion
We made one large sale last year. In 2002 and 2003 Berkshire bought 1.3% of PetroChina for $488 million, a price that valued the entire business at about $37 billion. Charlie and I then felt that the company was worth about $100 billion. By 2007, two factors had materially increased its value; the price of oil had climbed significantly, and PetroChinas management had done a great job in building oil and gas reserves. In the second half of last year, the market value of the company rose to $275 billion, about what we thought it was worth compared to other giant oil companies. So we sold our holdings for $4 billion. A footnote: We paid the IRS tax of $1.2 billion on our PetroChina gain. This sum paid all costs of the U.S. government defense, social security, you name it for about four hours.
ที่มา :
http://www.peridotcapitalist.com/2008/0 ... arren.html
ผมคิดว่าบางคนหรือหลายๆคนเข้าใจว่า VI คือ ซื้อแล้วถือไว้ตลอดไป ไม่ขาย หรือลงทุนแบบ บัฟเฟตต์ ซึ่งผมเห็นว่า แนวทางของบัฟเฟตต์ไม่ใช่ทุกอย่างของหลักการ VI แต่เป็นหลักการที่แตกมาจาก VI อีกทีนึงรึเปล่าครับ
VI เองก็มีหลายๆท่านอย่าง ปีเตอร์ ลินซ์ , จอห์น เนฟฟ์ ที่เน้นซื้อถูกขายแพงเป็นหลัก ระยะเวลาที่ถือก็ตั้งแต่ 6 เดือน - 3 ปี หรืออาจจะ 4 - 5 ปี
อย่าง จอห์น เนฟฟ์ ก็เป็น VI ที่เปลี่ยนหุ้นบ่อยมากๆ และดูเหมือนว่าเค้าจะเน้นไปที่ PE , EPS , Dividend และแนวโน้มเศรษฐกิจระยะ 1 - 2 ปี เป็นหลัก
การที่นักลงทุนจะลงทุนตามอย่าง บัฟเฟตต์ (ซื้อหุ้นที่ดีแล้วถืออย่างยาวนานหรืออย่างน้อยก็ถือไว้จริงๆไม่ขายเลย 5 ปีขึ้นไป ผลตอบแทนประมาณ 20% ต่อปี) ได้ผมคิดว่าต้องมีปัจจัยดังนี้ครับ
1. พอร์ตลงทุนเริ่มต้นมีขนาดใหญ่ ระดับ 5 - 10 ล้านบาทขึ้นไป และไม่ใช่เงินทั้งหมดของชีวิต คือได้เงินปันผลจำนวนมากพอที่สามารถนำไปลงทุนหุ้นตัวอื่นๆในสัดส่วนที่มากได้ โดยที่ไม่ต้องขายหุ้นเดิม และไม่กระทบการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
ถ้าคนพอร์ตเล็ก(อย่างผม) อยากลงทุนแนวทางบัฟเฟฟต์ คือซื้อแล้วถือ ให้มูลค่าหุ้นตัวเดิมเพิ่มไปเรื่อยๆ สมมติผลตอบแทนรวมปันผลราวๆ 20% ต่อปี
เงิน 1 แสนบาท กับ เงิน 1 ล้านบาท หรือ เงิน 10 ล้านบาท ผลตอบแทนต่อปีถือว่าต่างกันมากเลยนะครับ 1 แสน ได้ 2 หมื่นบาท 10 ล้าน ได้ 2 ล้านบาท , เปรียบเทียบการนำเงิน 2 หมื่นบาท กับ 2 ล้านบาท ไปลงทุนในหุ้นตัวใหม่น่าจะให้ผลต่างกันเยอะครับ
ในความเห็นของผมพอร์ตขนาดเล็กหรือใหญ่ มีผลต่อหลักการลงทุนของเราครับ พอร์ตเล็กจะลงทุนแบบพอร์ตใหญ่ก็ไม่น่าเหมาะ หรือพอร์ตใหญ่จะลงทุนแบบพอร์ตเล็กก็ไม่คล่องตัวเท่าครับ
2. มีเงินสดรับแต่ละปีจำนวนมาก จากรายได้หลัก หรือรายได้อื่นๆ เพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวันครับ อย่างบัฟเฟตต์เองรู้สึกว่าได้เงินเดือนราวๆ $100,000 ต่อปีรึเปล่าครับ ไม่แน่ใจครับ
หุ้นเบิร์กไชร์ก็ไม่ได้จ่ายปันผล กำไรหรือปันผลจากบริษัทลูกก็นำไปลงทุนหุ้นตัวใหม่ๆต่อไปเรื่อยๆ หุ้นเดิมก็ถือต่อไปได้เรื่อยๆ
3. ตะแกรงร่อนหุ้นต้องเข้มข้นมากๆ ถึงจะลงทุนแนว บัฟเฟตต์ ได้ เพราะถ้าซื้อแล้วถือไปเรื่อยๆอย่างยาวนาน คล้ายกับเราร่วมลงทุนทำธุรกิจนั้นไปด้วยเลย ต้องดูทุกอย่าง ดูงบอย่างละเอียด วิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง ศึกษาผู้บริหารให้ดี
ก็จำเป็นต้องมีตะแกรงร่อนที่เข้มข้นมากกว่า การลงทุนแบบเน้นซื้อถูกขายแพง ที่หลักๆจะดูพวก PE , EPS , Dividend และภาวะเศรษฐกิจครับ
สิ่งที่ผมสามารถนำหลักการของบัฟเฟตต์ มาประยุกต์ใช้กับผม ก็คือ
การวิเคราะห์เชิงคุณภาพ , การดูผู้บริหาร , การรอจังหวะเข้าซื้อหุ้นเมื่อตลาดตกต่ำ , การดูแนวโน้มระยะยาวของกิจการ(อนาคต)ครับ (ตอนนี้นึกได้เท่านี้ครับ)
ส่วนการถือหุ้นอย่างยาวนานผมคิดว่า ณ ตอนนี้ ยังไม่สามารถใช้กับขนาดของพอร์ตผมได้ครับ
ตอนนี้ผมซื้อหุ้นระยะเวลาที่หวังผลประมาณ 6 เดือน - 2 ปีครับ แต่ช่วงนี้หุ้นบางตัวดันขึ้นมาเร็วกว่าที่คิดไว้เยอะ
(ราคานี้คิดว่าจะได้ตอนปีหน้า) ก็เลยขายทำกำไรไปลงทุนตัวอื่นที่คิดว่ายังถูกอยู่ครับ ตามตะแกรงร่อนหุ้นของผม
ก็ประมาณนี้ครับ รบกวนพี่วิบูลย์ช่วย วิจารณ์ และ แลกเปลี่ยน ด้วยครับ :8)
พอดีผมเพิ่งสอบเสร็จ แบบว่าเก็บกดครับ 2 อาทิตย์อ่านแต่หนังสือเรียน
จะศึกษาหุ้นตัวไหนก็ไม่ได้ทำ ดองไว้หลายตัวเลย ขอพิมพ์เยอะหน่อยนะครับ :lol: