ดูไบ ประกาศชักดาบครับ....
- MO101
- Verified User
- โพสต์: 3226
- ผู้ติดตาม: 1
ดูไบ ประกาศชักดาบครับ....
โพสต์ที่ 31
รมว.คลัง ลั่นปัญหาฟองสบู่ในดูไบไม่กระทบเศรษฐกิจไทย ระบุตัวชี้วัดในภาคอสังหาริมทรัพย์และตลาดหุ้นยังไม่มีสัญญาณผลกระทบ
เมื่อวันที่ 27 พ.ย. นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณี บริษัท ดูไบเวิล์ด มีปัญหาไม่สามารถชำระหนี้ได้รวมทั้งปัญหาฟองสบู่ที่เกิดขึ้นที่ดูไบว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่เกิดมานานแล้ว และไม่ใช่เรื่องใหม่ โดยปัญหาฟองสบู่ในดูไบแตกต่างจากปัญหาที่เคยเกิดขึ้นกับประเทศเอเชียเมื่อ 10 ปีก่อนหน้านี้ ซึ่งยืนยันว่า ปัญหาฟองสบู่ในดูไบจะไม่มีผลกระทบต่อไทย เพราะขณะนี้ไทยกำลังเริ่มฟื้นตัวจากปัญหาเศรษฐกิจ และตัวชี้วัดในภาคอสังหาริมทรัพย์และตลาดหุ้น ซึ่งถือว่ามีส่วนสำคัญ ก็ยังไม่มีสัญญาณว่าจะเกิดฟองสบู่ โดยราคาที่ดินยอดขายอสังหาริมทรัพย์ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ
รมว.คลัง กล่าวต่อว่า ราคาหุ้นใน ตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับเพิ่มขึ้น 60% จากต้นปี 2552 เนื่องจากนักลงทุนเข้ามาลงทุน เพราะผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนดี ตามภาวะเศรษฐกิจที่คาดว่ากำลังฟื้นตัว ซึ่งเป็นเหตุเป็นผลไม่ได้เกิดจากภาวะฟองสบู่ ดังนั้น แม้ทางดูไบจะมีปัญหา แต่คงไม่มีผลกระทบไปยังประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นตลาดส่งออกใหม่ของไทย เพราะข้อมูลล่าสุด หลังนายกรัฐมนตรีไปเยือนกาตาร์ก็พบว่า เศรษฐกิจมีความเข้มแข็งดี
-------------------------------------------
ที่มา ไทยรัฐ
http://www.thairath.co.th/content/eco/49602
เมื่อวันที่ 27 พ.ย. นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณี บริษัท ดูไบเวิล์ด มีปัญหาไม่สามารถชำระหนี้ได้รวมทั้งปัญหาฟองสบู่ที่เกิดขึ้นที่ดูไบว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่เกิดมานานแล้ว และไม่ใช่เรื่องใหม่ โดยปัญหาฟองสบู่ในดูไบแตกต่างจากปัญหาที่เคยเกิดขึ้นกับประเทศเอเชียเมื่อ 10 ปีก่อนหน้านี้ ซึ่งยืนยันว่า ปัญหาฟองสบู่ในดูไบจะไม่มีผลกระทบต่อไทย เพราะขณะนี้ไทยกำลังเริ่มฟื้นตัวจากปัญหาเศรษฐกิจ และตัวชี้วัดในภาคอสังหาริมทรัพย์และตลาดหุ้น ซึ่งถือว่ามีส่วนสำคัญ ก็ยังไม่มีสัญญาณว่าจะเกิดฟองสบู่ โดยราคาที่ดินยอดขายอสังหาริมทรัพย์ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ
รมว.คลัง กล่าวต่อว่า ราคาหุ้นใน ตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับเพิ่มขึ้น 60% จากต้นปี 2552 เนื่องจากนักลงทุนเข้ามาลงทุน เพราะผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนดี ตามภาวะเศรษฐกิจที่คาดว่ากำลังฟื้นตัว ซึ่งเป็นเหตุเป็นผลไม่ได้เกิดจากภาวะฟองสบู่ ดังนั้น แม้ทางดูไบจะมีปัญหา แต่คงไม่มีผลกระทบไปยังประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นตลาดส่งออกใหม่ของไทย เพราะข้อมูลล่าสุด หลังนายกรัฐมนตรีไปเยือนกาตาร์ก็พบว่า เศรษฐกิจมีความเข้มแข็งดี
-------------------------------------------
ที่มา ไทยรัฐ
http://www.thairath.co.th/content/eco/49602
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
news
โพสต์ที่ 32
มาร์ค โมเบียส เชื่อ ดูไบเวิลด์ผิดนัดชำระหนี้กดดันตลาดเกิดใหม่ปรับฐาน
Posted on Friday, November 27, 2009
นายมาร์ค โมเบียส ผู้บริหารกองทุนบริษัทเทมเพิลตัน แอสเซท แมเนจเมนท์ บอกว่า การที่ บริษัทดูไบเวิลด์ ประกาศเลื่อนการชำระหนี้ออกไป 6 เดือน จะก่อให้เกิดแรงขายในตลาดหุ้นเกิดใหม่ทั่วโลก ซึ่งจะเป็นการปรับฐานครั้งสำคัญของตลาดหุ้นที่เคยอยู่ภาวะกระทิงอย่างต่อเนื่อง
นายโมเบียส บอกว่า ค่อนข้างซีเรียสกับกรณีการผิดนัดชำระหนี้ของ ดูไบเวิล์ด เมื่อขนาดดูไบยังผิดนัดชำระหนี้ ย่อมหมายความว่าอาจมีการผิดนัดชำระหนี้ขยายวงออกไปยังที่อื่นๆ
ทั้งนี้ โลกการเงินต่างจับตามองสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หลังจากบริษัทดูไบ เวิลด์ ซึ่งเป็นบริษัทเพื่อการลงทุนของทางการดูไบ นครแห่งความมั่งคั่งของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ประกาศขอเลื่อนการชำระหนี้ จำนวน 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.19 แสนล้านบาท ที่จะถึงกำหนดชำระในเดือน ธันวาคมนี้ ออกไปอีก 6 เดือน หรือจนกว่าจะถึงเดือน พฤษภาคม 2553 เนื่องจากยังคงได้รับผลกระทบจากภาวะวิกฤติสินเชื่อ และเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย และล่าสุดสถานะทางการเงินของดูไบ เวิลด์ อยู่ในขั้นย่ำแย่ โดยมีหนี้สินรวมกว่า 5.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.8 ล้านล้านบาท
money news update
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/New ... fault.aspx
Posted on Friday, November 27, 2009
นายมาร์ค โมเบียส ผู้บริหารกองทุนบริษัทเทมเพิลตัน แอสเซท แมเนจเมนท์ บอกว่า การที่ บริษัทดูไบเวิลด์ ประกาศเลื่อนการชำระหนี้ออกไป 6 เดือน จะก่อให้เกิดแรงขายในตลาดหุ้นเกิดใหม่ทั่วโลก ซึ่งจะเป็นการปรับฐานครั้งสำคัญของตลาดหุ้นที่เคยอยู่ภาวะกระทิงอย่างต่อเนื่อง
นายโมเบียส บอกว่า ค่อนข้างซีเรียสกับกรณีการผิดนัดชำระหนี้ของ ดูไบเวิล์ด เมื่อขนาดดูไบยังผิดนัดชำระหนี้ ย่อมหมายความว่าอาจมีการผิดนัดชำระหนี้ขยายวงออกไปยังที่อื่นๆ
ทั้งนี้ โลกการเงินต่างจับตามองสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หลังจากบริษัทดูไบ เวิลด์ ซึ่งเป็นบริษัทเพื่อการลงทุนของทางการดูไบ นครแห่งความมั่งคั่งของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ประกาศขอเลื่อนการชำระหนี้ จำนวน 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.19 แสนล้านบาท ที่จะถึงกำหนดชำระในเดือน ธันวาคมนี้ ออกไปอีก 6 เดือน หรือจนกว่าจะถึงเดือน พฤษภาคม 2553 เนื่องจากยังคงได้รับผลกระทบจากภาวะวิกฤติสินเชื่อ และเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย และล่าสุดสถานะทางการเงินของดูไบ เวิลด์ อยู่ในขั้นย่ำแย่ โดยมีหนี้สินรวมกว่า 5.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.8 ล้านล้านบาท
money news update
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/New ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 175
- ผู้ติดตาม: 0
ดูไบ ประกาศชักดาบครับ....
โพสต์ที่ 33
อยากสอบถามครับว่าในกรณีแบบนี้รัฐบาลของ Dubai จะเข้ามาอุ้มหรือเปล่า และถ้าเกิด Dubai world ต้องผิดชำระขึ้นมาจริง ๆอีกครั้งหลังจากเลื่อนครั้งนี้
ไม่รู้ว่ามีรูปแบบผลกระทบเหมือนกันกับอเมริกาหรือไม่ครับ
ส่วนตัวคิดว่าคงไม่น่าจะกระทบมากนี่นา
ไม่รู้ว่ามีรูปแบบผลกระทบเหมือนกันกับอเมริกาหรือไม่ครับ
ส่วนตัวคิดว่าคงไม่น่าจะกระทบมากนี่นา
เงินต้นอยู่ครบ ผลตอบแทนทบต้น
-
- Verified User
- โพสต์: 18364
- ผู้ติดตาม: 1
ดูไบ ประกาศชักดาบครับ....
โพสต์ที่ 34
เนื้อเพลง: เล่าสู่กันฟัง
อัลบั้ม: Smile Club
เพลงของ เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์
ฉันยังจำเสมอที่เธอเคยบอกกับฉัน คิดแล้วยังตื้นตันเกินอธิบาย
นึกถึงคำๆนั้นทุกวันที่ห่างกันไป เหมือนมันเป็นโยงใยที่ส่งถึงกัน
ไม่ว่าเราจะโชคดี หรือบางทีที่ร้องไห้ ต่างคนสนใจจะฟัง
เพราะว่าในชีวิตเรื่องจริงมันต่างจากฝัน ฝันไม่เคยมีวันที่เจ็บช้ำใจ
มีผู้คนอยู่รอบกาย เหมือนไม่มีไม่เห็นใคร แต่ใจๆฉันยังมีเธอ
คืนที่ไร้แสงไฟ วันที่ใจมัวหม่น ขอเพียงใครสักคนห่วงใยกัน
วันที่เสียน้ำตา วันที่ฟ้าเปลี่ยนผัน เธอก็ยังมีฉันอยู่ทั้งคน
ฝนที่ตกทางโน้น หนาวถึงคนทางนี้ ยังอยากได้ยินทุกเรื่องราว
ยังนอนดึกอยู่ใช่ไหม เธอผอมไปหรือเปล่า อย่าลืมเล่าสู่กันฟัง
คืนที่ไร้แสงไฟ วันที่ใจมัวหม่น ขอเพียงใครสักคนห่วงใยกัน
วันที่เสียน้ำตา วันที่ฟ้าเปลี่ยนผัน เธอก็ยังมีฉันอยู่ทั้งคน
(เพราะ)ฝนที่ตก(อยู่)ทางโน้น หนาวถึงคนทางนี้ ยังอยากได้ยินทุกเรื่องราว
เธอลำบากอะไรไหม เธอสู้ไหวหรือเปล่า อย่าลืมเล่าสู่กันฟัง
(เพราะ)ฝนที่ตก(อยู่)ทางโน้น หนาวถึงคนทางนี้ ยังอยากได้ยินทุกเรื่องราว
เธอลำบากอะไรไหม เธอสู้ไหวหรือเปล่า อย่าลืมเล่าสู่กันฟัง
เธอยังขาดอะไรไหม เธอสู้ไหวหรือเปล่า
อย่าลืมเล่าสู่กันฟัง เธอยังมีฉันอยู่ทั้งคน
-------------------------------------------------------------------
เหมาะกับกระทู้นี้จริงๆๆ
อัลบั้ม: Smile Club
เพลงของ เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์
ฉันยังจำเสมอที่เธอเคยบอกกับฉัน คิดแล้วยังตื้นตันเกินอธิบาย
นึกถึงคำๆนั้นทุกวันที่ห่างกันไป เหมือนมันเป็นโยงใยที่ส่งถึงกัน
ไม่ว่าเราจะโชคดี หรือบางทีที่ร้องไห้ ต่างคนสนใจจะฟัง
เพราะว่าในชีวิตเรื่องจริงมันต่างจากฝัน ฝันไม่เคยมีวันที่เจ็บช้ำใจ
มีผู้คนอยู่รอบกาย เหมือนไม่มีไม่เห็นใคร แต่ใจๆฉันยังมีเธอ
คืนที่ไร้แสงไฟ วันที่ใจมัวหม่น ขอเพียงใครสักคนห่วงใยกัน
วันที่เสียน้ำตา วันที่ฟ้าเปลี่ยนผัน เธอก็ยังมีฉันอยู่ทั้งคน
ฝนที่ตกทางโน้น หนาวถึงคนทางนี้ ยังอยากได้ยินทุกเรื่องราว
ยังนอนดึกอยู่ใช่ไหม เธอผอมไปหรือเปล่า อย่าลืมเล่าสู่กันฟัง
คืนที่ไร้แสงไฟ วันที่ใจมัวหม่น ขอเพียงใครสักคนห่วงใยกัน
วันที่เสียน้ำตา วันที่ฟ้าเปลี่ยนผัน เธอก็ยังมีฉันอยู่ทั้งคน
(เพราะ)ฝนที่ตก(อยู่)ทางโน้น หนาวถึงคนทางนี้ ยังอยากได้ยินทุกเรื่องราว
เธอลำบากอะไรไหม เธอสู้ไหวหรือเปล่า อย่าลืมเล่าสู่กันฟัง
(เพราะ)ฝนที่ตก(อยู่)ทางโน้น หนาวถึงคนทางนี้ ยังอยากได้ยินทุกเรื่องราว
เธอลำบากอะไรไหม เธอสู้ไหวหรือเปล่า อย่าลืมเล่าสู่กันฟัง
เธอยังขาดอะไรไหม เธอสู้ไหวหรือเปล่า
อย่าลืมเล่าสู่กันฟัง เธอยังมีฉันอยู่ทั้งคน
-------------------------------------------------------------------
เหมาะกับกระทู้นี้จริงๆๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
dubai
โพสต์ที่ 36
ผ่าขุมทรัพย์/เจ้าหนี้ ดูไบ
ดูไบ รัฐที่เคยได้ชื่อว่ามั่งคั่งที่สุดใน 7 รัฐของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) กำลังสั่นคลอนเศรษฐกิจโลกกับภาวะถังแตก และขอเลื่อนพักชำระหนี้ออกไป 6 เดือน
รายชื่อเหล่านี้คือบรรดาสินทรัพย์มหาศาลส่วนหนึ่งที่มาพร้อมกับภาระหนี้สินที่ต้องแบกรับ
ขุมทรัพย์
- โครงการอสังหาริมทรัพย์ ปาล์ม จูไมราห์ บนเกาะที่เนรมิตเป็นรูปต้นปาล์ม โครงการที่สำเร็จไปแล้วขณะนี้มีมูลค่ารวม 1.23 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 4.18 แสนล้านบาท)
- เมืองใหม่ จูไมราห์ การ์ เดนส์ มูลค่า 9.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3.23 ล้านล้านบาท)
- โรงแรม 7 ดาว แอตแลนติส เดอะ ปาล์ม มูลค่า 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 5.1 หมื่นล้านบาท)
- แหล่งช็อปปิ้ง ดาวน์ทาวน์ บูร์จ ดูไบ กับห้างสรรพสินค้า 1,200 แห่ง รวมมูลค่า 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 6.8 แสนล้านบาท)
- ตึกสูงที่สุดในโลก 160 ชั้น บูร์จ ดูไบ มีกำหนดจะเปิดตัววันที่ 4 ม.ค. 2553 มูลค่าการก่อสร้าง 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3.4 หมื่นล้านบาท) โดยเป็นส่วนหนึ่งของดาวน์ทาวน์ บูร์จ ดูไบ
- สวนสนุกดูไบแลนด์ มูลค่า 6.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 2.17 ล้านล้านบาท)
- ตึกระฟ้า นาคีล ทาวเวอร์ และท่าเรือนาคีล ฮาร์เบอร์ มูลค่า 2.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 9.52 แสนล้านบาท)
เจ้าหนี้ที่มีการเปิดเผย
- ธนาคารมิซูโฮ ในญี่ปุ่น 100 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3,400 ล้านบาท)
- ธนาคารซูมิโตโม มิตซุย ในญี่ปุ่น 200 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 6,800 ล้านบาท)
- ธนาคารในอังกฤษหลายแห่งรวมกัน 4.95 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.68 ล้านล้าน บาท) เฉพาะธนาคารเอชเอสบีซี โฮลดิงส์ 5,500 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.87 แสนล้านบาท)
- ธนาคารในฝรั่งเศสหลายแห่งรวมกัน 1.13 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3.84 แสนล้านบาท)
- ธนาคารในเยอรมนีหลายแห่งรวมกัน 1.02 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3.46 แสนล้านบาท)
posttoday
http://www.posttoday.com/international.php?id=78274
ดูไบ รัฐที่เคยได้ชื่อว่ามั่งคั่งที่สุดใน 7 รัฐของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) กำลังสั่นคลอนเศรษฐกิจโลกกับภาวะถังแตก และขอเลื่อนพักชำระหนี้ออกไป 6 เดือน
รายชื่อเหล่านี้คือบรรดาสินทรัพย์มหาศาลส่วนหนึ่งที่มาพร้อมกับภาระหนี้สินที่ต้องแบกรับ
ขุมทรัพย์
- โครงการอสังหาริมทรัพย์ ปาล์ม จูไมราห์ บนเกาะที่เนรมิตเป็นรูปต้นปาล์ม โครงการที่สำเร็จไปแล้วขณะนี้มีมูลค่ารวม 1.23 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 4.18 แสนล้านบาท)
- เมืองใหม่ จูไมราห์ การ์ เดนส์ มูลค่า 9.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3.23 ล้านล้านบาท)
- โรงแรม 7 ดาว แอตแลนติส เดอะ ปาล์ม มูลค่า 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 5.1 หมื่นล้านบาท)
- แหล่งช็อปปิ้ง ดาวน์ทาวน์ บูร์จ ดูไบ กับห้างสรรพสินค้า 1,200 แห่ง รวมมูลค่า 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 6.8 แสนล้านบาท)
- ตึกสูงที่สุดในโลก 160 ชั้น บูร์จ ดูไบ มีกำหนดจะเปิดตัววันที่ 4 ม.ค. 2553 มูลค่าการก่อสร้าง 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3.4 หมื่นล้านบาท) โดยเป็นส่วนหนึ่งของดาวน์ทาวน์ บูร์จ ดูไบ
- สวนสนุกดูไบแลนด์ มูลค่า 6.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 2.17 ล้านล้านบาท)
- ตึกระฟ้า นาคีล ทาวเวอร์ และท่าเรือนาคีล ฮาร์เบอร์ มูลค่า 2.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 9.52 แสนล้านบาท)
เจ้าหนี้ที่มีการเปิดเผย
- ธนาคารมิซูโฮ ในญี่ปุ่น 100 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3,400 ล้านบาท)
- ธนาคารซูมิโตโม มิตซุย ในญี่ปุ่น 200 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 6,800 ล้านบาท)
- ธนาคารในอังกฤษหลายแห่งรวมกัน 4.95 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.68 ล้านล้าน บาท) เฉพาะธนาคารเอชเอสบีซี โฮลดิงส์ 5,500 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.87 แสนล้านบาท)
- ธนาคารในฝรั่งเศสหลายแห่งรวมกัน 1.13 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3.84 แสนล้านบาท)
- ธนาคารในเยอรมนีหลายแห่งรวมกัน 1.02 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3.46 แสนล้านบาท)
posttoday
http://www.posttoday.com/international.php?id=78274
-
- Verified User
- โพสต์: 181
- ผู้ติดตาม: 0
บลจ.กรุงไทยแจงดูไบเลื่อนชำระหนี้หุ้นกู้
โพสต์ที่ 37
ไม่กระทบKTFF2เน้นลงทุนอาบูดาบี-กาต้าร์
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากกระแสข่าวที่รัฐบาลดูไบได้ประกาศ ขอเลื่อนการชำระหนี้ออกไปทำให้ตลาดเกิดความเกรงกลัวต่อความสามารถในการชำระหนี้ของรัฐอื่นๆ ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคด้วย โดยที่ผ่านมารัฐดูไบได้มีการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นโครงการ The World, The Palm หรือตึกที่สูงที่สุดในโลกอย่างเช่น Burj Dubai เป็นต้น ซึ่งการลงทุนที่เกินตัวนี้ทำให้รัฐดูไบเข้าสู่สถานการณ์ที่ลำบากเมื่อวิกฤติการณ์ทางการเงินของโลกเกิดขึ้น จนทำให้ต้องเลื่อนการชำระหนี้ เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา บริษัทได้มีการติดตามสถานการณ์ของรัฐดูไบมาโดยตลอด และเล็งเห็นถึงความเสี่ยงที่มากเกินไป จึงไม่ได้มีการลงทุนในดูไบแต่อย่างใด
ก่อนหน้าที่ บริษัทได้ปิดจำหน่ายกองทุนกองทุนรวมกรุงไทยตราสารหนี้ต่างประเทศ เอฟไอเอฟ 2 (KTFF2) เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นกองทุนที่มีอายุโครงการ 2 ปี11 เดือน มูลค่าโครงการ 400 ล้านบาท สามารถระดมเงินลงทุนได้ 148 ล้านบาท เป็นกองทุนที่ เน้นลงทุนในพันธบัตรของรัฐอาบูดาบี ซึ่งมีสถานะเป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุดในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ลงทุนในบริษัท ลาส รัฟฟาน ลิควีไฟด์ เนเชอรัล แก๊ส จำกัด ลงทุนในบริษัทอาบูดาบี เนชั่นแนล เอ็นเนอร์จี จำกัด (มหาชน) และลงทุนในพันธบัตรที่ออกโดยรัฐบาลเกาหลีใต้ ในสัดส่วนสถาบันละประมาณ 25 %ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณการที่3% ต่อปี
โดยกองทุนไม่ได้รับผลกระทบจากสถานะการดังกล่าว เนื่องจาก รัฐอาบูดาบีมีความเข้มแข็งกว่ามาก เป็นรัฐขนาดใหญ่สุดของสหรัฐอาหรับอามิเรตส์ โดยมีพื้นที่ประมาณ 67,340 ตร.กม. หรือประมาณ 80%ของประเทศ และมีรายได้สูงสุด มาจากการส่งออกน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งอาบูดาบีมีปริมาณน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติสำรองคิดเป็นประมาณ 95% ของปริมาณน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติสำรองของประเทศทั้งหมด และถือเป็นปริมาณน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติสำรองมากเป็นลำดับที่ 7 ของโลก ดังนั้น รัฐอาบูดาบีจึงมีทรัพยากรธรรมชาติที่สามารถแปลงเป็นเงินทุนได้อีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งแตกต่างจากดูไบที่ไม่มีน้ำมันดิบสำรองเหลืออยู่แล้ว
นอกจากนี้ รัฐอาบูดาบียังได้เก็บรายได้จากการขายน้ำมันเข้าสู่ Sovererign Wealth Fund (SWF) คือ Abu Dhabi Investment Authority (ADIA) ซึ่งนับเป็น SWF ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เชื่อว่ามีทรัพย์สินภายใต้การจัดการอยู่ระหว่าง 6.5 ถึง 8.75 แสนล้านดอลลาร์ สรอ. ในปี 2551 ซึ่งใหญ่กว่า SWF ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของนอร์เวย์ถึงประมาณหนึ่งเท่าตัว
ทั้งนี้ Moodys ได้ให้อันดับความน่าเชื่อถือของรัฐอาบูดาบีที่ Aa2 เนื่องจากมีทรัพยากรธรรมชาติสำรองอีกเป็นจำนวนมาก และความแข็งแกร่งของฐานะการคลังของรัฐ ซึ่งสามารถรับภาวะถดถอยของโลกที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้
สำหรับบริษัทอาบูดาบี เนชั่นแนล เอ็นเนอร์จี จำกัด (มหาชน) (Abu Dhabi National Energy Company PJSC : TAQA) เป็นธุรกิจด้านพลังงานครบวงจรของรัฐ อาบูดาบี ณ สิ้นปี 2551 TAQA มีสินทรัพย์ทั้งหมด 86.4 พันล้านเดอร์แฮม และมีรายได้ในปี 2551 เท่ากัย 16.8 พันล้านเดอร์แฮม และมีกำไรสุทธิเท่ากับ พันล้าน 1,825 พันล้านเดอร์แฮม โดยมีผู้ถือหุ้นใหญ่คือ Abu Dhabi Water and Electricity Authority ซึ่งมีรัฐบาลอาบูดาบีเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด ดังนั้น TAQA จึงมีความเข้มแข็งเทียบเท่ากับได้กับรัฐอาบูดาบี โดย Moodys Investor Service จัดอันดับความน่าเชื่อถือของ TAQA ไว้ที่ Aa2
ส่วนบริษัท ลาส รัฟฟาน ลิควีไฟด์ เนเชอรัล แก๊ส จำกัด (Ras Laffan LNG Company Limited : RASGAS) เป็นบริษัทในเครือของกาตาร์ปิโตรเลียมซึ่งเป็นหน่วยงานทางด้านปิโตรเลียมและการพัฒนาพลังงานของประเทศกาตาร์ ซึ่งรัฐบาลกาตาร์ถือหุ้นใน Qatar Petroleum ประมาณ 10% โดยผู้ถือหุ้นใหญ่ของ RasGas II-3 คือ Qatar Petroleum และ Exxon Mobil ซึ่งถือหุ้นในส่วน 70% และ 30% ตามลำดับ โดยปัจจุบัน RasGAs II-3 เป็นหนึ่งในบริษัทผู้ผลิต LNG แถวหน้าของโลก ส่วนประเทศกาตาร์นับเป็นประเทศที่มีรายได้ต่อคนสูงที่สุดในโลก มีทรัพยากรธรรมชาติอยู่มาก โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติสำรองที่มากเป็นอันดับที่ 3 ของ โลก และเพียงพอที่จะผลิตได้อีกมากกว่า 100 ปี ณ ระดับการผลิตในปี 2008 รายได้จากการจำหน่ายก๊าซธรรมชาติและน้ำมันทำให้กาตาร์มีฐานะการคลังที่แข็งแกร่ง มีศักยภาพในการชำระหนี้สูง นอกจานี้ กาตาร์ยังพยายามพัฒนาตนเองให้เป็นเศรษฐกิจแห่งการเรียนรู้จะช่วยทำให้เศรษฐกิจสามารถพัฒนาต่อไปได้ในระยะยาว แม้ว่ากาตาร์จะมีความพยายามที่จะพัฒนาภาคอสังหาริมทรัพย์เพื่อกระจายแหล่งที่มาของรายได้ แต่ก็ไม่ได้ลงทุนมากเกินตัวดังเช่นดูไบ และยังได้รับอันดับความน่าเชื่อถือที่ Aa2 จาก Moodys และ AA- จาก S&P
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากกระแสข่าวที่รัฐบาลดูไบได้ประกาศ ขอเลื่อนการชำระหนี้ออกไปทำให้ตลาดเกิดความเกรงกลัวต่อความสามารถในการชำระหนี้ของรัฐอื่นๆ ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคด้วย โดยที่ผ่านมารัฐดูไบได้มีการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นโครงการ The World, The Palm หรือตึกที่สูงที่สุดในโลกอย่างเช่น Burj Dubai เป็นต้น ซึ่งการลงทุนที่เกินตัวนี้ทำให้รัฐดูไบเข้าสู่สถานการณ์ที่ลำบากเมื่อวิกฤติการณ์ทางการเงินของโลกเกิดขึ้น จนทำให้ต้องเลื่อนการชำระหนี้ เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา บริษัทได้มีการติดตามสถานการณ์ของรัฐดูไบมาโดยตลอด และเล็งเห็นถึงความเสี่ยงที่มากเกินไป จึงไม่ได้มีการลงทุนในดูไบแต่อย่างใด
ก่อนหน้าที่ บริษัทได้ปิดจำหน่ายกองทุนกองทุนรวมกรุงไทยตราสารหนี้ต่างประเทศ เอฟไอเอฟ 2 (KTFF2) เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นกองทุนที่มีอายุโครงการ 2 ปี11 เดือน มูลค่าโครงการ 400 ล้านบาท สามารถระดมเงินลงทุนได้ 148 ล้านบาท เป็นกองทุนที่ เน้นลงทุนในพันธบัตรของรัฐอาบูดาบี ซึ่งมีสถานะเป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุดในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ลงทุนในบริษัท ลาส รัฟฟาน ลิควีไฟด์ เนเชอรัล แก๊ส จำกัด ลงทุนในบริษัทอาบูดาบี เนชั่นแนล เอ็นเนอร์จี จำกัด (มหาชน) และลงทุนในพันธบัตรที่ออกโดยรัฐบาลเกาหลีใต้ ในสัดส่วนสถาบันละประมาณ 25 %ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณการที่3% ต่อปี
โดยกองทุนไม่ได้รับผลกระทบจากสถานะการดังกล่าว เนื่องจาก รัฐอาบูดาบีมีความเข้มแข็งกว่ามาก เป็นรัฐขนาดใหญ่สุดของสหรัฐอาหรับอามิเรตส์ โดยมีพื้นที่ประมาณ 67,340 ตร.กม. หรือประมาณ 80%ของประเทศ และมีรายได้สูงสุด มาจากการส่งออกน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งอาบูดาบีมีปริมาณน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติสำรองคิดเป็นประมาณ 95% ของปริมาณน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติสำรองของประเทศทั้งหมด และถือเป็นปริมาณน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติสำรองมากเป็นลำดับที่ 7 ของโลก ดังนั้น รัฐอาบูดาบีจึงมีทรัพยากรธรรมชาติที่สามารถแปลงเป็นเงินทุนได้อีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งแตกต่างจากดูไบที่ไม่มีน้ำมันดิบสำรองเหลืออยู่แล้ว
นอกจากนี้ รัฐอาบูดาบียังได้เก็บรายได้จากการขายน้ำมันเข้าสู่ Sovererign Wealth Fund (SWF) คือ Abu Dhabi Investment Authority (ADIA) ซึ่งนับเป็น SWF ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เชื่อว่ามีทรัพย์สินภายใต้การจัดการอยู่ระหว่าง 6.5 ถึง 8.75 แสนล้านดอลลาร์ สรอ. ในปี 2551 ซึ่งใหญ่กว่า SWF ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของนอร์เวย์ถึงประมาณหนึ่งเท่าตัว
ทั้งนี้ Moodys ได้ให้อันดับความน่าเชื่อถือของรัฐอาบูดาบีที่ Aa2 เนื่องจากมีทรัพยากรธรรมชาติสำรองอีกเป็นจำนวนมาก และความแข็งแกร่งของฐานะการคลังของรัฐ ซึ่งสามารถรับภาวะถดถอยของโลกที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้
สำหรับบริษัทอาบูดาบี เนชั่นแนล เอ็นเนอร์จี จำกัด (มหาชน) (Abu Dhabi National Energy Company PJSC : TAQA) เป็นธุรกิจด้านพลังงานครบวงจรของรัฐ อาบูดาบี ณ สิ้นปี 2551 TAQA มีสินทรัพย์ทั้งหมด 86.4 พันล้านเดอร์แฮม และมีรายได้ในปี 2551 เท่ากัย 16.8 พันล้านเดอร์แฮม และมีกำไรสุทธิเท่ากับ พันล้าน 1,825 พันล้านเดอร์แฮม โดยมีผู้ถือหุ้นใหญ่คือ Abu Dhabi Water and Electricity Authority ซึ่งมีรัฐบาลอาบูดาบีเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด ดังนั้น TAQA จึงมีความเข้มแข็งเทียบเท่ากับได้กับรัฐอาบูดาบี โดย Moodys Investor Service จัดอันดับความน่าเชื่อถือของ TAQA ไว้ที่ Aa2
ส่วนบริษัท ลาส รัฟฟาน ลิควีไฟด์ เนเชอรัล แก๊ส จำกัด (Ras Laffan LNG Company Limited : RASGAS) เป็นบริษัทในเครือของกาตาร์ปิโตรเลียมซึ่งเป็นหน่วยงานทางด้านปิโตรเลียมและการพัฒนาพลังงานของประเทศกาตาร์ ซึ่งรัฐบาลกาตาร์ถือหุ้นใน Qatar Petroleum ประมาณ 10% โดยผู้ถือหุ้นใหญ่ของ RasGas II-3 คือ Qatar Petroleum และ Exxon Mobil ซึ่งถือหุ้นในส่วน 70% และ 30% ตามลำดับ โดยปัจจุบัน RasGAs II-3 เป็นหนึ่งในบริษัทผู้ผลิต LNG แถวหน้าของโลก ส่วนประเทศกาตาร์นับเป็นประเทศที่มีรายได้ต่อคนสูงที่สุดในโลก มีทรัพยากรธรรมชาติอยู่มาก โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติสำรองที่มากเป็นอันดับที่ 3 ของ โลก และเพียงพอที่จะผลิตได้อีกมากกว่า 100 ปี ณ ระดับการผลิตในปี 2008 รายได้จากการจำหน่ายก๊าซธรรมชาติและน้ำมันทำให้กาตาร์มีฐานะการคลังที่แข็งแกร่ง มีศักยภาพในการชำระหนี้สูง นอกจานี้ กาตาร์ยังพยายามพัฒนาตนเองให้เป็นเศรษฐกิจแห่งการเรียนรู้จะช่วยทำให้เศรษฐกิจสามารถพัฒนาต่อไปได้ในระยะยาว แม้ว่ากาตาร์จะมีความพยายามที่จะพัฒนาภาคอสังหาริมทรัพย์เพื่อกระจายแหล่งที่มาของรายได้ แต่ก็ไม่ได้ลงทุนมากเกินตัวดังเช่นดูไบ และยังได้รับอันดับความน่าเชื่อถือที่ Aa2 จาก Moodys และ AA- จาก S&P
-
- Verified User
- โพสต์: 181
- ผู้ติดตาม: 0
อาการออก ตั้งแต่ เลื่อนเปิดตึก "เบิร์จ ดูไบ"
โพสต์ที่ 38
ล่า ช้ากว่ากำหนด เลื่อนเปิดอาคาร เบิร์จ ดูไบ เป็นต้นปีหน้า ขณะที่ก่อนหน้านี้ประธานบริษัทก่อสร้างย้ำอย่างมั่นใจกับซีเอ็นเอ็นว่าเสร็จ ทันแน่นอน
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันทึ่ 5 พ.ย. ว่า พิธีเปิดอาคาร เบิร์จ ดูไบ ตึกระฟ้าที่ขนาดความสูงที่สุดในโลก 818 ม. ใจกลางนครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตน์ ซึ่งสามารถทำลายสถิติเดิมที่ตึกไทเป 101 ของไต้หวันเคยได้รับการบันทึกโลกไว้จำต้องเลื่อนออกไปเป็นวันที่ 4 ม.ค.ปี 2553 ถือว่าล่าช้ากว่าที่กำหนดไว้เป็นเวลาเดือนเศษ ทั้งที่ตั้งใจให้เปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 2 ธ.ค.ปีนี้ ซึ่งตรงกับวันครบรอบปีที่ 4 ของการแต่งตั้งชีค โมฮัมเหม็ด บิน ราชิด อัล มัคโทอูม ขึ้นดำรงตำแหน่งเจ้าปกครองนครดูไบ
บริษัท อีมาอาร์ พร็อพเพอร์ตี้ ผู้รับผิิดชอบในการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยรวมแหล่งย่านการค้าที่ใช้ เหล็กกล้าและแผ่นกระจก โดยเฉพาะในส่วนด้านหน้าที่มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ ซึ่งใช้แผ่นกระจกตีวางบนพื้นที่กว่า 92,903 ตร.ม.เทียบเท่ากับสนามฟุตบอล 14 สนาม จากที่เร่ิมเร่งดำเนินการก่อสร้างกินเวลา 5 ปีเศษ
ทั้งนี้ ในเดือนม.ค.ปี 2550 ระดมแรงงานซึ่งส่วนใหญ่มาจากอินเดียราว 3,000 คน ก่อสร้างสำเร็จไปถึงชั้นที่ 100 กระนั้นแทบทุก 3 วันก็จะมีการปรับเพ่ิมชั้นให้สูงขึ้นไปอีก ขณะที่นายโมฮาเหม็ด อลับบาร์ ประธานบริษัท อีมาอาร์ เพ่ิงแถลงเมื่อต.ค.ที่ผ่านมากับทางสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นยังย้ำอย่างมั่น ใจ ว่าการก่อสร้างอาคารสูงเสียดฟ้า ท่ามกลางตึกระฟ้ารายรอบและห้างสรรพสินค้าทีี่่โอ่โถงที่สุดในตะวันออกกลางจะ เสร็จสิ้นทันตามกำหนดอย่างแน่นอน
ไทยรัฐออ][/url]
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันทึ่ 5 พ.ย. ว่า พิธีเปิดอาคาร เบิร์จ ดูไบ ตึกระฟ้าที่ขนาดความสูงที่สุดในโลก 818 ม. ใจกลางนครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตน์ ซึ่งสามารถทำลายสถิติเดิมที่ตึกไทเป 101 ของไต้หวันเคยได้รับการบันทึกโลกไว้จำต้องเลื่อนออกไปเป็นวันที่ 4 ม.ค.ปี 2553 ถือว่าล่าช้ากว่าที่กำหนดไว้เป็นเวลาเดือนเศษ ทั้งที่ตั้งใจให้เปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 2 ธ.ค.ปีนี้ ซึ่งตรงกับวันครบรอบปีที่ 4 ของการแต่งตั้งชีค โมฮัมเหม็ด บิน ราชิด อัล มัคโทอูม ขึ้นดำรงตำแหน่งเจ้าปกครองนครดูไบ
บริษัท อีมาอาร์ พร็อพเพอร์ตี้ ผู้รับผิิดชอบในการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยรวมแหล่งย่านการค้าที่ใช้ เหล็กกล้าและแผ่นกระจก โดยเฉพาะในส่วนด้านหน้าที่มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ ซึ่งใช้แผ่นกระจกตีวางบนพื้นที่กว่า 92,903 ตร.ม.เทียบเท่ากับสนามฟุตบอล 14 สนาม จากที่เร่ิมเร่งดำเนินการก่อสร้างกินเวลา 5 ปีเศษ
ทั้งนี้ ในเดือนม.ค.ปี 2550 ระดมแรงงานซึ่งส่วนใหญ่มาจากอินเดียราว 3,000 คน ก่อสร้างสำเร็จไปถึงชั้นที่ 100 กระนั้นแทบทุก 3 วันก็จะมีการปรับเพ่ิมชั้นให้สูงขึ้นไปอีก ขณะที่นายโมฮาเหม็ด อลับบาร์ ประธานบริษัท อีมาอาร์ เพ่ิงแถลงเมื่อต.ค.ที่ผ่านมากับทางสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นยังย้ำอย่างมั่น ใจ ว่าการก่อสร้างอาคารสูงเสียดฟ้า ท่ามกลางตึกระฟ้ารายรอบและห้างสรรพสินค้าทีี่่โอ่โถงที่สุดในตะวันออกกลางจะ เสร็จสิ้นทันตามกำหนดอย่างแน่นอน
ไทยรัฐออ][/url]
- โอบาน่า
- Verified User
- โพสต์: 257
- ผู้ติดตาม: 0
Re: dubai
โพสต์ที่ 39
[quote="naijan"]ผ่าขุมทรัพย์/เจ้าหนี้ ดูไบ
ดูไบ รัฐที่เคยได้ชื่อว่ามั่งคั่งที่สุดใน 7 รัฐของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) กำลังสั่นคลอนเศรษฐกิจโลกกับภาวะถังแตก และขอเลื่อนพักชำระหนี้ออกไป 6 เดือน
รายชื่อเหล่านี้คือบรรดาสินทรัพย์มหาศาลส่วนหนึ่งที่มาพร้อมกับภาระหนี้สินที่ต้องแบกรับ
ดูไบ รัฐที่เคยได้ชื่อว่ามั่งคั่งที่สุดใน 7 รัฐของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) กำลังสั่นคลอนเศรษฐกิจโลกกับภาวะถังแตก และขอเลื่อนพักชำระหนี้ออกไป 6 เดือน
รายชื่อเหล่านี้คือบรรดาสินทรัพย์มหาศาลส่วนหนึ่งที่มาพร้อมกับภาระหนี้สินที่ต้องแบกรับ
*
*
*
จะรวยต้อง เก่ง+เฮง ที่สำคัญต้องมีเมียดี
*
*
จะรวยต้อง เก่ง+เฮง ที่สำคัญต้องมีเมียดี
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
news
โพสต์ที่ 40
หวั่นพิษดูไบดับฝันศก.โลกฟื้น "กรุงศรีฯ-ใบโพธิ์-รับเหมาไทย"โดนหางเลข!
หวั่นพิษดูไบเวิลด์ฉุดเศรษฐกิจโลกระส่ำ ตลาดการเงิน-ตลาดหุ้นโดนก่อนเต็มๆ รมว.คลัง-นายแบงก์ชี้ผลกระทบอาจมาไม่ถึง เผยแบงก์-ธุรกิจไทยโดนหางเลขด้วย แบงก์กรุงศรีฯ ไทยพาณิชย์แจ็กพ็อต อิตาเลี่ยนไทย-เนาวรัตน์ฯเซ็งดูไบยังค้างจ่ายหนี้อีก800ล้าน กลุ่มธุรกิจผู้รับเหมาขยาดเบรกแผนลุยตะวันออกกลาง กรณ์มองแง่บวกยังไม่กระทบถึงเอเชียและไทยโดยตรง
ทันทีที่กลุ่มดูไบ เวิลด์ กลไกการลงทุนเสาหลักของรัฐดูไบ ประกาศขอเลื่อนการชำระหนี้ออกไปจนถึงเดือนพฤษภาคมปีหน้า ก่อผลกระทบตามมาระลอกใหญ่ ทั้งการประกาศปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินของกลุ่มทุนภาครัฐ และเอกชนในดูไบ แรงสั่นสะเทือนต่อตลาดการเงินโลกที่เกิดขึ้นทันที สะท้อนผ่านการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นในหลายๆ ประเทศ อันมีผลให้นักวิเคราะห์ทั่วโลกกำลังจับตาว่า จะส่งผลเชิงลบรุนแรงในลักษณะเดียวกับวกรณีวิกฤตสถาบันการเงินในสหรัฐที่ฉุดเศรษฐกิจโลกทั้งระบบหรือไม่ ขณะเดียวกันผลกระทบที่เป็นรูปธรรมก็ปรากฎกับธุรกิจหลายๆ ประเภทในเมืองไทยด้วยเช่นเดียวกัน
การที่กลุ่มทุนดูไบ เวิลด์ ตัสดสินใจเมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2552 ประกาศแผนจะเจรจาเพื่อขอให้เจ้าหนี้รายสำคัญๆ เลื่อนการชำระหนี้ในส่วนของบริษัทนาคีล ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเครือออกไป จากเดิมที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 14 ธันวาคมนี้ ไปจนถึงเดือนพฤษภาคมปีหน้า ส่งผลให้ ตลาดหุ้นในยุโรป สหรัฐ ละตินอเมริกา จนถึงเอเชียต่างทรุดตัวลงอย่างถ้วนหน้า อันเป็นผลมาจากความวิตกกังวลต่อความเสี่ยงผูกพัน ที่สถาบันการเงิน และกลุ่มบริษัทก่อสร้างในยุโรป และเอเชีย มีต่อดูไบ เวิลด์
หุ้นธนาคารโรยัล แบงก์ ออฟ สก็อตแลนด์ เอสเอชบีซี โฮลดิงส์ ลอยด์ แบงกิ้ง กรุ๊ป และเครดิต สวิส กรุ๊ป ดิ่งลงมากกว่า 4.8% จากผลพวงของความกังวลที่ว่า ปัญหาในดูไบ อาจทำให้การฟื้นตัวของตลาดสินเชื่อทั่วโลก ต้องหยุดชะงักอีกครั้ง โดยรวมพบว่าปัจจัยความวิตกปัญหาหนี้ของดูไบ เวิลด์ ส่งผลให้ราคาหุ้นกลุ่มธนาคารในตลาดหุ้นลอนดอน มีมูลค่าลดลงถึง 1.4 หมื่นล้านปอนด์
รายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ ดิ อินดีเพนเดนท์ ของอังกฤษ ที่ประเมินว่า สถาบันการเงินในยุโรปมีความเสี่ยงผูกพันกับดูไบประมาณ 1.3-4 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยที่ชาอิน วอลเล่ หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุนในตะวันออกกลาง ของบีเอ็นพี พาริบาส์ คาดการณ์ว่า ธนาคารอังกฤษจะมีความเสี่ยงผูกพันกับดูไบมากที่สุด
@ กลุ่มแบงก์-ก่อสร้างเอเชียโดนด้วย
จากการรวบรวมผลกระทบของปัจจัยดูไบ ต่อภาคธุรกิจเอเชีย พบว่า ความเสี่ยงผูกพันที่ภูมิภาคเอเชีย มีต่อรัฐดูไบ กระจายอย่างกว้างขวาง ในหลายประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย สิงคโปร์ จนถึงประเทศไทย
ในออสเตรเลีย ซึงได้รับผลกระทบแบบทันทีทันใด จากการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และก่อสร้าง อาทิ ซันแลนด์ กรุ๊ป ดิ่งลงสูงสุด 8.1% โดยมีการลงทุนในดูไบ นับถึง 30 มิถุนายน 2.1 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย
ในญี่ปุ่น ผลกระทบสะท้อนให้เห็นจากการดิ่งลงของหุ้นโอบายาชิ และคาจิมะ 8.7% และ 14% ตามลำดับ
สำหรับเกาหลีใต้ ไทย และอินเดีย กลุ่มทุนที่เข้าไปลงทุนในสหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์ พลอยติดร่างแหไปกับปัจจัยความกลัว หลังนักวิเคราะห์บางรายตั้งข้อสังเกตว่า หลายบริษัท รวมถึงจีเอส เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์คอนสตรัทชั่น อิตาเลียน-ไทย ดิเวลอปเมนต์ และดีแอลเอฟ ของอินเดีย จะได้รับผลกระทบด้านลบจากโครงการของบริษัทในดูไบ
@หวั่นปมดูไบฉุดโลก "ถดถอยรอบสอง"
นอกเหนือจากความวิตกต่อความเสี่ยงผูกพันของกลุ่มทุนอสังหาริมทรัพย์ และสถาบันการเงินโลกแล้ว ยังพบว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อตลาดการเงินโลกเริ่มถดถอยลงอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้มาร์ค โมเบียส ผู้จัดการกองทุนชื่อดัง เทมเพิลตัน แอสเซ็ท แมเนจเมนต์ เตือนว่า วิกฤตดูไบบวกกับการลดค่าเงินด่องของเวียดนาม อาจเป็นตัวเร่งให้นักลงทุนถอยฉากเพื่อรอดูสถานการณ์ และถอนเงินลงทุนออกไปก่อน โดยคาดว่าจะเกิดการปรับฐานครั้งใหญ่ ก่อนที่ตลาดจะเข้าสู่ช่วงขาขึ้นอีกครั้ง
ขณะที่ชาฮิน วอลเล่ จากบีเอ็นพี พาริบาส์ ตั้งข้อสังเกตถึงสถานการณ์ในตลาดการเงินขณะนี้ว่า เต็มไปด้วยความอึมครึม และไม่แน่นอน เนื่องจากดูไบ เวิลด์ ไม่ใช่แค่บริษัทธรรมดารายหนึ่ง แต่เป็นเครือธุรกิจที่มีข้อจำกัดในเรื่องบรรษัทภิบาล และความโปร่งใส ทำให้ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า หนี้ หรือสินทรัพย์ที่แท้จริง ภายใต้การถือครองของดูไบเวิลด์ นั้นมีมากน้อยแค่ไหน ดังนั้น มีความเป็นไปได้ว่า ผลที่ตามมาอาจทำให้กระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายทั่วโลกชะลอลงอีกครั้ง เนื่องจากธนาคารอาจลังเลใจที่จะขยายสินเชื่อในช่วงเวลานี้
สอดคล้องกับความเห็นของอาร์นาบ ดาส นักเศรษฐศาสตร์ จากสถาบันรูบินี โกลบอล อิโคโนมิกส์ บริษัทที่ปรึกษา ซึ่งก่อตั้งโดยศาสตราจารย์นูเรียล รูบินี ที่เตือนว่า ความผันผวนของตลาดหุ้นทั่วโลกจะมีมากขึ้น หากมีประเทศ หรือบริษัทผิดนัดชำระหนี้ ซ้ำรอยดูไบ เวิลด์ เนื่องจากจะไปกระตุ้นให้นักลงทุนหนีความเสี่ยงกันมากยิ่งขึ้น
@"อิตาเลียน-เนาวรัตน์ฯ"โดนยื้อหนี้800ล้าน
สำหรับกลุ่มธุรกิจรับเหมาก่อสร้างไทยที่มีแนวโน้มว่าจะได้รับผลกระทบจากกรณีดังกล่าวค่อนข้างชัดเจนนั้น "ประชาชาติธุรกิจ" ตรวจสอบไปยัง นายชาติชาย ชุติมา รองประธานบริหารฝ่ายการเงิน บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด(มหาชน)ได้รับคำชี้แจงว่าขณะนี้บริษัทไม่มีงานที่ดูไบแม้แต่งานเดียว เพราะถอยออกมาหลายปีแล้ว หลังจากเข้าไปรับงานก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ช่วงหนึ่ง โดยร่วมกับบริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการฯ ซึ่งงานก่อสร้างเสร็จไปหลายปีแล้ว แต่ยังมีค่าก่อสร้างที่เจ้าของงานจ่ายไม่ครบอยู่ส่วนหนึ่งประมาณ 800 ล้านบาท ขณะนี้กำลังเรียกร้องหนี้ส่วนนี้อยู่ ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจดูไบช่วงหลังมีปัญหาตามภาวะเศรษฐกิจโลก และงานอินฟราสตรัคเจอร์ไม่มีด้วย ปัจจุบันตลาดต่างประเทศที่เป็นตลาดหลักของอิตาเลียนไทยอยู่ที่ประเทศอินเดีย
นายพลพัฒ กรรณสูต กรรมการผู้จัดการ บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยในทำนองเดียวกันว่าก่อนหน้านี้เคยไปรับงานที่ดูไบร่วมกับ บมจ.อิตาเลียนไทย แต่ยังมีค้างค่างวดงานงวดสุดท้ายอยู่ 800 ล้านบาท จากมูลค่าโครงการทั้งหมด 1,500 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัทไม่มีงานที่ดูไบแล้ว แม้จะยังมีงานในเฟสอื่นๆ ที่ยังไม่ได้ก่อสร้างก็ตาม เนื่องจากตลาดไม่ค่อยดี และมีข้อจำกัดหลายอย่างในการรับงาน แต่กำลังจะเข้าไปรับงานที่อาบูดาบี้แทน ทั้งงานก่อสร้างอสังหาฯ และอินฟราสตรัคเจอร์
@รับเหมาไทยถอย-รอจังหวะฟื้น
นายพัฒนพงษ์ ตนุมัธยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสคอน คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัททราบปัญหาของดูไบมานานแล้ว จึงไม่ได้รับงานมาเป็นเวลาปีกว่าแล้ว โดยที่ผ่านมาเคยร่วมกับบริษัท เพาวเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด(มหาชน) เข้าไปประมูลงาน แต่ไม่ได้ไลเซ่นจึงยกเลิกไป ตอนนี้หันมารับงานในประเทศเป็นหลัก
แหล่งข่าวจาก บมจ.เพาเวอรไลน์ ซึ่งเป็นผู้รับเหมาไทยรายใหญ่ที่เข้าไปรับงานในดูไบกล่าวว่า เศรษฐกิจดูไบประสบปัญหามานานหลายปีแล้ว ในภาพรวมงานก่อสร้างมีการชะลอตัวหลายโปรเจ็กต์ ส่วนใหญ่เป็นโครงการอสังหาฯ แต่ยังมีตลาดอื่นในภาคตะวันออกกลางที่ยังพอไปได้ อาทิ ซาอุดิอารเบีย การ์ตาร์ บาร์เรนห์ อย่างไรก็ตาม คาดว่าเศรษฐกิจดูไบน่าจะชะลอแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ถ้าฟื้นตัวจะกลับเข้าไปรับงานอีก เพราะบริษัทมีฐานบริษัทลูกอยู่ในดูไบอยู่แล้ว
นายสมชาย ศิริเลิศพานิช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชินเทค คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า เนื่องจากเศรษฐกิจที่ดูไบไม่ดี และการก่อสร้างลดน้อยลง บริษัทได้ยกเลิกการร่วมทุนจัดตั้งบริษัท Syntec Construction PCL(L.L.C.) ที่จะใช้รับงานก่อสร้างในดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งใช้เงินลงทุนไป 43.83 ล้านบาท และที่ผ่านมาได้ลงทุนแล้ว 10-20 ล้านบาท เป็นค่าสต๊าฟและค่าคนงาน แต่เมื่อโครงการหยุดก่อสร้างบริษัทเลยหยุดำเนินการกิจการด้วย และเพื่อลดความเสี่ยงในอนาคตจึงได้ยกเลิกบริษัทดังกล่าวแล้ว
@"อินเด็กซ์"ชี้ไม่กระทบ
ด้านนายกิจจา ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการบริหาร บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด ผู้บริหารธุรกิจแฟรนไชส์ศูนย์จำหน่ายเฟอร์นิเจอร์และตกแต่งบ้าน "อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์" กล่าวว่ากรณีบริษัท ดูไบ เวิลด์ ของรัฐบาลดูไบได้ขอเลื่อนการชำระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในเดือนธันวาคมนี้ 3,500 ล้านดอลลาร์ ออกไปเป็นเดือนพฤษภาคม 2553 และถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลง เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นหรือแผนการลงทุนขยายสาขาของพาร์ตเนอร์ของบริษัทที่ซื้อแฟรนไชส์ไปลงทุนเปิดสาขาอินเด็กซ์ลิฟวิ่งมอลล์แห่งแรกในเมืองดูไบ เมื่อเดือนสิงหาคม 2552 ที่ผ่านมา ที่สำคัญภายหลังเปิดตัวอินเด็กซ์ลิฟวิ่งมอลล์มาได้กว่า 3 เดือน สามารถทำยอดขายได้เป็นที่น่าพอใจ
@แบงก์กรุงศรี-ใบโพธิ์แจ็กพอต
นอกจากกลุ่มธุรกิจรับเหมาก่อสร้างแล้ว ธนาคารไทยอย่างน้อย 2 รายได้รับผลกระทบจากกรณีดังกล่าวแล้ว โดย นายตัน คอง คูน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวว่า ธนาคารอยู่ระหว่างตรวจสอบว่าได้มีการลงทุนในตราสารหนี้ในดูไบว่ามีจำนวนอยู่เท่าใด แต่คาดว่าจะเป็นเม็ดเงินไม่สูงเนื่องจากธนาคารไม่ใช่ธนาคารขนาดใหญ่ ส่วนใหญ่จะลงทุนในสัดส่วนที่ไม่มาก
นายวรวัฒน์ สายสุพัฒน์ผล ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ธนาคารพาณิชย์ไทยที่เกี่ยวข้องกับดูไบ จะมีธนาคารกรุงศรีอยุธยาที่ลงทุนอยู่ แต่ไม่กระทบมากเพราะเป็นการลงทุนทั่วไป(General Investment) น่าจะเป็นในลักษณะของตราสารมูลค่าประมาณ 500-600 ล้านบาท หรือประมาณ 0.1% ของ พอร์ตลงทุน (Outstanding) ผลกระทบไม่น่าจะเกิน 5% ของผลดำเนินงานปี 2553
ส่วนธนาคารไทยพาณิชย์ มีการลงทุนโดยตรงแต่ไม่ได้ตรงมาก ซึ่งมีปล่อยสินเชื่อให้กับบริษัทที่ไปทำ joint venture กับบริษัทในดูไบ ซึ่งมีเครดิตไลน์ ประมาณ 3,000 ล้านบาท แต่ปล่อยกู้จริงๆ เป็นหลัก 100 ล้านบาท ก็ถือว่าไม่ได้มาก
ด้านนายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย กล่าวว่า บริษัทมีกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ(FIF) ที่ไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลอาบูดาบีและกาตาร์มูลค่ากองทุน 200 ล้านบาท อายุลงทุน 3 ปี ผลตอบแทนที่ 3% ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบมาก เพราะไม่ได้ลงทุนในรัฐดูไบโดยตรง และหากดูปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศจะอิงกับสินค้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งไม่ได้มีลักษณะเหมือนดูไบที่ไม่มีสินค้าน้ำมันในรัฐเลย ทำให้ต้องหันมาเน้นการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ เพื่อผลักดันให้เป็นแหล่งการเงินในภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ติดตามสถานการณ์ล่าสุด มีความเป็นไปได้ที่รัฐอาบูดาบี ซึ่งเป็นประมุขของกลุ่มสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จะเข้าไปช่วยเหลือการเงินกับทางรัฐดูไบ ซึ่งเป็นรัฐที่ถูกปกครอง เนื่องจากรัฐอาบูดาบี ลงทุนในกองทุนของประเทศนี้สูงถึง 7 แสนล้านเหรียญสหรัฐ จึงมีศักยภาพเพียงพอที่จะเข้าไปช่วยเหลือรัฐดูไบ ซึ่งคงต้องรอประเมินสถานการณ์ในสัปดาห์หน้า เนื่องจากติดวันหยุดเทศกาลของศาสนาอิสลาม
@คลังมองบวกไม่กระทบเอเซีย
นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลว่าประเทศไทยมีมูลค่าการส่งออกไปดูไบมากน้อยเพียงใด แต่เชื่อว่าปัญหาที่เกิดขึ้นคงไม่กระทบสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และตลาดในประเทศตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของประเทศไทยอีกแห่งหนึ่งทั้งหมด เช่นประเทศการ์ตา ที่นายกรัฐมนตรี เพิ่งไปเยือนกลับมาก็มีพื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และเชื่อว่าราคาน้ำมันที่ระดับ 80 ดอลลาร์/บาเรล จะทำให้ประเทศตะวันออกกลางซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ส่งออกน้ำมันจะยังมีกำลังซื้อ
นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย กล่าวถึง กองทุนดูไบที่หยุดพักชำระหนี้ ว่า ผลที่เกิดขึ้นไม่น่ากระทบถึงเอเชีย เพราะอยู่ไกลกันมาก สำหรับ
ประเทศไทยที่ผ่านมา ไม่มีสภาพคล่องหลุดออกมาจากสถาบันการเงินแบบที่นำไปใช้ฟุ่มเฟือยในอสังหาริมทรัพย์หรือในหุ้น จึงไม่ถือว่าเป็นฟองสบู่
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการและประธานสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ภัทร กล่าวว่า ตอนนี้ความกังวลของนักลงทุนอยู่ที่ความชัดเจนของการแก้ปัญหาโครงสร้างชำระหนี้ของรัฐดูไบ ซึ่งยังไม่ได้ออกมากล่าวถึงประเด็นนี้ จึงทำให้นักลงทุนมีความกังวลและส่งผลต่อตลาดหุ้นปรับตัวลง ผลกระทบในครั้งนี้คงต้องใช้ระยะเวลาอีกระยะหนึ่งทั้งในตลาดหุ้นและการลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลก โดยเฉพาะการจับตาดูประเทศที่มีอัตราหนี้สูงๆ ซึ่งอาจจะเป็นประเทศที่นักลงทุนเริ่มประเมินความเสี่ยงอีกครั้งแล้ว
นายไพบูลย์ นรินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล) ทิสโก้ กล่าวว่า สถานการณ์ในดูไบยังไม่ถึงกับรุนแรงหรือน่าเป็นห่วงมาก เพียงแต่เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ชัดเจนว่า ภาวะเศรษฐกิจที่เชื่อว่ากำลังฟื้นตัวนั้น ยังมีความเสี่ยงของกลุ่มสถาบันการเงินอยู่ เพราะถ้าลูกหนี้ไม่มีศักยภาพจะชำระหนี้ได้ สถาบันการเงินก็จำเป็นต้องตั้งสำรองหนี้เพิ่มขึ้นไปอีก เพราะมีโอกาสที่จะไม่สามารถชำระหนี้ได้ แม้ว่ากรณีนี้จะเป็นการยืดหนี้ออกไปอีก 6 เดือนแต่ก็ใกล้เคียงกับการผิดนัดชำระหนี้ (Default)
prachachartturakij
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 2&catid=no
หวั่นพิษดูไบเวิลด์ฉุดเศรษฐกิจโลกระส่ำ ตลาดการเงิน-ตลาดหุ้นโดนก่อนเต็มๆ รมว.คลัง-นายแบงก์ชี้ผลกระทบอาจมาไม่ถึง เผยแบงก์-ธุรกิจไทยโดนหางเลขด้วย แบงก์กรุงศรีฯ ไทยพาณิชย์แจ็กพ็อต อิตาเลี่ยนไทย-เนาวรัตน์ฯเซ็งดูไบยังค้างจ่ายหนี้อีก800ล้าน กลุ่มธุรกิจผู้รับเหมาขยาดเบรกแผนลุยตะวันออกกลาง กรณ์มองแง่บวกยังไม่กระทบถึงเอเชียและไทยโดยตรง
ทันทีที่กลุ่มดูไบ เวิลด์ กลไกการลงทุนเสาหลักของรัฐดูไบ ประกาศขอเลื่อนการชำระหนี้ออกไปจนถึงเดือนพฤษภาคมปีหน้า ก่อผลกระทบตามมาระลอกใหญ่ ทั้งการประกาศปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินของกลุ่มทุนภาครัฐ และเอกชนในดูไบ แรงสั่นสะเทือนต่อตลาดการเงินโลกที่เกิดขึ้นทันที สะท้อนผ่านการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นในหลายๆ ประเทศ อันมีผลให้นักวิเคราะห์ทั่วโลกกำลังจับตาว่า จะส่งผลเชิงลบรุนแรงในลักษณะเดียวกับวกรณีวิกฤตสถาบันการเงินในสหรัฐที่ฉุดเศรษฐกิจโลกทั้งระบบหรือไม่ ขณะเดียวกันผลกระทบที่เป็นรูปธรรมก็ปรากฎกับธุรกิจหลายๆ ประเภทในเมืองไทยด้วยเช่นเดียวกัน
การที่กลุ่มทุนดูไบ เวิลด์ ตัสดสินใจเมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2552 ประกาศแผนจะเจรจาเพื่อขอให้เจ้าหนี้รายสำคัญๆ เลื่อนการชำระหนี้ในส่วนของบริษัทนาคีล ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเครือออกไป จากเดิมที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 14 ธันวาคมนี้ ไปจนถึงเดือนพฤษภาคมปีหน้า ส่งผลให้ ตลาดหุ้นในยุโรป สหรัฐ ละตินอเมริกา จนถึงเอเชียต่างทรุดตัวลงอย่างถ้วนหน้า อันเป็นผลมาจากความวิตกกังวลต่อความเสี่ยงผูกพัน ที่สถาบันการเงิน และกลุ่มบริษัทก่อสร้างในยุโรป และเอเชีย มีต่อดูไบ เวิลด์
หุ้นธนาคารโรยัล แบงก์ ออฟ สก็อตแลนด์ เอสเอชบีซี โฮลดิงส์ ลอยด์ แบงกิ้ง กรุ๊ป และเครดิต สวิส กรุ๊ป ดิ่งลงมากกว่า 4.8% จากผลพวงของความกังวลที่ว่า ปัญหาในดูไบ อาจทำให้การฟื้นตัวของตลาดสินเชื่อทั่วโลก ต้องหยุดชะงักอีกครั้ง โดยรวมพบว่าปัจจัยความวิตกปัญหาหนี้ของดูไบ เวิลด์ ส่งผลให้ราคาหุ้นกลุ่มธนาคารในตลาดหุ้นลอนดอน มีมูลค่าลดลงถึง 1.4 หมื่นล้านปอนด์
รายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ ดิ อินดีเพนเดนท์ ของอังกฤษ ที่ประเมินว่า สถาบันการเงินในยุโรปมีความเสี่ยงผูกพันกับดูไบประมาณ 1.3-4 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยที่ชาอิน วอลเล่ หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุนในตะวันออกกลาง ของบีเอ็นพี พาริบาส์ คาดการณ์ว่า ธนาคารอังกฤษจะมีความเสี่ยงผูกพันกับดูไบมากที่สุด
@ กลุ่มแบงก์-ก่อสร้างเอเชียโดนด้วย
จากการรวบรวมผลกระทบของปัจจัยดูไบ ต่อภาคธุรกิจเอเชีย พบว่า ความเสี่ยงผูกพันที่ภูมิภาคเอเชีย มีต่อรัฐดูไบ กระจายอย่างกว้างขวาง ในหลายประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย สิงคโปร์ จนถึงประเทศไทย
ในออสเตรเลีย ซึงได้รับผลกระทบแบบทันทีทันใด จากการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และก่อสร้าง อาทิ ซันแลนด์ กรุ๊ป ดิ่งลงสูงสุด 8.1% โดยมีการลงทุนในดูไบ นับถึง 30 มิถุนายน 2.1 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย
ในญี่ปุ่น ผลกระทบสะท้อนให้เห็นจากการดิ่งลงของหุ้นโอบายาชิ และคาจิมะ 8.7% และ 14% ตามลำดับ
สำหรับเกาหลีใต้ ไทย และอินเดีย กลุ่มทุนที่เข้าไปลงทุนในสหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์ พลอยติดร่างแหไปกับปัจจัยความกลัว หลังนักวิเคราะห์บางรายตั้งข้อสังเกตว่า หลายบริษัท รวมถึงจีเอส เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์คอนสตรัทชั่น อิตาเลียน-ไทย ดิเวลอปเมนต์ และดีแอลเอฟ ของอินเดีย จะได้รับผลกระทบด้านลบจากโครงการของบริษัทในดูไบ
@หวั่นปมดูไบฉุดโลก "ถดถอยรอบสอง"
นอกเหนือจากความวิตกต่อความเสี่ยงผูกพันของกลุ่มทุนอสังหาริมทรัพย์ และสถาบันการเงินโลกแล้ว ยังพบว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อตลาดการเงินโลกเริ่มถดถอยลงอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้มาร์ค โมเบียส ผู้จัดการกองทุนชื่อดัง เทมเพิลตัน แอสเซ็ท แมเนจเมนต์ เตือนว่า วิกฤตดูไบบวกกับการลดค่าเงินด่องของเวียดนาม อาจเป็นตัวเร่งให้นักลงทุนถอยฉากเพื่อรอดูสถานการณ์ และถอนเงินลงทุนออกไปก่อน โดยคาดว่าจะเกิดการปรับฐานครั้งใหญ่ ก่อนที่ตลาดจะเข้าสู่ช่วงขาขึ้นอีกครั้ง
ขณะที่ชาฮิน วอลเล่ จากบีเอ็นพี พาริบาส์ ตั้งข้อสังเกตถึงสถานการณ์ในตลาดการเงินขณะนี้ว่า เต็มไปด้วยความอึมครึม และไม่แน่นอน เนื่องจากดูไบ เวิลด์ ไม่ใช่แค่บริษัทธรรมดารายหนึ่ง แต่เป็นเครือธุรกิจที่มีข้อจำกัดในเรื่องบรรษัทภิบาล และความโปร่งใส ทำให้ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า หนี้ หรือสินทรัพย์ที่แท้จริง ภายใต้การถือครองของดูไบเวิลด์ นั้นมีมากน้อยแค่ไหน ดังนั้น มีความเป็นไปได้ว่า ผลที่ตามมาอาจทำให้กระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายทั่วโลกชะลอลงอีกครั้ง เนื่องจากธนาคารอาจลังเลใจที่จะขยายสินเชื่อในช่วงเวลานี้
สอดคล้องกับความเห็นของอาร์นาบ ดาส นักเศรษฐศาสตร์ จากสถาบันรูบินี โกลบอล อิโคโนมิกส์ บริษัทที่ปรึกษา ซึ่งก่อตั้งโดยศาสตราจารย์นูเรียล รูบินี ที่เตือนว่า ความผันผวนของตลาดหุ้นทั่วโลกจะมีมากขึ้น หากมีประเทศ หรือบริษัทผิดนัดชำระหนี้ ซ้ำรอยดูไบ เวิลด์ เนื่องจากจะไปกระตุ้นให้นักลงทุนหนีความเสี่ยงกันมากยิ่งขึ้น
@"อิตาเลียน-เนาวรัตน์ฯ"โดนยื้อหนี้800ล้าน
สำหรับกลุ่มธุรกิจรับเหมาก่อสร้างไทยที่มีแนวโน้มว่าจะได้รับผลกระทบจากกรณีดังกล่าวค่อนข้างชัดเจนนั้น "ประชาชาติธุรกิจ" ตรวจสอบไปยัง นายชาติชาย ชุติมา รองประธานบริหารฝ่ายการเงิน บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด(มหาชน)ได้รับคำชี้แจงว่าขณะนี้บริษัทไม่มีงานที่ดูไบแม้แต่งานเดียว เพราะถอยออกมาหลายปีแล้ว หลังจากเข้าไปรับงานก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ช่วงหนึ่ง โดยร่วมกับบริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการฯ ซึ่งงานก่อสร้างเสร็จไปหลายปีแล้ว แต่ยังมีค่าก่อสร้างที่เจ้าของงานจ่ายไม่ครบอยู่ส่วนหนึ่งประมาณ 800 ล้านบาท ขณะนี้กำลังเรียกร้องหนี้ส่วนนี้อยู่ ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจดูไบช่วงหลังมีปัญหาตามภาวะเศรษฐกิจโลก และงานอินฟราสตรัคเจอร์ไม่มีด้วย ปัจจุบันตลาดต่างประเทศที่เป็นตลาดหลักของอิตาเลียนไทยอยู่ที่ประเทศอินเดีย
นายพลพัฒ กรรณสูต กรรมการผู้จัดการ บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยในทำนองเดียวกันว่าก่อนหน้านี้เคยไปรับงานที่ดูไบร่วมกับ บมจ.อิตาเลียนไทย แต่ยังมีค้างค่างวดงานงวดสุดท้ายอยู่ 800 ล้านบาท จากมูลค่าโครงการทั้งหมด 1,500 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัทไม่มีงานที่ดูไบแล้ว แม้จะยังมีงานในเฟสอื่นๆ ที่ยังไม่ได้ก่อสร้างก็ตาม เนื่องจากตลาดไม่ค่อยดี และมีข้อจำกัดหลายอย่างในการรับงาน แต่กำลังจะเข้าไปรับงานที่อาบูดาบี้แทน ทั้งงานก่อสร้างอสังหาฯ และอินฟราสตรัคเจอร์
@รับเหมาไทยถอย-รอจังหวะฟื้น
นายพัฒนพงษ์ ตนุมัธยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสคอน คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัททราบปัญหาของดูไบมานานแล้ว จึงไม่ได้รับงานมาเป็นเวลาปีกว่าแล้ว โดยที่ผ่านมาเคยร่วมกับบริษัท เพาวเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด(มหาชน) เข้าไปประมูลงาน แต่ไม่ได้ไลเซ่นจึงยกเลิกไป ตอนนี้หันมารับงานในประเทศเป็นหลัก
แหล่งข่าวจาก บมจ.เพาเวอรไลน์ ซึ่งเป็นผู้รับเหมาไทยรายใหญ่ที่เข้าไปรับงานในดูไบกล่าวว่า เศรษฐกิจดูไบประสบปัญหามานานหลายปีแล้ว ในภาพรวมงานก่อสร้างมีการชะลอตัวหลายโปรเจ็กต์ ส่วนใหญ่เป็นโครงการอสังหาฯ แต่ยังมีตลาดอื่นในภาคตะวันออกกลางที่ยังพอไปได้ อาทิ ซาอุดิอารเบีย การ์ตาร์ บาร์เรนห์ อย่างไรก็ตาม คาดว่าเศรษฐกิจดูไบน่าจะชะลอแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ถ้าฟื้นตัวจะกลับเข้าไปรับงานอีก เพราะบริษัทมีฐานบริษัทลูกอยู่ในดูไบอยู่แล้ว
นายสมชาย ศิริเลิศพานิช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชินเทค คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า เนื่องจากเศรษฐกิจที่ดูไบไม่ดี และการก่อสร้างลดน้อยลง บริษัทได้ยกเลิกการร่วมทุนจัดตั้งบริษัท Syntec Construction PCL(L.L.C.) ที่จะใช้รับงานก่อสร้างในดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งใช้เงินลงทุนไป 43.83 ล้านบาท และที่ผ่านมาได้ลงทุนแล้ว 10-20 ล้านบาท เป็นค่าสต๊าฟและค่าคนงาน แต่เมื่อโครงการหยุดก่อสร้างบริษัทเลยหยุดำเนินการกิจการด้วย และเพื่อลดความเสี่ยงในอนาคตจึงได้ยกเลิกบริษัทดังกล่าวแล้ว
@"อินเด็กซ์"ชี้ไม่กระทบ
ด้านนายกิจจา ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการบริหาร บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด ผู้บริหารธุรกิจแฟรนไชส์ศูนย์จำหน่ายเฟอร์นิเจอร์และตกแต่งบ้าน "อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์" กล่าวว่ากรณีบริษัท ดูไบ เวิลด์ ของรัฐบาลดูไบได้ขอเลื่อนการชำระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในเดือนธันวาคมนี้ 3,500 ล้านดอลลาร์ ออกไปเป็นเดือนพฤษภาคม 2553 และถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลง เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นหรือแผนการลงทุนขยายสาขาของพาร์ตเนอร์ของบริษัทที่ซื้อแฟรนไชส์ไปลงทุนเปิดสาขาอินเด็กซ์ลิฟวิ่งมอลล์แห่งแรกในเมืองดูไบ เมื่อเดือนสิงหาคม 2552 ที่ผ่านมา ที่สำคัญภายหลังเปิดตัวอินเด็กซ์ลิฟวิ่งมอลล์มาได้กว่า 3 เดือน สามารถทำยอดขายได้เป็นที่น่าพอใจ
@แบงก์กรุงศรี-ใบโพธิ์แจ็กพอต
นอกจากกลุ่มธุรกิจรับเหมาก่อสร้างแล้ว ธนาคารไทยอย่างน้อย 2 รายได้รับผลกระทบจากกรณีดังกล่าวแล้ว โดย นายตัน คอง คูน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวว่า ธนาคารอยู่ระหว่างตรวจสอบว่าได้มีการลงทุนในตราสารหนี้ในดูไบว่ามีจำนวนอยู่เท่าใด แต่คาดว่าจะเป็นเม็ดเงินไม่สูงเนื่องจากธนาคารไม่ใช่ธนาคารขนาดใหญ่ ส่วนใหญ่จะลงทุนในสัดส่วนที่ไม่มาก
นายวรวัฒน์ สายสุพัฒน์ผล ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ธนาคารพาณิชย์ไทยที่เกี่ยวข้องกับดูไบ จะมีธนาคารกรุงศรีอยุธยาที่ลงทุนอยู่ แต่ไม่กระทบมากเพราะเป็นการลงทุนทั่วไป(General Investment) น่าจะเป็นในลักษณะของตราสารมูลค่าประมาณ 500-600 ล้านบาท หรือประมาณ 0.1% ของ พอร์ตลงทุน (Outstanding) ผลกระทบไม่น่าจะเกิน 5% ของผลดำเนินงานปี 2553
ส่วนธนาคารไทยพาณิชย์ มีการลงทุนโดยตรงแต่ไม่ได้ตรงมาก ซึ่งมีปล่อยสินเชื่อให้กับบริษัทที่ไปทำ joint venture กับบริษัทในดูไบ ซึ่งมีเครดิตไลน์ ประมาณ 3,000 ล้านบาท แต่ปล่อยกู้จริงๆ เป็นหลัก 100 ล้านบาท ก็ถือว่าไม่ได้มาก
ด้านนายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย กล่าวว่า บริษัทมีกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ(FIF) ที่ไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลอาบูดาบีและกาตาร์มูลค่ากองทุน 200 ล้านบาท อายุลงทุน 3 ปี ผลตอบแทนที่ 3% ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบมาก เพราะไม่ได้ลงทุนในรัฐดูไบโดยตรง และหากดูปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศจะอิงกับสินค้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งไม่ได้มีลักษณะเหมือนดูไบที่ไม่มีสินค้าน้ำมันในรัฐเลย ทำให้ต้องหันมาเน้นการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ เพื่อผลักดันให้เป็นแหล่งการเงินในภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ติดตามสถานการณ์ล่าสุด มีความเป็นไปได้ที่รัฐอาบูดาบี ซึ่งเป็นประมุขของกลุ่มสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จะเข้าไปช่วยเหลือการเงินกับทางรัฐดูไบ ซึ่งเป็นรัฐที่ถูกปกครอง เนื่องจากรัฐอาบูดาบี ลงทุนในกองทุนของประเทศนี้สูงถึง 7 แสนล้านเหรียญสหรัฐ จึงมีศักยภาพเพียงพอที่จะเข้าไปช่วยเหลือรัฐดูไบ ซึ่งคงต้องรอประเมินสถานการณ์ในสัปดาห์หน้า เนื่องจากติดวันหยุดเทศกาลของศาสนาอิสลาม
@คลังมองบวกไม่กระทบเอเซีย
นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลว่าประเทศไทยมีมูลค่าการส่งออกไปดูไบมากน้อยเพียงใด แต่เชื่อว่าปัญหาที่เกิดขึ้นคงไม่กระทบสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และตลาดในประเทศตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของประเทศไทยอีกแห่งหนึ่งทั้งหมด เช่นประเทศการ์ตา ที่นายกรัฐมนตรี เพิ่งไปเยือนกลับมาก็มีพื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และเชื่อว่าราคาน้ำมันที่ระดับ 80 ดอลลาร์/บาเรล จะทำให้ประเทศตะวันออกกลางซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ส่งออกน้ำมันจะยังมีกำลังซื้อ
นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย กล่าวถึง กองทุนดูไบที่หยุดพักชำระหนี้ ว่า ผลที่เกิดขึ้นไม่น่ากระทบถึงเอเชีย เพราะอยู่ไกลกันมาก สำหรับ
ประเทศไทยที่ผ่านมา ไม่มีสภาพคล่องหลุดออกมาจากสถาบันการเงินแบบที่นำไปใช้ฟุ่มเฟือยในอสังหาริมทรัพย์หรือในหุ้น จึงไม่ถือว่าเป็นฟองสบู่
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการและประธานสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ภัทร กล่าวว่า ตอนนี้ความกังวลของนักลงทุนอยู่ที่ความชัดเจนของการแก้ปัญหาโครงสร้างชำระหนี้ของรัฐดูไบ ซึ่งยังไม่ได้ออกมากล่าวถึงประเด็นนี้ จึงทำให้นักลงทุนมีความกังวลและส่งผลต่อตลาดหุ้นปรับตัวลง ผลกระทบในครั้งนี้คงต้องใช้ระยะเวลาอีกระยะหนึ่งทั้งในตลาดหุ้นและการลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลก โดยเฉพาะการจับตาดูประเทศที่มีอัตราหนี้สูงๆ ซึ่งอาจจะเป็นประเทศที่นักลงทุนเริ่มประเมินความเสี่ยงอีกครั้งแล้ว
นายไพบูลย์ นรินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล) ทิสโก้ กล่าวว่า สถานการณ์ในดูไบยังไม่ถึงกับรุนแรงหรือน่าเป็นห่วงมาก เพียงแต่เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ชัดเจนว่า ภาวะเศรษฐกิจที่เชื่อว่ากำลังฟื้นตัวนั้น ยังมีความเสี่ยงของกลุ่มสถาบันการเงินอยู่ เพราะถ้าลูกหนี้ไม่มีศักยภาพจะชำระหนี้ได้ สถาบันการเงินก็จำเป็นต้องตั้งสำรองหนี้เพิ่มขึ้นไปอีก เพราะมีโอกาสที่จะไม่สามารถชำระหนี้ได้ แม้ว่ากรณีนี้จะเป็นการยืดหนี้ออกไปอีก 6 เดือนแต่ก็ใกล้เคียงกับการผิดนัดชำระหนี้ (Default)
prachachartturakij
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 2&catid=no
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
news
โพสต์ที่ 41
"ดูไบ"วิกฤต "ฮานอย"สาหัส สะท้อนภาพ "ศก.โลก"ยังง่อนแง่น
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเกิดภาวการณ์แตกตื่นขึ้นในแวดวงเศรษฐกิจทั่วโลก ถล่มตลาดหุ้นระนาวตั้งแต่ยุโรปเรื่อยมาจนถึงเอเชีย สาหัสขนาดดัชนีของแต่ละประเทศดำดิ่งลงถึงระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือนก็มี เหตุการณ์เขย่าขวัญที่ว่านั้นมีตั้งแต่เรื่องใหญ่คับโลกอย่างการประกาศขอเจรจาพักชำระหนี้ของดูไบ หนึ่งใน 7 รัฐอิสระ หรือเอมิเรตส์ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ส่วนอีกหนึ่งนั้นเป็นภาวะเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอุษาคเนย์อย่างเวียดนาม ที่กำลังดิ้นรนอย่างหนักเพื่อเอาชนะภัยคุกคามที่กำลังกดดันเศรษฐกิจของทั้งประเทศอยู่ในเวลานี้
ทั้ง 2 กรณีน่าสนใจไม่น้อย ไม่เพียงเพราะลักษณะของการเกิดวิกฤตคล้ายคลึงอย่างยิ่งกับวิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อกว่า 10 ปีที่ผ่านมา แต่ยังเป็นเพราะทั้งสองกรณีอาจมีผลผูกพันอย่างยิ่งต่ออนาคตของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในเมืองไทย ต่อไปนี้คือความพยายามทำความเข้าใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและการประเมินผลสะเทือนที่จะเกิดติดตามมา
ทำความรู้จักดูไบ
ดูไบ เป็นหนึ่งใน 7 รัฐที่ประกอบกันขึ้นเป็นยูเออี ประเทศที่มีน้ำมันดิบสำรองอยู่มากเป็นอันดับ 8 ของโลก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ทุกรัฐในยูเออีจะมีทรัพยากรธรรมชาติที่ทรงคุณค่าอย่างน้ำมันอยู่ ดูไบ เป็นหนึ่งในรัฐที่ไม่มีน้ำมันอยู่ นั่นทำให้ ชีค โมฮัมเหม็ด บิน ราชิด อัล-มัคทูม ผู้ปกครองแห่งดูไบ จำเป็นต้องคิดอะไรที่แตกต่างออกไปเพื่อพัฒนาและยกระดับประเทศตน
เป้าหมายของดูไบก็คือ การกลายเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการเงินแห่งตะวันออกกลาง หรืออย่างน้อยที่สุดในภูมิภาคอ่าวเปอร์เซียในระนาบเดียวกันกับ สิงคโปร์และฮ่องกง
ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งถือกันว่า ดูไบ "บูม" ถึงขีดสุด ชนิดเกินหน้าเกินตา เอมิเรตส์อื่นๆ แม้กระทั่ง อาบู ดาบี เอมิเรตส์ที่ถือกันว่าเป็น "รัฐบาลกลาง" ของยูเออี การท่องเที่ยวคึกคัก การบริโภคครึกครื้น สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ การลงทุนหลั่งไหลเข้ามาจากต่างประเทศ ด้วยหวังว่าจะได้เป็นส่วนหนึ่งใน "ความมั่งคั่งใหม่" ที่ผุดพรายขึ้นในตะวันออกกลาง ผลลัพธ์ประการหนึ่งของการที่เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวเบ่งบานในดูไบ ก็คือการแย่งกันเกิดของโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ อะไรที่พิเศษพิสดารสามารถเกิดขึ้นได้ในนครรัฐมหัศจรรย์แห่งนี้ ตั้งแต่ตึกสูง 800 เมตร จำนวน 160 ชั้น เรื่อยไปจนถึง การจัดสรรที่ดินในรูป "เกาะ" ที่ถมและสร้างขึ้นเป็นรูปแผนที่โลกและรูปต้นปาล์ม ดึงดูดทั้งลูกค้าระดับอภิมหาเศรษฐีและเซเลบริตี้จากทั่วโลก รวมทั้งดาราดังอย่าง แบรด พิตต์ หรือเอกบุรุษในแวดวงกีฬาฟุตบอลอย่าง เดวิด แบ๊คแฮม
การลงทุนส่วนใหญ่ในดูไบ เป็นการลงทุนจากกองทุนของรัฐบาลที่เรียกกันว่า กองทุนเพื่อความมั่งคั่งแห่งรัฐ (ในทำนองเดียวกับเทมาเสก ของสิงคโปร์) ซึ่งจัดตั้งในชื่อ "ดูไบเวิลด์" ดูไบเวิลด์ เป็นผู้บริหารกิจการหลายอย่าง อาทิ ดูไบ พอร์ต เวิลด์ ผู้บริหารท่าเรือน้ำลึกที่ใหญ่ที่สุดในโลก และ นาคีล ดีเวลลอปเมนต์ บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เจ้าของกิจการ ปาล์ม ไอส์แลนด์ และอื่นๆ ที่ส่วนหนึ่งยังคาราคาซัง ครึ่งๆ กลางๆ อยู่ในเวลานี้
โครงการยักษ์ "ปาล์ม ไอส์แสนด์" หนึ่งในโครงการที่ยังคาราคาซังของ นาคีล ดีเวลล็อปเมนต์ ที่เป็นที่มาของหนี้ก้อนมหึมาของดูไบ จนต้องประกาศพักหนี้อยู่ในเวลานี้
เงินลงทุนทั้งหมดไม่ใช่การใช้เงินสดจากกองทุนเข้ามาทำลงทุน หากแต่เป็นการอาศัยศักยภาพของกองทุนมากู้เงิน ทั้งในรูปของการกู้จริงๆ และในรูปของการกู้โดยการออกพันธบัตร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การกู้ทั้งสองรูปแบบค้ำประกันโดยรัฐบาลดูไบทั้งสิ้น
เกิดอะไรขึ้นที่ดูไบ
เบ็ดเสร็จแล้ว ผู้ปกครองแห่งดูไบ กู้เงินจากแหล่งเงินหลากหลายมากกว่า 70 แหล่ง มาเพื่อใช้ในการดำเนินการและพัฒนาโครงการต่างๆ ของประเทศ เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา นาคีล ดีเวลลอปเมนต์ ระบุเอาไว้ว่า ดูไบ เวิลด์ มีหนี้สินทั้งสิ้น 59,300 ล้านดอลลาร์ ณ สิ้นปี 2008 และมีทรัพย์สินคิดเป็นมูลค่า 99,600 ล้านดอลลาร์ ณ เวลาเดียวกัน
มีผู้ประเมินหยาบๆ เอาไว้ว่า โดยรวมแล้ว หนี้สินทั้งที่เป็นของภาครัฐและเอกชนในดูไบทั้งหมดรวมแล้วมีประมาณ 80,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งไม่ยากที่จะทำให้นครรัฐดูไบ กลายเป็นประเทศที่ประชากรมีหนี้สินต่อหัวสูงที่สุดในโลก
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อาจไม่เกิดอะไรขึ้นกับพัฒนาการของดูไบ หากไม่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินที่เรียกกันในเวลานี้ว่า แฮมเบอร์เกอร์ ไครซิส ขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ลักษณะพิเศษที่เป็นสาเหตุส่วนหนึ่งของวิกฤตหนนี้ก็คือ ภาวะตกต่ำของราคาอสังหาริมทรัพย์ และผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นตามมาจนลุกลามกลายเป็นวิกฤตไปทั่วโลก คือ ภาวะวิกฤตสินเชื่อ ทั้งสองอย่างกระทบเข้าตรงใจกลางสิ่งที่ดูไบเป็นอยู่พอดิบพอดี แหล่งเงินกู้ของดูไบ หายากเย็นมากขึ้นในขณะที่ราคาอสังหาริมทรัพย์ของตนลดลงมากถึง 50 เปอร์เซ็นต์ แถมยังขายไม่ได้อีกต่างหาก
สิ่งที่ผู้ปกครองแห่งดูไบประกาศ เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายนที่ผ่านมานั้น อุปมาอุปไมยได้กับการที่ นาย ก. กู้เงินจากธนาคารมาสร้างบ้าน แล้วจู่ๆ ก็พบว่า เงินสดที่มาจากรายได้ของตนขาดมือไม่เพียงพอต่อการชำระค่างวดที่กำลังจะมาถึง จึงประกาศบอกกับธนาคารที่เป็นเจ้าหนี้ทั้งหลาย ขอให้เลิกเก็บค่างวดไปอีก 6 เดือน
ความแตกต่างกันอย่างใหญ่หลวงก็คือ ดูไบ ไม่ใช่ นาย ก. แต่เป็นประเทศๆ หนึ่ง ซึ่งอย่างน้อยที่สุด หากเงินสดจะขาดมือจริงต้องมีเค้าลางบอกล่วงหน้า ที่จะทำให้เจ้าหนี้ทั้งหลายเลิกปล่อยกู้ นักลงทุนเลิกลงทุนซื้อพันธบัตร ข้อเท็จจริงก็คือ บรรดานักลงทุนจากต่างชาติประเมินดูไบผิดมาตลอดระยะเวลา 4 ปี เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอกย้ำชัดเจนว่า สิ่งที่บรรดานักลงทุนทั้งหลายคิดว่าดูไบ เวิลด์ จะได้รับการหนุนหลังจากรัฐบาลดูไบ และรัฐบาลดูไบจะได้รับการหนุนหลังจากรัฐบาลสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ไม่เป็นความจริงโดยสิ้นเชิง
ความน่าเชื่อถือและศักยภาพของโครงการต่างๆ ของดูไบ หายวับไปกับตาก็เพราะเหตุนี้
ผลสะเทือนจากวิกฤตดูไบ
จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีอะไรชัดเจนจากวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้น นครรัฐดูไบ เพียงร้องขอให้เจ้าหนี้มาเจรจากับตนเพื่อยืดเวลาชำระหนี้ออกไปอีกอย่างน้อยจนถึงกลางเดือนพฤษภาคมปีหน้า แต่ข้อเท็จจริงที่ว่า รัฐบาลอาบูดาบี ไม่ได้หนุนหลังดูไบอย่างเต็มที่ ทำให้ทุกคนตื่นตระหนก ดูไบมีหนี้สินอยู่เท่าใดกันแน่? ต้องการยืดชำระหนี้ก้อนไหน เป็นจำนวนเท่าใด? แล้วจะเกิดอะไรขึ้นตามมาอีก? เหล่านี้ล้วนเป็นคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ และยิ่งก่อให้เกิดความตระหนกแผ่ไปทั่ว
ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจอีกประการก็คือ ดูไบเวิลด์ เพิ่งออกพันธบัตรและธนาคารกลางอาบูดาบี เพิ่งกวาดซื้อไปทั้งหมด 10,000 ล้านดอลลาร์ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าที่จะมีการประกาศขอพักชำระหนี้ ดูไบเวิลด์ เพิ่งได้เงินกู้จากธนาคาร 2 แห่ง ในอาบูดาบีมา รวมเป็นเงิน 5,000 ล้านดอลลาร์ แต่ก็ยังจำเป็นต้องประกาศของพักหนี้ ทำให้นักลงทุนยิ่งขมวดคิ้วนิ่วหน้ามากขึ้นไปอีก
บุคคลทั่วไปไม่มีทางที่จะรู้ได้ว่า ดูไบเวิลด์ เป็นหนี้ใครอยู่เป็นจำนวนเท่าใดกันแน่ เว้นเสียแต่ว่า เจ้าหนี้หรือลูกหนี้จะประกาศข้อเท็จจริงออกมา จนกว่าจะถึงเวลานั้น วิกฤตดูไบอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องออกไปไม่หยุดยั้ง ยิ่งข่าวสะพัดออกไปว่าหนี้จำนวนหนึ่งถูกแปลงไปอยู่ในรูปของ เครดิต ดีฟอลท์ สว็อป หรือซีดีเอส ความแตกตื่นยิ่งลุกลามไปกันใหญ่
ข้อเท็จจริงประการหนึ่งที่ทำให้กรณีนี้เป็นเรื่องใหญ่ระดับโลกก็คือ แม้ว่าในที่สุดแล้ว รัฐบาลกลางของยูเออีก็คงต้องเข้ามาอุ้มโครงการต่างๆ เอาไว้ แต่ก็ต้องเกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขที่เป็นที่ยอมรับกันได้ ซึ่งหมายถึงความเจ็บปวดสำหรับเจ้าหนี้ของดูไบในเวลานี้ และจำนวนหนี้สินที่แท้จริงของดูไบนั้นจำเป็นต้องบวกเม็ดเงินที่ต้องทุ่มลงไปเพื่อให้โครงการต่างๆ ที่ยังคาราคาซังแล้วเสร็จ พร้อมออกจำหน่ายเข้าไปด้วยอีกส่วนหนึ่ง
ภายใต้ข้อสันนิษฐานดังกล่าว วิกฤตดูไบน่าจะส่งผลสะเทือนสูงเฉพาะในส่วนของผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง คือเจ้าหนี้และลูกหนี้ ซึ่งคาดกันว่าส่วนใหญ่จะเป็นในภูมิภาคอ่าวเปอร์เซียเท่านั้น
เกิดอะไรขึ้นที่เวียดนาม
ความยุ่งยากของเวียดนาม แตกต่างกันออกไป แรงกดดันที่มีต่อระบบเศรษฐกิจของเวียดนามเกิดขึ้นจากภายในเองส่วนหนึ่งและจากภายนอกประเทศอีกส่วนหนึ่ง กดดันจนทำให้ธนาคารกลางของเวียดนามประกาศลดค่าเงินด่องของตนเองลงเป็นครั้งแรกในรอบปี ในขณะเดียวกันก็ถือว่าเป็นประเทศแรกในอุษาคเนย์ที่ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย จนทำให้อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงขึ้นไปอยู่ที่ 8 เปอร์เซ็นต์แล้ว
ธนาคารกลางของเวียดนามรู้ดีว่า การลดค่าเงินลง ราว 5 เปอร์เซ็นต์นั้น จะส่งผลให้เกิดการปรับค่าเงินด่องในตลาดจริงๆ ราว 10-12 เปอร์เซ็นต์ และจะก่อให้เกิดแรงกดดัน หรือไม่ก็เกิดการเก็งกำไรจากการเดิมพันว่า จะมีการลดค่าเงินลงไปอีกอย่างต่อเนื่อง แต่ก็จำเป็นต้องทำ
เหตุผลประการหนึ่งนั้น เป็นเพราะทางการเวียดนามต้องการแก้ปัญหาเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นอย่างฮวบฮาบจนถึงระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน ที่ 4.35 เปอร์เซ็นต์ ในเดือนพฤศจิกายน ในขณะเดียวกันกับที่ระดับสินเชื่อก็ขยายตัวมากถึง 34.5 เปอร์เซ็นต์ ใน 10 เดือนแรกของปีนี้ เกินกว่าเป้าทั้งปีที่ทางการตั้งเอาไว้ที่ 30 เปอร์เซ็นต์แล้ว ในเวลาเดียวกันนั่นเอง ภาวะขาดดุลการค้าและขาดดุลบัญชีเดินสะพัดก็เพิ่มขึ้นอย่างน่าวิตก
ดุลการค้าของเวียดนามขาดดุลเพิ่มขึ้นเป็น 1,750 ล้านดอลลาร์ ในเดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้นจาก 1,600 ล้านดอลลาร์ เมื่อตุลาคมที่ผ่านมา การส่งออกนับตั้งแต่เดือนมกราคมเรื่อยมาจนถึงเดือนพฤศจิกายน ลดลง 11.4 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีที่แล้ว ในขณะเดียวกัน เงินทุนไหลออกก็มากกว่าเม็ดเงินลงทุนที่ไหลเข้าประเทศ ทำให้เกิดขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเพิ่มมากขึ้นในครึ่งแรกของปีนี้เป็น 5,000 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่ทั้งปีของปี 2008 ที่ผ่านมา ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลเพียง 1,600 ล้านดอลลาร์เท่านั้น
ประเด็นที่เป็นปัญหาก็คือ การดำเนินการของทางการเวียดนามในเวลานี้ ทำให้เกิดความสับสนและไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นตามมาในอนาคตขึ้น เพราะการลดค่าเงินและการขึ้นดอกเบี้ยดูเหมือนจะขัดกันอยู่ในตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหลายคนปักใจเชื่อตั้งแต่ตอนนี้แล้วว่า การลดค่าด่องครั้งนี้ไม่น่าจะเป็นครั้งสุดท้าย
ข้อเท็จจริงของทั้ง 2 กรณี แสดงให้เห็นภาพที่ชัดเจนประการหนึ่งว่า ในขณะที่เศรษฐกิจโลกกำลังฟื้นตัว สร่างไข้อยู่ในเวลานี้นั้น ทุกอย่างยังเปราะบาง และอ่อนแออย่างยิ่ง ภาวะวิกฤตสินเชื่ออาจเล่นงานใครก็ได้ เมื่อใดก็ได้ทุกเมื่อ เช่นเดียวกันกับปัญหาเรื่องการส่งออกและการไหลเข้า-ออกของเงินทุนจากต่างประเทศ
และน่าจะเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกนานไม่น้อย จนกว่าเหตุปัจจัยพื้นฐานในระบบเศรษฐกิจโลกจะได้รับการแก้ไขให้ถูกต้องอย่างจริงจัง
matichon
http://www.matichon.co.th/matichon/view ... 2009-11-28
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเกิดภาวการณ์แตกตื่นขึ้นในแวดวงเศรษฐกิจทั่วโลก ถล่มตลาดหุ้นระนาวตั้งแต่ยุโรปเรื่อยมาจนถึงเอเชีย สาหัสขนาดดัชนีของแต่ละประเทศดำดิ่งลงถึงระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือนก็มี เหตุการณ์เขย่าขวัญที่ว่านั้นมีตั้งแต่เรื่องใหญ่คับโลกอย่างการประกาศขอเจรจาพักชำระหนี้ของดูไบ หนึ่งใน 7 รัฐอิสระ หรือเอมิเรตส์ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ส่วนอีกหนึ่งนั้นเป็นภาวะเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอุษาคเนย์อย่างเวียดนาม ที่กำลังดิ้นรนอย่างหนักเพื่อเอาชนะภัยคุกคามที่กำลังกดดันเศรษฐกิจของทั้งประเทศอยู่ในเวลานี้
ทั้ง 2 กรณีน่าสนใจไม่น้อย ไม่เพียงเพราะลักษณะของการเกิดวิกฤตคล้ายคลึงอย่างยิ่งกับวิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อกว่า 10 ปีที่ผ่านมา แต่ยังเป็นเพราะทั้งสองกรณีอาจมีผลผูกพันอย่างยิ่งต่ออนาคตของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในเมืองไทย ต่อไปนี้คือความพยายามทำความเข้าใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและการประเมินผลสะเทือนที่จะเกิดติดตามมา
ทำความรู้จักดูไบ
ดูไบ เป็นหนึ่งใน 7 รัฐที่ประกอบกันขึ้นเป็นยูเออี ประเทศที่มีน้ำมันดิบสำรองอยู่มากเป็นอันดับ 8 ของโลก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ทุกรัฐในยูเออีจะมีทรัพยากรธรรมชาติที่ทรงคุณค่าอย่างน้ำมันอยู่ ดูไบ เป็นหนึ่งในรัฐที่ไม่มีน้ำมันอยู่ นั่นทำให้ ชีค โมฮัมเหม็ด บิน ราชิด อัล-มัคทูม ผู้ปกครองแห่งดูไบ จำเป็นต้องคิดอะไรที่แตกต่างออกไปเพื่อพัฒนาและยกระดับประเทศตน
เป้าหมายของดูไบก็คือ การกลายเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการเงินแห่งตะวันออกกลาง หรืออย่างน้อยที่สุดในภูมิภาคอ่าวเปอร์เซียในระนาบเดียวกันกับ สิงคโปร์และฮ่องกง
ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งถือกันว่า ดูไบ "บูม" ถึงขีดสุด ชนิดเกินหน้าเกินตา เอมิเรตส์อื่นๆ แม้กระทั่ง อาบู ดาบี เอมิเรตส์ที่ถือกันว่าเป็น "รัฐบาลกลาง" ของยูเออี การท่องเที่ยวคึกคัก การบริโภคครึกครื้น สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ การลงทุนหลั่งไหลเข้ามาจากต่างประเทศ ด้วยหวังว่าจะได้เป็นส่วนหนึ่งใน "ความมั่งคั่งใหม่" ที่ผุดพรายขึ้นในตะวันออกกลาง ผลลัพธ์ประการหนึ่งของการที่เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวเบ่งบานในดูไบ ก็คือการแย่งกันเกิดของโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ อะไรที่พิเศษพิสดารสามารถเกิดขึ้นได้ในนครรัฐมหัศจรรย์แห่งนี้ ตั้งแต่ตึกสูง 800 เมตร จำนวน 160 ชั้น เรื่อยไปจนถึง การจัดสรรที่ดินในรูป "เกาะ" ที่ถมและสร้างขึ้นเป็นรูปแผนที่โลกและรูปต้นปาล์ม ดึงดูดทั้งลูกค้าระดับอภิมหาเศรษฐีและเซเลบริตี้จากทั่วโลก รวมทั้งดาราดังอย่าง แบรด พิตต์ หรือเอกบุรุษในแวดวงกีฬาฟุตบอลอย่าง เดวิด แบ๊คแฮม
การลงทุนส่วนใหญ่ในดูไบ เป็นการลงทุนจากกองทุนของรัฐบาลที่เรียกกันว่า กองทุนเพื่อความมั่งคั่งแห่งรัฐ (ในทำนองเดียวกับเทมาเสก ของสิงคโปร์) ซึ่งจัดตั้งในชื่อ "ดูไบเวิลด์" ดูไบเวิลด์ เป็นผู้บริหารกิจการหลายอย่าง อาทิ ดูไบ พอร์ต เวิลด์ ผู้บริหารท่าเรือน้ำลึกที่ใหญ่ที่สุดในโลก และ นาคีล ดีเวลลอปเมนต์ บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เจ้าของกิจการ ปาล์ม ไอส์แลนด์ และอื่นๆ ที่ส่วนหนึ่งยังคาราคาซัง ครึ่งๆ กลางๆ อยู่ในเวลานี้
โครงการยักษ์ "ปาล์ม ไอส์แสนด์" หนึ่งในโครงการที่ยังคาราคาซังของ นาคีล ดีเวลล็อปเมนต์ ที่เป็นที่มาของหนี้ก้อนมหึมาของดูไบ จนต้องประกาศพักหนี้อยู่ในเวลานี้
เงินลงทุนทั้งหมดไม่ใช่การใช้เงินสดจากกองทุนเข้ามาทำลงทุน หากแต่เป็นการอาศัยศักยภาพของกองทุนมากู้เงิน ทั้งในรูปของการกู้จริงๆ และในรูปของการกู้โดยการออกพันธบัตร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การกู้ทั้งสองรูปแบบค้ำประกันโดยรัฐบาลดูไบทั้งสิ้น
เกิดอะไรขึ้นที่ดูไบ
เบ็ดเสร็จแล้ว ผู้ปกครองแห่งดูไบ กู้เงินจากแหล่งเงินหลากหลายมากกว่า 70 แหล่ง มาเพื่อใช้ในการดำเนินการและพัฒนาโครงการต่างๆ ของประเทศ เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา นาคีล ดีเวลลอปเมนต์ ระบุเอาไว้ว่า ดูไบ เวิลด์ มีหนี้สินทั้งสิ้น 59,300 ล้านดอลลาร์ ณ สิ้นปี 2008 และมีทรัพย์สินคิดเป็นมูลค่า 99,600 ล้านดอลลาร์ ณ เวลาเดียวกัน
มีผู้ประเมินหยาบๆ เอาไว้ว่า โดยรวมแล้ว หนี้สินทั้งที่เป็นของภาครัฐและเอกชนในดูไบทั้งหมดรวมแล้วมีประมาณ 80,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งไม่ยากที่จะทำให้นครรัฐดูไบ กลายเป็นประเทศที่ประชากรมีหนี้สินต่อหัวสูงที่สุดในโลก
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อาจไม่เกิดอะไรขึ้นกับพัฒนาการของดูไบ หากไม่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินที่เรียกกันในเวลานี้ว่า แฮมเบอร์เกอร์ ไครซิส ขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ลักษณะพิเศษที่เป็นสาเหตุส่วนหนึ่งของวิกฤตหนนี้ก็คือ ภาวะตกต่ำของราคาอสังหาริมทรัพย์ และผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นตามมาจนลุกลามกลายเป็นวิกฤตไปทั่วโลก คือ ภาวะวิกฤตสินเชื่อ ทั้งสองอย่างกระทบเข้าตรงใจกลางสิ่งที่ดูไบเป็นอยู่พอดิบพอดี แหล่งเงินกู้ของดูไบ หายากเย็นมากขึ้นในขณะที่ราคาอสังหาริมทรัพย์ของตนลดลงมากถึง 50 เปอร์เซ็นต์ แถมยังขายไม่ได้อีกต่างหาก
สิ่งที่ผู้ปกครองแห่งดูไบประกาศ เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายนที่ผ่านมานั้น อุปมาอุปไมยได้กับการที่ นาย ก. กู้เงินจากธนาคารมาสร้างบ้าน แล้วจู่ๆ ก็พบว่า เงินสดที่มาจากรายได้ของตนขาดมือไม่เพียงพอต่อการชำระค่างวดที่กำลังจะมาถึง จึงประกาศบอกกับธนาคารที่เป็นเจ้าหนี้ทั้งหลาย ขอให้เลิกเก็บค่างวดไปอีก 6 เดือน
ความแตกต่างกันอย่างใหญ่หลวงก็คือ ดูไบ ไม่ใช่ นาย ก. แต่เป็นประเทศๆ หนึ่ง ซึ่งอย่างน้อยที่สุด หากเงินสดจะขาดมือจริงต้องมีเค้าลางบอกล่วงหน้า ที่จะทำให้เจ้าหนี้ทั้งหลายเลิกปล่อยกู้ นักลงทุนเลิกลงทุนซื้อพันธบัตร ข้อเท็จจริงก็คือ บรรดานักลงทุนจากต่างชาติประเมินดูไบผิดมาตลอดระยะเวลา 4 ปี เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอกย้ำชัดเจนว่า สิ่งที่บรรดานักลงทุนทั้งหลายคิดว่าดูไบ เวิลด์ จะได้รับการหนุนหลังจากรัฐบาลดูไบ และรัฐบาลดูไบจะได้รับการหนุนหลังจากรัฐบาลสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ไม่เป็นความจริงโดยสิ้นเชิง
ความน่าเชื่อถือและศักยภาพของโครงการต่างๆ ของดูไบ หายวับไปกับตาก็เพราะเหตุนี้
ผลสะเทือนจากวิกฤตดูไบ
จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีอะไรชัดเจนจากวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้น นครรัฐดูไบ เพียงร้องขอให้เจ้าหนี้มาเจรจากับตนเพื่อยืดเวลาชำระหนี้ออกไปอีกอย่างน้อยจนถึงกลางเดือนพฤษภาคมปีหน้า แต่ข้อเท็จจริงที่ว่า รัฐบาลอาบูดาบี ไม่ได้หนุนหลังดูไบอย่างเต็มที่ ทำให้ทุกคนตื่นตระหนก ดูไบมีหนี้สินอยู่เท่าใดกันแน่? ต้องการยืดชำระหนี้ก้อนไหน เป็นจำนวนเท่าใด? แล้วจะเกิดอะไรขึ้นตามมาอีก? เหล่านี้ล้วนเป็นคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ และยิ่งก่อให้เกิดความตระหนกแผ่ไปทั่ว
ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจอีกประการก็คือ ดูไบเวิลด์ เพิ่งออกพันธบัตรและธนาคารกลางอาบูดาบี เพิ่งกวาดซื้อไปทั้งหมด 10,000 ล้านดอลลาร์ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าที่จะมีการประกาศขอพักชำระหนี้ ดูไบเวิลด์ เพิ่งได้เงินกู้จากธนาคาร 2 แห่ง ในอาบูดาบีมา รวมเป็นเงิน 5,000 ล้านดอลลาร์ แต่ก็ยังจำเป็นต้องประกาศของพักหนี้ ทำให้นักลงทุนยิ่งขมวดคิ้วนิ่วหน้ามากขึ้นไปอีก
บุคคลทั่วไปไม่มีทางที่จะรู้ได้ว่า ดูไบเวิลด์ เป็นหนี้ใครอยู่เป็นจำนวนเท่าใดกันแน่ เว้นเสียแต่ว่า เจ้าหนี้หรือลูกหนี้จะประกาศข้อเท็จจริงออกมา จนกว่าจะถึงเวลานั้น วิกฤตดูไบอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องออกไปไม่หยุดยั้ง ยิ่งข่าวสะพัดออกไปว่าหนี้จำนวนหนึ่งถูกแปลงไปอยู่ในรูปของ เครดิต ดีฟอลท์ สว็อป หรือซีดีเอส ความแตกตื่นยิ่งลุกลามไปกันใหญ่
ข้อเท็จจริงประการหนึ่งที่ทำให้กรณีนี้เป็นเรื่องใหญ่ระดับโลกก็คือ แม้ว่าในที่สุดแล้ว รัฐบาลกลางของยูเออีก็คงต้องเข้ามาอุ้มโครงการต่างๆ เอาไว้ แต่ก็ต้องเกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขที่เป็นที่ยอมรับกันได้ ซึ่งหมายถึงความเจ็บปวดสำหรับเจ้าหนี้ของดูไบในเวลานี้ และจำนวนหนี้สินที่แท้จริงของดูไบนั้นจำเป็นต้องบวกเม็ดเงินที่ต้องทุ่มลงไปเพื่อให้โครงการต่างๆ ที่ยังคาราคาซังแล้วเสร็จ พร้อมออกจำหน่ายเข้าไปด้วยอีกส่วนหนึ่ง
ภายใต้ข้อสันนิษฐานดังกล่าว วิกฤตดูไบน่าจะส่งผลสะเทือนสูงเฉพาะในส่วนของผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง คือเจ้าหนี้และลูกหนี้ ซึ่งคาดกันว่าส่วนใหญ่จะเป็นในภูมิภาคอ่าวเปอร์เซียเท่านั้น
เกิดอะไรขึ้นที่เวียดนาม
ความยุ่งยากของเวียดนาม แตกต่างกันออกไป แรงกดดันที่มีต่อระบบเศรษฐกิจของเวียดนามเกิดขึ้นจากภายในเองส่วนหนึ่งและจากภายนอกประเทศอีกส่วนหนึ่ง กดดันจนทำให้ธนาคารกลางของเวียดนามประกาศลดค่าเงินด่องของตนเองลงเป็นครั้งแรกในรอบปี ในขณะเดียวกันก็ถือว่าเป็นประเทศแรกในอุษาคเนย์ที่ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย จนทำให้อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงขึ้นไปอยู่ที่ 8 เปอร์เซ็นต์แล้ว
ธนาคารกลางของเวียดนามรู้ดีว่า การลดค่าเงินลง ราว 5 เปอร์เซ็นต์นั้น จะส่งผลให้เกิดการปรับค่าเงินด่องในตลาดจริงๆ ราว 10-12 เปอร์เซ็นต์ และจะก่อให้เกิดแรงกดดัน หรือไม่ก็เกิดการเก็งกำไรจากการเดิมพันว่า จะมีการลดค่าเงินลงไปอีกอย่างต่อเนื่อง แต่ก็จำเป็นต้องทำ
เหตุผลประการหนึ่งนั้น เป็นเพราะทางการเวียดนามต้องการแก้ปัญหาเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นอย่างฮวบฮาบจนถึงระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน ที่ 4.35 เปอร์เซ็นต์ ในเดือนพฤศจิกายน ในขณะเดียวกันกับที่ระดับสินเชื่อก็ขยายตัวมากถึง 34.5 เปอร์เซ็นต์ ใน 10 เดือนแรกของปีนี้ เกินกว่าเป้าทั้งปีที่ทางการตั้งเอาไว้ที่ 30 เปอร์เซ็นต์แล้ว ในเวลาเดียวกันนั่นเอง ภาวะขาดดุลการค้าและขาดดุลบัญชีเดินสะพัดก็เพิ่มขึ้นอย่างน่าวิตก
ดุลการค้าของเวียดนามขาดดุลเพิ่มขึ้นเป็น 1,750 ล้านดอลลาร์ ในเดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้นจาก 1,600 ล้านดอลลาร์ เมื่อตุลาคมที่ผ่านมา การส่งออกนับตั้งแต่เดือนมกราคมเรื่อยมาจนถึงเดือนพฤศจิกายน ลดลง 11.4 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีที่แล้ว ในขณะเดียวกัน เงินทุนไหลออกก็มากกว่าเม็ดเงินลงทุนที่ไหลเข้าประเทศ ทำให้เกิดขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเพิ่มมากขึ้นในครึ่งแรกของปีนี้เป็น 5,000 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่ทั้งปีของปี 2008 ที่ผ่านมา ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลเพียง 1,600 ล้านดอลลาร์เท่านั้น
ประเด็นที่เป็นปัญหาก็คือ การดำเนินการของทางการเวียดนามในเวลานี้ ทำให้เกิดความสับสนและไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นตามมาในอนาคตขึ้น เพราะการลดค่าเงินและการขึ้นดอกเบี้ยดูเหมือนจะขัดกันอยู่ในตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหลายคนปักใจเชื่อตั้งแต่ตอนนี้แล้วว่า การลดค่าด่องครั้งนี้ไม่น่าจะเป็นครั้งสุดท้าย
ข้อเท็จจริงของทั้ง 2 กรณี แสดงให้เห็นภาพที่ชัดเจนประการหนึ่งว่า ในขณะที่เศรษฐกิจโลกกำลังฟื้นตัว สร่างไข้อยู่ในเวลานี้นั้น ทุกอย่างยังเปราะบาง และอ่อนแออย่างยิ่ง ภาวะวิกฤตสินเชื่ออาจเล่นงานใครก็ได้ เมื่อใดก็ได้ทุกเมื่อ เช่นเดียวกันกับปัญหาเรื่องการส่งออกและการไหลเข้า-ออกของเงินทุนจากต่างประเทศ
และน่าจะเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกนานไม่น้อย จนกว่าเหตุปัจจัยพื้นฐานในระบบเศรษฐกิจโลกจะได้รับการแก้ไขให้ถูกต้องอย่างจริงจัง
matichon
http://www.matichon.co.th/matichon/view ... 2009-11-28
- Linzhi
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1522
- ผู้ติดตาม: 1
ดูไบ ประกาศชักดาบครับ....
โพสต์ที่ 44
เพิ่งอัพบล็อกเสร็จ ไม่เกี่ยวตรง ๆ แต่เกี่ยวอ้อม ๆ ก็แชร์พี่ ๆ ที่นี่แล้วกันครับ
http://verapong.wordpress.com/2009/11/2 ... %E0%B8%99/[/url]
http://verapong.wordpress.com/2009/11/2 ... %E0%B8%99/[/url]
ก้าวช้า ๆ และเชื่อในปาฎิหารย์ของหุ้นเปลี่ยนชีวิต
There is no secret ingredient. It's just you.
There is no secret ingredient. It's just you.
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
news
โพสต์ที่ 45
รัฐอาบูดาบีตัดสินใจช่วยดูไบชำระหนี้ แต่จะเลือกเป็นรายกรณี ไม่รับทั้งหมด
Posted on Monday, November 30, 2009
อาบูดาบียื่นมือช่วยการชำระหนี้ของดูไบ
เจ้าหน้าที่อาวุโสของรัฐอาบูดาบี 1 ในรัฐของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เปิดเผยว่า จะให้ความช่วยเหลือรัฐดูไบซึ่งกำลังมีปัญหาหนี้สิน โดยจะพิจารณาให้ความช่วยเหลือเป็นรายกรณี และจะไม่เข้าไปค้ำประกันหนี้สินทั้งหมด
ทรัพย์สินบางอย่างของรัฐดูไบมีทั้งเป็นของเอกชนและกึ่งทางการ รัฐอาบูดาบีจะเป็นผู้เลือกว่าจะให้ความช่วยเหลือเมื่อไรและแห่งใดบ้าง
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลดูไบ ออกแถลงการณ์ชี้แจงถึงการขอเลื่อนนัดชำระหนี้ของบริษัทดูไบ เวิลด์ จากกำหนดการเดิมถึง 6 เดือนว่า บริษัทได้ตัดสินใจอย่างรอบคอบและคำนึงถึงปฏิกิริยาตอบสนองจากตลาดเงินไว้แล้ว
ชีค อาหมัด บิน ซาเอ็ด อัล-มัคทูม ประธานคณะกรรมาธิการการคลังแห่งดูไบกล่าวว่า ตนทราบดีว่าการขอผ่อนผันชำระหนี้มูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์นั้นจะส่งผลกระทบต่อตลาดอย่างไรบ้าง ยอมรับว่า การตัดสินใจครั้งนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่รัฐบาลคำนึงถึงผลประโยชน์ที่ดูไบ เวิลด์จะได้รับในระยะยาว ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจของดูไบและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในอนาคต
สำนักข่าวต่างประเทศหลายแห่งประโคมข่าวว่า บริษัทดูไบ เวิลด์ ของรัฐบาลดูไบได้ขอเลื่อนกำหนดชำระหนี้สินราว 6 หมื่นล้านดอลลาร์ออกไปอีก 6 เดือน ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวได้สร้างความตื่นตระหนกต่อตลาดหุ้นทั่วโลก และส่งผลต่อชื่อเสียงของดูไบในฐานะที่เป็นแหล่งดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลดูไบเชื่อว่า ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจต่างๆ จะยังทำให้ดูไบเป็นตลาดที่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนในภูมิภาคนี้ต่อไป
นักลงทุนขายหุ้นแบงก์-โภคภัณฑ์ กังวลดูไบเลื่อนจ่ายหนี้
ผลกระทบจากปัญหาการเงินของดูไบก็ฉุดหุ้นและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ จากการเก็งกันว่ามหาเศรษฐีของตะวันออกกลางรายนี้ อาจผิดนัดและไม่จ่ายหนี้ ซึ่งทำให้เกิดความกังวลว่าการฟื้นตัวของระบบการเงินโลกจะหยุดนิ่งในที่สุด
ขณะที่ฝุ่นยังตลบจากการที่นักลงทุนเทขายหุ้นท่ามกลางสภาวะสุญญากาศ ก็ไม่ได้มีการเปิดเผยตัวเลขความเสียหายที่เกิดขึ้นจากในกรณีนี้ออกมาให้เห็น แม้ธนาคารกลางของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จะประกาศช่วยสนับสนุนทางด้านสภาพคล่องแล้ว และอีกส่วนหนึ่งก็รอคอยว่า จะมีความคืบหน้าอะไรอีกบ้างในสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ดี อย่างน้อยก็มีทางด้านนักวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ อย่าง UBS ที่ออกมาประเมินว่า ดูไบอาจจะมีหนี้อยู่อย่างน้อยๆ 80,000 90,000 ล้านเหรียญ เมื่อดูจากการที่ประเทศ emirate นี้ ได้กู้เงินจำนวน 80,000 ล้านเหรียญไปใช้ในแผนก่อสร้างเพื่อหวังพลิกโฉมให้ประเทศกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญในภูมิภาค รวมถึงการเป็นศูนย์กลางทางการเงิน จนเศรษฐกิจบูมสุดๆ ตลอดช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ก่อนที่จะมาถูกวิกฤติการเงินโลกเล่นงานและทำให้สถานการณ์ในภาคอสังหาริมทรัพย์กลับพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ
ผลจากข่าวดูไบก็ทำให้นักลงทุนต่างเทขายหุ้นกันออกมา โดยเฉพาะในกลุ่มธนาคาร ที่หุ้นใหญ่ๆ ในสหรัฐฯ ปรับตัวลงกันถ้วนหน้า นำโดย Morgan Stanley ที่หุ้นร่วงลง 5% ขณะ Bank of America ปรับตัวลงไปเกือบ 4% ส่วน Goldman Sachs ลดลงไป 3.4%
และนอกจากตลาดหุ้นแล้ว แรงขายยังมีเข้ามาที่สินค้าโภคภัณฑ์ด้วย เริ่มจาก น้ำมันที่ราคาลดลงไปเคลื่อนไหวอยู่แถว 76 เหรียญที่ตลาดนิวยอร์ก ขณะราคาโลหะอื่น อย่างเช่น ทองแดง ราคาปรับลดลงเช่นกัน รวมถึง ผู้ผลิตอลูมินั่มรายใหญ่สุดของสหรัฐฯ บริษัท Alcoa ที่ราคาหุ้นร่วงลงมากกว่า 3%
อย่างไรก็ดี ถ้าไปดูที่ตลาดเงิน แม้นักลงทุนบางส่วนจะขายสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงและหันกลับมาเข้าสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยดีกว่า แต่เงินดอลลาร์กลับยังเคลื่อนไหวอยู่ที่แถวระดับต่ำสุดในรอบ 14 ปี ซึ่งเหตุผลหลักๆ ก็เป็นเพราะธนาคารกลางสหรัฐฯ แสดงท่าทีว่า ยังรับได้กับการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ ทำให้มีเม็ดเงินส่วนหนึ่งออกไปแสวงหาสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า
money wake up
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
Posted on Monday, November 30, 2009
อาบูดาบียื่นมือช่วยการชำระหนี้ของดูไบ
เจ้าหน้าที่อาวุโสของรัฐอาบูดาบี 1 ในรัฐของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เปิดเผยว่า จะให้ความช่วยเหลือรัฐดูไบซึ่งกำลังมีปัญหาหนี้สิน โดยจะพิจารณาให้ความช่วยเหลือเป็นรายกรณี และจะไม่เข้าไปค้ำประกันหนี้สินทั้งหมด
ทรัพย์สินบางอย่างของรัฐดูไบมีทั้งเป็นของเอกชนและกึ่งทางการ รัฐอาบูดาบีจะเป็นผู้เลือกว่าจะให้ความช่วยเหลือเมื่อไรและแห่งใดบ้าง
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลดูไบ ออกแถลงการณ์ชี้แจงถึงการขอเลื่อนนัดชำระหนี้ของบริษัทดูไบ เวิลด์ จากกำหนดการเดิมถึง 6 เดือนว่า บริษัทได้ตัดสินใจอย่างรอบคอบและคำนึงถึงปฏิกิริยาตอบสนองจากตลาดเงินไว้แล้ว
ชีค อาหมัด บิน ซาเอ็ด อัล-มัคทูม ประธานคณะกรรมาธิการการคลังแห่งดูไบกล่าวว่า ตนทราบดีว่าการขอผ่อนผันชำระหนี้มูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์นั้นจะส่งผลกระทบต่อตลาดอย่างไรบ้าง ยอมรับว่า การตัดสินใจครั้งนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่รัฐบาลคำนึงถึงผลประโยชน์ที่ดูไบ เวิลด์จะได้รับในระยะยาว ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจของดูไบและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในอนาคต
สำนักข่าวต่างประเทศหลายแห่งประโคมข่าวว่า บริษัทดูไบ เวิลด์ ของรัฐบาลดูไบได้ขอเลื่อนกำหนดชำระหนี้สินราว 6 หมื่นล้านดอลลาร์ออกไปอีก 6 เดือน ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวได้สร้างความตื่นตระหนกต่อตลาดหุ้นทั่วโลก และส่งผลต่อชื่อเสียงของดูไบในฐานะที่เป็นแหล่งดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลดูไบเชื่อว่า ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจต่างๆ จะยังทำให้ดูไบเป็นตลาดที่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนในภูมิภาคนี้ต่อไป
นักลงทุนขายหุ้นแบงก์-โภคภัณฑ์ กังวลดูไบเลื่อนจ่ายหนี้
ผลกระทบจากปัญหาการเงินของดูไบก็ฉุดหุ้นและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ จากการเก็งกันว่ามหาเศรษฐีของตะวันออกกลางรายนี้ อาจผิดนัดและไม่จ่ายหนี้ ซึ่งทำให้เกิดความกังวลว่าการฟื้นตัวของระบบการเงินโลกจะหยุดนิ่งในที่สุด
ขณะที่ฝุ่นยังตลบจากการที่นักลงทุนเทขายหุ้นท่ามกลางสภาวะสุญญากาศ ก็ไม่ได้มีการเปิดเผยตัวเลขความเสียหายที่เกิดขึ้นจากในกรณีนี้ออกมาให้เห็น แม้ธนาคารกลางของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จะประกาศช่วยสนับสนุนทางด้านสภาพคล่องแล้ว และอีกส่วนหนึ่งก็รอคอยว่า จะมีความคืบหน้าอะไรอีกบ้างในสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ดี อย่างน้อยก็มีทางด้านนักวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ อย่าง UBS ที่ออกมาประเมินว่า ดูไบอาจจะมีหนี้อยู่อย่างน้อยๆ 80,000 90,000 ล้านเหรียญ เมื่อดูจากการที่ประเทศ emirate นี้ ได้กู้เงินจำนวน 80,000 ล้านเหรียญไปใช้ในแผนก่อสร้างเพื่อหวังพลิกโฉมให้ประเทศกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญในภูมิภาค รวมถึงการเป็นศูนย์กลางทางการเงิน จนเศรษฐกิจบูมสุดๆ ตลอดช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ก่อนที่จะมาถูกวิกฤติการเงินโลกเล่นงานและทำให้สถานการณ์ในภาคอสังหาริมทรัพย์กลับพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ
ผลจากข่าวดูไบก็ทำให้นักลงทุนต่างเทขายหุ้นกันออกมา โดยเฉพาะในกลุ่มธนาคาร ที่หุ้นใหญ่ๆ ในสหรัฐฯ ปรับตัวลงกันถ้วนหน้า นำโดย Morgan Stanley ที่หุ้นร่วงลง 5% ขณะ Bank of America ปรับตัวลงไปเกือบ 4% ส่วน Goldman Sachs ลดลงไป 3.4%
และนอกจากตลาดหุ้นแล้ว แรงขายยังมีเข้ามาที่สินค้าโภคภัณฑ์ด้วย เริ่มจาก น้ำมันที่ราคาลดลงไปเคลื่อนไหวอยู่แถว 76 เหรียญที่ตลาดนิวยอร์ก ขณะราคาโลหะอื่น อย่างเช่น ทองแดง ราคาปรับลดลงเช่นกัน รวมถึง ผู้ผลิตอลูมินั่มรายใหญ่สุดของสหรัฐฯ บริษัท Alcoa ที่ราคาหุ้นร่วงลงมากกว่า 3%
อย่างไรก็ดี ถ้าไปดูที่ตลาดเงิน แม้นักลงทุนบางส่วนจะขายสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงและหันกลับมาเข้าสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยดีกว่า แต่เงินดอลลาร์กลับยังเคลื่อนไหวอยู่ที่แถวระดับต่ำสุดในรอบ 14 ปี ซึ่งเหตุผลหลักๆ ก็เป็นเพราะธนาคารกลางสหรัฐฯ แสดงท่าทีว่า ยังรับได้กับการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ ทำให้มีเม็ดเงินส่วนหนึ่งออกไปแสวงหาสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า
money wake up
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1841
- ผู้ติดตาม: 0
ดูไบ ประกาศชักดาบครับ....
โพสต์ที่ 46
Dubai banks given extra liquidity
The central bank of the United Arab Emirates (UAE) has said it will provide banks with extra liquidity.
The news comes days after the state-owned Dubai World said it would ask for an extension on repaying its debts, sending world stock markets tumbling.
The move appeared designed to head off a possible run on UAE banks when they open after a four-day break for the Muslim Eid al-Adha holiday.
Dubai's government is expected to make a statement before the market opens.
The International Monetary Fund has welcomed the decision by the UAE central bank.
"The United Arab Emirates is a strong resource-based economy and we welcome today's announcement," an IMF statement said.
There are fears that the stock market could plunge by up to 10%.
But Asian markets saw clear gains early on Monday, with Japan's Nikkei rising 2.39% in morning trading, and Hong Kong's Hang Seng boosted by more than 3% within minutes of opening.
Meanwhile, neighbouring Abu Dhabi has said it will "pick and choose" how to assist Dubai.
"We will look at Dubai's commitments and approach them on a case-by-case basis," an Abu Dhabi government official said on Saturday.
"It does not mean that Abu Dhabi will underwrite all of their debts," he added.
'More sound'
The announcement from the central bank came the day before markets in the Middle East reopen after the Eid holiday.
"[The] central bank has issued a notice to UAE banks and branches of foreign banks operating in the UAE, making available to them a special additional liquidity facility linked to their current accounts at the central bank," it said in a statement.
The bank added that the banking system in the UAE was more sound and liquid than a year ago.
As a result of Dubai's debt problems, banks face heavy losses and the risk that depositors could rush to remove cash from the system.
"It might support the market a little bit but I don't think it is enough," said Shawkut Raslan from Prime Emirates brokerage.
"I think some foreigners will take their money out of the country and others will be afraid to put their money into these markets."
Story from BBC NEWS:
http://news.bbc.co.uk/go/pr/fr/-/2/hi/b ... 385164.stm
Published: 2009/11/30 02:54:16 GMT
© BBC MMIX
The central bank of the United Arab Emirates (UAE) has said it will provide banks with extra liquidity.
The news comes days after the state-owned Dubai World said it would ask for an extension on repaying its debts, sending world stock markets tumbling.
The move appeared designed to head off a possible run on UAE banks when they open after a four-day break for the Muslim Eid al-Adha holiday.
Dubai's government is expected to make a statement before the market opens.
The International Monetary Fund has welcomed the decision by the UAE central bank.
"The United Arab Emirates is a strong resource-based economy and we welcome today's announcement," an IMF statement said.
There are fears that the stock market could plunge by up to 10%.
But Asian markets saw clear gains early on Monday, with Japan's Nikkei rising 2.39% in morning trading, and Hong Kong's Hang Seng boosted by more than 3% within minutes of opening.
Meanwhile, neighbouring Abu Dhabi has said it will "pick and choose" how to assist Dubai.
"We will look at Dubai's commitments and approach them on a case-by-case basis," an Abu Dhabi government official said on Saturday.
"It does not mean that Abu Dhabi will underwrite all of their debts," he added.
'More sound'
The announcement from the central bank came the day before markets in the Middle East reopen after the Eid holiday.
"[The] central bank has issued a notice to UAE banks and branches of foreign banks operating in the UAE, making available to them a special additional liquidity facility linked to their current accounts at the central bank," it said in a statement.
The bank added that the banking system in the UAE was more sound and liquid than a year ago.
As a result of Dubai's debt problems, banks face heavy losses and the risk that depositors could rush to remove cash from the system.
"It might support the market a little bit but I don't think it is enough," said Shawkut Raslan from Prime Emirates brokerage.
"I think some foreigners will take their money out of the country and others will be afraid to put their money into these markets."
Story from BBC NEWS:
http://news.bbc.co.uk/go/pr/fr/-/2/hi/b ... 385164.stm
Published: 2009/11/30 02:54:16 GMT
© BBC MMIX
Rabbit VS. Turtle
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1841
- ผู้ติดตาม: 0
ดูไบ ประกาศชักดาบครับ....
โพสต์ที่ 47
From The Times November 30, 2009
Central Bank of the United Arab Emirates takes hard line as Dubai counts soaring cost
Rhys Blakely and Hugh Tomlinson in Dubai
The fate of $65 billion of unfinished Dubai property projects was in the balance last night as Abu Dhabi and the Central Bank of the United Arab Emirates prepared to take a tough line over bailing out the stricken Gulf state.
The UAE central bank intervened yesterday, setting up an emergency liquidity facility for lenders in the second-largest Arab economy. Its move was designed to head off a run on local banks when they re-open today after a four-day holiday.
The rulers of Abu Dhabi are expected to make a statement before the markets open on whether they will bail out Dubai and which businesses and projects will be rescued. Such a statement would be a key test of financial stability in the region.
Senior analysts in the region expect that projects regarded as folly will not be backed but operations and investments with a strong business model will be. Restructuring of the debts on those had already been started by investment bankers at Rothschild and accountants at Deloitte.
British banks face exposure of at least $50 billion (£30 billion) in Dubai, which shocked world markets last week by asking to freeze debt repayments temporarily at Dubai World, the largest government-owned conglomerate, which owes $59 billion.
KPMG is expected to be confirmed this week as lead adviser to the biggest creditors to Dubai World, including British banks. Western banks welcomed the UAE central bank action but analysts called it a holding tactic.
The central bank said that it stands behind local and foreign banks operating in the country. Peter Sands, the chief executive of Standard Chartered, which has lent about $7.8 billion to Dubai, said: The central bank has acted decisively and pragmatically. Their support for the banking system will underpin consumer and market confidence in the economy.
Raj Madha, a banking analyst at EFG Hermes, an investment bank based in Egypt, said that further measures were required. He said that the facility may be enough to stop any liquidity drain gaining momentum tomorrow, but they need to clarify the long-term health of the banking sector by a guarantee of loans or by offering to buy up exposure.
Last night, the rulers of Dubai and Abu Dhabi, its much richer sister emirate, were locked in fraught talks about the terms of a potential rescue.
The UAE central bank is advised by Oliver Wyman, the management consultancy, and has held talks with the office of Sheikh Mansour bin Zayed al-Nahyan, the multibillionaire whose investment fund owns Manchester City Football Club.
Today will mark the first key test of whether Dubai will default on its estimated $88 billion debt pile, when interest payments of about $138 million on a $2 billion bond issue by Jebel Ali Free Zone Authority, a unit of Dubai World, become due.
Abu Dhabi, which sits on a tenth of the worlds oil reserves, has the worlds largest sovereign wealth fund, valued at $700 billion. It can afford to bail out Dubai but is thought to be driving a tough deal, possibly demanding control of key assets, such as Emirates Airline.
Projects begun but not completed include the $20 billion Dubai Land, three billion sq ft of theme parks, shopping centres, hotels and residential properties due to be completed in 2018; the $15 billion Dubai Festival City, a 1,300-acre complex of schools, hotels, offices and leisure facilities to be completed in 2020; and The Lagoons, a $17.7 billion development of seven islands, to be completed next year.
Dubai censors scrambled to stop The Sunday Times reaching news stands yesterday. SAB Media, the Dubai licensee, was told the paper was blocked from distribution. No reason was given but the recall was probably prompted by an illustra- tion of Sheikh Mohammed bin Rashid Al Maktoum swept away in a wave of debt. In Dubai it is illegal to produce a derogatory image of the ruler or to deface his picture.
Central Bank of the United Arab Emirates takes hard line as Dubai counts soaring cost
Rhys Blakely and Hugh Tomlinson in Dubai
The fate of $65 billion of unfinished Dubai property projects was in the balance last night as Abu Dhabi and the Central Bank of the United Arab Emirates prepared to take a tough line over bailing out the stricken Gulf state.
The UAE central bank intervened yesterday, setting up an emergency liquidity facility for lenders in the second-largest Arab economy. Its move was designed to head off a run on local banks when they re-open today after a four-day holiday.
The rulers of Abu Dhabi are expected to make a statement before the markets open on whether they will bail out Dubai and which businesses and projects will be rescued. Such a statement would be a key test of financial stability in the region.
Senior analysts in the region expect that projects regarded as folly will not be backed but operations and investments with a strong business model will be. Restructuring of the debts on those had already been started by investment bankers at Rothschild and accountants at Deloitte.
British banks face exposure of at least $50 billion (£30 billion) in Dubai, which shocked world markets last week by asking to freeze debt repayments temporarily at Dubai World, the largest government-owned conglomerate, which owes $59 billion.
KPMG is expected to be confirmed this week as lead adviser to the biggest creditors to Dubai World, including British banks. Western banks welcomed the UAE central bank action but analysts called it a holding tactic.
The central bank said that it stands behind local and foreign banks operating in the country. Peter Sands, the chief executive of Standard Chartered, which has lent about $7.8 billion to Dubai, said: The central bank has acted decisively and pragmatically. Their support for the banking system will underpin consumer and market confidence in the economy.
Raj Madha, a banking analyst at EFG Hermes, an investment bank based in Egypt, said that further measures were required. He said that the facility may be enough to stop any liquidity drain gaining momentum tomorrow, but they need to clarify the long-term health of the banking sector by a guarantee of loans or by offering to buy up exposure.
Last night, the rulers of Dubai and Abu Dhabi, its much richer sister emirate, were locked in fraught talks about the terms of a potential rescue.
The UAE central bank is advised by Oliver Wyman, the management consultancy, and has held talks with the office of Sheikh Mansour bin Zayed al-Nahyan, the multibillionaire whose investment fund owns Manchester City Football Club.
Today will mark the first key test of whether Dubai will default on its estimated $88 billion debt pile, when interest payments of about $138 million on a $2 billion bond issue by Jebel Ali Free Zone Authority, a unit of Dubai World, become due.
Abu Dhabi, which sits on a tenth of the worlds oil reserves, has the worlds largest sovereign wealth fund, valued at $700 billion. It can afford to bail out Dubai but is thought to be driving a tough deal, possibly demanding control of key assets, such as Emirates Airline.
Projects begun but not completed include the $20 billion Dubai Land, three billion sq ft of theme parks, shopping centres, hotels and residential properties due to be completed in 2018; the $15 billion Dubai Festival City, a 1,300-acre complex of schools, hotels, offices and leisure facilities to be completed in 2020; and The Lagoons, a $17.7 billion development of seven islands, to be completed next year.
Dubai censors scrambled to stop The Sunday Times reaching news stands yesterday. SAB Media, the Dubai licensee, was told the paper was blocked from distribution. No reason was given but the recall was probably prompted by an illustra- tion of Sheikh Mohammed bin Rashid Al Maktoum swept away in a wave of debt. In Dubai it is illegal to produce a derogatory image of the ruler or to deface his picture.
Rabbit VS. Turtle
- MO101
- Verified User
- โพสต์: 3226
- ผู้ติดตาม: 1
ดูไบ ประกาศชักดาบครับ....
โพสต์ที่ 48
ปัญหาคล้ายๆ Subprime เลย แรกๆ บอกไม่กระทบหลังจากนั้น 6 เดือน เลห์แมนล้ม แล้วรัฐก็อัดฉีดเงินเข้าไป แต่คราวดูไบ บอกไม่กระทบแต่อัดฉีดเงินทันที รออีก 3-6 เดือนดูว่าวิธีแก้ปัญหาแบบนี้ได้ผลหรือไม่
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
news
โพสต์ที่ 49
ตลาดหุ้น"ดูไบ-อาบูดาบี"ภาคเช้าร่วงหนัก
30 พย. 2552 16:02 น.
ดัชนี DFM ของดูไบร่วงกราวรูดไปอยู่ที่ 1,942.62 จุดในการซื้อขายภาคเช้าวันนี้ ลดลง 7.19%จากราคาปิดตลาดเมื่อวันพุธ ซึ่งเป็นผลจากหุ้นของบริษัทก่อสร้างและบริษัทการเงินชั้นนำพากันปรับตัวลดลงอย่างหนักโดยเฉพาะหุ้นของดูไบ เวิลด์ บริษัทลงทุนของทางการดูไบ ดิ่งลงเกือบ 15% ทันทีที่เปิดตลาด
การปรับตัวของตลาดอย่างแรงครั้งนี้สะท้อนถึงความกังวลของนักลงทุนต่อการตัดสินใจของรัฐบาลดูไบ หนึ่งในเจ็ดรัฐของสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ หรือ ยูเออี ที่ประกาศเมื่อวันพุธว่า บริษัทดูไบ เวิลด์ของทางการจะพักชำระหนี้เป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน โดยการประกาศดังกล่าวมีขึ้นหลังการปิดตลาดเมื่อวันพุธ และตลาดได้หยุดยาวตั้งแต่วันพฤหัสบดีในช่วงเทศกาลอีดิ้ล อัลอัฏฮา
นอกจากนี้ในการซื้อภาคเช้าวันนี้ ตลาดหุ้นของอาบูดาบี อีกหนึ่งในเจ็ดรัฐของยูเออี ก็ปรับตัวดิ่งลงถึง 8.09% ไปอยู่ที่ 2,674.79 จุด แสดงให้เห็นว่านักลงทุนยังไม่มั่นใจนักต่อคำแถลงของธนาคารกลางของยูเออีเมื่อวาน ที่จะอัดฉีดสภาพคล่องให้กับธนาคารทั้งในประเทศ และธนาคารต่างประเทศที่มีสาขาในยูเออีเพื่อบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตหนี้ของดูไบที่มีมูลค่าสูงถึง 80,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งในจำนวนนี้เป็นหนี้ของดูไบ เวิลด์สูงถึงกว่า 59,000 ล้านดอลลาร์
breakingking news
http://breakingnews.nationchannel.com/r ... sid=419434
30 พย. 2552 16:02 น.
ดัชนี DFM ของดูไบร่วงกราวรูดไปอยู่ที่ 1,942.62 จุดในการซื้อขายภาคเช้าวันนี้ ลดลง 7.19%จากราคาปิดตลาดเมื่อวันพุธ ซึ่งเป็นผลจากหุ้นของบริษัทก่อสร้างและบริษัทการเงินชั้นนำพากันปรับตัวลดลงอย่างหนักโดยเฉพาะหุ้นของดูไบ เวิลด์ บริษัทลงทุนของทางการดูไบ ดิ่งลงเกือบ 15% ทันทีที่เปิดตลาด
การปรับตัวของตลาดอย่างแรงครั้งนี้สะท้อนถึงความกังวลของนักลงทุนต่อการตัดสินใจของรัฐบาลดูไบ หนึ่งในเจ็ดรัฐของสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ หรือ ยูเออี ที่ประกาศเมื่อวันพุธว่า บริษัทดูไบ เวิลด์ของทางการจะพักชำระหนี้เป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน โดยการประกาศดังกล่าวมีขึ้นหลังการปิดตลาดเมื่อวันพุธ และตลาดได้หยุดยาวตั้งแต่วันพฤหัสบดีในช่วงเทศกาลอีดิ้ล อัลอัฏฮา
นอกจากนี้ในการซื้อภาคเช้าวันนี้ ตลาดหุ้นของอาบูดาบี อีกหนึ่งในเจ็ดรัฐของยูเออี ก็ปรับตัวดิ่งลงถึง 8.09% ไปอยู่ที่ 2,674.79 จุด แสดงให้เห็นว่านักลงทุนยังไม่มั่นใจนักต่อคำแถลงของธนาคารกลางของยูเออีเมื่อวาน ที่จะอัดฉีดสภาพคล่องให้กับธนาคารทั้งในประเทศ และธนาคารต่างประเทศที่มีสาขาในยูเออีเพื่อบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตหนี้ของดูไบที่มีมูลค่าสูงถึง 80,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งในจำนวนนี้เป็นหนี้ของดูไบ เวิลด์สูงถึงกว่า 59,000 ล้านดอลลาร์
breakingking news
http://breakingnews.nationchannel.com/r ... sid=419434
-
- Verified User
- โพสต์: 18364
- ผู้ติดตาม: 1
ดูไบ ประกาศชักดาบครับ....
โพสต์ที่ 51
ตอนนี้ที่ออกมาแล้วมีผลกระทบคือ
BBL กับ BAY
BBL กับ BAY
หลักทรัพย์ BBL
แหล่งข่าว BBL
หัวข้อข่าว แจ้งข้อมูลด้านสินเชื่อกรณี Dubai World
วันที่/เวลา 30 พ.ย. 2552 19:05:03
ที่ สบช.กง. 174/2552 30 พฤศจิกายน 2552
เรื่อง แจ้งข้อมูลด้านสินเชื่อกรณี Dubai World
เรียน กรรมการและผู้จัดการ
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ธนาคารกรุงเทพใคร่ขอชี้แจงกรณีบริษัท Dubai World Group Finance Limited ว่าธนาคาร
ได้อำนวยสินเชื่อในรูปของการให้สินเชื่อร่วม (syndicated loan) ให้กับบริษัทดังกล่าวเป็นจำนวนเงิน 50
ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.67 พันล้านบาท) หรือคิดเป็นร้อยละ 0.10 ของสินทรัพย์รวมของธนาคาร
ณ วันที่ 30 กันยายน 2552 ธนาคารมีสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญจำนวน 63.7 พันล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ
112.1 ของสินเชื่อด้อยคุณภาพซึ่งเพียงพอที่จะรองรับความสูญเสียใดๆ ที่อาจเกิดขึ้น
จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ
ขอแสดงความนับถือ
ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
(สิงห์ ตังทัตสวัสดิ์)
กรรมการผู้อำนวยการ
หลักทรัพย์ BAY
แหล่งข่าว BAY
หัวข้อข่าว การลงทุนที่เกี่ยวข้องกับ Dubai World
วันที่/เวลา 30 พ.ย. 2552 09:06:33
ที่ ลธ. (ท) 763 /2552 30 พฤศจิกายน 2552
เรื่อง การลงทุนที่เกี่ยวข้องกับ Dubai World
เรียน กรรมการและผู้จัดการ
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ธนาคารกรุงศรีอยุธยามีเงินลงทุนในรูปของการให้สินเชื่อร่วม (syndicated loan) ให้บริษัท
Dubai World Group Finance ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มของ Dubai World Corporation จำนวน 25 ล้านเหรียญ สรอ.
(ประมาณ 837.5 ล้านบาท) คิดเป็นประมาณ 0.11% ของสินทรัพย์รวมของธนาคาร (งบการเงินรวม) ที่ผ่านมาบริษัทฯ
ได้ชำระดอกเบี้ยตามกำหนด โดยครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนตุลาคม 2552 และกำหนดชำระดอกเบี้ยครั้งต่อไปคือวันที่ 21 มกราคม
2553 โดยสินเชื่อนี้จะครบกำหนดชำระเงินต้นทั้งหมดคืนในเดือนมิถุนายน 2553
จึงเรียนมาเพื่อทราบ
ขอแสดงความนับถือ
- เจนิส แร แวน เอ็กเคอเรน -
(นางเจนิส แร แวน เอ็กเคอเรน)
ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านการเงิน
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
dubai
โพสต์ที่ 52
ผลกระทบจาก Dubai World กับไทยอยู่ในวงจำกัด
รายงานโดย :บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเชียไซรัส
เหตุการณ์ : เมื่อวันที่ 25 พ.ย.ที่ผ่านมา รัฐบาลดูไบประกาศสองข่าวทั้งดีและร้าย ข่าวดีคือรัฐบาลดูไบประสบความสำเร็จในการออกหุ้นกู้ 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
ซึ่งผู้ซื้อก็คือ สองแบงก์ที่ถือหุ้นใหญ่โดยรัฐบาลอาบูดาบี หุ้นกู้ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมการออกหุ้นกู้ทั้งหมด 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ของรัฐบาลดูไบ ตามมาด้วยข่าวร้ายที่คาดไม่ถึงคือการขอยืดการชำระหนี้ของ Dubai World (ถือหุ้นทั้งหมดโดยรัฐบาลดูไบ) และ Nakheel (บริษัทย่อยของ Dubai World) ไปเป็นสิ้นเดือนพ.ค. 2010 เป็นอย่างเร็ว โดย Nakheel มีหุ้นกู้ (Sukuk Bond) ที่จะครบกำหนดชำระในเดือนธ.ค.นี้ 3,500 ล้านเหรียญสหรัฐ และที่จะครบกำหนดชำระใน 1Q10 อีก 4,900 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ Dubai World มีหนี้ทั้งหมด 5.9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นประมาณ 74% ของหนี้ทั้งหมดของรัฐบาลดูไบที่มีอยู่ประมาณ 89 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
ปัญหาของดูไบเกิดจากการลงทุนที่เกินตัว รัฐบาลมีโครงการมากมาย เช่น The Palm (เกาะรูปต้นปาล์ม) The World (เอาทรายไปถมทะเลสร้างเป็น 300 เกาะรูปแผนที่โลก) Nakheel Tower (ตึกที่สูงที่สุดในโลก) ปัจจุบันรัฐบาลมีหนี้สินประมาณ 89 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เท่ากับ GDP ของทั้งประเทศ ไม่มีเงินออม การลงทุนต่างๆ พึ่งพาเงินกู้จากต่างประเทศเป็นจำนวนมากเพราะทรัพยากรสำคัญของประเทศคือน้ำมันหมดไปหลายปีแล้ว รายได้หลักจึงมาจากการท่องเที่ยว ดูไบจึงเป็นอีกประเทศหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการเงินโลกในครั้งนี้อย่างรุนแรงตั้งแต่ 2Q08 หลังจากเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
ผลกระทบ : เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินระหว่างประเทศ โดยเฉพาะความเชื่อมั่นในการลงทุน จะเห็นว่าทันทีที่รัฐบาลดูไบประกาศยืดชำระหนี้ CDS Spread ของรัฐบาลดูไบปรับขึ้นทันที 123 bps เป็น 459 bps แม้แต่ CDS Rate ของรัฐอาบูดาบีซึ่งมีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งมากก็ยังขยับขึ้นไปด้วยเล็กน้อย 10 bps ความกังวลในเรื่องปัญหา Credit Risk ที่บรรเทาลงไปมากหลังจากเกิดวิกฤต Lehman อาจกลับมาอีกรอบใหม่หากการปรับโครงสร้างหนี้ของดูไบไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมไม่ลำพังเฉพาะของ ดูไบ แต่อาจรวมถึงทั้งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) จะสูงขึ้น แบงก์ต่างๆ ที่ปล่อยกู้ให้ดูไบอาจต้องประสบปัญหาการตั้งสำรองเพิ่ม จากข้อมูลของ Emirates Banks Association พบว่าแบงก์ต่างชาติที่มีธุรกรรมกับ UAE มี Standard Charter, HSBC, Barclays, Citi, BNPP, RBS, Sumitomo Mitsui Banking Corp เป็นต้น
บริษัทจดทะเบียนในไทยได้รับผลกระทบน้อยมาก
กลุ่มรับเหมา : ITD กับ NWR ร่วมลงทุนในดูไบคือ ITD-Nawarat สัดส่วนถือหุ้น ITD : NWR = 60:40 และ QINA Contracting L.L.C ทุนจดทะเบียน AED 3 ล้านดีแรมห์ (29.5 ล้านบาท) โดย NWR ถือ 20% (5.9 ล้านบาท) และ ITD ถือ 24% ทั้งสองบริษัทมีเงินกู้ระยะในบริษัทร่วมทุนในดูไบ 157 ล้านบาท และลูกหนี้อีก 11 ล้านบาท ส่วนใหญ่ตั้งสำรองแล้ว NWR มีเงินกู้และลูกหนี้ ~120 ล้านบาท
PLE ไม่กระทบเพราะขายหุ้นบริษัทร่วม Power Line Gulf Construction L.L.C (PLGC) Dubai, U.A. (ถือ 25%) ~3.2 ล้านบาท และตัดจ่ายหนี้ทั้งหมด 130 ล้านบาท ไปแล้วตั้งแต่ 1 ก.ย. 2552 ส่วน CK และ STEC ไม่มีงานในดูไบ
กลุ่มแบงก์ : KTB, TMB, KBANK ไม่มีเงินลงทุนและเงินให้สินเชื่อ SCB มีเงินให้สินเชื่อให้กับโครงการคอนโดนอร์ทเทิร์นสาทร ซึ่งมีผู้ถือหุ้นใหญ่โดย Dubai World มีสินเชื่อที่คงค้างอยู่หลักร้อยล้านบาท (จากวงเงิน 3,000 ล้านบาท) ซึ่งหากเสียหายทั้งจำนวนจะมีผลต่อกำไรเพียง 2-3% (จากคาดการณ์กำไรทั้งปีราว 2.1 หมื่นล้านบาท) BAY มีประมาณ 500 ล้านบาท เป็น General Investment ในตราสารหนี้ซึ่งออกโดยภาคเอกชน และมีรัฐบาลดูไบค้ำประกันราว 500 ล้านบาท ขณะนี้ยังมีการจ่ายดอกเบี้ยตามปกติ ถ้าต้อง Write-Off จะกระทบกำไรปี 2552 ประมาณ 8% (คาดการณ์กำไรทั้งปีอยู่ที่ราว 6,500 ล้านบาท) BBL มีเงินให้สินเชื่อในดูไบเล็กน้อย (เราคาดว่าไม่น่าเกิน 1,000 ล้านบาท) และไม่มีพอร์ตเงินลงทุน
กลุ่มบริการ : BH ขายเงินลงทุนในดูไบไปแล้วเป็นเงินประมาณ 6 แสนเหรียญสหรัฐ มีการรับบริหารโรงพยาบาลในรัฐอาบูดาบี ส่วน MINT ไม่มีเงินลงทุนในดูไบ การรับจ้างบริหารโรงแรมในดูไบนั้น โรงแรมดังกล่าวจะสร้างเสร็จในปี 2555
หุ้น Domestic Plays ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าวยังน่าสนใจ : แบงก์ (โดยเฉพาะทีมีประเด็น M&A) เกษตรและอาหาร ค้าปลีก โรงไฟฟ้าและน้ำประปา บันเทิง โรงพยาบาล
posttoday
http://www.posttoday.com/stockmarket.php?id=78679
รายงานโดย :บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเชียไซรัส
เหตุการณ์ : เมื่อวันที่ 25 พ.ย.ที่ผ่านมา รัฐบาลดูไบประกาศสองข่าวทั้งดีและร้าย ข่าวดีคือรัฐบาลดูไบประสบความสำเร็จในการออกหุ้นกู้ 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
ซึ่งผู้ซื้อก็คือ สองแบงก์ที่ถือหุ้นใหญ่โดยรัฐบาลอาบูดาบี หุ้นกู้ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมการออกหุ้นกู้ทั้งหมด 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ของรัฐบาลดูไบ ตามมาด้วยข่าวร้ายที่คาดไม่ถึงคือการขอยืดการชำระหนี้ของ Dubai World (ถือหุ้นทั้งหมดโดยรัฐบาลดูไบ) และ Nakheel (บริษัทย่อยของ Dubai World) ไปเป็นสิ้นเดือนพ.ค. 2010 เป็นอย่างเร็ว โดย Nakheel มีหุ้นกู้ (Sukuk Bond) ที่จะครบกำหนดชำระในเดือนธ.ค.นี้ 3,500 ล้านเหรียญสหรัฐ และที่จะครบกำหนดชำระใน 1Q10 อีก 4,900 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ Dubai World มีหนี้ทั้งหมด 5.9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นประมาณ 74% ของหนี้ทั้งหมดของรัฐบาลดูไบที่มีอยู่ประมาณ 89 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
ปัญหาของดูไบเกิดจากการลงทุนที่เกินตัว รัฐบาลมีโครงการมากมาย เช่น The Palm (เกาะรูปต้นปาล์ม) The World (เอาทรายไปถมทะเลสร้างเป็น 300 เกาะรูปแผนที่โลก) Nakheel Tower (ตึกที่สูงที่สุดในโลก) ปัจจุบันรัฐบาลมีหนี้สินประมาณ 89 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เท่ากับ GDP ของทั้งประเทศ ไม่มีเงินออม การลงทุนต่างๆ พึ่งพาเงินกู้จากต่างประเทศเป็นจำนวนมากเพราะทรัพยากรสำคัญของประเทศคือน้ำมันหมดไปหลายปีแล้ว รายได้หลักจึงมาจากการท่องเที่ยว ดูไบจึงเป็นอีกประเทศหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการเงินโลกในครั้งนี้อย่างรุนแรงตั้งแต่ 2Q08 หลังจากเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
ผลกระทบ : เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินระหว่างประเทศ โดยเฉพาะความเชื่อมั่นในการลงทุน จะเห็นว่าทันทีที่รัฐบาลดูไบประกาศยืดชำระหนี้ CDS Spread ของรัฐบาลดูไบปรับขึ้นทันที 123 bps เป็น 459 bps แม้แต่ CDS Rate ของรัฐอาบูดาบีซึ่งมีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งมากก็ยังขยับขึ้นไปด้วยเล็กน้อย 10 bps ความกังวลในเรื่องปัญหา Credit Risk ที่บรรเทาลงไปมากหลังจากเกิดวิกฤต Lehman อาจกลับมาอีกรอบใหม่หากการปรับโครงสร้างหนี้ของดูไบไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมไม่ลำพังเฉพาะของ ดูไบ แต่อาจรวมถึงทั้งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) จะสูงขึ้น แบงก์ต่างๆ ที่ปล่อยกู้ให้ดูไบอาจต้องประสบปัญหาการตั้งสำรองเพิ่ม จากข้อมูลของ Emirates Banks Association พบว่าแบงก์ต่างชาติที่มีธุรกรรมกับ UAE มี Standard Charter, HSBC, Barclays, Citi, BNPP, RBS, Sumitomo Mitsui Banking Corp เป็นต้น
บริษัทจดทะเบียนในไทยได้รับผลกระทบน้อยมาก
กลุ่มรับเหมา : ITD กับ NWR ร่วมลงทุนในดูไบคือ ITD-Nawarat สัดส่วนถือหุ้น ITD : NWR = 60:40 และ QINA Contracting L.L.C ทุนจดทะเบียน AED 3 ล้านดีแรมห์ (29.5 ล้านบาท) โดย NWR ถือ 20% (5.9 ล้านบาท) และ ITD ถือ 24% ทั้งสองบริษัทมีเงินกู้ระยะในบริษัทร่วมทุนในดูไบ 157 ล้านบาท และลูกหนี้อีก 11 ล้านบาท ส่วนใหญ่ตั้งสำรองแล้ว NWR มีเงินกู้และลูกหนี้ ~120 ล้านบาท
PLE ไม่กระทบเพราะขายหุ้นบริษัทร่วม Power Line Gulf Construction L.L.C (PLGC) Dubai, U.A. (ถือ 25%) ~3.2 ล้านบาท และตัดจ่ายหนี้ทั้งหมด 130 ล้านบาท ไปแล้วตั้งแต่ 1 ก.ย. 2552 ส่วน CK และ STEC ไม่มีงานในดูไบ
กลุ่มแบงก์ : KTB, TMB, KBANK ไม่มีเงินลงทุนและเงินให้สินเชื่อ SCB มีเงินให้สินเชื่อให้กับโครงการคอนโดนอร์ทเทิร์นสาทร ซึ่งมีผู้ถือหุ้นใหญ่โดย Dubai World มีสินเชื่อที่คงค้างอยู่หลักร้อยล้านบาท (จากวงเงิน 3,000 ล้านบาท) ซึ่งหากเสียหายทั้งจำนวนจะมีผลต่อกำไรเพียง 2-3% (จากคาดการณ์กำไรทั้งปีราว 2.1 หมื่นล้านบาท) BAY มีประมาณ 500 ล้านบาท เป็น General Investment ในตราสารหนี้ซึ่งออกโดยภาคเอกชน และมีรัฐบาลดูไบค้ำประกันราว 500 ล้านบาท ขณะนี้ยังมีการจ่ายดอกเบี้ยตามปกติ ถ้าต้อง Write-Off จะกระทบกำไรปี 2552 ประมาณ 8% (คาดการณ์กำไรทั้งปีอยู่ที่ราว 6,500 ล้านบาท) BBL มีเงินให้สินเชื่อในดูไบเล็กน้อย (เราคาดว่าไม่น่าเกิน 1,000 ล้านบาท) และไม่มีพอร์ตเงินลงทุน
กลุ่มบริการ : BH ขายเงินลงทุนในดูไบไปแล้วเป็นเงินประมาณ 6 แสนเหรียญสหรัฐ มีการรับบริหารโรงพยาบาลในรัฐอาบูดาบี ส่วน MINT ไม่มีเงินลงทุนในดูไบ การรับจ้างบริหารโรงแรมในดูไบนั้น โรงแรมดังกล่าวจะสร้างเสร็จในปี 2555
หุ้น Domestic Plays ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าวยังน่าสนใจ : แบงก์ (โดยเฉพาะทีมีประเด็น M&A) เกษตรและอาหาร ค้าปลีก โรงไฟฟ้าและน้ำประปา บันเทิง โรงพยาบาล
posttoday
http://www.posttoday.com/stockmarket.php?id=78679
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
news
โพสต์ที่ 53
รัฐบาลดูไบไม่รับผิดชอบหนี้ดูไบเวิล์ด
Posted on Tuesday, December 01, 2009
บริษัท ดูไบ เวิลด์ ออกแถลงการณ์ว่า บริษัทได้เริ่มเจรจาในทางที่สร้างสรรค์กับธนาคารที่เป็นเจ้าหนี้ เพื่อปรับโครงสร้างหนี้มูลค่า 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงหนี้สินของบริษัท นาคีล เวิลด์ และลิมิทเลส เวิล์ด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือดูไบ เวิลด์ แต่การเจรจาครั้งนี้จะไม่ครอบคลุมหนี้สินของบริษัทในเครือแห่งอื่นๆ เช่น อิฟินิตี้ เวิลด์ โฮลดิ้ง, อิสทิธมาร์ เวิลด์ และพอร์ท แอนด์ ฟรีโซน เวิลด เนื่องจากบริษัททั้งสามแห่งยังคงมีสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง ทั้งนี้บริษัทคาดว่าจะสามารถปรับโครงสร้างนี้เพื่อคลี่คลายภาวะตึงตัวและเพื่อประโยชน์สูงสุดของกลุ่มผู้ถือหุ้นดูไบ เวิลด์ทุกราย
ด้าน นายอับดุลราห์มาน อัล ซาเลห์ ผู้บริหารกระทรวงการคลัง ดูไบ ระบุว่า เจ้าหนี้ต้องรับผิดชอบจากการตัดสินใจปล่อยสินเชื่อให้กับดูไบเวิล์ด โดยคนมักคิดว่าดูไบเวิลด์เป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาล ความจริงแล้วไม่ใช่รัฐบาลเป็นเจ้าของก็จริง แต่กลุ่มบริษัทนี้บริหารกิจการและทำธุรกรรมเองมาโดยตลอด ไม่เคยได้รับการรับประกันจากรัฐบาล
ขณะที่ นายดาฮี คัลฟัน ทามิม ประธานคณะกรรมการงบประมาณดูไบ บอกว่า รัฐบาลดูไบมีหนี้สินเพียง 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เท่านั้น อย่านำไปปะปนกับหนี้บริษัทใด ๆ ซึ่งคำกล่าวนี้ได้ดับความหวังของเจ้าหนี้ที่ต้องการให้รัฐบาลดูไบรับประกันหนี้ให้ และอาจจะทำให้การเป็นศูนย์กลางการเงินของดูไบมืดมนลง
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/New ... fault.aspx
Posted on Tuesday, December 01, 2009
บริษัท ดูไบ เวิลด์ ออกแถลงการณ์ว่า บริษัทได้เริ่มเจรจาในทางที่สร้างสรรค์กับธนาคารที่เป็นเจ้าหนี้ เพื่อปรับโครงสร้างหนี้มูลค่า 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงหนี้สินของบริษัท นาคีล เวิลด์ และลิมิทเลส เวิล์ด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือดูไบ เวิลด์ แต่การเจรจาครั้งนี้จะไม่ครอบคลุมหนี้สินของบริษัทในเครือแห่งอื่นๆ เช่น อิฟินิตี้ เวิลด์ โฮลดิ้ง, อิสทิธมาร์ เวิลด์ และพอร์ท แอนด์ ฟรีโซน เวิลด เนื่องจากบริษัททั้งสามแห่งยังคงมีสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง ทั้งนี้บริษัทคาดว่าจะสามารถปรับโครงสร้างนี้เพื่อคลี่คลายภาวะตึงตัวและเพื่อประโยชน์สูงสุดของกลุ่มผู้ถือหุ้นดูไบ เวิลด์ทุกราย
ด้าน นายอับดุลราห์มาน อัล ซาเลห์ ผู้บริหารกระทรวงการคลัง ดูไบ ระบุว่า เจ้าหนี้ต้องรับผิดชอบจากการตัดสินใจปล่อยสินเชื่อให้กับดูไบเวิล์ด โดยคนมักคิดว่าดูไบเวิลด์เป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาล ความจริงแล้วไม่ใช่รัฐบาลเป็นเจ้าของก็จริง แต่กลุ่มบริษัทนี้บริหารกิจการและทำธุรกรรมเองมาโดยตลอด ไม่เคยได้รับการรับประกันจากรัฐบาล
ขณะที่ นายดาฮี คัลฟัน ทามิม ประธานคณะกรรมการงบประมาณดูไบ บอกว่า รัฐบาลดูไบมีหนี้สินเพียง 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เท่านั้น อย่านำไปปะปนกับหนี้บริษัทใด ๆ ซึ่งคำกล่าวนี้ได้ดับความหวังของเจ้าหนี้ที่ต้องการให้รัฐบาลดูไบรับประกันหนี้ให้ และอาจจะทำให้การเป็นศูนย์กลางการเงินของดูไบมืดมนลง
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/New ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 18364
- ผู้ติดตาม: 1
ดูไบ ประกาศชักดาบครับ....
โพสต์ที่ 54
หลักทรัพย์ SCB
แหล่งข่าว SCB
หัวข้อข่าว การให้สินเชื่อและภาระผูกพันของธนาคารที่มีกับ Dubai World
วันที่/เวลา 01 ธ.ค. 2552 08:12:33
ที่ นลส. 520018 วันที่ 30 พฤศจิกายน 2552
เรียน กรรมการและผู้จัดการ
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
เรื่อง การให้สินเชื่อและภาระผูกพัน (Exposure) ของธนาคารที่มีกับ Dubai World
ตามที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยติดต่อธนาคารไทยพาณิชย์ในวันนี้ให้ชี้แจงเกี่ยวกับการให้สินเชื่อและภาระผูกพัน
(Exposure) ของธนาคารที่มีกับ Dubai World ธนาคารขอชี้แจงดังนี้
- ธนาคารไม่มีการให้สินเชื่อหรือการลงทุนโดยตรงกับ Dubai World ยกเว้นการดำเนินกิจกรรมทางการเงินที่จำกัด
ตามรายละเอียดด้านล่าง
- ธนาคารได้ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่โครงการโรงแรม 1 แห่งและโครงการโรงแรมพร้อมที่พักอาศัยเพื่อขายอีก
1 แห่งในประเทศไทย ซึ่งโครงการดังกล่าวมีบริษัทลูกของ Dubai World เป็นหุ้นส่วนในกิจการร่วมค้า (Joint
Venture) โดยโครงการทั้งสองแห่งเป็นสินเชื่อที่ดีและมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน โดยมียอดสินเชื่อรวมสำหรับโครงการ
ดังกล่าวน้อยกว่าร้อยละ 0.1 ของสินทรัพย์ตามงบการเงินรวมของธนาคาร
ขอแสดงความนับถือ
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
(นายชัยพัฒน์ ไพฑูรย์)
ผู้จัดการสายนักลงทุนสัมพันธ์
แหล่งข่าว SCB
หัวข้อข่าว การให้สินเชื่อและภาระผูกพันของธนาคารที่มีกับ Dubai World
วันที่/เวลา 01 ธ.ค. 2552 08:12:33
ที่ นลส. 520018 วันที่ 30 พฤศจิกายน 2552
เรียน กรรมการและผู้จัดการ
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
เรื่อง การให้สินเชื่อและภาระผูกพัน (Exposure) ของธนาคารที่มีกับ Dubai World
ตามที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยติดต่อธนาคารไทยพาณิชย์ในวันนี้ให้ชี้แจงเกี่ยวกับการให้สินเชื่อและภาระผูกพัน
(Exposure) ของธนาคารที่มีกับ Dubai World ธนาคารขอชี้แจงดังนี้
- ธนาคารไม่มีการให้สินเชื่อหรือการลงทุนโดยตรงกับ Dubai World ยกเว้นการดำเนินกิจกรรมทางการเงินที่จำกัด
ตามรายละเอียดด้านล่าง
- ธนาคารได้ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่โครงการโรงแรม 1 แห่งและโครงการโรงแรมพร้อมที่พักอาศัยเพื่อขายอีก
1 แห่งในประเทศไทย ซึ่งโครงการดังกล่าวมีบริษัทลูกของ Dubai World เป็นหุ้นส่วนในกิจการร่วมค้า (Joint
Venture) โดยโครงการทั้งสองแห่งเป็นสินเชื่อที่ดีและมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน โดยมียอดสินเชื่อรวมสำหรับโครงการ
ดังกล่าวน้อยกว่าร้อยละ 0.1 ของสินทรัพย์ตามงบการเงินรวมของธนาคาร
ขอแสดงความนับถือ
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
(นายชัยพัฒน์ ไพฑูรย์)
ผู้จัดการสายนักลงทุนสัมพันธ์
-
- Verified User
- โพสต์: 18364
- ผู้ติดตาม: 1
ดูไบ ประกาศชักดาบครับ....
โพสต์ที่ 55
หลักทรัพย์ ITD
แหล่งข่าว ITD
หัวข้อข่าว ข้อมูลการลงทุนในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
วันที่/เวลา 01 ธ.ค. 2552 09:11:08
ที่ CSD 065/2552 วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2552
เรื่อง ข้อมูลการลงทุนในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
เรียน กรรมการและผู้จัดการ
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ("บริษัท") ขอให้ข้อมูลการลงทุนของบริษัท ใน
ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ดังนี้
1. โครงการ The Palm Jumeirah-Crescent Plot No.36 and 37
บริษัท เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการดังกล่าว ในนาม ITD-Nawarat (L.L.C.) (บริษัทถือหุ้นในสัดส่วน
ร้อยละ 60 โดย ณ วันที่ 30 กันยายน 2552 บริษัท ได้ลงทุนไปแล้วเป็นจำนวน 87,000 เหรียญดีแรมห์หรือประมาณ
0.98 ล้านบาท) โดยโครงการดังกล่าวผู้ว่าจ้างคือ Seven Tides Limited โครงการนี้ได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จใน
ปี พ.ศ. 2551 และบริษัท ได้ตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญของโครงการ โดยมีรายละเอียด ณ วันที่ 30 กันยายน 2552
ปรากฎยอดในงบการเงินเฉพาะของบริษัท มีรายการที่เกี่ยวข้องกับ ITD-Nawarat (L.L.C.) ดังนี้
ลูกหนี้การค้า - กิจการที่เกี่ยวข้องกัน 54.90 ล้านบาท
เงินให้กู้ยืมระยะสั้นและเงินทดรองแก่กิจการที่เกี่ยวข้องกัน 273.07 ล้านบาท
รวมทั้งสิ้น 327.97 ล้านบาท
หัก ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ (327.97) ล้านบาท
คงเหลือ 0.00 ล้านบาท
นอกจากนี้ ITD-Nawarat (L.L.C.) ยังมีค่าผลงานและเงินประกันผลงานที่ผู้ว่าจ้างหักไว้เมื่อชำระค่าผลงาน
แต่ละงวด เป็นจำนวนรวมทั้งสิ้น 10.14 ล้านเหรียญดีแรมห์ และรายได้ที่ยังไม่ได้เรียกชำระจำนวน 4.33 ล้านเหรียญ
ดีแรมห์ อย่างไรก็ดี หากผู้ว่าจ้างไม่ชำระค่าผลงานส่วนที่ค้างและเงินประกันผลงานดังกล่าว บริษัท อาจเกิดความ
เสียหายในส่วนที่ต้องตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มอีกร้อยละ 60 เท่ากับ 8.68 ล้านเหรียญดีแรมห์ หรือประมาณ
79.23 ล้านบาท แต่จะไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสดของบริษัทแต่อย่างใด
2. เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2552 บริษัทฯ ได้ลงทุนใน QINA Contracting L.L.C. ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยมี
วัตถุประสงค์เพื่อดำเนินธุรกิจก่อสร้างในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยมีผู้ร่วมลงทุนทั้งหมดดังนี้
Quest Energy L.L.C. ร้อยละ 51
บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ร้อยละ 24
บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) ร้อยละ 20
บริษัท อะเฮดออล จำกัด ร้อยละ 5
เงินลงทุนที่บริษัท ลงทุนไปแล้วใน QINA Contracting L.L.C. ณ วันที่ 30 กันยายน 2552 เป็นจำนวน
720,000 เหรียญดีแรมห์ หรือประมาณ 7.11 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบัน QINA Contracting L.L.C. ยังอยู่ในช่วงของการ
เตรียมประมูลงานและยังไม่ได้เริ่มประกอบกิจการหรือดำเนินการก่อสร้างโครงการใด ๆ
จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบและกรุณาแจ้งให้นักลงทุนทราบต่อไป
ขอแสดงความนับถือ
นางนิจพร จรณะจิตต์
กรรมการรองประธานบริหารอาวุโส
แหล่งข่าว ITD
หัวข้อข่าว ข้อมูลการลงทุนในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
วันที่/เวลา 01 ธ.ค. 2552 09:11:08
ที่ CSD 065/2552 วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2552
เรื่อง ข้อมูลการลงทุนในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
เรียน กรรมการและผู้จัดการ
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ("บริษัท") ขอให้ข้อมูลการลงทุนของบริษัท ใน
ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ดังนี้
1. โครงการ The Palm Jumeirah-Crescent Plot No.36 and 37
บริษัท เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการดังกล่าว ในนาม ITD-Nawarat (L.L.C.) (บริษัทถือหุ้นในสัดส่วน
ร้อยละ 60 โดย ณ วันที่ 30 กันยายน 2552 บริษัท ได้ลงทุนไปแล้วเป็นจำนวน 87,000 เหรียญดีแรมห์หรือประมาณ
0.98 ล้านบาท) โดยโครงการดังกล่าวผู้ว่าจ้างคือ Seven Tides Limited โครงการนี้ได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จใน
ปี พ.ศ. 2551 และบริษัท ได้ตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญของโครงการ โดยมีรายละเอียด ณ วันที่ 30 กันยายน 2552
ปรากฎยอดในงบการเงินเฉพาะของบริษัท มีรายการที่เกี่ยวข้องกับ ITD-Nawarat (L.L.C.) ดังนี้
ลูกหนี้การค้า - กิจการที่เกี่ยวข้องกัน 54.90 ล้านบาท
เงินให้กู้ยืมระยะสั้นและเงินทดรองแก่กิจการที่เกี่ยวข้องกัน 273.07 ล้านบาท
รวมทั้งสิ้น 327.97 ล้านบาท
หัก ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ (327.97) ล้านบาท
คงเหลือ 0.00 ล้านบาท
นอกจากนี้ ITD-Nawarat (L.L.C.) ยังมีค่าผลงานและเงินประกันผลงานที่ผู้ว่าจ้างหักไว้เมื่อชำระค่าผลงาน
แต่ละงวด เป็นจำนวนรวมทั้งสิ้น 10.14 ล้านเหรียญดีแรมห์ และรายได้ที่ยังไม่ได้เรียกชำระจำนวน 4.33 ล้านเหรียญ
ดีแรมห์ อย่างไรก็ดี หากผู้ว่าจ้างไม่ชำระค่าผลงานส่วนที่ค้างและเงินประกันผลงานดังกล่าว บริษัท อาจเกิดความ
เสียหายในส่วนที่ต้องตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มอีกร้อยละ 60 เท่ากับ 8.68 ล้านเหรียญดีแรมห์ หรือประมาณ
79.23 ล้านบาท แต่จะไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสดของบริษัทแต่อย่างใด
2. เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2552 บริษัทฯ ได้ลงทุนใน QINA Contracting L.L.C. ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยมี
วัตถุประสงค์เพื่อดำเนินธุรกิจก่อสร้างในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยมีผู้ร่วมลงทุนทั้งหมดดังนี้
Quest Energy L.L.C. ร้อยละ 51
บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ร้อยละ 24
บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) ร้อยละ 20
บริษัท อะเฮดออล จำกัด ร้อยละ 5
เงินลงทุนที่บริษัท ลงทุนไปแล้วใน QINA Contracting L.L.C. ณ วันที่ 30 กันยายน 2552 เป็นจำนวน
720,000 เหรียญดีแรมห์ หรือประมาณ 7.11 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบัน QINA Contracting L.L.C. ยังอยู่ในช่วงของการ
เตรียมประมูลงานและยังไม่ได้เริ่มประกอบกิจการหรือดำเนินการก่อสร้างโครงการใด ๆ
จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบและกรุณาแจ้งให้นักลงทุนทราบต่อไป
ขอแสดงความนับถือ
นางนิจพร จรณะจิตต์
กรรมการรองประธานบริหารอาวุโส
-
- Verified User
- โพสต์: 18364
- ผู้ติดตาม: 1
ดูไบ ประกาศชักดาบครับ....
โพสต์ที่ 56
หลักทรัพย์ NWR
แหล่งข่าว NWR
หัวข้อข่าว แจ้งข้อมูลการลงทุนในดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
วันที่/เวลา 01 ธ.ค. 2552 08:50:27
ที่ FN-NWR 309/2552
วันที่ 30 พฤศจิกายน 2552
เรื่อง ข้อมูลการลงทุนในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
เรียน กรรมการและผู้จัดการ
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) ("บริษัท") ขอให้ข้อมูลการลงทุนของบริษัทใน
ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ดังนี้
1.เมื่อเดือนตุลาคม 2548 บริษัท เนาวรัตน์พั ฒนาการ จำกัด (มหาชน) และบริษัท
อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมกันก่อตั้ง ITD-Nawarat (L.L.C.) ในอัตราส่วน
การลงทุน 40:60 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินงานก่อสร้างที่ดูไบ สาธารณรัฐอาหรั บเอมิเรตส์
เงินลงทุนที่บริษัทลงทุนไปแล้ว ณ 30 กันยายน 2552 เท่ากับ 60,000 เหรียญดีแรมห์ หรือประมาณ
0.59 ล้านบาท
งานที่ก่อสร้างในนามของ ITD-Nawarat (L.L.C.) มีโครงการเดียวคือการก่อสร้างอาคาร
โครงการ The Palm Jumeirah-Crescent Plot No.36 and 37 ของ Seven Tides Limited
มูลค่าประมาณ 143.60 ล้านเหรียญดีแรมห์ หรือประมาณ 1,310.19 ล้านบาท โดย ณ30 กันยายน 2552
ปรากฏยอดในงบการเงินเฉพาะของบริษัท มีรายการที่เกี่ยวข้องกับ ITD-Nawarat (L.L.C.) ดังนี้
ลูกหนี้การค้ากิจการที่เกี่ยวข้องกัน 10.67 ล้านบาท
เงินให้กู้ยืมระยะสั้นและเงินทดรองจ่ายแก่กิจการที่เกี่ยวข้องกัน 157.03 ล้านบาท
รวมทั้งสิ้น 167.70 ล้านบาท
หัก บันทึกตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญแล้ว ณ 30 กันยายน 2552 167.70 ล้านบาท
คงเหลือ 0.00 ล้านบาท
นอกจากนี้ ITD-Nawarat (L.L.C.) ยังไม่ได้บันทึกตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญจากค่าผลงาน
และเงินประกันผลงานที่ผู้ว่าจ้างหักไว้เมื่อชำระค่าผลงานแต่ละงวด เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 10.14
ล้านเหรียญดีแรมห์ ทั้งนี้ หากผู้ว่าจ้างไม่จ่ายชำระค่าผลงานส่วนที่ค้างและเงินประกันผลงานดังกล่าว
บริษัทอาจเกิดความเสียหายในส่วนที่ต้องบันทึกขาดทุนเพิ่มอีกร้อยละ 40 เท่ากับ 4.06 ล้านเหรียญ
ดีแรมห์ หรือประมาณ 37.04 ล้านบาท
2.เมื่อเดือนมีนาคม 2552 บริษัท เนาวรัต น์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) ได้ลงทุนใน
QINA Contracting L.L.C. ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินธุรกิจก่อสร้างในประเทศสหรัฐ
อาหรับเอมิเรตส์ โดยมีผู้ร่วมลงทุนทั้งหมดดังนี้
Quest Energy L.L.C. (บริษัทก่อตั้งในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) ร้อยละ 51
บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ร้อยละ 24
บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) ร้อยละ 20
บริษัท อะเฮดออล จำกัด ร้อยละ 5
เงินลงทุนที่บริษัทลงทุนไปแล้วใน QINA Contracting L.L.C. ณ 30 กันยายน 2552
เท่ากับ 600,000 เหรียญดีแรมห์ หรือประมาณ 5.92 ล้านบาท ปัจจุบัน QINA Contracting L.L.C.
ยังไม่ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างโครงการใด ๆ เนื่องจากอยู่ในระยะเตรียมเข้าประมูลงานใน
ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
จึงเรียนมาเพื่อทราบและโปรดแจ้งนักลงทุนเพื่อทราบต่อไป
ขอแสดงความนับถือ
(นางวัฒนา สัมนาวงศ์)
กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส
แหล่งข่าว NWR
หัวข้อข่าว แจ้งข้อมูลการลงทุนในดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
วันที่/เวลา 01 ธ.ค. 2552 08:50:27
ที่ FN-NWR 309/2552
วันที่ 30 พฤศจิกายน 2552
เรื่อง ข้อมูลการลงทุนในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
เรียน กรรมการและผู้จัดการ
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) ("บริษัท") ขอให้ข้อมูลการลงทุนของบริษัทใน
ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ดังนี้
1.เมื่อเดือนตุลาคม 2548 บริษัท เนาวรัตน์พั ฒนาการ จำกัด (มหาชน) และบริษัท
อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมกันก่อตั้ง ITD-Nawarat (L.L.C.) ในอัตราส่วน
การลงทุน 40:60 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินงานก่อสร้างที่ดูไบ สาธารณรัฐอาหรั บเอมิเรตส์
เงินลงทุนที่บริษัทลงทุนไปแล้ว ณ 30 กันยายน 2552 เท่ากับ 60,000 เหรียญดีแรมห์ หรือประมาณ
0.59 ล้านบาท
งานที่ก่อสร้างในนามของ ITD-Nawarat (L.L.C.) มีโครงการเดียวคือการก่อสร้างอาคาร
โครงการ The Palm Jumeirah-Crescent Plot No.36 and 37 ของ Seven Tides Limited
มูลค่าประมาณ 143.60 ล้านเหรียญดีแรมห์ หรือประมาณ 1,310.19 ล้านบาท โดย ณ30 กันยายน 2552
ปรากฏยอดในงบการเงินเฉพาะของบริษัท มีรายการที่เกี่ยวข้องกับ ITD-Nawarat (L.L.C.) ดังนี้
ลูกหนี้การค้ากิจการที่เกี่ยวข้องกัน 10.67 ล้านบาท
เงินให้กู้ยืมระยะสั้นและเงินทดรองจ่ายแก่กิจการที่เกี่ยวข้องกัน 157.03 ล้านบาท
รวมทั้งสิ้น 167.70 ล้านบาท
หัก บันทึกตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญแล้ว ณ 30 กันยายน 2552 167.70 ล้านบาท
คงเหลือ 0.00 ล้านบาท
นอกจากนี้ ITD-Nawarat (L.L.C.) ยังไม่ได้บันทึกตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญจากค่าผลงาน
และเงินประกันผลงานที่ผู้ว่าจ้างหักไว้เมื่อชำระค่าผลงานแต่ละงวด เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 10.14
ล้านเหรียญดีแรมห์ ทั้งนี้ หากผู้ว่าจ้างไม่จ่ายชำระค่าผลงานส่วนที่ค้างและเงินประกันผลงานดังกล่าว
บริษัทอาจเกิดความเสียหายในส่วนที่ต้องบันทึกขาดทุนเพิ่มอีกร้อยละ 40 เท่ากับ 4.06 ล้านเหรียญ
ดีแรมห์ หรือประมาณ 37.04 ล้านบาท
2.เมื่อเดือนมีนาคม 2552 บริษัท เนาวรัต น์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) ได้ลงทุนใน
QINA Contracting L.L.C. ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินธุรกิจก่อสร้างในประเทศสหรัฐ
อาหรับเอมิเรตส์ โดยมีผู้ร่วมลงทุนทั้งหมดดังนี้
Quest Energy L.L.C. (บริษัทก่อตั้งในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) ร้อยละ 51
บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ร้อยละ 24
บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) ร้อยละ 20
บริษัท อะเฮดออล จำกัด ร้อยละ 5
เงินลงทุนที่บริษัทลงทุนไปแล้วใน QINA Contracting L.L.C. ณ 30 กันยายน 2552
เท่ากับ 600,000 เหรียญดีแรมห์ หรือประมาณ 5.92 ล้านบาท ปัจจุบัน QINA Contracting L.L.C.
ยังไม่ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างโครงการใด ๆ เนื่องจากอยู่ในระยะเตรียมเข้าประมูลงานใน
ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
จึงเรียนมาเพื่อทราบและโปรดแจ้งนักลงทุนเพื่อทราบต่อไป
ขอแสดงความนับถือ
(นางวัฒนา สัมนาวงศ์)
กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส
-
- Verified User
- โพสต์: 1252
- ผู้ติดตาม: 0
ดูไบ ประกาศชักดาบครับ....
โพสต์ที่ 57
สูงสุดคืนสู่สามัญสิครับแต่เป็นเมืองที่ซูโก้ยสุดๆเหมือนดั่งการเนรมิตของยักษ์จินนี่ในตะเกียงวิเศษเลยครับ
พี่(อาบู)และแม่ของดูไบมั่งคั่งอยู่แล้ว ที่ช่วยดูไบช้าเพราะอาจจะต้องการให้บทเรียนเรื่องการใช้จ่ายเงินแก่ดูไบบ้างก็เท่านั้นเองครับ :)
วิกฤตอสังหาคราวนี้ทำให้ฟันด์โฟว์จากตลาดหุ้นอาหรับต้องเคลื่อนย้ายหาแหล่งลงทุนใหม่ซะแล้วน่าจะมาEMAเป็นส่วนใหญ่นะและอาจจะเป็นโอกาสทองของผู้ที่ต้องการช้อนซื้ออสังหาของดูไบในราคาถูกๆก็เป็นไปได้ครับ :8)
พี่(อาบู)และแม่ของดูไบมั่งคั่งอยู่แล้ว ที่ช่วยดูไบช้าเพราะอาจจะต้องการให้บทเรียนเรื่องการใช้จ่ายเงินแก่ดูไบบ้างก็เท่านั้นเองครับ :)
วิกฤตอสังหาคราวนี้ทำให้ฟันด์โฟว์จากตลาดหุ้นอาหรับต้องเคลื่อนย้ายหาแหล่งลงทุนใหม่ซะแล้วน่าจะมาEMAเป็นส่วนใหญ่นะและอาจจะเป็นโอกาสทองของผู้ที่ต้องการช้อนซื้ออสังหาของดูไบในราคาถูกๆก็เป็นไปได้ครับ :8)
- SEHJU
- Verified User
- โพสต์: 1238
- ผู้ติดตาม: 0
ดูไบ ประกาศชักดาบครับ....
โพสต์ที่ 58
[quote="ศิษย์เซียน007"]สูงสุดคืนสู่สามัญสิครับแต่เป็นเมืองที่ซูโก้ยสุดๆเหมือนดั่งการเนรมิตของยักษ์จินนี่ในตะเกียงวิเศษเลยครับ
พี่(อาบู)และแม่ของดูไบมั่งคั่งอยู่แล้ว ที่ช่วยดูไบช้าเพราะอาจจะต้องการให้บทเรียนเรื่องการใช้จ่ายเงินแก่ดูไบบ้างก็เท่านั้นเองครับ
พี่(อาบู)และแม่ของดูไบมั่งคั่งอยู่แล้ว ที่ช่วยดูไบช้าเพราะอาจจะต้องการให้บทเรียนเรื่องการใช้จ่ายเงินแก่ดูไบบ้างก็เท่านั้นเองครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1252
- ผู้ติดตาม: 0
ดูไบ ประกาศชักดาบครับ....
โพสต์ที่ 59
[quote="SEHJU"][quote="ศิษย์เซียน007"]สูงสุดคืนสู่สามัญสิครับแต่เป็นเมืองที่ซูโก้ยสุดๆเหมือนดั่งการเนรมิตของยักษ์จินนี่ในตะเกียงวิเศษเลยครับ
พี่(อาบู)และแม่ของดูไบมั่งคั่งอยู่แล้ว ที่ช่วยดูไบช้าเพราะอาจจะต้องการให้บทเรียนเรื่องการใช้จ่ายเงินแก่ดูไบบ้างก็เท่านั้นเองครับ
พี่(อาบู)และแม่ของดูไบมั่งคั่งอยู่แล้ว ที่ช่วยดูไบช้าเพราะอาจจะต้องการให้บทเรียนเรื่องการใช้จ่ายเงินแก่ดูไบบ้างก็เท่านั้นเองครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1841
- ผู้ติดตาม: 0
ดูไบ ประกาศชักดาบครับ....
โพสต์ที่ 60
AREA แถลง ฉบับที่ 50/2552: 30 พฤศจิกายน 2552
วิกฤติดูไบกับประเทศไทย
ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการ
ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ AREA บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส
ข่าวการขอพักชำระหนี้ไป 6 เดือน จำนวน 1.98 ล้านล้านบาท (60,000 ล้านเหรียญสหรัฐ) ของบริษัทดูไบเวิร์ลทำให้เกิดความตื่นตระหนก เพราะหนี้จำนวนดังกล่าวมีค่าเท่ากับงบประมาณแผ่นดินไทยทั้งปี บริษัทดังกล่าวมีหนี้รวมกันถึง 2.64 ล้านล้านบาท และเป็นบริษัทของสหรัฐอาหรับเอมิเร็ตที่ดำเนินโครงการเดอะปาล์มและเดอะเวิร์ล ซึ่งเป็นการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่หรูเลิศ ที่เกิดการตื่นตระหนกเพราะหนี้ที่ขอพักชำระดังกล่าว มีค่าเท่ากับงบประมาณแผ่นดินไทยทั้งประเทศ
ประเด็นที่พึงพิจารณาก็คือ วิกฤติดูไบนี้จะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ดังนี้:
1. สหรัฐอาหรับเอมิเร็ตมีขนาดที่ดินประมาณ 1 ใน 6 ของไทย แต่มีประชากรเพียง 4.8 ล้านคน มีรายได้ประชาชาติประมาณ 6.9 ล้านล้านบาท ในขณะที่ไทยมีรายได้ประชาชาติประมาณ 18.1 ล้านล้านบาท หรือมีขนาดเศรษฐกิจประมาณหนึ่งในสามของไทย แต่หากพิจารณารายได้ต่อหัว ถือว่าประเทศนี้มีรายได้ต่อหัวสูงมาก ประเทศนี้มีหนี้ถึง 40.7% of ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ
2. การเติบโตของดูไบมีมาตั้งแต่ปี 2546 โดยในช่วงนั้นคาดว่าจะมีความต้องการที่อยู่อาศัยถึง 85,000 หน่วย แต่ ณ ปี 2552 กลับพบว่าได้สร้างที่อยู่อาศัยเกินไปถึงเกือบ 40,000 หน่วย หรือถ้าในกรณีเลวร้ายสุดขีด อุปทานส่วนเกินอาจสูงถึง 90,000 หน่วย ในปี 2546 ยังมีการประมาณว่าความต้องการห้องพักโรงแรมสำหรับนักท่องเที่ยวจะมีถึง 75,000 ห้อง เทียบกับการคาดการณ์เดิมในช่วงแรกที่ 15,000 ห้อง แต่ปรากฏว่าขณะนี้ห้องพักในโรงแรมต่าง ๆ ลดต่ำลงเหลือประมาณครึ่งหนึ่งถึงหนี่งในสามของค่าห้องพักในปี 2550 อาจกล่าวได้ว่าในช่วงแรกของการบูมนั้น อะไรต่าง ๆ ก็ดูดีไปหมด เนื่องจากราคาค่าเช่าหรือราคาขายต่ำกว่าความเป็นจริง มีการส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐ ตลอดจนมีนักลงทุนนำเงินมา เสี่ยงโชค ปั่นราคากันมหาศาล
3. ณ เดือนพฤศจิกายน 2552 มีโครงการที่หยุดหรือชะลอการก่อสร้างไปถึง 400 โครงการ รวมมูลค่าถึง 9.9 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 5 เท่าของงบประมาณแผ่นดินไทยเลยทีเดียว ราคาอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ ก็ทยอยตกต่ำลงมาตั้งแต่ปลายปี 2551 แล้ว แต่ในประเทศไทย แม้จะได้ข่าว แต่ก็ไม่ได้ตื่นตระหนกอะไรมาก จนกระทั่งมีข่าวการพักชำระหนี้ดังกล่าว เครื่องชี้ภาวะความเสื่อมทรุดอีกอย่างหนึ่งก็คือคนที่ไปเดินดูงานนิทรรศการอสังหาริมทรัพย์ใหญ่ในเดือนตุลาคม 2552 กลับลดลงไปกว่าการครึ่งจากที่ได้เดินทางไปดูงาน ณ ปีก่อนหน้า
4. อันที่จริงวิกฤติอสังหาริมทรัพย์ในตะวันออกกลาง ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในดูไบ แต่เกิดขึ้นในนครอื่น ๆ ทั่วภูมิภาคนี้เช่นกัน ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาคนี้ยังมีอายุการพัฒนาน้อย และไม่มีการคุ้มครองผู้ซื้อเท่าที่ควร การลงทุนอาศัยกระแสการปั่นและการเพิ่มขึ้นของราคาอย่างค่อนข้างไร้เหตุผลและปัจจัยพื้นฐานรองรับ ซึ่งเป็นที่รับรู้ทั่วไปมาตั้งแต่แรก แต่ก็มีคนสนใจลงทุนกันมากมาย
5. ผลของการนี้ ทำให้โครงการที่ก่อสร้างอยู่หยุดไป และคงกลายเป็นเมืองที่มีอาคารค้างคาไว้เต็มไปหมด และโดยที่งานน้อยลง อาคารที่สร้างเสร็จ ก็อาจไม่ค่อยมีผู้เข้าอยู่อาศัย และกลายสภาพเป็น เมืองผีสิง ที่มีแต่อาคารว่างเปล่า ระบบขนส่งมวลชนจำนวนมากก็คงยังไม่สำเร็จ ทำให้การคมนาคมขนส่งยิ่งเป็นปัญหา และโดยที่อาคารและโครงการที่อยู่อาศัยต่าง ๆ ไม่มีผู้เข้าอยู่อาศัยเท่าที่ควร การดูแลสาธารณูปโภคจะยิ่งทำได้ยาก คาดว่าอาคารอีกจำนวนมากที่จะต้องร้างเพิ่มขึ้น สาธารณูปโภคที่ขาดการดูแล จะยิ่งทำให้ราคาทรัพย์สินตกต่ำลงอย่างขนานใหญ่และต่อเนื่อง คาดว่าราคาอสังหาริมทรัพย์จะตกต่ำลงอย่างหนักและยาวนาน คล้ายกับกรณีญี่ปุ่นที่ตกต่ำลงตั้งแต่ปี 2533 2549 รวมระยะเวลาถึง 16 ปีอย่างต่อเนื่อง หรืออาจตกต่ำลงมากกว่าญี่ปุ่นเสียอีก
6. การล้มลงของดูไบ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการดึงเงินกลับของประเทศในภูมิภาคอื่นที่มาลงทุนและขาดทุนที่บ้านเกิด ขณะนี้จึงอยู่ในภาวะที่เกิด พายุ การแห่ขาย ไม่ใช่การแห่ซื้อเช่นแต่ก่อน และเมื่อรัฐบาลและภาคเอกชนในดูไบไม่สามารถพัฒนาต่อไป ทรัพย์สินก็จะด้อยคุณภาพลง มูลค่าทรัพย์สินจะยิ่งเสื่อมทรุดลงอย่างหนัก ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ราคาทรัพย์สินลดลงไปแล้วถึง 50% ซึ่งเป็นการลดลงต่ำกว่าในสหรัฐอเมริกาเสียอีก และมีความเป็นไปได้ที่ราคาทรัพย์สินอาจลดลงเหลือเพียง 20% ของราคาที่เคยขี้นสูงสุดก็เป็นได้
7. สถานการณ์จะยิ่งเป็นเหมือนลูกโซ่ ที่เมื่อดูไบประสบปัญหาจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก ก็ยิ่งทำให้ผู้ลงทุนในดูไบขาดทุนหนักมากยิ่งขึ้น ประเทศที่ยิ่งไปลงทุนหนัก ก็ยิ่งสูญเสียมาก ทำให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้าลงไปอีก
8. สำหรับประเทศไทยคาดว่าคงไม่ได้รับผลกระทบโตยตรง เพราะคงไม่ได้มีผู้เข้าไปลงทุนมากนัก ยกเว้นกลุ่มผู้รับเหมา หรือกลุ่มนักวิชาชีพต่าง ๆ ผลกระทบของไทยคงเกิดในทางอ้อมมากกว่า เพราะเมื่อเศรษฐกิจของโครงการได้รับผลกระทบจากกรณีดูไบ ก็ทำให้กำลังซื้อที่จะมายังประเทศไทยน้อยลง แต่โดยที่ไทยได้รับความกดดันจากวิกฤติการเมืองภายในประเทศ ทำให้โอกาสการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยต่ำกว่าที่ควรอยู่แล้ว ผลกระทบเลวร้ายจึงไม่ค่อยปรากฏให้เห็น
9. ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไทยขณะนี้เน้นเฉพาะกลุ่มที่อยู่อาศัย กลุ่มอื่น ๆ เช่น สำนักงาน ศูนย์การค้า โรงแรม แทบไม่ได้เกิดใหม่อยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่มีผลกระทบ ในส่วนของอาคารชุดอาศัยราคาแพง หรืออสังหาริมทรัพย์ตากอากาศ อาจมองผลกระทบเป็น 2 สมมติฐาน คือในสมมติฐานแรก อาจมีคนมาซื้อในประเทศไทยมากขึ้น เพราะดูไบเกิดปัญหาขึ้น แต่ในอีกสมมติฐานหนึ่งที่พึงมองก็คือ วิกฤติดูไบส่งผลทางลบต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวม ดังนั้นกำลังซื้อที่จะมายังประเทศไทยจึงแผ่วเบาลงด้วย ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส เห็นว่าน่าจะเป็นไปตามสมมติฐานหลังมากกว่า
ผู้แถลง:
ดร.โสภณ พรโชคชัย ([email protected]) ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าทรัพย์สินไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส หรือ AREA (www.area.co.th): ในฐานะศูนย์ข้อมูล-วิจัยและประเมินค่าทรัพย์สินที่มีฐานข้อมูลภาคสนามขนาดใหญ่ที่สุด ได้รับ ISO 9001-2008 ทั้งระบบแห่งแรกในฐานะที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ได้รับรางวัลจรรยาบรรณดีเด่น และเป็นสมาชิก UN Global Compact อีกด้วย
วิกฤติดูไบกับประเทศไทย
ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการ
ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ AREA บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส
ข่าวการขอพักชำระหนี้ไป 6 เดือน จำนวน 1.98 ล้านล้านบาท (60,000 ล้านเหรียญสหรัฐ) ของบริษัทดูไบเวิร์ลทำให้เกิดความตื่นตระหนก เพราะหนี้จำนวนดังกล่าวมีค่าเท่ากับงบประมาณแผ่นดินไทยทั้งปี บริษัทดังกล่าวมีหนี้รวมกันถึง 2.64 ล้านล้านบาท และเป็นบริษัทของสหรัฐอาหรับเอมิเร็ตที่ดำเนินโครงการเดอะปาล์มและเดอะเวิร์ล ซึ่งเป็นการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่หรูเลิศ ที่เกิดการตื่นตระหนกเพราะหนี้ที่ขอพักชำระดังกล่าว มีค่าเท่ากับงบประมาณแผ่นดินไทยทั้งประเทศ
ประเด็นที่พึงพิจารณาก็คือ วิกฤติดูไบนี้จะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ดังนี้:
1. สหรัฐอาหรับเอมิเร็ตมีขนาดที่ดินประมาณ 1 ใน 6 ของไทย แต่มีประชากรเพียง 4.8 ล้านคน มีรายได้ประชาชาติประมาณ 6.9 ล้านล้านบาท ในขณะที่ไทยมีรายได้ประชาชาติประมาณ 18.1 ล้านล้านบาท หรือมีขนาดเศรษฐกิจประมาณหนึ่งในสามของไทย แต่หากพิจารณารายได้ต่อหัว ถือว่าประเทศนี้มีรายได้ต่อหัวสูงมาก ประเทศนี้มีหนี้ถึง 40.7% of ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ
2. การเติบโตของดูไบมีมาตั้งแต่ปี 2546 โดยในช่วงนั้นคาดว่าจะมีความต้องการที่อยู่อาศัยถึง 85,000 หน่วย แต่ ณ ปี 2552 กลับพบว่าได้สร้างที่อยู่อาศัยเกินไปถึงเกือบ 40,000 หน่วย หรือถ้าในกรณีเลวร้ายสุดขีด อุปทานส่วนเกินอาจสูงถึง 90,000 หน่วย ในปี 2546 ยังมีการประมาณว่าความต้องการห้องพักโรงแรมสำหรับนักท่องเที่ยวจะมีถึง 75,000 ห้อง เทียบกับการคาดการณ์เดิมในช่วงแรกที่ 15,000 ห้อง แต่ปรากฏว่าขณะนี้ห้องพักในโรงแรมต่าง ๆ ลดต่ำลงเหลือประมาณครึ่งหนึ่งถึงหนี่งในสามของค่าห้องพักในปี 2550 อาจกล่าวได้ว่าในช่วงแรกของการบูมนั้น อะไรต่าง ๆ ก็ดูดีไปหมด เนื่องจากราคาค่าเช่าหรือราคาขายต่ำกว่าความเป็นจริง มีการส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐ ตลอดจนมีนักลงทุนนำเงินมา เสี่ยงโชค ปั่นราคากันมหาศาล
3. ณ เดือนพฤศจิกายน 2552 มีโครงการที่หยุดหรือชะลอการก่อสร้างไปถึง 400 โครงการ รวมมูลค่าถึง 9.9 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 5 เท่าของงบประมาณแผ่นดินไทยเลยทีเดียว ราคาอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ ก็ทยอยตกต่ำลงมาตั้งแต่ปลายปี 2551 แล้ว แต่ในประเทศไทย แม้จะได้ข่าว แต่ก็ไม่ได้ตื่นตระหนกอะไรมาก จนกระทั่งมีข่าวการพักชำระหนี้ดังกล่าว เครื่องชี้ภาวะความเสื่อมทรุดอีกอย่างหนึ่งก็คือคนที่ไปเดินดูงานนิทรรศการอสังหาริมทรัพย์ใหญ่ในเดือนตุลาคม 2552 กลับลดลงไปกว่าการครึ่งจากที่ได้เดินทางไปดูงาน ณ ปีก่อนหน้า
4. อันที่จริงวิกฤติอสังหาริมทรัพย์ในตะวันออกกลาง ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในดูไบ แต่เกิดขึ้นในนครอื่น ๆ ทั่วภูมิภาคนี้เช่นกัน ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาคนี้ยังมีอายุการพัฒนาน้อย และไม่มีการคุ้มครองผู้ซื้อเท่าที่ควร การลงทุนอาศัยกระแสการปั่นและการเพิ่มขึ้นของราคาอย่างค่อนข้างไร้เหตุผลและปัจจัยพื้นฐานรองรับ ซึ่งเป็นที่รับรู้ทั่วไปมาตั้งแต่แรก แต่ก็มีคนสนใจลงทุนกันมากมาย
5. ผลของการนี้ ทำให้โครงการที่ก่อสร้างอยู่หยุดไป และคงกลายเป็นเมืองที่มีอาคารค้างคาไว้เต็มไปหมด และโดยที่งานน้อยลง อาคารที่สร้างเสร็จ ก็อาจไม่ค่อยมีผู้เข้าอยู่อาศัย และกลายสภาพเป็น เมืองผีสิง ที่มีแต่อาคารว่างเปล่า ระบบขนส่งมวลชนจำนวนมากก็คงยังไม่สำเร็จ ทำให้การคมนาคมขนส่งยิ่งเป็นปัญหา และโดยที่อาคารและโครงการที่อยู่อาศัยต่าง ๆ ไม่มีผู้เข้าอยู่อาศัยเท่าที่ควร การดูแลสาธารณูปโภคจะยิ่งทำได้ยาก คาดว่าอาคารอีกจำนวนมากที่จะต้องร้างเพิ่มขึ้น สาธารณูปโภคที่ขาดการดูแล จะยิ่งทำให้ราคาทรัพย์สินตกต่ำลงอย่างขนานใหญ่และต่อเนื่อง คาดว่าราคาอสังหาริมทรัพย์จะตกต่ำลงอย่างหนักและยาวนาน คล้ายกับกรณีญี่ปุ่นที่ตกต่ำลงตั้งแต่ปี 2533 2549 รวมระยะเวลาถึง 16 ปีอย่างต่อเนื่อง หรืออาจตกต่ำลงมากกว่าญี่ปุ่นเสียอีก
6. การล้มลงของดูไบ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการดึงเงินกลับของประเทศในภูมิภาคอื่นที่มาลงทุนและขาดทุนที่บ้านเกิด ขณะนี้จึงอยู่ในภาวะที่เกิด พายุ การแห่ขาย ไม่ใช่การแห่ซื้อเช่นแต่ก่อน และเมื่อรัฐบาลและภาคเอกชนในดูไบไม่สามารถพัฒนาต่อไป ทรัพย์สินก็จะด้อยคุณภาพลง มูลค่าทรัพย์สินจะยิ่งเสื่อมทรุดลงอย่างหนัก ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ราคาทรัพย์สินลดลงไปแล้วถึง 50% ซึ่งเป็นการลดลงต่ำกว่าในสหรัฐอเมริกาเสียอีก และมีความเป็นไปได้ที่ราคาทรัพย์สินอาจลดลงเหลือเพียง 20% ของราคาที่เคยขี้นสูงสุดก็เป็นได้
7. สถานการณ์จะยิ่งเป็นเหมือนลูกโซ่ ที่เมื่อดูไบประสบปัญหาจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก ก็ยิ่งทำให้ผู้ลงทุนในดูไบขาดทุนหนักมากยิ่งขึ้น ประเทศที่ยิ่งไปลงทุนหนัก ก็ยิ่งสูญเสียมาก ทำให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้าลงไปอีก
8. สำหรับประเทศไทยคาดว่าคงไม่ได้รับผลกระทบโตยตรง เพราะคงไม่ได้มีผู้เข้าไปลงทุนมากนัก ยกเว้นกลุ่มผู้รับเหมา หรือกลุ่มนักวิชาชีพต่าง ๆ ผลกระทบของไทยคงเกิดในทางอ้อมมากกว่า เพราะเมื่อเศรษฐกิจของโครงการได้รับผลกระทบจากกรณีดูไบ ก็ทำให้กำลังซื้อที่จะมายังประเทศไทยน้อยลง แต่โดยที่ไทยได้รับความกดดันจากวิกฤติการเมืองภายในประเทศ ทำให้โอกาสการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยต่ำกว่าที่ควรอยู่แล้ว ผลกระทบเลวร้ายจึงไม่ค่อยปรากฏให้เห็น
9. ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไทยขณะนี้เน้นเฉพาะกลุ่มที่อยู่อาศัย กลุ่มอื่น ๆ เช่น สำนักงาน ศูนย์การค้า โรงแรม แทบไม่ได้เกิดใหม่อยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่มีผลกระทบ ในส่วนของอาคารชุดอาศัยราคาแพง หรืออสังหาริมทรัพย์ตากอากาศ อาจมองผลกระทบเป็น 2 สมมติฐาน คือในสมมติฐานแรก อาจมีคนมาซื้อในประเทศไทยมากขึ้น เพราะดูไบเกิดปัญหาขึ้น แต่ในอีกสมมติฐานหนึ่งที่พึงมองก็คือ วิกฤติดูไบส่งผลทางลบต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวม ดังนั้นกำลังซื้อที่จะมายังประเทศไทยจึงแผ่วเบาลงด้วย ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส เห็นว่าน่าจะเป็นไปตามสมมติฐานหลังมากกว่า
ผู้แถลง:
ดร.โสภณ พรโชคชัย ([email protected]) ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าทรัพย์สินไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส หรือ AREA (www.area.co.th): ในฐานะศูนย์ข้อมูล-วิจัยและประเมินค่าทรัพย์สินที่มีฐานข้อมูลภาคสนามขนาดใหญ่ที่สุด ได้รับ ISO 9001-2008 ทั้งระบบแห่งแรกในฐานะที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ได้รับรางวัลจรรยาบรรณดีเด่น และเป็นสมาชิก UN Global Compact อีกด้วย
Rabbit VS. Turtle