Set in the city แนวโน้มเศรษฐกิจ&ตลาดหุ้นปี53(Part II - E

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
radtanapan
Verified User
โพสต์: 9
ผู้ติดตาม: 0

Set in the city แนวโน้มเศรษฐกิจ&ตลาดหุ้นปี53(Part II - E

โพสต์ที่ 1

โพสต์

หลังจากที่ตอนแรกได้เขียนถึงความคิดเห็นของ ดร. ก้องเกียรติไปในตอนแรกไปแล้ว ตอนสุดท้ายสำหรับ Set in the city lecture ปีนี้ของผมจะขอเขียนถึงเฉพาะคุณไพบูลย์นะครับ เพราะเนื้อหาที่ ดร. อนุสรณ์ พูดส่วนใหญ่จะไปในทิศทางเดียวกันกับ คุณไพบูลย์ ละก้ออีกอย่างนึงคือ ดร. อนุสรณ์ แกได้แสดงตัวเลขประกอบทาง presentationด้วย จดไม่ทันครับเลยขอนั่งฟังอย่างเดียว :p

เหมือนเดิมนะครับ ยินดีสำหรับทุก comment หากว่ามีจุดไหนผิดพลาด/ไม่ถูกต้อง

คุณ ไพบูลย์

* 2009 ปีที่พิเศษของทุกประเทศในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และ มาตราการของ FED ที่เป็นประวัติการณ์

- ปีนี้รัฐบาลทุกประเทศอัดฉีดงบประมาณเข้าไปในระบบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ จีน และ US เข้ากันเร็ว ส่วนไทยเราดูเหมือนจะออกตัวช้าไปหน่อย (งบไทยแข้มแข็ง)

- มาตราการ FED
> ลดดอกเบี้ย: สมัย Greenspan เคยลดเหลือ 1% ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิด Bubble ก่อนหน้านี้ พอมาถึงตอนนี้ Bernanke ลดเหลือ 0-0.25% ต่ำที่สุดในประวัติการณ์ เพราะเกรงว่าจะเกิด Great Depression แต่จริงๆแล้วร้ายแรงน้อยกว่านั้นเป็น Recession

> อัดฉีดสภาพคล่องไปเยอะมาก 1.6 ล้านล้านดอลล่าร์ เยอะมากที่สุดตั้งแต่ World War II (เนื่องจากกลัวว่าจะมี Bankและสถาบันการเงินล้มไปมากกว่านี้) เพิ่มการพิมพ์ Bankเข้าไปในระบบ (พิมพ์เท่าไหร่? หากเข้าไปดูงบการเงิน ในส่วนของเงินหมุนเวียน จะพบว่าก่อนมีอัตราส่วนที่มากกว่าก่อนที่ Lehman ล้มเยอะมาก เป็นสาเหตุที่ทำให้ USD อ่อนตัวอย่างต่อเนื่อง) รวมถึงการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ และได้เตรียมวงเงินเพื่อซื้อ Mortgage 1.25 ล้านล้านดอลล่าร์อีกด้วย

เม็ดเงินที่เข้ามาในระบบไปที่ไหน? -> ไปอยู่ที่สถาบันการเงิน
แล้วสถาบันการเงินเอาเงินไปทำอะไร? จะฝากไว้ที่ไหนก็ได้ดอกเบี้ยต่ำ จะปล่อยสินเชื่อให้เอกชนก็ได้ผลตอบแทนที่ต่ำเหมือนกัน -> เลยเอาเงินไปซื้อ พันธบัตร ลงทุนในตลาดทุน & ตลาดที่มีสภาพคล่องสูงเก็งกำไรง่าย แทนที่ควรจะนำเงินเหล่านั้นไปทำให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรม แต่กลับกลายเป็นว่าทำให้ตลาดทุนเฟ้อแทน

* ปีหน้าจะเป็นอย่างไร?
- จะมีการหยุดและลดยาโด๊ปที่ได้ใส่เข้าไปในระบบ จริงๆส่วนหนึ่งได้เริ่มทำไปบ้างแล้วคือการหยุดซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ รวมถึงสภาพคล่องที่ช่วยเหลือสถาบันการเงิน

(ขอเสริมส่วนของ ดร. อนุสรณ์ในนี้นิดนึงนะครับ ท่านได้ไปร่วมประชุม IMF & World Bank มา มีคำถามที่น่าสนใจที่ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาถกกันคือ มาตราการทางการเงินและการคลังที่ผิดปกติ จะถูกถอนอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดปัญหากับเศรษฐกิจโลก? เราๆท่านๆก็คงต้องติดตามดูกันครับ ^^)

ให้จับตามองช่วง มีนาคม ปีหน้าที่ FED จะหยุดพิมพ์ดอลล่าร์ สภาพคล่องในระบบจะน้อยลง ดอกเบี้ยจะมีการปรับตัวหนัก นอกจากนั้นคาดว่าจะมีการทยอยปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นตลอดเป็นระยะๆ ซึ่งจะคอยรบกวนตลาดหุ้นเป็นระยะๆเช่นกัน คาดว่าเงินที่ได้ถูกนำไปลงทุนในที่ต่างๆนั้น ก็จะทยอยถูกดึงกลับเพื่อไปชำระดอกเบี้ยคืนกลับ

- ภาพรวมคือทิศทางปีหน้า: ไม่สดใส กำไรจะไม่ surpriseเหมือนปีนี้ จากที่ก่อนหน้านี้คิดว่าจะไม่สดใสเท่าที่ควร ปัจจัยบวกหลายๆอย่างได้สะท้อนเข้ามาในตลาดหุ้นบ้างแล้ว จากที่ดูข้อมูลที่ผ่านมา P/E เฉลี่ยของตลาดไทยจะอยู่ที่ประมาณ 11 เท่า เมื่อนำกลับมาคำนวณตามหลักการ และ ปัจจัยของปีนี้ พื้นฐานของ SET ปีนี้ควรจะอยู่ที่ 650 จุด

*Sector ที่น่าสนใจ?
- คุณไพบูลย์ ให้ความสนใจในกลุ่ม Bank เนื่องจาก มีการคาดการณ์ว่าจะมีการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น และได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยที่จะปรับตัวขึ้น นอกจากนั้นต้นทุนของอุตสาหกรรมกลุ่มนี้ จะไม่มีการปรับตัวทันทีที่มีการปรับตัวของดอกเบี้ยอีกด้วย

ขอบคุณที่ให้ความสนใจนะครับ :)
ภาพประจำตัวสมาชิก
SunShine@Night
Verified User
โพสต์: 2196
ผู้ติดตาม: 0

Set in the city แนวโน้มเศรษฐกิจ&ตลาดหุ้นปี53(Part II - E

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ขอบคุณที่นำมาแบ่งปันกันนะครับ :)
VI ฝึกหัด สำนักปีเตอร์ ลินช์

หวังผลต่อแทนทบต้นมากกว่า 15% ต่อปี :)
miracle
Verified User
โพสต์: 18364
ผู้ติดตาม: 1

Set in the city แนวโน้มเศรษฐกิจ&ตลาดหุ้นปี53(Part II - E

โพสต์ที่ 3

โพสต์

อืมๆๆ
ดอกเบี้ยกำลังขึ้นแสดงว่าตอนนี้
หุ้นกู้ต้องเต็มตลาด สภาพคล่องหดตัวลดลง
กำลังเกิดศึกการชิงสภาพคล่องของธนาคาร

งานนี้ต้องดูต่อไปว่า ธนาคารรับมือกันอย่างไง
เพราะต้นทุนเงินทุนของธนาคารตัวหนึ่งคือ ดอกเบี้ย
ทั้งส่วนของดอกเบี้ยรับ และดอกเบี้ยจ่าย
ซึ่งตอนนี้มันถ่างขาจนน่าเกลียดมาก
:)
:)
โพสต์โพสต์