มาฟังคำเตือนจากท่านอาจารย์ของพวกเรากันครับ
- SEHJU
- Verified User
- โพสต์: 1238
- ผู้ติดตาม: 0
มาฟังคำเตือนจากท่านอาจารย์ของพวกเรากันครับ
โพสต์ที่ 1
ผมเห็นว่าท่าน ดร. ได้เตือนสติไว้ จึงอยากนำมาลงในหน้าเว็บบอร์ดซึงพวกเราเข้ามาอ่านกันมาก หวังเพื่อเป็นการเตือนสติของพวกเราทุกคนให้กระทำการรบในปีเสือนี้โดยรัดกุม อย่าได้ ผะหลี-ผะหลามมมม....
ปีทองของตลาดหุ้น โลกในมุมมองของ Value Investor 1 มกราคม 53
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ปี 2552 น่าจะเป็น ปีทอง ของตลาดหุ้นอีกปีหนึ่ง เพราะดัชนีตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นจาก 450 จุดเมื่อสิ้นปี 2551 เป็น 735 จุดเมื่อสิ้นปี 2552 หรือเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 63% ปีที่ดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นมากกว่านี้มีเพียง 3 ปีคือปี 2520 ที่ตลาดเพิ่มขึ้น 120% ปี 2536 ที่ตลาดโตขึ้น 88% และปี 2546 ที่ดัชนีตลาดเพิ่มขึ้น 117% อย่างไรก็ตาม การปรับตัวขึ้นอย่างแรงในปี 2552 นั้น มีความแตกต่างที่สำคัญเมื่อเทียบกับปีทองอื่นก็คือ ดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นหลังจากการตกลงมาอย่างรุนแรงในปีก่อนหน้าคือปี 2551 ซึ่งตลาดติดลบไปถึง 48% ว่าที่จริงดัชนีตลาดหุ้นเมื่อสิ้นปี 2552 นั้นก็ยังต่ำกว่าดัชนีเมื่อสิ้นปี 2550 ซึ่งดัชนีตลาดหุ้นอยู่ที่ 858 จุด ดังนั้น สำหรับนักลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้นหลายคนแล้ว ปี 2552 นั้น ยังไม่ใช่
ปีทอง ของการลงทุนอย่างแท้จริง อาจจะเรียกว่าปีแห่งการ ฟื้นตัว ของการลงทุนมากกว่า อย่างไรก็ตาม ผลจากการที่ตลาดปรับตัวขึ้นอย่างแรงหลังจากที่ตลาดหุ้นซบเซามาประมาณ 5-6 ปีนั้น ทำให้มุมมองของนักลงทุนเปลี่ยนไปพอสมควรโดยผมมีข้อสังเกตดังต่อไปนี้
ข้อแรก ดัชนีหุ้นที่ปรับตัวขึ้นรวดเร็ว ประกอบกับการที่อัตราดอกเบี้ยในท้องตลาดต่ำเป็นประวัติการณ์ ทำให้มีนักลงทุนหน้าใหม่เพิ่มขึ้นไม่น้อย อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจและตลาดหุ้นในปีก่อนหน้ายังคง หลอน คนทั่วไปและนักลงทุนอยู่ ทำให้การ เล่นหุ้น ยังไม่แพร่ไปยังคนทั่วไปที่จะทำให้เกิด ฟองสบู่ตลาดหุ้น อย่างที่เรามักจะพบในปีทองครั้งก่อน ๆ ดังนั้น ปริมาณการซื้อขายหุ้นโดยเฉลี่ยต่อวันในปี 2552 จึงยังไม่สูงนัก
ข้อสอง ผลตอบแทนที่ได้มาง่ายมากในปี 2552 ทำให้ค่าความคาดหวังของผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นของนักลงทุนสูงขึ้นมาก ดูเหมือนว่านักลงทุนจำนวนมากจะตั้งเป้าผลตอบแทนที่ตนเองจะทำได้ในอนาคตสูงกว่าที่ผมคิดว่าพวกเขาจะทำได้ คร่าว ๆ ผมคิดว่าพวกเขาคาดหวังที่จะโตหรือได้ผลตอบแทนจากการลงทุนโดยเฉลี่ยปีละประมาณ 20-25% ในระยะยาวอย่างน้อย 5-6 ปีข้างหน้า หลายคนอาจจะมองถึงปีละ 40-50% ด้วยซ้ำ ซึ่งทั้งหมดนั้น แน่นอน บางคนก็อาจจะทำได้จริง แต่ส่วนใหญ่แล้วผมคิดว่าพวกเขาน่าจะได้ไม่เกิน 10-15% โดยที่คนที่โดดเด่นมากอาจจะได้ถึง 20%
เหตุผลที่นักลงทุนคิดว่าจะสามารถทำผลตอบแทนได้สูงมากนั้นก็เพราะว่าเขาสามารถทำผลตอบแทนในปี 2552 ได้สูงมาก บางคนอาจจะได้เป็นร้อยเปอร์เซ็นต์หรือมากกว่านั้น แม้แต่คนที่ไม่ได้โดดเด่นอะไรก็ได้ผลตอบแทนถึง 60-70% ตามผลตอบแทนของตลาด แต่เขาอาจจะไม่รู้หรอกว่านั่นไม่ได้เกิดจากฝีมือ เป็นแต่เพียงการขึ้นตามตลาด หรือสำหรับคนที่ได้ผลตอบแทนงดงามก็อาจจะเป็นเรื่องของโชคหรือการเก็งกำไรที่ถูกต้องในเวลานั้นซึ่งในสถานการณ์อื่นเขาก็อาจจะทำไม่ได้ ในความคิดของผมก็คือ คนที่คาดการณ์ผลตอบแทนระยะยาวเกินปีละ 15% โดยเฉลี่ยนั้น น่าจะเป็นนักเก็งกำไรมากกว่าการเป็นนักลงทุน เหตุผลก็คือ มีธุรกิจจำนวนน้อยมากที่สามารถโตได้ปีละ 15% โดยเฉลี่ยอย่างต่อเนื่องยาวนาน ดังนั้น ถ้าจะโตเร็วกว่านั้นก็จำเป็นต้องทำการซื้อขายหุ้นค่อนข้างมาก และนั่นก็เป็นความเสี่ยงที่มีโอกาสชนะไม่สูงนักสำหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้มีความสามารถพิเศษในการเก็งกำไร
ข้อสาม ข้อมูลจากอดีตที่ผ่านมานั้นบอกว่า ผลตอบแทนของตลาดหุ้นหลัง ปีทอง หรือปีที่ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมนั้น มักจะให้ผลตอบแทนที่น่าผิดหวัง นี่ก็อาจเป็นเรื่องปกติของอะไรก็ตามที่ขึ้นไปมากและเร็วก็จะมีแนวโน้มชลอตัวลงกลับสู่ภาวะที่เป็นปกติ หลายครั้งดัชนีก็ติดลบ ดังนั้น ในภาวะที่เราผ่านปีทองมาแล้ว ผมคิดว่าปีนี้เราควรจะต้องระมัดระวังมากกว่าปกติ อย่างไรก็ตาม ปีทองในครั้งนี้ ดัชนีราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาจากพื้นที่ต่ำมาก และราคาปัจจุบันก็ยังไม่ทำให้ราคาหุ้นแพงนักเห็นได้จากค่า PE ที่อยู่ที่ประมาณ 13 เท่า ดังนั้น การลงทุนในตลาดหุ้นต่อไปก็ถือว่าไม่เสี่ยงเกินไป แต่ถ้าจะหวังได้ผลตอบแทนที่ดีเหมือนปีก่อนนั้นผมคิดว่าคงหวังได้ยาก
ข้อสี่ สำหรับนักลงทุนหลายคนที่ทำผลตอบแทนได้ดีเยี่ยมในปีที่แล้วและกลายเป็น ปีทอง ของการลงทุนของคุณ นั่นคือ หนึ่ง ผลตอบแทนรวมทั้งหมดซึ่งรวมถึงสินทรัพย์สภาพคล่องทั้งหลายเช่นเงินสดและพันธบัตร คุณทำได้มากกว่า 63% ซึ่งเป็นผลตอบแทนของตลาด สอง มูลค่าพอร์ตของคุณสูงเป็นประวัติการณ์ และแน่นอน ต้องสูงกว่ามูลค่าพอร์ตเมื่อสิ้นปี 2550 โดยที่คุณไม่ได้คิดรวมเงินที่คุณลงเพิ่มเติมลงไป สาม คุณได้กำไรเป็น ล้าน ห้าล้าน หรือสิบล้าน ซึ่งเป็นเม็ดเงินที่คุณรู้สึกว่ามันสร้างความแตกต่างให้กับความมั่งคั่งของคุณอย่างมีนัยสำคัญ และสุดท้าย มันอาจจะเป็นปีที่คุณบรรลุเป้าหมายสำคัญของความมั่งคั่งที่คุณฝัน ไม่ว่ามันจะเป็นปีที่คุณมีเงินเพียงพอที่จะเป็น อิสรภาพทางการเงิน หรือเป็นปีที่คุณมีเงินถึง 10 20 หรือแม้แต่ 100 ล้านบาท สิ่งที่คุณจะต้องคิดตระหนักมากที่สุดก็คือ ทำอย่างไรที่จะสามารถรักษาความมั่งคั่งระดับนั้นไว้ให้ได้ อย่างน้อยก็ในปีนี้
และสุดท้าย สำหรับนักลงทุนอีกหลายคนที่ปี 2552 ที่ผ่านมายังไม่ใช่ ปีทอง ของคุณก็จงอย่าเสียใจ จริงอยู่ การมี ปีทอง เป็นครั้งเป็นคราวนั้นเป็นเรื่องที่น่ายินดีแต่ไม่จำเป็นในการที่จะประสบความสำเร็จในการลงทุน การ คงเส้นคงวา นั่นคือ สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในระดับ 15-20% ได้ค่อนข้างสม่ำเสมอต่อเนื่องยาวนานขณะที่สามารถหลีกเลี่ยงหายนะหรือผลตอบแทนที่ติดลบรุนแรงได้ นี่แหละที่จะสามารถนำคุณไปสู่เป้าหมายและความสำเร็จทางการเงินในระยะยาวได้โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องมีปีทองของการลงทุนเป็นเรื่องเป็นราวเลย
ปีทองของตลาดหุ้น โลกในมุมมองของ Value Investor 1 มกราคม 53
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ปี 2552 น่าจะเป็น ปีทอง ของตลาดหุ้นอีกปีหนึ่ง เพราะดัชนีตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นจาก 450 จุดเมื่อสิ้นปี 2551 เป็น 735 จุดเมื่อสิ้นปี 2552 หรือเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 63% ปีที่ดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นมากกว่านี้มีเพียง 3 ปีคือปี 2520 ที่ตลาดเพิ่มขึ้น 120% ปี 2536 ที่ตลาดโตขึ้น 88% และปี 2546 ที่ดัชนีตลาดเพิ่มขึ้น 117% อย่างไรก็ตาม การปรับตัวขึ้นอย่างแรงในปี 2552 นั้น มีความแตกต่างที่สำคัญเมื่อเทียบกับปีทองอื่นก็คือ ดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นหลังจากการตกลงมาอย่างรุนแรงในปีก่อนหน้าคือปี 2551 ซึ่งตลาดติดลบไปถึง 48% ว่าที่จริงดัชนีตลาดหุ้นเมื่อสิ้นปี 2552 นั้นก็ยังต่ำกว่าดัชนีเมื่อสิ้นปี 2550 ซึ่งดัชนีตลาดหุ้นอยู่ที่ 858 จุด ดังนั้น สำหรับนักลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้นหลายคนแล้ว ปี 2552 นั้น ยังไม่ใช่
ปีทอง ของการลงทุนอย่างแท้จริง อาจจะเรียกว่าปีแห่งการ ฟื้นตัว ของการลงทุนมากกว่า อย่างไรก็ตาม ผลจากการที่ตลาดปรับตัวขึ้นอย่างแรงหลังจากที่ตลาดหุ้นซบเซามาประมาณ 5-6 ปีนั้น ทำให้มุมมองของนักลงทุนเปลี่ยนไปพอสมควรโดยผมมีข้อสังเกตดังต่อไปนี้
ข้อแรก ดัชนีหุ้นที่ปรับตัวขึ้นรวดเร็ว ประกอบกับการที่อัตราดอกเบี้ยในท้องตลาดต่ำเป็นประวัติการณ์ ทำให้มีนักลงทุนหน้าใหม่เพิ่มขึ้นไม่น้อย อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจและตลาดหุ้นในปีก่อนหน้ายังคง หลอน คนทั่วไปและนักลงทุนอยู่ ทำให้การ เล่นหุ้น ยังไม่แพร่ไปยังคนทั่วไปที่จะทำให้เกิด ฟองสบู่ตลาดหุ้น อย่างที่เรามักจะพบในปีทองครั้งก่อน ๆ ดังนั้น ปริมาณการซื้อขายหุ้นโดยเฉลี่ยต่อวันในปี 2552 จึงยังไม่สูงนัก
ข้อสอง ผลตอบแทนที่ได้มาง่ายมากในปี 2552 ทำให้ค่าความคาดหวังของผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นของนักลงทุนสูงขึ้นมาก ดูเหมือนว่านักลงทุนจำนวนมากจะตั้งเป้าผลตอบแทนที่ตนเองจะทำได้ในอนาคตสูงกว่าที่ผมคิดว่าพวกเขาจะทำได้ คร่าว ๆ ผมคิดว่าพวกเขาคาดหวังที่จะโตหรือได้ผลตอบแทนจากการลงทุนโดยเฉลี่ยปีละประมาณ 20-25% ในระยะยาวอย่างน้อย 5-6 ปีข้างหน้า หลายคนอาจจะมองถึงปีละ 40-50% ด้วยซ้ำ ซึ่งทั้งหมดนั้น แน่นอน บางคนก็อาจจะทำได้จริง แต่ส่วนใหญ่แล้วผมคิดว่าพวกเขาน่าจะได้ไม่เกิน 10-15% โดยที่คนที่โดดเด่นมากอาจจะได้ถึง 20%
เหตุผลที่นักลงทุนคิดว่าจะสามารถทำผลตอบแทนได้สูงมากนั้นก็เพราะว่าเขาสามารถทำผลตอบแทนในปี 2552 ได้สูงมาก บางคนอาจจะได้เป็นร้อยเปอร์เซ็นต์หรือมากกว่านั้น แม้แต่คนที่ไม่ได้โดดเด่นอะไรก็ได้ผลตอบแทนถึง 60-70% ตามผลตอบแทนของตลาด แต่เขาอาจจะไม่รู้หรอกว่านั่นไม่ได้เกิดจากฝีมือ เป็นแต่เพียงการขึ้นตามตลาด หรือสำหรับคนที่ได้ผลตอบแทนงดงามก็อาจจะเป็นเรื่องของโชคหรือการเก็งกำไรที่ถูกต้องในเวลานั้นซึ่งในสถานการณ์อื่นเขาก็อาจจะทำไม่ได้ ในความคิดของผมก็คือ คนที่คาดการณ์ผลตอบแทนระยะยาวเกินปีละ 15% โดยเฉลี่ยนั้น น่าจะเป็นนักเก็งกำไรมากกว่าการเป็นนักลงทุน เหตุผลก็คือ มีธุรกิจจำนวนน้อยมากที่สามารถโตได้ปีละ 15% โดยเฉลี่ยอย่างต่อเนื่องยาวนาน ดังนั้น ถ้าจะโตเร็วกว่านั้นก็จำเป็นต้องทำการซื้อขายหุ้นค่อนข้างมาก และนั่นก็เป็นความเสี่ยงที่มีโอกาสชนะไม่สูงนักสำหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้มีความสามารถพิเศษในการเก็งกำไร
ข้อสาม ข้อมูลจากอดีตที่ผ่านมานั้นบอกว่า ผลตอบแทนของตลาดหุ้นหลัง ปีทอง หรือปีที่ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมนั้น มักจะให้ผลตอบแทนที่น่าผิดหวัง นี่ก็อาจเป็นเรื่องปกติของอะไรก็ตามที่ขึ้นไปมากและเร็วก็จะมีแนวโน้มชลอตัวลงกลับสู่ภาวะที่เป็นปกติ หลายครั้งดัชนีก็ติดลบ ดังนั้น ในภาวะที่เราผ่านปีทองมาแล้ว ผมคิดว่าปีนี้เราควรจะต้องระมัดระวังมากกว่าปกติ อย่างไรก็ตาม ปีทองในครั้งนี้ ดัชนีราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาจากพื้นที่ต่ำมาก และราคาปัจจุบันก็ยังไม่ทำให้ราคาหุ้นแพงนักเห็นได้จากค่า PE ที่อยู่ที่ประมาณ 13 เท่า ดังนั้น การลงทุนในตลาดหุ้นต่อไปก็ถือว่าไม่เสี่ยงเกินไป แต่ถ้าจะหวังได้ผลตอบแทนที่ดีเหมือนปีก่อนนั้นผมคิดว่าคงหวังได้ยาก
ข้อสี่ สำหรับนักลงทุนหลายคนที่ทำผลตอบแทนได้ดีเยี่ยมในปีที่แล้วและกลายเป็น ปีทอง ของการลงทุนของคุณ นั่นคือ หนึ่ง ผลตอบแทนรวมทั้งหมดซึ่งรวมถึงสินทรัพย์สภาพคล่องทั้งหลายเช่นเงินสดและพันธบัตร คุณทำได้มากกว่า 63% ซึ่งเป็นผลตอบแทนของตลาด สอง มูลค่าพอร์ตของคุณสูงเป็นประวัติการณ์ และแน่นอน ต้องสูงกว่ามูลค่าพอร์ตเมื่อสิ้นปี 2550 โดยที่คุณไม่ได้คิดรวมเงินที่คุณลงเพิ่มเติมลงไป สาม คุณได้กำไรเป็น ล้าน ห้าล้าน หรือสิบล้าน ซึ่งเป็นเม็ดเงินที่คุณรู้สึกว่ามันสร้างความแตกต่างให้กับความมั่งคั่งของคุณอย่างมีนัยสำคัญ และสุดท้าย มันอาจจะเป็นปีที่คุณบรรลุเป้าหมายสำคัญของความมั่งคั่งที่คุณฝัน ไม่ว่ามันจะเป็นปีที่คุณมีเงินเพียงพอที่จะเป็น อิสรภาพทางการเงิน หรือเป็นปีที่คุณมีเงินถึง 10 20 หรือแม้แต่ 100 ล้านบาท สิ่งที่คุณจะต้องคิดตระหนักมากที่สุดก็คือ ทำอย่างไรที่จะสามารถรักษาความมั่งคั่งระดับนั้นไว้ให้ได้ อย่างน้อยก็ในปีนี้
และสุดท้าย สำหรับนักลงทุนอีกหลายคนที่ปี 2552 ที่ผ่านมายังไม่ใช่ ปีทอง ของคุณก็จงอย่าเสียใจ จริงอยู่ การมี ปีทอง เป็นครั้งเป็นคราวนั้นเป็นเรื่องที่น่ายินดีแต่ไม่จำเป็นในการที่จะประสบความสำเร็จในการลงทุน การ คงเส้นคงวา นั่นคือ สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในระดับ 15-20% ได้ค่อนข้างสม่ำเสมอต่อเนื่องยาวนานขณะที่สามารถหลีกเลี่ยงหายนะหรือผลตอบแทนที่ติดลบรุนแรงได้ นี่แหละที่จะสามารถนำคุณไปสู่เป้าหมายและความสำเร็จทางการเงินในระยะยาวได้โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องมีปีทองของการลงทุนเป็นเรื่องเป็นราวเลย
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
thanks
โพสต์ที่ 3
ขอบคุณท่านอาจารย์มากๆครับ ที่ช่วยเตือนสติและให้ข้อคิดดีๆ
ไม่ว่าจะตกอยู่ในสภาวะวิกฤติ อาจารย์ก็ออกมาเตือนสติ ปลอบขวัญให้อย่ากลัว อย่าตระหนก หรือแม้กระทั่งอยู่ในสภาวะนักลงทุนส่วนใหญ่ลิงโลด อาจารย์ก็ออกมาเตือนอย่าให้หลงระเริง
ขอบคุณ จขท. ที่นำบทความดีๆมาโพสท์ครับ
ไม่ว่าจะตกอยู่ในสภาวะวิกฤติ อาจารย์ก็ออกมาเตือนสติ ปลอบขวัญให้อย่ากลัว อย่าตระหนก หรือแม้กระทั่งอยู่ในสภาวะนักลงทุนส่วนใหญ่ลิงโลด อาจารย์ก็ออกมาเตือนอย่าให้หลงระเริง
ขอบคุณ จขท. ที่นำบทความดีๆมาโพสท์ครับ
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
มาฟังคำเตือนจากท่านอาจารย์ของพวกเรากันครับ
โพสต์ที่ 4
ผมคิดว่ามีวิธีที่ชาววีไอจะทำให้ผลตอบแทนระยะยาวเกินปีละ 15%โดยสามารถชนะคนทั่วๆไปและไม่กลายไปเป็นนักเก็งกำไร โดยใช้หลักการง่ายๆของวีไอคนที่คาดการณ์ผลตอบแทนระยะยาวเกินปีละ 15% โดยเฉลี่ยนั้น น่าจะเป็นนักเก็งกำไรมากกว่าการเป็นนักลงทุน เหตุผลก็คือ มีธุรกิจจำนวนน้อยมากที่สามารถโตได้ปีละ 15% โดยเฉลี่ยอย่างต่อเนื่องยาวนาน ดังนั้น ถ้าจะโตเร็วกว่านั้นก็จำเป็นต้องทำการซื้อขายหุ้นค่อนข้างมาก และนั่นก็เป็นความเสี่ยงที่มีโอกาสชนะไม่สูงนักสำหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้มีความสามารถพิเศษในการเก็งกำไร
เป็นความจริงที่ว่ามีธุรกิจจำนวนน้อยมากที่สามารถโตได้ปีละ 15%
เมื่อเราลงทุนในหุ้นผลตอบแทนก็ไม่สมควรจะมากเกินพื้นฐานของกิจการในหุ้นนั้นๆ
แต่หลักการของวีไอสามารถช่วยเราได้
เพราะราคาหุ้นนั้นไม่ได้อยู่ที่ fair value ตลอดเวลา
ซึ่งเราสามารถใช้ประโยชน์จากช่องทางตรงนี้
หมายถึงหุ้นราคา 10 บาท เมื่อกำไรของกิจการโต 15 %
ราคาหุ้นก็ขยับเพิ่มขึ้น 15%
ทำให้เราได้กำไร 15%
อันนี้เป็นตัวอย่าง ซื้อที่ fair value และขายไปที่ fair value
แต่หลักการวีไอเราต้องซื้อที่ under value และขายที่ fair หรือ over value
ถ้าทำได้อย่างสม่ำเสมอก็เป็นไปได้ที่จะทำกำไรได้มากกว่าตัวกิจการ
แต่การประเมินมูลค่าว่าราคาไหน under หรือ fair หรือ over
เป็นบันไดสำคัญทีสุดสำหรับการเข้าสู่ประตูวีไอ
ถ้าไม่มีบันไดอันนี้ก็ไม่มีประตูอันนี้
ขึ้นบันไดผิดก็เจอประตูผิด
อย่างไรก็ตามผมก็มองว่าปี 2553 จะเป็นปีที่ยากลำบาก ไม่ใช่ปีที่ง่ายๆเหมือนปี 2552 และเป็นปีที่ควรจะขยันให้มาก
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
-
- Verified User
- โพสต์: 942
- ผู้ติดตาม: 0
มาฟังคำเตือนจากท่านอาจารย์ของพวกเรากันครับ
โพสต์ที่ 7
เรื่องนี้เป็นคำเตือนที่ดีทีเดียวสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ (หรือหน้าเดิม) เพราะผมมีรุ่นพี่อยู่คนหนึ่ง เริ่มลงทุนตั้งแต่ปี 46 ได้กำไรมาประมาณ 150-200% ก็เลยคิดว่าปีหน้า (ปี47) จะได้กำไรอย่างนั้นอีก (ความคาดหวังสูง) ก็เลยใส่เงินเพิ่มเข้าไปในตลาดหุ้น ผลปรากฎว่าปี 47 ขาดทุนไปครึ่งหนึ่งข้อสอง ผลตอบแทนที่ได้มาง่ายมากในปี 2552 ทำให้ค่าความคาดหวังของผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นของนักลงทุนสูงขึ้นมาก ดูเหมือนว่านักลงทุนจำนวนมากจะตั้งเป้าผลตอบแทนที่ตนเองจะทำได้ในอนาคตสูงกว่าที่ผมคิดว่าพวกเขาจะทำได้ คร่าว ๆ ผมคิดว่าพวกเขาคาดหวังที่จะโตหรือได้ผลตอบแทนจากการลงทุนโดยเฉลี่ยปีละประมาณ 20-25% ในระยะยาวอย่างน้อย 5-6 ปีข้างหน้า หลายคนอาจจะมองถึงปีละ 40-50% ด้วยซ้ำ ซึ่งทั้งหมดนั้น แน่นอน บางคนก็อาจจะทำได้จริง แต่ส่วนใหญ่แล้วผมคิดว่าพวกเขาน่าจะได้ไม่เกิน 10-15% โดยที่คนที่โดดเด่นมากอาจจะได้ถึง 20%
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3645
- ผู้ติดตาม: 1
มาฟังคำเตือนจากท่านอาจารย์ของพวกเรากันครับ
โพสต์ที่ 8
[quote="สามัญชน"]
หมายถึงหุ้นราคา 10 บาท เมื่อกำไรของกิจการโต 15 %
ราคาหุ้นก็ขยับเพิ่มขึ้น 15%
ทำให้เราได้กำไร 15%
อันนี้เป็นตัวอย่าง ซื้อที่ fair value
หมายถึงหุ้นราคา 10 บาท เมื่อกำไรของกิจการโต 15 %
ราคาหุ้นก็ขยับเพิ่มขึ้น 15%
ทำให้เราได้กำไร 15%
อันนี้เป็นตัวอย่าง ซื้อที่ fair value
It's earnings that count
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 476
- ผู้ติดตาม: 0
มาฟังคำเตือนจากท่านอาจารย์ของพวกเรากันครับ
โพสต์ที่ 10
[quote="Blueblood"][quote="สามัญชน"]
หมายถึงหุ้นราคา 10 บาท เมื่อกำไรของกิจการโต 15 %
ราคาหุ้นก็ขยับเพิ่มขึ้น 15%
ทำให้เราได้กำไร 15%
อันนี้เป็นตัวอย่าง ซื้อที่ fair value
หมายถึงหุ้นราคา 10 บาท เมื่อกำไรของกิจการโต 15 %
ราคาหุ้นก็ขยับเพิ่มขึ้น 15%
ทำให้เราได้กำไร 15%
อันนี้เป็นตัวอย่าง ซื้อที่ fair value
Simple is Always Best.
นักลงทุนแบบ vi แก่น 4 ประการ 3 กลยุทธ
แก่น vi : เป็นเจ้าของ หามูลค่า มี MOS และ อยู่เหนือนายตลาด
นักลงทุนแบบ vi แก่น 4 ประการ 3 กลยุทธ
แก่น vi : เป็นเจ้าของ หามูลค่า มี MOS และ อยู่เหนือนายตลาด
-
- Verified User
- โพสต์: 109
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มาฟังคำเตือนจากท่านอาจารย์ของพวกเรากันครับ
โพสต์ที่ 11
[quote="SEHJU"]ผมเห็นว่าท่าน ดร. ได้เตือนสติไว้ จึงอยากนำมาลงในหน้าเว็บบอร์ดซึงพวกเราเข้ามาอ่านกันมาก หวังเพื่อเป็นการเตือนสติของพวกเราทุกคนให้กระทำการรบในปีเสือนี้โดยรัดกุม อย่าได้ ผะหลี-ผะหลามมมม....
ปีทองของตลาดหุ้น โลกในมุมมองของ Value Investor
ปีทองของตลาดหุ้น โลกในมุมมองของ Value Investor
"Not until just before dawn do people sleep best; not until people get old do they become wise."
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 476
- ผู้ติดตาม: 0
มาฟังคำเตือนจากท่านอาจารย์ของพวกเรากันครับ
โพสต์ที่ 12
^
^
^
ความคิดเห็นของคุณ สามัญชน ทำให้ผมรู้สึกดีใจมากที่ จขกท. นำบทความของ ดร. มาโพสไว้ เพราะทำให้เกิดแรงบันดาลใจอย่างสร้างสรรค์ให้ขยันทำการบ้านศึกษาหุ้นแบบชาว VI และไม่ประมาท(เหลิง)ในการลงทุนปี 2553 หุๆ
^
^
ความคิดเห็นของคุณ สามัญชน ทำให้ผมรู้สึกดีใจมากที่ จขกท. นำบทความของ ดร. มาโพสไว้ เพราะทำให้เกิดแรงบันดาลใจอย่างสร้างสรรค์ให้ขยันทำการบ้านศึกษาหุ้นแบบชาว VI และไม่ประมาท(เหลิง)ในการลงทุนปี 2553 หุๆ
Simple is Always Best.
นักลงทุนแบบ vi แก่น 4 ประการ 3 กลยุทธ
แก่น vi : เป็นเจ้าของ หามูลค่า มี MOS และ อยู่เหนือนายตลาด
นักลงทุนแบบ vi แก่น 4 ประการ 3 กลยุทธ
แก่น vi : เป็นเจ้าของ หามูลค่า มี MOS และ อยู่เหนือนายตลาด
- Outliers
- Verified User
- โพสต์: 527
- ผู้ติดตาม: 0
มาฟังคำเตือนจากท่านอาจารย์ของพวกเรากันครับ
โพสต์ที่ 15
ถ้าเทียบนิยามปีทองของ ดร. แล้ว ผมยังห่างไกลจากคำว่าปีทองอีกมากเลย
ผ่านฉลุยหนึ่ง ผลตอบแทนรวมทั้งหมดซึ่งรวมถึงสินทรัพย์สภาพคล่องทั้งหลายเช่นเงินสดและพันธบัตร คุณทำได้มากกว่า 63% ซึ่งเป็นผลตอบแทนของตลาด
ไม่ผ่านเลยซักกะข้อสอง มูลค่าพอร์ตของคุณสูงเป็นประวัติการณ์ และแน่นอน ต้องสูงกว่ามูลค่าพอร์ตเมื่อสิ้นปี 2550 โดยที่คุณไม่ได้คิดรวมเงินที่คุณลงเพิ่มเติมลงไป สาม คุณได้กำไรเป็น ล้าน ห้าล้าน หรือสิบล้าน ซึ่งเป็นเม็ดเงินที่คุณรู้สึกว่ามันสร้างความแตกต่างให้กับความมั่งคั่งของคุณอย่างมีนัยสำคัญ และสุดท้าย มันอาจจะเป็นปีที่คุณบรรลุเป้าหมายสำคัญของความมั่งคั่งที่คุณฝัน ไม่ว่ามันจะเป็นปีที่คุณมีเงินเพียงพอที่จะเป็น อิสรภาพทางการเงิน หรือเป็นปีที่คุณมีเงินถึง 10 20 หรือแม้แต่ 100 ล้านบาท
The Miracle of 10,000 hrs
- Pathfinder
- Verified User
- โพสต์: 89
- ผู้ติดตาม: 0
มาฟังคำเตือนจากท่านอาจารย์ของพวกเรากันครับ
โพสต์ที่ 17
ขอบคุณครับ
- sai
- Verified User
- โพสต์: 4090
- ผู้ติดตาม: 0
มาฟังคำเตือนจากท่านอาจารย์ของพวกเรากันครับ
โพสต์ที่ 18
[quote="phakphum"][quote="Blueblood"][quote="สามัญชน"]
หมายถึงหุ้นราคา 10 บาท เมื่อกำไรของกิจการโต 15 %
ราคาหุ้นก็ขยับเพิ่มขึ้น 15%
ทำให้เราได้กำไร 15%
อันนี้เป็นตัวอย่าง ซื้อที่ fair value
หมายถึงหุ้นราคา 10 บาท เมื่อกำไรของกิจการโต 15 %
ราคาหุ้นก็ขยับเพิ่มขึ้น 15%
ทำให้เราได้กำไร 15%
อันนี้เป็นตัวอย่าง ซื้อที่ fair value
Small Details Make a Big Difference
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1588
- ผู้ติดตาม: 0
มาฟังคำเตือนจากท่านอาจารย์ของพวกเรากันครับ
โพสต์ที่ 19
ขอบคุณครับ
คนรู้ไม่พูด คนพูดไม่รู้
-
- Verified User
- โพสต์: 355
- ผู้ติดตาม: 0
มาฟังคำเตือนจากท่านอาจารย์ของพวกเรากันครับ
โพสต์ที่ 24
ขอบคุณครับ
ปีนี้คงต้องมองธุรกิจให้ขาด ถึงจะมีสิทธิ์กำไรได้มาก ๆ :twisted:
ปีนี้คงต้องมองธุรกิจให้ขาด ถึงจะมีสิทธิ์กำไรได้มาก ๆ :twisted:
- << New >>
- Verified User
- โพสต์: 1147
- ผู้ติดตาม: 0
มาฟังคำเตือนจากท่านอาจารย์ของพวกเรากันครับ
โพสต์ที่ 26
[quote="sai"][quote="phakphum"][quote="Blueblood"][quote="สามัญชน"]
หมายถึงหุ้นราคา 10 บาท เมื่อกำไรของกิจการโต 15 %
ราคาหุ้นก็ขยับเพิ่มขึ้น 15%
ทำให้เราได้กำไร 15%
อันนี้เป็นตัวอย่าง ซื้อที่ fair value
หมายถึงหุ้นราคา 10 บาท เมื่อกำไรของกิจการโต 15 %
ราคาหุ้นก็ขยับเพิ่มขึ้น 15%
ทำให้เราได้กำไร 15%
อันนี้เป็นตัวอย่าง ซื้อที่ fair value
อยากสูงต้องเขย่ง อยากเก่งต้องขยัน
-
- Verified User
- โพสต์: 251
- ผู้ติดตาม: 0
มาฟังคำเตือนจากท่านอาจารย์ของพวกเรากันครับ
โพสต์ที่ 27
[quote="nandeandw"][quote="sai"][quote="phakphum"][quote="Blueblood"][quote="สามัญชน"]
หมายถึงหุ้นราคา 10 บาท เมื่อกำไรของกิจการโต 15 %
ราคาหุ้นก็ขยับเพิ่มขึ้น 15%
ทำให้เราได้กำไร 15%
อันนี้เป็นตัวอย่าง ซื้อที่ fair value
หมายถึงหุ้นราคา 10 บาท เมื่อกำไรของกิจการโต 15 %
ราคาหุ้นก็ขยับเพิ่มขึ้น 15%
ทำให้เราได้กำไร 15%
อันนี้เป็นตัวอย่าง ซื้อที่ fair value
มโนปุพพังคมาธัมมา - ในตัวของเรามีใจเป็นใหญ่
มโนเสฏฐา มโนมยา - ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นธรรมชาติถึงก่อน
มะนะสา เจ ปสันเนนะ - ทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จแล้วแต่ใจ
มโนเสฏฐา มโนมยา - ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นธรรมชาติถึงก่อน
มะนะสา เจ ปสันเนนะ - ทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จแล้วแต่ใจ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 953
- ผู้ติดตาม: 0
มาฟังคำเตือนจากท่านอาจารย์ของพวกเรากันครับ
โพสต์ที่ 28
[quote="DevilCupid"][quote="nandeandw"][quote="sai"][quote="phakphum"][quote="Blueblood"][quote="สามัญชน"]
หมายถึงหุ้นราคา 10 บาท เมื่อกำไรของกิจการโต 15 %
ราคาหุ้นก็ขยับเพิ่มขึ้น 15%
ทำให้เราได้กำไร 15%
อันนี้เป็นตัวอย่าง ซื้อที่ fair value
หมายถึงหุ้นราคา 10 บาท เมื่อกำไรของกิจการโต 15 %
ราคาหุ้นก็ขยับเพิ่มขึ้น 15%
ทำให้เราได้กำไร 15%
อันนี้เป็นตัวอย่าง ซื้อที่ fair value
-
- Verified User
- โพสต์: 1036
- ผู้ติดตาม: 0
มาฟังคำเตือนจากท่านอาจารย์ของพวกเรากันครับ
โพสต์ที่ 29
[quote="moonchild"][quote="DevilCupid"][quote="nandeandw"][quote="sai"][quote="phakphum"][quote="Blueblood"][quote="สามัญชน"]
หมายถึงหุ้นราคา 10 บาท เมื่อกำไรของกิจการโต 15 %
ราคาหุ้นก็ขยับเพิ่มขึ้น 15%
ทำให้เราได้กำไร 15%
อันนี้เป็นตัวอย่าง ซื้อที่ fair value
หมายถึงหุ้นราคา 10 บาท เมื่อกำไรของกิจการโต 15 %
ราคาหุ้นก็ขยับเพิ่มขึ้น 15%
ทำให้เราได้กำไร 15%
อันนี้เป็นตัวอย่าง ซื้อที่ fair value
อย่าโลภเกินความรู้ความสามารถของตัวเราเอง
- killyz
- Verified User
- โพสต์: 409
- ผู้ติดตาม: 0
มาฟังคำเตือนจากท่านอาจารย์ของพวกเรากันครับ
โพสต์ที่ 30
[quote="winkung"][quote="moonchild"][quote="DevilCupid"][quote="nandeandw"][quote="sai"][quote="phakphum"][quote="Blueblood"][quote="สามัญชน"]
หมายถึงหุ้นราคา 10 บาท เมื่อกำไรของกิจการโต 15 %
ราคาหุ้นก็ขยับเพิ่มขึ้น 15%
ทำให้เราได้กำไร 15%
อันนี้เป็นตัวอย่าง ซื้อที่ fair value
หมายถึงหุ้นราคา 10 บาท เมื่อกำไรของกิจการโต 15 %
ราคาหุ้นก็ขยับเพิ่มขึ้น 15%
ทำให้เราได้กำไร 15%
อันนี้เป็นตัวอย่าง ซื้อที่ fair value
การลงทุนมีความเสียว โปรดใช้วิจารณญาณในการลอก