Value Way ฉบับวันที่ 4 มกราคม 2552
โดยวิบูลย์ พึงประเสริฐ
Peak Oil Never Peak
สัปดาห์ที่แล้วได้เขียนถึงทฤษฎี Peak Oil ที่กล่าวว่าการผลิตน้ำมันในปัจจุบันของประเทศต่างๆได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว หลังจากนี้การค้นพบน้ำมันใหม่ๆจะไม่สามารถทดแทนการผลิตที่ลดลงไปได้ ทำให้โลกขาดแคลนน้ำมันในอนาคต ราคาน้ำมันจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก
อย่างไรก็ตามมีผู้ที่ออกมาคัดค้านทฤษฎีดังกล่าวโดยบอกว่าโลกนี้จะสามารถค้นพบหลุมน้ำมันแหล่งใหม่ๆได้อีกรวมถึงการค้นหาพลังงานทางเลือกอื่นๆที่จะมาทดแทนน้ำมันทำให้โลกไม่ขาดแคลนน้ำมันอย่างแน่นอนในอนาคต นักเขียนอย่างเจอโรม อาร์ คอซิ (Jerome R. Corsi) ผู้แต่งหนังสือ Black Gold Stranglehold: The Myth of Scarcity and the Politics of Oil เป็นผู้หนึ่งที่ออกมาประกาศว่าทฤษฎี Peak Oil ของฮัพเบิร์ด (Dr. M. King Hubbert) มีความผิดพลาด เขาบอกว่าฮัพเบิร์ดใช้เพียงข้อมูลเบื้องต้นของการขุดเจาะในประเทศสหรัฐอเมริกาในการประมาณการผลิตน้ำมันของสหรัฐโดยคาดการณ์ว่าการผลิตน้ำมันในสหรัฐจะสูงที่สุดในปี 1970 และจะเริ่มลดลงไปเรื่อยๆจนหมดลงในปี 2050 หลังจากนั้นฮัพเบิร์ดได้ใช้กราฟดังกล่าวในการประมาณการผลิตน้ำมันของโลกโดยไม่ได้เขียนสมการในการหาความสัมพันธ์ของข้อมูลแต่อย่างใด
เจอโรมกล่าวว่าการผลิตน้ำมันในสหรัฐลดลงหลังจากปี 1970 นั้นเป็นผลมากจากการประท้วงของกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและนักการเมืองท้องถิ่นที่ออกกฏหมายทำให้การค้นหาและผลิตน้ำมันในอลาสกาทำได้ยากลำบากยิ่งขึ้น บริษัทน้ำมันจึงไม่สามารถเพิ่มการผลิตน้ำมันในบริเวณนี้ได้ ทั้งๆที่อลาสกาเป็นแหล่งน้ำมันในอเมริกาที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง
นอกเหนือจากนั้นทฤษฏีของฮัพเบิร์ดยังอยู่บนพื้นฐานของกำเนิดน้ำมันที่มาจากฟอสซิลโดยคิดว่าน้ำมันที่ค้นพบนั้นมาจากการทับถมของซากพืชซากสัตว์ในยุคไดโนเสาร์เมื่อหลายล้านปีก่อนแล้วสลายตัวกลายเป็นน้ำมัน ซึ่งถ้าเป็นตามทฤษฏีดังกล่าวน้ำมันต้องหมดไปจากโลกแน่นอนในวันใดวันหนึ่งเพราะฟอสซิลสมัยล้านปีคงมีอยู่อย่างจำกัด
แต่ในปัจจุบันการค้นพบใหม่ๆในทางธรณีวิทยาทำให้เราทราบว่าต้นกำเนิดของน้ำมันสามารถเกิดขึ้นได้ใต้พื้นพิภพโดยแพลงตอนและแบคทีเรียสามารถทำให้เกิดน้ำมันดิบได้ในโดยปฏิกิริยาชีวเคมีโดยไม่ต้องอาศัยซากพืซซากสัตว์โบราณแต่อย่างใด โลกสามารถผลิตน้ำมันขึ้นมาได้เรื่อยๆโดยน้ำมันที่เกิดขึ้นสามารถหลุดจากใต้ดินขึ้นมาสู่แหล่งต่างๆได้ในทุกส่วนของพื้นผิวโลก รัสเซียเป็นหนึ่งในตัวอย่างของทฤษฏีนี้ซึ่งในช่วงปี 1950 รัสเซียเป็นประเทศที่ไม่มีน้ำมัน ปัจจุบันกลายเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลก
บราซิลเป็นอีกประเทศหนึ่งที่ค้นพบแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่ในแถบทะเลลึกนอกชายฝั่งของประเทศ ขนาดของแหล่งที่พบทำให้บราซิลมีปริมาณน้ำมันสำรองเป็นอันดับสองของโลกรองจากซาอุดิอาระเบีย แหล่งน้ำมันที่ค้นพบอยู่ลึกลงไปถึง 7 กิโลเมตรจากพื้นทะเล การขุดเจาะต้องผ่านชั้นหินและเกลือใต้ท้องทะเล เทคโนโลยี่ที่ใช้ถือว่ามีความทันสมัยที่สุดในโลก จากประเทศที่ต้องผลิตเอทานอลจากอ้อยเพื่อทดแทนการนำเข้าเชื้อเพลิงเมื่อหลายสิบปีก่อน บราซิลจะกลายเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลกภายในระยะเวลาไม่กี่ปีข้างหน้า
นอกจากนั้นในประเทศสหรัฐอเมริกาเองยังได้ค้นพบแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่เช่นเดียวกันในอ่าวเม็กซิโก มีปริมาณสำรองถึง 1.5 หมื่นล้านบาร์เรลทำให้สหรัฐมีปริมาณน้ำมันดิบสำรองเพิ่มขึ้นกว่า 50% แต่อย่างไรก็ตามกลุ่มอนุรักษ์ยังคงต่อต้านการขุดเจาะน้ำมันในทะเลลึกเช่นเดิม
จะเห็นว่าถึงแม้จะมีทฤษฎีที่คิดว่าน้ำมันจะหมดไปจากโลก แต่ในความเป็นจริงการค้นพบน้ำมันยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในบริเวณที่ไม่เคยสำรวจมาก่อน เทคโนโลยี่ต่างๆช่วยให้การหาน้ำมันมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนคือราคาน้ำมันจะไม่กลับไปมีราคาถูกเหมือนเดิมอีกแล้วนับจากนี้ต่อไป
Peak Oil Never Peak :ValueWay วิบูลย์ พึงประเสริฐ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 795
- ผู้ติดตาม: 0
Peak Oil Never Peak :ValueWay วิบูลย์ พึงประเสริฐ
โพสต์ที่ 1
Miracle Happens Everyday !
"ปาฎิหารย์คือการเดินบนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว"
"ปาฎิหารย์คือการเดินบนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว"