นิติ เซียนหุ้น ชื่อนี้ไม่ธรรมดา
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
นิติ เซียนหุ้น ชื่อนี้ไม่ธรรมดา
โพสต์ที่ 1
นิติ เซียนหุ้น ชื่อนี้ไม่ธรรมดา
ผมเองไม่ทราบหรอกว่าเขาเริ่มต้นลงทุนด้วยเงินจำนวนเท่าใด แต่ดูจากร่องรอยการเติบโตของหุ้นในพอร์ต ลักษณะหุ้นในพอร์ตคุณภาพคับแก้ว และระยะเวลาในการถือครองหุ้นแล้วนี่ ไม่ใช่การเก็งกำไรแน่นอน อีกไม่นานมีสิทธิ์แซงหน้าอันดับ1และ2ได้ไม่ยากเลย ความจริงอันดับ1และ2 จะว่าไปแล้วเป็นเจ้าของกิจการ ไม่ใช่นักลงทุนผ่านตลาดหุ้น เหมือนคุณนิติ หากพิจารณาจากการลงทุนในหุ้นแล้วผมว่าคุณนิตินี่แหระพอร์ตใหญ่ที่สุด
หุ้น จำนวนหุ้น
1.mint 247,968,414
2.hmpro 93,863,150
3.cpn 24,386,200
4.ssc 23,456,340
5.bigc 7,229,900
6.bki 1,059,220
7.centel 36,129,511
8.tf 120,600
9.pr 292,700
10.irc 3,840,500
11.aprint 2,742,195
12.bat-3k 495,100
13.s&p 960,100
14.se-ed 3,653,900
15.ogc 346,800
รวมมูลค่า ณ.30ก.ย.2552 5,733,574,483บาท เปลี่ยนแปลง31.13%
ที่มา: 500เศรษฐีหุ้นไทย2009 วารสารการเงินการธนาคาร
ผมละแอบปลื้มและอิจฉาคุณนิติ จริงๆ :shock: :shock:
ผมเองไม่ทราบหรอกว่าเขาเริ่มต้นลงทุนด้วยเงินจำนวนเท่าใด แต่ดูจากร่องรอยการเติบโตของหุ้นในพอร์ต ลักษณะหุ้นในพอร์ตคุณภาพคับแก้ว และระยะเวลาในการถือครองหุ้นแล้วนี่ ไม่ใช่การเก็งกำไรแน่นอน อีกไม่นานมีสิทธิ์แซงหน้าอันดับ1และ2ได้ไม่ยากเลย ความจริงอันดับ1และ2 จะว่าไปแล้วเป็นเจ้าของกิจการ ไม่ใช่นักลงทุนผ่านตลาดหุ้น เหมือนคุณนิติ หากพิจารณาจากการลงทุนในหุ้นแล้วผมว่าคุณนิตินี่แหระพอร์ตใหญ่ที่สุด
หุ้น จำนวนหุ้น
1.mint 247,968,414
2.hmpro 93,863,150
3.cpn 24,386,200
4.ssc 23,456,340
5.bigc 7,229,900
6.bki 1,059,220
7.centel 36,129,511
8.tf 120,600
9.pr 292,700
10.irc 3,840,500
11.aprint 2,742,195
12.bat-3k 495,100
13.s&p 960,100
14.se-ed 3,653,900
15.ogc 346,800
รวมมูลค่า ณ.30ก.ย.2552 5,733,574,483บาท เปลี่ยนแปลง31.13%
ที่มา: 500เศรษฐีหุ้นไทย2009 วารสารการเงินการธนาคาร
ผมละแอบปลื้มและอิจฉาคุณนิติ จริงๆ :shock: :shock:
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
นิติ เซียนหุ้น ชื่อนี้ไม่ธรรมดา
โพสต์ที่ 3
สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล
เซียนหุ้นอีกคนที่น่าสนใจครับ ดูจากรายชื่อหุ้นแล้วคุณภาพคับแก้วเหมือนกัน
รายชื่อหุ้น จำนวนหุ้น
1.lpn 34,484,400
2.mint 20,190,300
3.prin 113,212,400
4.lanna 9,420,900
5.aeonts 3,095,400
6.mfec 22,230,500
7.mill 8,000,000
8.sis 9,341,000
9.s&p 2,103,000
10.svi 14,285,500
11.brock 12,914,700
12.aj 2,445,800
Total 1,302,374,980 change 71.66% 30/09/52
ที่มา: 500เศรษฐีหุ้นไทย2009 วารสารการเงินการธนาคาร
พอร์ตใหญ่แต่เติบโตได้สุดยอดเลย :shock: :shock:
เซียนหุ้นอีกคนที่น่าสนใจครับ ดูจากรายชื่อหุ้นแล้วคุณภาพคับแก้วเหมือนกัน
รายชื่อหุ้น จำนวนหุ้น
1.lpn 34,484,400
2.mint 20,190,300
3.prin 113,212,400
4.lanna 9,420,900
5.aeonts 3,095,400
6.mfec 22,230,500
7.mill 8,000,000
8.sis 9,341,000
9.s&p 2,103,000
10.svi 14,285,500
11.brock 12,914,700
12.aj 2,445,800
Total 1,302,374,980 change 71.66% 30/09/52
ที่มา: 500เศรษฐีหุ้นไทย2009 วารสารการเงินการธนาคาร
พอร์ตใหญ่แต่เติบโตได้สุดยอดเลย :shock: :shock:
- yoyo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4833
- ผู้ติดตาม: 1
นิติ เซียนหุ้น ชื่อนี้ไม่ธรรมดา
โพสต์ที่ 4
ที่เห็นอาจจะเป็นเพียงแค่ Tip of The Iceberg ก็ได้นะครับ เพราะหุ้นตัวไหนที่ถือต่ำกว่า 0.5% นั้นไม่ได้เอามารวมด้วย... ใครจะรู้ณนิติอาจจะถือ PTT PTTEP BANPU อย่างละ 0.49% ก็ได้นะ :lol:
การลงทุนที่มีค่าที่สุด คือการลงทุนในความรู้
http://www.yoyoway.com
http://www.yoyoway.com
- baby-investor
- Verified User
- โพสต์: 312
- ผู้ติดตาม: 0
นิติ เซียนหุ้น ชื่อนี้ไม่ธรรมดา
โพสต์ที่ 5
รู้สึกว่าทั้ง 2 ท่านจะถือ mint กับ s&p เหมือนกันเลยนะครับ แต่ดูภาพรวม ท่านนึงเน้นอสังหา ไอที อิเล็กทรอนิกส์ อีกท่านเน้นค้าปลีก อาหาร หนังสือ
LifeLong Learning
LifeLong Investing
LifeLong Investing
-
- Verified User
- โพสต์: 2126
- ผู้ติดตาม: 1
นิติ เซียนหุ้น ชื่อนี้ไม่ธรรมดา
โพสต์ที่ 7
จริงๆจะดูแค่ตัวเลขแบบนี้มันไม่ได้แสดงถึง performance ที่แท้จริงเท่าไหร่นะครับ เพราะฐานทุนมาจากตรงไหน แต่ถ้าวัดแค่ความรวยก็โอเค แต่ก็อย่างที่ท่านน้องโยบอกล่ะว่า ถ้าถือ 0.49% กับตัวที่ market cap. ใหญ่ๆ ก็ไม่รู้อยู่ดี
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
นิติ เซียนหุ้น ชื่อนี้ไม่ธรรมดา
โพสต์ที่ 9
ผมเสียดายที่ไม่ค่อยมีบทสัมภาษณ์เกี่ยวกับแนวทางการลงทุนของคุณนิติผ่านสื่อให้ติดตามได้ ส่วนบทสัมภาษณ์ของเสี่ยปู่นี่เห็นได้บ่อยๆ ผมเองก็ชื่นชอบแนวทางของเสี่ยปู่เช่นกัน ดูจะเป็นวีไอเสียด้วย
พลิกตำรารวย 5 เซียนหุ้น ปี 2552 ยุคทอง การลงทุน(บางส่วน)
ท่ามกลางวิกฤติ "เสี่ยปู่" สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล กลับมองเป็นโอกาสสำคัญเข้าสะสมหุ้น "ราคาถูก" สร้างความร่ำรวยเพิ่มขึ้นได้ทุกครั้ง
ปัจจุบันเสี่ยปู่เป็นนักลงทุนรายใหญ่ระดับ "พันล้านบาท" ที่ร่ำรวยมาจากเงินทุนประเดิมไม่ถึง 1 ล้านบาท เมื่อกว่า 20 ปีที่แล้ว วันนี้เสี่ยปู่เลือกเส้นทางเดินในฐานะ "แวลู อินเวสเตอร์" ตามรอย วอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่เขาลงทุนอ่านหนังสือของบัฟเฟตต์ซ้ำแล้วซ้ำอีกเป็น 10 รอบ
สำหรับวิกฤติในปี 2551-2552 เสี่ยปู่ซุ่มเก็บหุ้นราคาถูกไว้จำนวนมาก โดยยังโฟกัสไปที่หุ้น "เทิร์นอะราวด์" บริษัทขนาดกลาง และบริษัทขนาดใหญ่ที่ปัจจัยพื้นฐานดี
"วิกฤติซับไพร์มของสหรัฐอเมริกา และวิกฤติการเงินโลก อาจทำให้นักลงทุนหลายคนกลัว แต่สำหรับผมมันคือโอกาสการทำกำไรครั้งสำคัญ" เสี่ยปู่บอก และสิ่งที่เขามองต่างออกไปจากนักลงทุนส่วนใหญ่ที่มักยึดตัว SET Index เป็นตัวตั้ง และรีบขายหุ้นทำกำไรเพราะคิดว่า..เดี๋ยวหุ้นก็ลง
แต่วิกฤติหลายครั้งในตลาดหุ้นสอนเสี่ยปู่ว่า หลังวิกฤติต้อง "ถือรอ" จนกว่าราคาหุ้นนั้นจะสะท้อนการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ และหุ้นที่จะสร้างผลตอบแทนได้มากต้องเป็นหุ้นปัจจัยพื้นฐานดีที่กำลังจะ "เทิร์นอะราวด์" โดยพิจารณาจากหุ้นที่ซื้อขายต่ำกว่า Book Value และให้ผลตอบแทน เงินปันผลสูง
เสี่ยปู่บอกว่า การซื้อหุ้นจะมีหลักพิจารณา 3 ข้อหลักๆ คือ 1.ดูปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่จะลงทุนอย่างละเอียด โดยจะเน้นเป็นพิเศษคือ "งบการเงิน" บริษัทที่มีฐานะทางการเงินดีจะเป็นตัวบ่งบอกทิศทางราคาหุ้นได้ค่อนข้างชัดเจน
"ผมจะย้อนดูว่าบริษัทนี้มีกำไรเติบโตต่อเนื่องหรือไม่ และมองต่อไปว่าบริษัทนี้ผลการดำเนินงานมีโอกาสเติบโตได้ในระดับ 20% หรือไม่"
2. ดูบริษัทที่หุ้นมีราคาต่ำกว่า Book Value ถ้าบริษัทนั้นมีทิศทางการเติบโตที่ดีแต่ราคาหุ้นยังซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชี หุ้นตัวนั้นก็ยิ่งน่าสนใจ
3. จะดูลักษณะกิจการและดูรายรับต้องมากกว่ารายจ่าย (ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสด หรือ EBITDA) เพราะจะเป็นตัวชี้ว่าถึงสิ้นปีบริษัทนี้จะสามารถจ่ายเงินปันผลได้ในระดับเท่าใด
"ผมเชื่อว่าหลักการเพียงเท่านี้ก็ทำกำไรได้แล้ว ผมจะแฮปปี้มากถ้าหุ้นที่ลงทุนให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลได้ประมาณ 10% ถ้าได้ขนาดนี้จะถือยาวไม่ยอมปล่อย"
เสี่ยปู่ให้ข้อคิดปิดท้ายว่า ทุกวิกฤติย่อมมาพร้อมกับโอกาสเสมอ อยู่ที่ว่าใครจะจับจังหวะถูกและกล้าเข้าไปซื้อหรือไม่ คนที่จะพลิกวิกฤติเป็นโอกาสได้ต้องทำการบ้านสม่ำเสมอและแม่นในข้อมูลถึงจะรวยได้
กรุงเทพธุรกิจ
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... ลงทุน.html
พลิกตำรารวย 5 เซียนหุ้น ปี 2552 ยุคทอง การลงทุน(บางส่วน)
ท่ามกลางวิกฤติ "เสี่ยปู่" สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล กลับมองเป็นโอกาสสำคัญเข้าสะสมหุ้น "ราคาถูก" สร้างความร่ำรวยเพิ่มขึ้นได้ทุกครั้ง
ปัจจุบันเสี่ยปู่เป็นนักลงทุนรายใหญ่ระดับ "พันล้านบาท" ที่ร่ำรวยมาจากเงินทุนประเดิมไม่ถึง 1 ล้านบาท เมื่อกว่า 20 ปีที่แล้ว วันนี้เสี่ยปู่เลือกเส้นทางเดินในฐานะ "แวลู อินเวสเตอร์" ตามรอย วอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่เขาลงทุนอ่านหนังสือของบัฟเฟตต์ซ้ำแล้วซ้ำอีกเป็น 10 รอบ
สำหรับวิกฤติในปี 2551-2552 เสี่ยปู่ซุ่มเก็บหุ้นราคาถูกไว้จำนวนมาก โดยยังโฟกัสไปที่หุ้น "เทิร์นอะราวด์" บริษัทขนาดกลาง และบริษัทขนาดใหญ่ที่ปัจจัยพื้นฐานดี
"วิกฤติซับไพร์มของสหรัฐอเมริกา และวิกฤติการเงินโลก อาจทำให้นักลงทุนหลายคนกลัว แต่สำหรับผมมันคือโอกาสการทำกำไรครั้งสำคัญ" เสี่ยปู่บอก และสิ่งที่เขามองต่างออกไปจากนักลงทุนส่วนใหญ่ที่มักยึดตัว SET Index เป็นตัวตั้ง และรีบขายหุ้นทำกำไรเพราะคิดว่า..เดี๋ยวหุ้นก็ลง
แต่วิกฤติหลายครั้งในตลาดหุ้นสอนเสี่ยปู่ว่า หลังวิกฤติต้อง "ถือรอ" จนกว่าราคาหุ้นนั้นจะสะท้อนการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ และหุ้นที่จะสร้างผลตอบแทนได้มากต้องเป็นหุ้นปัจจัยพื้นฐานดีที่กำลังจะ "เทิร์นอะราวด์" โดยพิจารณาจากหุ้นที่ซื้อขายต่ำกว่า Book Value และให้ผลตอบแทน เงินปันผลสูง
เสี่ยปู่บอกว่า การซื้อหุ้นจะมีหลักพิจารณา 3 ข้อหลักๆ คือ 1.ดูปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่จะลงทุนอย่างละเอียด โดยจะเน้นเป็นพิเศษคือ "งบการเงิน" บริษัทที่มีฐานะทางการเงินดีจะเป็นตัวบ่งบอกทิศทางราคาหุ้นได้ค่อนข้างชัดเจน
"ผมจะย้อนดูว่าบริษัทนี้มีกำไรเติบโตต่อเนื่องหรือไม่ และมองต่อไปว่าบริษัทนี้ผลการดำเนินงานมีโอกาสเติบโตได้ในระดับ 20% หรือไม่"
2. ดูบริษัทที่หุ้นมีราคาต่ำกว่า Book Value ถ้าบริษัทนั้นมีทิศทางการเติบโตที่ดีแต่ราคาหุ้นยังซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชี หุ้นตัวนั้นก็ยิ่งน่าสนใจ
3. จะดูลักษณะกิจการและดูรายรับต้องมากกว่ารายจ่าย (ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสด หรือ EBITDA) เพราะจะเป็นตัวชี้ว่าถึงสิ้นปีบริษัทนี้จะสามารถจ่ายเงินปันผลได้ในระดับเท่าใด
"ผมเชื่อว่าหลักการเพียงเท่านี้ก็ทำกำไรได้แล้ว ผมจะแฮปปี้มากถ้าหุ้นที่ลงทุนให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลได้ประมาณ 10% ถ้าได้ขนาดนี้จะถือยาวไม่ยอมปล่อย"
เสี่ยปู่ให้ข้อคิดปิดท้ายว่า ทุกวิกฤติย่อมมาพร้อมกับโอกาสเสมอ อยู่ที่ว่าใครจะจับจังหวะถูกและกล้าเข้าไปซื้อหรือไม่ คนที่จะพลิกวิกฤติเป็นโอกาสได้ต้องทำการบ้านสม่ำเสมอและแม่นในข้อมูลถึงจะรวยได้
กรุงเทพธุรกิจ
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... ลงทุน.html