ส.นักวิเคราะห์ ปรับเป้าดัชนีฯ ปลายปี 53 อยู่ที่ 827 จุด
- vichit
- Verified User
- โพสต์: 15833
- ผู้ติดตาม: 0
ส.นักวิเคราะห์ ปรับเป้าดัชนีฯ ปลายปี 53 อยู่ที่ 827 จุด
โพสต์ที่ 1
ส.นักวิเคราะห์ ปรับเป้าดัชนีฯ ปลายปี 53 อยู่ที่ 827 จุด จากเดิมคาดที่ 812 จุด
ส่วนปี 54 แตะ 946 จุด
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า
จากผลสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์ครั้งล่าสุด จากบริษัทหลักทรัพย์แสดงความคิด
เห็นโดยรวม 22 แห่ง พบว่า ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยปลายปี
2553 เฉลี่ยอยู่ที่ 827 จุด จากคาดการณ์เดือนธ.ค. 2552 ที่ 812 จุด และคาดดัชนีฯ
ปลายปี 2554 อยู่ที่ 946 จุด
โดยประเมินดัชนีฯ สูงสุดในปีนี้อยู่ที่ 861 จุด และต่ำสุดที่ 643 จุด ทั้งนี้
ปัจจัยบวกมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย รวมถึงมาตรการ
กระตุ้นเศรษฐกิจ และแผนปฎิบัติการไทยเข้มแข็งของภาครัฐ รวมถึงแนวโน้มผล
ประกอบการของบริษัทจดทะเบียน และอัตคราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ ทำให้นัก
วิเคราะห์ปรับเพิ่มประมาณการอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจปีนี้อยู่ที่ 4% จากเดิมที่
3.5% และในปี 2554 เติบโต 4.5%
นอกจากนี้ แนะนำภาครัฐจับตาปัญหาสำคัญ 3 เรื่อง อาทิ ปัญหา
การเมือง มาบตาพุด และเงินเฟ้อ พร้อมเร่งการเบิกจ่ายการดำเนินโครงการไทยเข้ม
แข็ง สร้างความสมานฉันท์ในสังคม
รายงาน โดย นันท์นภัส เปี่ยมสมบูรณ์
เรียบเรียง โดย ศุภวรรณ วราภรณ์
อนุมัติ โดย ประสิทธิ์ กรโชคอนันต์
อีเมล์แสดงความคิดเห็น [email protected]
ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 24/03/10 เวลา 14:13:34
หุ้นไทยเสน่ห์แรง! 16 ก.พ.-23 มี.ค.53 ต่างชาติซื้อสุทธิ 4.24 หมื่นลบ.
โบรกฯ ประสานเสียงผลตอบแทนสูง-P/E ต่ำ เหมาะลงทุน
หุ้นไทยเสน่ห์แรง! 16 ก.พ.-23 มี.ค.53 ต่างชาติซื้อสุทธิ
ทะลัก 4.24 หมื่นลบ. ส่วน SOLAR คว้าอันดับ 1 ให้ผลตอบแทนสูงสุด
กว่า 114.69% ขณะที่โบรกฯ ประสานเสียง นลท. คลายกังวลหลังคดี
ยึดทรัพย์อดีตนายกฯ ทักษิณ ชัดเจน ส่วนหุ้นให้ผลตอบแทนสูง-P/E ต่ำ
-โชว์ผลประกอบการสวย เหมาะลงทุน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากการรวบรวมข้อมูลการซื้อขายรายกลุ่มของ
นักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ตั้งแต่วันที่ 16
กุมภาพันธ์ถึงวันที่ 23 มีนาคม 2553 พบว่านักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อสุทธิ
42,463.83 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 662.35 ล้านบาท บัญชี
บริษัทหลักทรัพย์ 3,445.71 ล้านบาท และนักลงทุนในประเทศขายสุทธิ
46,571.89 ล้านบาท
ส่วนหลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในช่วงเวลาดังกล่าว (16
ก.พ.-23 มี.ค.53) 5 อันดับแรก ประกอบด้วยอันดับ 1 คือ บริษัท โซลาร์ต
รอน จำกัด (มหาชน) หรือ SOLAR โดยให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 114.69%
อันดับ 2 คือใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท เจนเนอรัล
เอนจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1 หรือ GEN-W1 ให้ผลตอบแทนอยู่ที่
100% อันดับ 3 คือใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท
บลิส-เทล จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1 หรือ BLISS-W1 ให้ผลตอบแทนอยู่ที่
100% อันดับ 4 คือใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท นวนคร
จำกัด (มหาชน) หรือ NNCL-W1 ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 96.15% และอันดับ
5 คือบริษัท ยูเนี่ยนไพโอเนียร์ จำกัด (มหาชน) หรือ UPF ให้ผลตอบแทนอยู่
ที่ 93.33%
บล.คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ออกบทวิเคราะห์สรุปภาวะการลง
ทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในเดือนกุมภาพันธ์ 2553
โดยระบุว่าตลาดหุ้นไทยในเดือนดังกล่าวสามารถปรับตัวขึ้นจากการคลาย
ความกังวลในปัญหาภาระหนี้สินของประเทศกรีซที่กดดันจากปลายเดือนก่อน
นอกจากนี้ยังมีแรงซื้อเข้ามาจากการคาดการณ์ผลการดำเนินงานของปี
2552 และการจ่ายปันผลของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ซึ่งหุ้น Market cap
หลายตัวประกาศผลประกอบการเติบโตขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา
ประกอบกับมีการจ่ายเงินปันผลค่อนข้างสูง โดยตลาดหุ้นไทยมี
อัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) สูงถึง 3.37% และ P/E ที่ 14
เท่า (Bloomberg) ซึ่งจัดว่า P/E ถูกและให้ผลตอบแทนที่สูงในภูมิภาค
เอเชีย จึงมีแรงซื้อจากนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างชาติเข้ามาช่วยสนับ
สนุน ทำให้ดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น อีกทั้งมีประเด็นบวกเรื่องศาลปกครองกลาง
อนุญาตให้ 9 โครงการในมาบตาพุดดำเนินการต่อได้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นของ
กลุ่ม SCC และ PTT ทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจการลงทุนมากขึ้นและมี
มุมมองเป็นบวกสำหรับโครงการอื่นๆที่เตรียมยื่นเสนอด้วยเช่นกัน
ขณะเดียวกันปัจจัยที่ทุกฝ่ายให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดคือการ
ตัดสินคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีต
นายกรัฐมนตรี กรณีใช้อำนาจในตำแหน่งเอื้อประโยชน์ธุรกิจครอบครัวในวัน
ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 ซึ่งผลการตัดสินศาลฯ มีคำสั่งยึดทรัพย์ 4.6 หมื่น
ล้านบาท และคืน 3 หมื่นล้านบาท และทำให้ปัญหาการเมืองที่คั่งค้างมีความ
ชัดเจนมากขึ้น ดังนั้นนักลงทุนจึงคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะพลิกกลับมา
เติบโตได้ในอีกครั้ง ซึ่งผลจากความมั่นใจในการลงทุนนั้นส่งผลให้มี Fund
flow ไหลเข้าสู่ประเทศไทยอย่างรวดเร็วและค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นจากระดับ
33.15 เป็น 32. 70
Baht/USD ยังส่งผลบวกต่อดัชนีหุ้นไทยให้ดีดตัวขึ้นมา
อย่างไรก็ตามยังคงมีประเด็นกดดันภาวะการณ์ลงทุนคือกลุ่ม
แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มเสื้อแดง
ประกาศชุมนุมใหญ่อย่างยืดเยื้อ ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์ว่าจะตรึงเครียด
รุนแรงเพียงใดและรัฐบาลจะหาทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วยวิธีใด นอกจากนี้
โดยสรุป ดัชนีตลาดหุ้นไทยเดือนก.พ. ปิดที่ 721.37 จุด (+ 3.56% จาก
เดือนก่อน) ด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม 281,130 ล้านบาท มูลค่าซื้อขาย
หมุนเวียนเฉลี่ยต่อวัน 14,056 ล้านบาท โดยนักลง
ทุนต่างชาติพลิกมาเป็น net buy มูลค่ารวม 5,421 ล้านบาท
ด้านเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่าหลัง
จากศาลฯ ตัดสินคดียึดทรัพย์ของอดีตนายกรัฐมนตรี ทำให้นักลงทุนต่างชาติ
ประเมินว่าความเสี่ยงด้านการเมืองในประเทศลดลงจึงเข้าซื้อสุทธิตั้งแต่วันที่
16 ก.พ.จนถึงปัจจุบัน ส่วนช่วง 4 เดือนก่อนหน้าการตัดสินคดียึดทรัพย์ดัง
กล่าวนั้น (ต.ค.52-15 ก.พ.53) มียอดขายสุทธิ 38,000 ล้านบาท นอกจากนี้
ยังคาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยช่วงเดือน
มีนาคม ประมาณ 10,000 ล้านบาท
' นักลงทุนต่างชาติมองว่าหลังการตัดสินคดียึดทรัพย์ เป็นโอกาส
ในการลงทุน เพราะความกังวลเรื่องการเมืองลดลง ขณะที่นักลงทุนไทยและ
กองทุนต่าง ๆ ยังรับข่าวสารด้านการเมืองมากเกินไป จึงยังไม่เข้าซื้อมากนัก
ซึ่งประเมินว่าในต้นเดือนจนถึงปลายเดือน มี.ค.นี้ ดัชนีหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้น
ได้จากแรงซื้อของต่างชาติและราคาหุ้นที่อยู่ในระดับต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน
โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงาน เช่น บ้านปู ปตท. รวมทั้ง ปตท. สผ. ' แหล่งข่าว
รายเดิม กล่าว
ส่วนนางวชิราลักษณ์ แสงเลิศศิลปชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ
บล. ทรีนีตี้ เปิดเผยว่าในช่วงไตรมาส 2/2553 ประเมินกรอบการเคลื่อนไหว
ของดัชนีตลาดหลักทรัพย์มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 836 จุด โดยมี
กรอบแนวรับอยู่ที่ 727 จุด หลังมีเม็ดเงินลงทุนจากนักลงุทนต่างชาติที่ยัง
ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพราะมีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับผลกำไรของบริษัทจด
ทะเบียนที่เติบโตประกอบกับเงินปันผลและกระแสเงินสดของ บจ. ยังอยู่ใน
ระดับที่สูง นอกจากนี้เศรษฐกิจไทยยังดีขึ้น โดยในไตรมาส 4/2552 ตัวเลข
ทางเศรษฐกิจเติบโต 5.8% นอกจากนี้ P/E ถือว่าค่อนข้างต่ำอยู่ที่ 11-12
เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับภูมิภาคที่ปรับเพิ่มขึ้นมากกว่า 14 เท่า ส่วนหุ้นที่แนะ
นำซื้อลงทุนในไตรมาสดังกล่าว ประกอบด้วยหุ้นกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี
อสังหาริมทรัพย์ และธนาคารพาณิชย์ ขณะที่หุ้นซึ่งไม่น่าสนใจลงทุนประกอบ
ด้วย หุ้นในกลุ่มไอซีที และท่องเที่ยว เนื่องจากผลประกอบการในหุ้นกลุ่มดัง
กล่าวยังไม่ฟื้นตัว
หมายเหตุ : ที่มาตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)
รายงาน โดย อาภรณ์ สุภาพ
เรียบเรียง โดย ณัฐสินี ระเบียบนาวีนุรักษ์
อนุมัติ โดย ประสิทธิ์ กรโชคอนันต์
อีเมล์แสดงความคิดเห็น [email protected]
ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 24/03/10 เวลา 14:24:41
ส่วนปี 54 แตะ 946 จุด
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า
จากผลสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์ครั้งล่าสุด จากบริษัทหลักทรัพย์แสดงความคิด
เห็นโดยรวม 22 แห่ง พบว่า ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยปลายปี
2553 เฉลี่ยอยู่ที่ 827 จุด จากคาดการณ์เดือนธ.ค. 2552 ที่ 812 จุด และคาดดัชนีฯ
ปลายปี 2554 อยู่ที่ 946 จุด
โดยประเมินดัชนีฯ สูงสุดในปีนี้อยู่ที่ 861 จุด และต่ำสุดที่ 643 จุด ทั้งนี้
ปัจจัยบวกมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย รวมถึงมาตรการ
กระตุ้นเศรษฐกิจ และแผนปฎิบัติการไทยเข้มแข็งของภาครัฐ รวมถึงแนวโน้มผล
ประกอบการของบริษัทจดทะเบียน และอัตคราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ ทำให้นัก
วิเคราะห์ปรับเพิ่มประมาณการอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจปีนี้อยู่ที่ 4% จากเดิมที่
3.5% และในปี 2554 เติบโต 4.5%
นอกจากนี้ แนะนำภาครัฐจับตาปัญหาสำคัญ 3 เรื่อง อาทิ ปัญหา
การเมือง มาบตาพุด และเงินเฟ้อ พร้อมเร่งการเบิกจ่ายการดำเนินโครงการไทยเข้ม
แข็ง สร้างความสมานฉันท์ในสังคม
รายงาน โดย นันท์นภัส เปี่ยมสมบูรณ์
เรียบเรียง โดย ศุภวรรณ วราภรณ์
อนุมัติ โดย ประสิทธิ์ กรโชคอนันต์
อีเมล์แสดงความคิดเห็น [email protected]
ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 24/03/10 เวลา 14:13:34
หุ้นไทยเสน่ห์แรง! 16 ก.พ.-23 มี.ค.53 ต่างชาติซื้อสุทธิ 4.24 หมื่นลบ.
โบรกฯ ประสานเสียงผลตอบแทนสูง-P/E ต่ำ เหมาะลงทุน
หุ้นไทยเสน่ห์แรง! 16 ก.พ.-23 มี.ค.53 ต่างชาติซื้อสุทธิ
ทะลัก 4.24 หมื่นลบ. ส่วน SOLAR คว้าอันดับ 1 ให้ผลตอบแทนสูงสุด
กว่า 114.69% ขณะที่โบรกฯ ประสานเสียง นลท. คลายกังวลหลังคดี
ยึดทรัพย์อดีตนายกฯ ทักษิณ ชัดเจน ส่วนหุ้นให้ผลตอบแทนสูง-P/E ต่ำ
-โชว์ผลประกอบการสวย เหมาะลงทุน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากการรวบรวมข้อมูลการซื้อขายรายกลุ่มของ
นักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ตั้งแต่วันที่ 16
กุมภาพันธ์ถึงวันที่ 23 มีนาคม 2553 พบว่านักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อสุทธิ
42,463.83 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 662.35 ล้านบาท บัญชี
บริษัทหลักทรัพย์ 3,445.71 ล้านบาท และนักลงทุนในประเทศขายสุทธิ
46,571.89 ล้านบาท
ส่วนหลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในช่วงเวลาดังกล่าว (16
ก.พ.-23 มี.ค.53) 5 อันดับแรก ประกอบด้วยอันดับ 1 คือ บริษัท โซลาร์ต
รอน จำกัด (มหาชน) หรือ SOLAR โดยให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 114.69%
อันดับ 2 คือใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท เจนเนอรัล
เอนจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1 หรือ GEN-W1 ให้ผลตอบแทนอยู่ที่
100% อันดับ 3 คือใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท
บลิส-เทล จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1 หรือ BLISS-W1 ให้ผลตอบแทนอยู่ที่
100% อันดับ 4 คือใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท นวนคร
จำกัด (มหาชน) หรือ NNCL-W1 ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 96.15% และอันดับ
5 คือบริษัท ยูเนี่ยนไพโอเนียร์ จำกัด (มหาชน) หรือ UPF ให้ผลตอบแทนอยู่
ที่ 93.33%
บล.คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ออกบทวิเคราะห์สรุปภาวะการลง
ทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในเดือนกุมภาพันธ์ 2553
โดยระบุว่าตลาดหุ้นไทยในเดือนดังกล่าวสามารถปรับตัวขึ้นจากการคลาย
ความกังวลในปัญหาภาระหนี้สินของประเทศกรีซที่กดดันจากปลายเดือนก่อน
นอกจากนี้ยังมีแรงซื้อเข้ามาจากการคาดการณ์ผลการดำเนินงานของปี
2552 และการจ่ายปันผลของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ซึ่งหุ้น Market cap
หลายตัวประกาศผลประกอบการเติบโตขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา
ประกอบกับมีการจ่ายเงินปันผลค่อนข้างสูง โดยตลาดหุ้นไทยมี
อัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) สูงถึง 3.37% และ P/E ที่ 14
เท่า (Bloomberg) ซึ่งจัดว่า P/E ถูกและให้ผลตอบแทนที่สูงในภูมิภาค
เอเชีย จึงมีแรงซื้อจากนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างชาติเข้ามาช่วยสนับ
สนุน ทำให้ดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น อีกทั้งมีประเด็นบวกเรื่องศาลปกครองกลาง
อนุญาตให้ 9 โครงการในมาบตาพุดดำเนินการต่อได้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นของ
กลุ่ม SCC และ PTT ทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจการลงทุนมากขึ้นและมี
มุมมองเป็นบวกสำหรับโครงการอื่นๆที่เตรียมยื่นเสนอด้วยเช่นกัน
ขณะเดียวกันปัจจัยที่ทุกฝ่ายให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดคือการ
ตัดสินคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีต
นายกรัฐมนตรี กรณีใช้อำนาจในตำแหน่งเอื้อประโยชน์ธุรกิจครอบครัวในวัน
ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 ซึ่งผลการตัดสินศาลฯ มีคำสั่งยึดทรัพย์ 4.6 หมื่น
ล้านบาท และคืน 3 หมื่นล้านบาท และทำให้ปัญหาการเมืองที่คั่งค้างมีความ
ชัดเจนมากขึ้น ดังนั้นนักลงทุนจึงคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะพลิกกลับมา
เติบโตได้ในอีกครั้ง ซึ่งผลจากความมั่นใจในการลงทุนนั้นส่งผลให้มี Fund
flow ไหลเข้าสู่ประเทศไทยอย่างรวดเร็วและค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นจากระดับ
33.15 เป็น 32. 70
Baht/USD ยังส่งผลบวกต่อดัชนีหุ้นไทยให้ดีดตัวขึ้นมา
อย่างไรก็ตามยังคงมีประเด็นกดดันภาวะการณ์ลงทุนคือกลุ่ม
แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มเสื้อแดง
ประกาศชุมนุมใหญ่อย่างยืดเยื้อ ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์ว่าจะตรึงเครียด
รุนแรงเพียงใดและรัฐบาลจะหาทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วยวิธีใด นอกจากนี้
โดยสรุป ดัชนีตลาดหุ้นไทยเดือนก.พ. ปิดที่ 721.37 จุด (+ 3.56% จาก
เดือนก่อน) ด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม 281,130 ล้านบาท มูลค่าซื้อขาย
หมุนเวียนเฉลี่ยต่อวัน 14,056 ล้านบาท โดยนักลง
ทุนต่างชาติพลิกมาเป็น net buy มูลค่ารวม 5,421 ล้านบาท
ด้านเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่าหลัง
จากศาลฯ ตัดสินคดียึดทรัพย์ของอดีตนายกรัฐมนตรี ทำให้นักลงทุนต่างชาติ
ประเมินว่าความเสี่ยงด้านการเมืองในประเทศลดลงจึงเข้าซื้อสุทธิตั้งแต่วันที่
16 ก.พ.จนถึงปัจจุบัน ส่วนช่วง 4 เดือนก่อนหน้าการตัดสินคดียึดทรัพย์ดัง
กล่าวนั้น (ต.ค.52-15 ก.พ.53) มียอดขายสุทธิ 38,000 ล้านบาท นอกจากนี้
ยังคาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยช่วงเดือน
มีนาคม ประมาณ 10,000 ล้านบาท
' นักลงทุนต่างชาติมองว่าหลังการตัดสินคดียึดทรัพย์ เป็นโอกาส
ในการลงทุน เพราะความกังวลเรื่องการเมืองลดลง ขณะที่นักลงทุนไทยและ
กองทุนต่าง ๆ ยังรับข่าวสารด้านการเมืองมากเกินไป จึงยังไม่เข้าซื้อมากนัก
ซึ่งประเมินว่าในต้นเดือนจนถึงปลายเดือน มี.ค.นี้ ดัชนีหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้น
ได้จากแรงซื้อของต่างชาติและราคาหุ้นที่อยู่ในระดับต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน
โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงาน เช่น บ้านปู ปตท. รวมทั้ง ปตท. สผ. ' แหล่งข่าว
รายเดิม กล่าว
ส่วนนางวชิราลักษณ์ แสงเลิศศิลปชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ
บล. ทรีนีตี้ เปิดเผยว่าในช่วงไตรมาส 2/2553 ประเมินกรอบการเคลื่อนไหว
ของดัชนีตลาดหลักทรัพย์มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 836 จุด โดยมี
กรอบแนวรับอยู่ที่ 727 จุด หลังมีเม็ดเงินลงทุนจากนักลงุทนต่างชาติที่ยัง
ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพราะมีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับผลกำไรของบริษัทจด
ทะเบียนที่เติบโตประกอบกับเงินปันผลและกระแสเงินสดของ บจ. ยังอยู่ใน
ระดับที่สูง นอกจากนี้เศรษฐกิจไทยยังดีขึ้น โดยในไตรมาส 4/2552 ตัวเลข
ทางเศรษฐกิจเติบโต 5.8% นอกจากนี้ P/E ถือว่าค่อนข้างต่ำอยู่ที่ 11-12
เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับภูมิภาคที่ปรับเพิ่มขึ้นมากกว่า 14 เท่า ส่วนหุ้นที่แนะ
นำซื้อลงทุนในไตรมาสดังกล่าว ประกอบด้วยหุ้นกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี
อสังหาริมทรัพย์ และธนาคารพาณิชย์ ขณะที่หุ้นซึ่งไม่น่าสนใจลงทุนประกอบ
ด้วย หุ้นในกลุ่มไอซีที และท่องเที่ยว เนื่องจากผลประกอบการในหุ้นกลุ่มดัง
กล่าวยังไม่ฟื้นตัว
หมายเหตุ : ที่มาตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)
รายงาน โดย อาภรณ์ สุภาพ
เรียบเรียง โดย ณัฐสินี ระเบียบนาวีนุรักษ์
อนุมัติ โดย ประสิทธิ์ กรโชคอนันต์
อีเมล์แสดงความคิดเห็น [email protected]
ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 24/03/10 เวลา 14:24:41
- vichit
- Verified User
- โพสต์: 15833
- ผู้ติดตาม: 0
ส.นักวิเคราะห์ ปรับเป้าดัชนีฯ ปลายปี 53 อยู่ที่ 827 จุด
โพสต์ที่ 2
นักวิเคราะห์ ชี้ ศก.ฟื้น คาดหนุนดัชนีฯปี 53 สูงสุด 861 จุด ต่ำสุด 643 จุด แต่แนะ
จับตาการเมือง มาบตาพุด เงินเฟ้อ
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยผล
สำรวจความเห็นนักวิเคราะห์ครั้งล่าสุดว่า นักวิเคราะห์ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ดัชนีหุ้น
ปลายปี 53 เป็นเฉลี่ย 827 จุด จากคาดการณ์เดือนธันวาคม 812 จุด และคาดดัชนี
หุ้นปลายปี 54 อยู่ที่ 946 จุด โดยประเมินดัชนีสูงสุดในปี 53 ไว้ที่ 861 จุด และต่ำสุด
ที่ 643 จุด ซึ่งปัจจัยบวกมาจากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจของ
ประเทศคู่ค้าของไทย และเศรษฐกิจไทย ซึ่งรวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและ
แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน และ
อัตราดอกเบี้ยที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ ทำให้นักวิเคราะห์ปรับเพิ่มประมาณการอัตรา
การเติบโตทางเศรษฐกิจปี 53 เป็น 4.0% เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 3.5% และตัวเลขปี 54
จะเติบโต 4.5%
นอกจากนี้ แนะภาครัฐจับตาปัญหาสำคัญสามเรื่อง ได้แก่ ปัญหาทางการ
เมือง ปัญหามาบตาพุด และปัญหาเงินเฟ้อ พร้อมเร่งดำเนินการสามด้าน คือ เร่งรัด
การเบิกจ่ายและการดำเนินโครงการไทยเข้มแข็ง สร้างความสมานฉันท์ในสังคม รวม
ถึงแก้ปัญหามาบตาพุด
มีสำนักวิจัยจากบริษัทหลักทรัพย์แสดงความเห็นโดยรวม 22 แห่ง
สถานการณ์ทางการเมือง (มีผู้ตอบ 21 แห่ง)
โอกาสที่จะเกิดความรุนแรงทางการเมืองในช่วง 3 เดือนนี้
- มีโอกาส 20% ที่จะเกิดความรุนแรง
67% ของผู้ตอบ
- มีโอกาส 50% ที่จะเกิดความรุนแรง
19% ของผู้ตอบ
- มีโอกาส 10-15%, 30-40%, และ 40% ที่จะเกิดความรุนแรง
อย่างละ 5% ของผู้ตอบ
ความหมายของ ความรุนแรงทางการเมือง ในความเห็นของนักวิเคราะห์ ที่จะส่ง
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้น
- เกิดจลาจลนองเลือด
86% ของผู้ตอบ
- เกิดการชุมนุมนับแสนคนยาวนานกว่า 1 สัปดาห์ และมีการยึดสถานที่
ราชการ 71% ของผู้ตอบ
ถนนสำคัญหลายสาย หรือสาธารณูปโภคของชาติ หรือสนามบิน ท่าเรือขนส่งสินค้า
หรือสถานที่สำคัญอื่น ๆ
- เกิดรัฐประหารขึ้น
67% ของผู้ตอบ
- วางระเบิดสถานที่สำคัญต่อเนื่อง
62% ของผู้ตอบ
- อื่น ๆ เช่น ยุบสภาแล้วมีเหตุการณ์รุนแรงจากการเลือกตั้ง,
19% ของผู้ตอบ
การกระทำที่ไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย เป็นต้น
ผลกระทบของความรุนแรงทางการเมืองที่มีต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้น
GDP Growth คาดว่าจะปรับตัวลดลงไปอยู่ที่เฉลี่ย 3.7%
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ คาดว่าจะลดลงไปอยู่ที่เฉลี่ย 688 จุด หากเกิดเหตุรุนแรง
สมมติฐานหลักที่นักวิเคราะห์ใช้ประกอบการทำบทวิเคราะห์ในขณะนี้จนถึงสิ้นปี
2553
ปัจจัยบวก
1) การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ค้าของไทย
68% ของผู้ตอบ
2) แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของ
รัฐบาล รวมถึง
แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง
50% ของผู้ตอบ
3) แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนปรับตัวดีขึ้น
45% ของผู้ตอบ
4) อัตราดอกเบี้ยที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ และ กระแสเงินไหลเข้าไทย
อย่างละ 27% ของผู้ตอบ
ปัจจัยลบ (มีผู้ตอบ 21 แห่ง)
1) ปัจจัยทางการเมืองภายในประเทศ รวมถึงเสถียรภาพรัฐบาลและปัญหา
ความขัดแย้งต่าง ๆ
73% ของผู้ตอบ
2) สถานการณ์เศรษฐกิจต่างประเทศที่ยังมีความเสี่ยงอยู่ รวมถึงปัญหาหนี้ใน
ยุโรป 43% ของผู้ตอบ
3) ค่าเงินบาทแข็ง ที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการส่งออก
33% ของผู้ตอบ
4) ความเป็นไปได้ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในต่างประเทศ และ
ความล่าช้า
ในการแก้ไขปัญหามาบตาพุด
อย่างละ 27% ของผู้ตอบ
ปัญหาใดในปี 2553 ที่ภาครัฐต้องจับตาและเตรียมการรองรับมากที่สุด (มีผู้ตอบ 20
แห่ง)
1. ปัญหาทางการเมือง ซึ่งรวมถึงความแตกแยกของคนในประเทศ
เสถียรภาพของรัฐบาล และ 60% ของผู้ตอบ
ความเคลื่อนไหวของกลุ่มต่าง ๆ
2. ปัญหามาบตาพุด โดยเห็นว่าปัญหานี้จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของ
นักลงทุน 30% ของผู้ตอบ
3. ปัญหาอัตราเงินเฟ้อที่คาดว่าจะสูงขึ้น, การถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ของประเทศต่าง ๆ,
สถานการณ์เศรษฐกิจทั้งในไทยและต่างประเทศ, การใช้จ่ายและลงทุนภาครัฐ
อย่างละ 10% ของผู้ตอบ
ข้อแนะนำมาตรการใหม่ในปี 2553 ให้รัฐบาลดำเนินการโดยเร็ว เพื่อเป็นประโยชน์ต่อ
ภาวะเศรษฐกิจ สังคม และตลาดทุนไทย
(มีผู้ตอบ 16 แห่ง)
เร่งโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและการใช้จ่ายภาครัฐ รวมถึงเร่งรัด
การเบิกจ่ายและการ 63% ของผู้ตอบ ดำเนินการโครงการไทยเข้มแข็ง
ให้รวดเร็วขึ้น และอย่างโปร่งใส
แก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศ สร้างความสมานฉันท์
ภายในชาติ 56% ของผู้ตอบ
เร่งแก้ปัญหามาบตาพุดให้เร็วขึ้นและมีความชัดเจน โดยวางนโยบายและ
แนวปฏิบัติที่ 44% ของผู้ตอบ เหมาะสมและเป็นธรรม
ตัวเลขคาดการณ์ที่สำคัญ สำหรับปี 2553 และ ปี 2554
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ หรือ SET Index
- ปี 2553
+ ณ สิ้นปี 2553 ปรับเพิ่มขึ้นจากการสำรวจเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โดยตัวเลข
สิ้นปี 2553 คาดการณ์ล่าสุดอยู่ที่เฉลี่ย 827 จุด จากเดิมคาดไว้ 812 จุด
+ จุดสูงสุด ของ SET Index ในปี 2553 นักวิเคราะห์ประเมินไว้ที่เฉลี่ย 861 จุด เพิ่ม
ขึ้นจากประมาณการเดิมที่ 845 จุด
+ จุดต่ำสุด ของ SET Index ในปี 2553 นักวิเคราะห์ประเมินไว้ที่เฉลี่ย 643 จุด เพิ่ม
ขึ้นจากประมาณการเดิมที่ 625 จุด
- ปี 2554
+ ณ สิ้นปี 2554 นักวิเคราะห์ประเมิน SET Index ณ สิ้นปี 2554 ไว้ที่เฉลี่ย 946 จุด
อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ หรือ GDP Growth
- ของปี 2553 นักวิเคราะห์คาดการณ์อัตราการขยายตัวเฉลี่ยที่ 4% ดีขึ้นจากประเมิน
ครั้งที่แล้วที่คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 3.5%
- ของปี 2554 นักวิเคราะห์ประเมินว่าในปี 2553 เศรษฐกิจจะมีอัตราการขยายตัว
เฉลี่ยที่ 4.5%
ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน หรือ EPS Growth ทั้งปี 2553 คาดการณ์
มีการเติบโต เฉลี่ยที่ 13.9%
อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทและดอลลาร์สรอ.
- ณ สิ้นปี 2553 ตัวเลขคาดการณ์เฉลี่ยที่ 32.2 บาทต่อดอลลาร์สรอ.
- ณ สิ้นปี 2554 ตัวเลขคาดการณ์เฉลี่ยที่ 31.4 บาทต่อดอลลาร์สรอ.
อัตราดอกเบี้ย RP 1 วัน ณ สิ้นปี 2553
- อัตราดอกเบี้ย RP 1 วัน นักวิเคราะห์ประเมินอัตราดอกเบี้ย RP 1 วันสิ้นปี
53 เฉลี่ยที่ 1.8%
- ช่วงเวลาที่คาดว่าจะเริ่มสูงขึ้น
+ ครึ่งแรกของปี 2553 56 %
+ ครึ่งหลังของปี 2553 44 %
ดัชนีราคาผู้บริโภค หรือ Consumer Price Index (CPI) เฉลี่ยทั้งปี 2553 คาดว่าจะ
อยู่ที่ 3.3%
อัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ของกลุ่มธุรกิจสำคัญ ในปี 2553
- ปี 2553 กลุ่มธุรกิจที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นสูงที่สุดสามอันดับ
แรก คือ
1. กลุ่มเดินเรือ คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยที่ 63.40 %
2. กลุ่มโรงแรมเติบโตเป็นอันดับสองที่เฉลี่ย 57.86 %
3. กลุ่มปิโตรเคมีคาดเติบโตเฉลี่ย 35.65 %
อัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield) ของกลุ่มธุรกิจสำคัญ ในปี 2553
- ปี 2553 นักวิเคราะห์ประเมินอัตราผลตอบแทนเงินปันผลของกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ
โดยกลุ่มธุรกิจที่คาดว่าจะมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงที่สุดสามอันดับแรก คือ
1. กลุ่มสื่อสาร ประเมินอัตราผลตอบแทนไว้ที่ 6.59 %
2. กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ คาดไว้ที่ 6.30 %
3. กลุ่มอาหาร คาดว่าอยู่ที่ 5.02 %
คำแนะนำแก่นักลงทุน
สำหรับการลงทุนระยะกลาง-ยาว แนะนำให้ลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐาน
แข็งแกร่ง มีเงินปันผลสูง ฐานะการเงินดี ผู้บริหารมีความสามารถและโปร่งใส โดย
พิจารณาข้อมูลพื้นฐานทั้งในระดับมหภาคและจุลภาค ซึ่งรวมถึงการฟื้นตัวของ
เศรษฐกิจทั้งในไทยและต่างประเทศ การปรับตัวสูงขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ และอัตรา
ดอกเบี้ย นอกจากนี้ พิจารณาเลือกลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เหมาะสมกับ
สถานการณ์ปัจจุบัน รวมถึงกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ของรัฐบาล
สำหรับการลงทุนระยะสั้น ควรลงทุนอย่างมีสติและระมัดระวัง ไม่เก็งกำไร
โดยไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ ไม่เชื่อข่าวลือ ไม่ตื่นตระหนก ควรซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว
ในหุ้นพื้นฐานดี และขายในจังหวะที่เหมาะสมเพื่อทำกำไร หรือตัดขาดทุน
หุ้นแนะนำ
หุ้นเด่นที่นักวิเคราะห์แนะนำให้ลงทุนตรงกันหลายสำนักวิจัย ได้แก่
ADVANC, BANPU, BAY, KBANK, KTB, PTTEP, QH เป็นต้น
เรียบเรียง โดย อิทธิพล พันธ์ธรรม
อนุมัติ โดย พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน
อีเมล์แสดงความคิดเห็น [email protected]
ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 24/03/10 เวลา 14:53:06
จับตาการเมือง มาบตาพุด เงินเฟ้อ
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยผล
สำรวจความเห็นนักวิเคราะห์ครั้งล่าสุดว่า นักวิเคราะห์ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ดัชนีหุ้น
ปลายปี 53 เป็นเฉลี่ย 827 จุด จากคาดการณ์เดือนธันวาคม 812 จุด และคาดดัชนี
หุ้นปลายปี 54 อยู่ที่ 946 จุด โดยประเมินดัชนีสูงสุดในปี 53 ไว้ที่ 861 จุด และต่ำสุด
ที่ 643 จุด ซึ่งปัจจัยบวกมาจากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจของ
ประเทศคู่ค้าของไทย และเศรษฐกิจไทย ซึ่งรวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและ
แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน และ
อัตราดอกเบี้ยที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ ทำให้นักวิเคราะห์ปรับเพิ่มประมาณการอัตรา
การเติบโตทางเศรษฐกิจปี 53 เป็น 4.0% เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 3.5% และตัวเลขปี 54
จะเติบโต 4.5%
นอกจากนี้ แนะภาครัฐจับตาปัญหาสำคัญสามเรื่อง ได้แก่ ปัญหาทางการ
เมือง ปัญหามาบตาพุด และปัญหาเงินเฟ้อ พร้อมเร่งดำเนินการสามด้าน คือ เร่งรัด
การเบิกจ่ายและการดำเนินโครงการไทยเข้มแข็ง สร้างความสมานฉันท์ในสังคม รวม
ถึงแก้ปัญหามาบตาพุด
มีสำนักวิจัยจากบริษัทหลักทรัพย์แสดงความเห็นโดยรวม 22 แห่ง
สถานการณ์ทางการเมือง (มีผู้ตอบ 21 แห่ง)
โอกาสที่จะเกิดความรุนแรงทางการเมืองในช่วง 3 เดือนนี้
- มีโอกาส 20% ที่จะเกิดความรุนแรง
67% ของผู้ตอบ
- มีโอกาส 50% ที่จะเกิดความรุนแรง
19% ของผู้ตอบ
- มีโอกาส 10-15%, 30-40%, และ 40% ที่จะเกิดความรุนแรง
อย่างละ 5% ของผู้ตอบ
ความหมายของ ความรุนแรงทางการเมือง ในความเห็นของนักวิเคราะห์ ที่จะส่ง
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้น
- เกิดจลาจลนองเลือด
86% ของผู้ตอบ
- เกิดการชุมนุมนับแสนคนยาวนานกว่า 1 สัปดาห์ และมีการยึดสถานที่
ราชการ 71% ของผู้ตอบ
ถนนสำคัญหลายสาย หรือสาธารณูปโภคของชาติ หรือสนามบิน ท่าเรือขนส่งสินค้า
หรือสถานที่สำคัญอื่น ๆ
- เกิดรัฐประหารขึ้น
67% ของผู้ตอบ
- วางระเบิดสถานที่สำคัญต่อเนื่อง
62% ของผู้ตอบ
- อื่น ๆ เช่น ยุบสภาแล้วมีเหตุการณ์รุนแรงจากการเลือกตั้ง,
19% ของผู้ตอบ
การกระทำที่ไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย เป็นต้น
ผลกระทบของความรุนแรงทางการเมืองที่มีต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้น
GDP Growth คาดว่าจะปรับตัวลดลงไปอยู่ที่เฉลี่ย 3.7%
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ คาดว่าจะลดลงไปอยู่ที่เฉลี่ย 688 จุด หากเกิดเหตุรุนแรง
สมมติฐานหลักที่นักวิเคราะห์ใช้ประกอบการทำบทวิเคราะห์ในขณะนี้จนถึงสิ้นปี
2553
ปัจจัยบวก
1) การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ค้าของไทย
68% ของผู้ตอบ
2) แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของ
รัฐบาล รวมถึง
แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง
50% ของผู้ตอบ
3) แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนปรับตัวดีขึ้น
45% ของผู้ตอบ
4) อัตราดอกเบี้ยที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ และ กระแสเงินไหลเข้าไทย
อย่างละ 27% ของผู้ตอบ
ปัจจัยลบ (มีผู้ตอบ 21 แห่ง)
1) ปัจจัยทางการเมืองภายในประเทศ รวมถึงเสถียรภาพรัฐบาลและปัญหา
ความขัดแย้งต่าง ๆ
73% ของผู้ตอบ
2) สถานการณ์เศรษฐกิจต่างประเทศที่ยังมีความเสี่ยงอยู่ รวมถึงปัญหาหนี้ใน
ยุโรป 43% ของผู้ตอบ
3) ค่าเงินบาทแข็ง ที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการส่งออก
33% ของผู้ตอบ
4) ความเป็นไปได้ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในต่างประเทศ และ
ความล่าช้า
ในการแก้ไขปัญหามาบตาพุด
อย่างละ 27% ของผู้ตอบ
ปัญหาใดในปี 2553 ที่ภาครัฐต้องจับตาและเตรียมการรองรับมากที่สุด (มีผู้ตอบ 20
แห่ง)
1. ปัญหาทางการเมือง ซึ่งรวมถึงความแตกแยกของคนในประเทศ
เสถียรภาพของรัฐบาล และ 60% ของผู้ตอบ
ความเคลื่อนไหวของกลุ่มต่าง ๆ
2. ปัญหามาบตาพุด โดยเห็นว่าปัญหานี้จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของ
นักลงทุน 30% ของผู้ตอบ
3. ปัญหาอัตราเงินเฟ้อที่คาดว่าจะสูงขึ้น, การถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ของประเทศต่าง ๆ,
สถานการณ์เศรษฐกิจทั้งในไทยและต่างประเทศ, การใช้จ่ายและลงทุนภาครัฐ
อย่างละ 10% ของผู้ตอบ
ข้อแนะนำมาตรการใหม่ในปี 2553 ให้รัฐบาลดำเนินการโดยเร็ว เพื่อเป็นประโยชน์ต่อ
ภาวะเศรษฐกิจ สังคม และตลาดทุนไทย
(มีผู้ตอบ 16 แห่ง)
เร่งโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและการใช้จ่ายภาครัฐ รวมถึงเร่งรัด
การเบิกจ่ายและการ 63% ของผู้ตอบ ดำเนินการโครงการไทยเข้มแข็ง
ให้รวดเร็วขึ้น และอย่างโปร่งใส
แก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศ สร้างความสมานฉันท์
ภายในชาติ 56% ของผู้ตอบ
เร่งแก้ปัญหามาบตาพุดให้เร็วขึ้นและมีความชัดเจน โดยวางนโยบายและ
แนวปฏิบัติที่ 44% ของผู้ตอบ เหมาะสมและเป็นธรรม
ตัวเลขคาดการณ์ที่สำคัญ สำหรับปี 2553 และ ปี 2554
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ หรือ SET Index
- ปี 2553
+ ณ สิ้นปี 2553 ปรับเพิ่มขึ้นจากการสำรวจเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โดยตัวเลข
สิ้นปี 2553 คาดการณ์ล่าสุดอยู่ที่เฉลี่ย 827 จุด จากเดิมคาดไว้ 812 จุด
+ จุดสูงสุด ของ SET Index ในปี 2553 นักวิเคราะห์ประเมินไว้ที่เฉลี่ย 861 จุด เพิ่ม
ขึ้นจากประมาณการเดิมที่ 845 จุด
+ จุดต่ำสุด ของ SET Index ในปี 2553 นักวิเคราะห์ประเมินไว้ที่เฉลี่ย 643 จุด เพิ่ม
ขึ้นจากประมาณการเดิมที่ 625 จุด
- ปี 2554
+ ณ สิ้นปี 2554 นักวิเคราะห์ประเมิน SET Index ณ สิ้นปี 2554 ไว้ที่เฉลี่ย 946 จุด
อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ หรือ GDP Growth
- ของปี 2553 นักวิเคราะห์คาดการณ์อัตราการขยายตัวเฉลี่ยที่ 4% ดีขึ้นจากประเมิน
ครั้งที่แล้วที่คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 3.5%
- ของปี 2554 นักวิเคราะห์ประเมินว่าในปี 2553 เศรษฐกิจจะมีอัตราการขยายตัว
เฉลี่ยที่ 4.5%
ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน หรือ EPS Growth ทั้งปี 2553 คาดการณ์
มีการเติบโต เฉลี่ยที่ 13.9%
อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทและดอลลาร์สรอ.
- ณ สิ้นปี 2553 ตัวเลขคาดการณ์เฉลี่ยที่ 32.2 บาทต่อดอลลาร์สรอ.
- ณ สิ้นปี 2554 ตัวเลขคาดการณ์เฉลี่ยที่ 31.4 บาทต่อดอลลาร์สรอ.
อัตราดอกเบี้ย RP 1 วัน ณ สิ้นปี 2553
- อัตราดอกเบี้ย RP 1 วัน นักวิเคราะห์ประเมินอัตราดอกเบี้ย RP 1 วันสิ้นปี
53 เฉลี่ยที่ 1.8%
- ช่วงเวลาที่คาดว่าจะเริ่มสูงขึ้น
+ ครึ่งแรกของปี 2553 56 %
+ ครึ่งหลังของปี 2553 44 %
ดัชนีราคาผู้บริโภค หรือ Consumer Price Index (CPI) เฉลี่ยทั้งปี 2553 คาดว่าจะ
อยู่ที่ 3.3%
อัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ของกลุ่มธุรกิจสำคัญ ในปี 2553
- ปี 2553 กลุ่มธุรกิจที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นสูงที่สุดสามอันดับ
แรก คือ
1. กลุ่มเดินเรือ คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยที่ 63.40 %
2. กลุ่มโรงแรมเติบโตเป็นอันดับสองที่เฉลี่ย 57.86 %
3. กลุ่มปิโตรเคมีคาดเติบโตเฉลี่ย 35.65 %
อัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield) ของกลุ่มธุรกิจสำคัญ ในปี 2553
- ปี 2553 นักวิเคราะห์ประเมินอัตราผลตอบแทนเงินปันผลของกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ
โดยกลุ่มธุรกิจที่คาดว่าจะมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงที่สุดสามอันดับแรก คือ
1. กลุ่มสื่อสาร ประเมินอัตราผลตอบแทนไว้ที่ 6.59 %
2. กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ คาดไว้ที่ 6.30 %
3. กลุ่มอาหาร คาดว่าอยู่ที่ 5.02 %
คำแนะนำแก่นักลงทุน
สำหรับการลงทุนระยะกลาง-ยาว แนะนำให้ลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐาน
แข็งแกร่ง มีเงินปันผลสูง ฐานะการเงินดี ผู้บริหารมีความสามารถและโปร่งใส โดย
พิจารณาข้อมูลพื้นฐานทั้งในระดับมหภาคและจุลภาค ซึ่งรวมถึงการฟื้นตัวของ
เศรษฐกิจทั้งในไทยและต่างประเทศ การปรับตัวสูงขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ และอัตรา
ดอกเบี้ย นอกจากนี้ พิจารณาเลือกลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เหมาะสมกับ
สถานการณ์ปัจจุบัน รวมถึงกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ของรัฐบาล
สำหรับการลงทุนระยะสั้น ควรลงทุนอย่างมีสติและระมัดระวัง ไม่เก็งกำไร
โดยไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ ไม่เชื่อข่าวลือ ไม่ตื่นตระหนก ควรซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว
ในหุ้นพื้นฐานดี และขายในจังหวะที่เหมาะสมเพื่อทำกำไร หรือตัดขาดทุน
หุ้นแนะนำ
หุ้นเด่นที่นักวิเคราะห์แนะนำให้ลงทุนตรงกันหลายสำนักวิจัย ได้แก่
ADVANC, BANPU, BAY, KBANK, KTB, PTTEP, QH เป็นต้น
เรียบเรียง โดย อิทธิพล พันธ์ธรรม
อนุมัติ โดย พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน
อีเมล์แสดงความคิดเห็น [email protected]
ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 24/03/10 เวลา 14:53:06
- vichit
- Verified User
- โพสต์: 15833
- ผู้ติดตาม: 0
ส.นักวิเคราะห์ ปรับเป้าดัชนีฯ ปลายปี 53 อยู่ที่ 827 จุด
โพสต์ที่ 3
ส.นักวิเคราะห์ ปรับเพิ่มกำไรต่อหุ้นปี 53 ของ บจ. เป็นโต 13.9% จากเดิมคาด
13.3%
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยผล
สำรวจความคิดเห็นนักวิเคราะห์ล่าสุดพบว่า ได้ปรับเพิ่ม EPS Growth หรือผลกำไร
ของบริษัทจดทะเบียนในปีนี้เติบโตเฉลี่ย 13.9% จากผลสำรวจเดิม ณ 21 ธันวาคม
2552 ที่ทำไว้ 13.3% ขณะเดียวกันจากผลสำรวจพบว่าดัชนีราคาผู้บริโภคเฉลี่ยในปีนี้
ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.3% จากเดิม 2.8%
ส่วนทิศทางของอัตราดอกเบี้ย R/P 1 วัน นักวิเคราะห์คาดว่าในช่วงครึ่งปี
แรกมีโอกาสที่อัตราดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นสูงกว่าช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งทั้งปีนักวิเคราะห์
ประเมินอัตราดอกเบี้ย R/P 1 วันสิ้นปีเฉลี่ยอยู่ที่ 1.8% เท่า ผลสำรวจเดิม
จากผลวิจัยพบว่าหากสถานการณ์การเมืองมีความรุนแรงก็อาจจะมีผลต่อ
เศรษฐกิจและตลาดหุ้น โดยคาดว่า EPS Growth อาจจะปรับตัวลดลงไปอยู่ที่เฉลี่ย
3.7% และดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ คาดว่าจะลดลงไปอยู่ที่ 688 จุด ซึ่งจากผลสำรวจ
ของนักวิเคราะห์ พบว่าโบรกเกอร์ที่คาดการณ์ดัชนีฯ ไว้สูงสุดของปีนี้คือ
บล.โกลเบล็ก โดยให้ไว้ที่ 930 จุด และโบรกเกอร์ที่ประมาณการณ์ดัชนีฯ ต่ำสุดคือ
บล.นครหลวงไทย ให้ดัชนีฯ ไว้ที่ 540 จุด ส่วนคาดการณ์ดัชนีฯ ทั้งปีบล.กิมเอ็ง
(ประเทศไทย) มองไว้สูงสุดที่ 900 จุด ขณะที่ บล.ไอร่า มองไว้ต่ำสุดที่ 753 จุด
'สำหรับ Fund Flow ของต่างชาติจะกลับเข้ามาอีกเท่าไหร่ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัย
การเมืองภายในประเทศ แต่ก็พบว่าในช่วง 4 สัปดาห์ ต่างชาติก็กลับเข้ามาซื้อคืนเท่า
กับที่ขายไปตั้งแต่ช่วงกลางเดือนตุลาคมปีก่อนจนถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์จนถึง 4 หมื่น
ล้านบาทแล้ว แต่คำถามก็คือจะเป็นเพียงแค่แรงซื้อคืนหรือแรงซื้อที่จะกลับเข้ามาต่อ
เนื่อง' นายสมบัติ กล่าว
รายงาน โดย นันท์นภัส เปี่ยมสมบูรณ์
เรียบเรียง โดย ศุภวรรณ วราภรณ์
อนุมัติ โดย พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน
อีเมล์แสดงความคิดเห็น [email protected]
ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 24/03/10 เวลา 15:02:30
13.3%
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยผล
สำรวจความคิดเห็นนักวิเคราะห์ล่าสุดพบว่า ได้ปรับเพิ่ม EPS Growth หรือผลกำไร
ของบริษัทจดทะเบียนในปีนี้เติบโตเฉลี่ย 13.9% จากผลสำรวจเดิม ณ 21 ธันวาคม
2552 ที่ทำไว้ 13.3% ขณะเดียวกันจากผลสำรวจพบว่าดัชนีราคาผู้บริโภคเฉลี่ยในปีนี้
ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.3% จากเดิม 2.8%
ส่วนทิศทางของอัตราดอกเบี้ย R/P 1 วัน นักวิเคราะห์คาดว่าในช่วงครึ่งปี
แรกมีโอกาสที่อัตราดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นสูงกว่าช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งทั้งปีนักวิเคราะห์
ประเมินอัตราดอกเบี้ย R/P 1 วันสิ้นปีเฉลี่ยอยู่ที่ 1.8% เท่า ผลสำรวจเดิม
จากผลวิจัยพบว่าหากสถานการณ์การเมืองมีความรุนแรงก็อาจจะมีผลต่อ
เศรษฐกิจและตลาดหุ้น โดยคาดว่า EPS Growth อาจจะปรับตัวลดลงไปอยู่ที่เฉลี่ย
3.7% และดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ คาดว่าจะลดลงไปอยู่ที่ 688 จุด ซึ่งจากผลสำรวจ
ของนักวิเคราะห์ พบว่าโบรกเกอร์ที่คาดการณ์ดัชนีฯ ไว้สูงสุดของปีนี้คือ
บล.โกลเบล็ก โดยให้ไว้ที่ 930 จุด และโบรกเกอร์ที่ประมาณการณ์ดัชนีฯ ต่ำสุดคือ
บล.นครหลวงไทย ให้ดัชนีฯ ไว้ที่ 540 จุด ส่วนคาดการณ์ดัชนีฯ ทั้งปีบล.กิมเอ็ง
(ประเทศไทย) มองไว้สูงสุดที่ 900 จุด ขณะที่ บล.ไอร่า มองไว้ต่ำสุดที่ 753 จุด
'สำหรับ Fund Flow ของต่างชาติจะกลับเข้ามาอีกเท่าไหร่ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัย
การเมืองภายในประเทศ แต่ก็พบว่าในช่วง 4 สัปดาห์ ต่างชาติก็กลับเข้ามาซื้อคืนเท่า
กับที่ขายไปตั้งแต่ช่วงกลางเดือนตุลาคมปีก่อนจนถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์จนถึง 4 หมื่น
ล้านบาทแล้ว แต่คำถามก็คือจะเป็นเพียงแค่แรงซื้อคืนหรือแรงซื้อที่จะกลับเข้ามาต่อ
เนื่อง' นายสมบัติ กล่าว
รายงาน โดย นันท์นภัส เปี่ยมสมบูรณ์
เรียบเรียง โดย ศุภวรรณ วราภรณ์
อนุมัติ โดย พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน
อีเมล์แสดงความคิดเห็น [email protected]
ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 24/03/10 เวลา 15:02:30
- vichit
- Verified User
- โพสต์: 15833
- ผู้ติดตาม: 0
ส.นักวิเคราะห์ ปรับเป้าดัชนีฯ ปลายปี 53 อยู่ที่ 827 จุด
โพสต์ที่ 4
หุ้นปี 53 ฟ้าเปิด
ส.นักวิเคราะห์ปรับเป้าตะลุยถึง 861 จุด
นักลงทุนโปรดทราบ!! สมาคมนักวิเคราะห์สำรวจ 22 โบรกเกอร์ชั้นนำ พบกูรูพร้อมใจปรับเพิ่มเป้า SET Index ปี 53 แตะ 827 จุด จากเดิมคาด 827 จุด หวังเห็นดัชนีฯ ทะยานถึงจุดสูงสุดของปีที่ระดับ 861 จุด หลังกำไรบริษัทจดทะเบียนพุ่ง จีดีพีฟื้น แถมเงินนอกไหลเข้าต่อเนื่อง สำรวจรอบเดือน มี.ค. ต่างชาติซื้อสุทธิรวมถึง 3.7 หมื่นล้านบาท ค่ายทรีนีตี้ ชี้ SET Index ช่วง 12 - 23 มี.ค.ที่ผ่านมา พุ่งสูงแซงหน้าดาวโจนส์ ฟากค่ายกสิกรไทย เล็งปรับเป้าดัชนีฯ เพิ่มเกิน 900 จุด ขณะที่ค่ายฟินันเซีย ไซรัส ฟันธงครึ่งปีหลังเป็นตลาดหุ้นกระทิงแน่
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ยังคงขยับขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยวานนี้ (24 มีนาคม 2553) ดัชนีฯ เคลื่อนไหวแดนบวกตลอดการซื้อขาย ปิดการซื้อขายดัชนีฯ อยู่ที่ 786.54 จุด เพิ่มขึ้น 4.06 จุด หรือ 0.52% มูลค่าการซื้อขาย 36,924.10 ล้านบาท ทั้งนี้ เม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติยังไหลเข้ามาต่อเนื่อง โดยวานนี้นักลงทุนต่างซื้อสุทธิอีก 2603.57 ล้านบาท คิดเป็นการซื้อต่อเนื่องในรอบเดือนมีนาคมนี้ถึง 37,315.42 ล้านบาท
โดยดัชนีฯ รอบเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ถือว่าปรับขึ้นอย่างโดดเด่น โดยนับจากวันที่ 2 มีนาคม 2553 ดัชนีฯ ปิดที่ 733.19 จุด จากนั้นขยับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จนถึงปิดการซื้อขายวันที่ 24 มีนาคม 2553 ดัชนีฯ อยู่ที่ 786.54 จุด คิดเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 53.35 จุด หรือ 7.27 %
จากดัชนีฯ ที่ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้โบรกเกอร์หลายค่ายมีมุมมองเชิงบวกต่อดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย ล่าสุด สมาคมนักวิเคราะห์ สำรวจความเห็นบริษัทหลักทรัพย์สมาชิก 22 แห่ง มีการปรับเป้าหมายดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยเพิ่มขึ้น โดยนักวิเคราะห์ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ปลายปี 2553 เป็นเฉลี่ย 827 จุด จากคาดการณ์เดือนธันวาคม2552 ที่ระดับ 812 จุด ขณะเดียวกันคาดดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ปลายปี 2554 อยู่ที่ 946 จุด
ทั้งนี้ ประเมินดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยสูงสุดในปี 2553 อยู่ที่ระดับ 861 จุด และต่ำสุดอยู่ที่ระดับ 643 จุด ซึ่งปัจจัยบวกมาจากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าของไทย และเศรษฐกิจไทย ซึ่งรวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน และอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ สะท้อนให้นักวิเคราะห์ปรับเพิ่มประมาณการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปี 2553 เป็น 4% เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 3.5% และตัวเลขปี 2554 จะเติบโต 4.5%
นอกจากนี้ แนะนำภาครัฐจับตาปัญหาสำคัญสามเรื่อง ได้แก่ ปัญหาทางการเมือง ปัญหามาบตาพุด และปัญหาเงินเฟ้อ พร้อมเร่งดำเนินการสามด้าน คือ เร่งรัดการเบิกจ่ายและการดำเนินโครงการไทยเข้มแข็ง สร้างความสมานฉันท์ในสังคม รวมถึงแก้ปัญหามาบตาพุด
****ส.นักวิเคราะห์ ชี้หุ้นเดินเรือ - โรงแรม - ปิโตรเคมี มีกำไรต่อหุ้นสูงสุดในปี 53 แนะหุ้นเด่น ADVANC, BANPU, BAY, KBANK, KTB, PTTEP และ QH
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ แถลงผลสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์ครั้งล่าสุด พบว่า ปี 2553 กลุ่มธุรกิจที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นสูงที่สุดสามอันดับแรก คือ 1.กลุ่มเดินเรือ คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยที่ 63.40 %, 2.กลุ่มโรงแรม เติบโตเป็นอันดับสองที่เฉลี่ย 57.86 % และ 3. กลุ่มปิโตรเคมี คาดเติบโตเฉลี่ย 35.65 %
โดยอัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield) ของกลุ่มธุรกิจสำคัญ ในปี 2553 ที่คาดว่าจะมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงที่สุดสามอันดับแรก คือ 1. กลุ่มสื่อสาร ประเมินอัตราผลตอบแทนไว้ที่ 6.59 %, 2. กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ คาดไว้ที่ 6.30 % และ 3. กลุ่มอาหาร คาดว่าอยู่ที่ 5.02 %
กลยุทธ์การลงทุน แนะนำนักลงทุนระยะกลางและระยะยาว ให้ลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง มีเงินปันผลสูง ฐานะการเงินดี ผู้บริหารมีความสามารถและโปร่งใส โดยพิจารณาข้อมูลพื้นฐานทั้งในระดับมหภาคและจุลภาค ซึ่งรวมถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั้งในไทยและต่างประเทศ การปรับตัวสูงขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ พิจารณาเลือกลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน รวมถึงกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
สำหรับการลงทุนระยะสั้น ควรลงทุนอย่างมีสติและระมัดระวัง ไม่เก็งกำไรโดยไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ ไม่เชื่อข่าวลือ ไม่ตื่นตระหนก ควรซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวในหุ้นพื้นฐานดี และขายในจังหวะที่เหมาะสมเพื่อทำกำไร หรือตัดขาดทุน
หุ้นที่แนะนำให้ลงทุนในหลายบริษัทหลักทรัพย์ ได้แก่ ADVANC, BANPU, BAY, KBANK, KTB, PTTEP และ QH เป็นต้น
****บล.ทรีนีตี้ ชี้ SET Index ต้นปีถึงปัจจุบันทะยานเป็นอันดับ 2 รองจากอินโดนีเซีย ระบุ 12 - 23 มี.ค.พุ่งสูงที่สุดในโลกแซงดาวโจนส์
นางวชิราลักษณ์ แสงเลิศศิลปชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า จากการสำรวจความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยระหว่างวันที่ 12 -23 มีนาคมที่ผ่านมา พบว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยปรับเพิ่มขึ้นเป็นอันดับ 1 ของโลก ขณะที่ดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และดัชนี S&P ปรับเพิ่มขึ้นเป็นอันดับรองลงมา
ทั้งนี้ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET) ปรับเพิ่มขึ้นถึง 6.70% ขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ปรับเพิ่มขึ้น 3.23%, SET100 ปรับเพิ่มขึ้น 7.16% และ SET50 ปรับเพิ่มขึ้น 7.06% ฟากดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้น 2.49% และดัชนี S&P ปรับเพิ่มขึ้น 2.10%
โดยหากเปรียบเทียบการปรับเพิ่มขึ้นของดัชนีฯ ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ดัชนีตลาดหลักทรัพยไทยปรับเพิ่มขึ้น 6.53% เป็นอันดับ 2 รองจากประเทศอินโดนีเซีย ที่ดัชนีฯ ปรับเพิ่มขึ้น 7.36% โดย SET50 ปรับเพิ่มขึ้น 6.48% , SET100 ปรับเพิ่มขึ้น 6.40% แต่ดัชนีตลาด เอ็ม เอ ไอ ปรับลดลง 0.91% ซึ่งดัชนี Nasdaq ปรับเพิ่มขึ้น 6.44%, ดัชนี S&P ปรับเพิ่มขึ้น 5.30% และดัชนีดาวโจนส์ปรับเพิ่มขึ้น 4.42%
อย่างไรก็ตาม มองว่าเม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติยังคงไหลเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ไทย ซึ่งมีทั้งเม็ดเงินที่เข้ามาลงทุนระยะยาว และเข้ามาเก็งกำไร ซึ่งปัจจุบันยังเห็นสัญญาณการไหลเข้ามาต่อเนื่องดังกล่าว
****บล.ฟิลลิป ส่งซิกมีโอกาสเห็น SET Index ทะลุเป้าที่ 810 จุด หลังเม็ดเงินนอกทะลักเข้าต่อเนื่อง
นายสุชาย สุทัศน์ธรรมกุล กรรมการผู้จัดการ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า คาดการณ์ประมาณการจุดสูงสุดของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยปี 2553 อยู่ที่ 810 จุด และจุดต่ำสุดอยู่ที่ 700 จุด โดยในเชิงโครงสร้างพื้นฐานตลาดหลักทรัพย์ไทย ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง แม้ว่าในช่วงนี้ดัชนีฯ จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเกิดจากการที่ตลาดหุ้นไทยมีขนาดที่ค่อนข้างเล็ก ดังนั้นเม็ดเงินลงทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามาจึงดันดัชนีฯ ให้ขยับขึ้น และมีผลต่อบรรยากาศการลงทุน
อย่างไรก็ดี นักลงทุนต่างชาติอาจมีมุมมองที่ดีต่อประเทศไทย โดยยอมรับว่าการไหลเข้าของเม็ดเงินจำนวนมากอาจส่งผลให้ดัชนีฯ ปรับเพิ่มขึ้น ทะลุกรอบ 810 จุดที่คาดการณ์ไว้ได้
"ปัจจัยในเชิงพื้นฐานของตลาดหุ้นไทย ประกอบด้วย พื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจเป็นแรงดึดดูดสำคัญต่อนักลงทุนต่างชาติ แต่ขณะเดียวกันยังมีปัจจัยทางการเมืองต่างๆ ซึ่งประเมินว่าอาจไม่ได้หาข้อสรุปโดยง่าย แม้ในอนาคตอาจมีการยุบสภาฯ หรือไม่ก็ตาม ก็ไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่าจะไม่มีผู้ที่ไม่เห็นด้วยอีก ดังนั้นในส่วนของประมาณการดัชนีฯ จึงไม่ได้สูงนักและยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง" นายสุชาย กล่าว
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย มองว่าจะดีขึ้นกว่าปีก่อน ตามแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในกลุ่มพลังงานและธนาคาร ซึ่งจะมีความต้องการใช้พลังงานที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งรวมถึงปริมาณความต้องการสินเชื่อน่าจะขยับตัวเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน
กลยุทธ์การลงทุนในช่วงภาวะการไหลเข้าของเงินลงทุนต่างชาติ นักลงทุนสามารถเก็งกำไรระยะสั้นได้ ส่วนนักลงทุนที่ต้องการซื้อตามพื้นฐานของหุ้น รวมทั้งนักลงทุนระยะยาว แนะนำหาจังหวะในการซื้อเพื่อถือ โดยประเมินปัจจัยพื้นฐานของหุ้นอย่างรอบคอบ เนื่องจากเม็ดเงินต่างชาติที่ไหลเข้ามาทำให้ภาพตลาดฯ บางส่วนเปลี่ยนแปลงไป
****บล.กสิกรไทย เล็งปรับเป้าดัชนีฯ เพิ่มเกิน 900 จุด จากเดิมประเมินไว้ 840 จุด หลัง กำไร บจ.สวย - ปันผลงาม
นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล. กสิกรไทย กล่าวว่า ปัจจุบันอยู่ระหว่างปรับเป้าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยปีนี้เพิ่มขึ้น โดยเบื้องต้นคาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นเกิน 900 จุด จากเดิมวางเป้าดัชนีฯ ไว้ที่ 840 จุด ทั้งนี้สาเหตุที่ปรับเป้าหมายขึ้นเป็นผลจากการรายงานตัวเลขผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในงวดไตรมาส 4/2552 ออกมาเติบโตดี และอัตราการจ่ายปันผลก็ค่อนข้างดี เชื่อว่าน่าจะสะท้อนภาพต่อเนื่องมายังปีนี้
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยฯ เตรียมที่จะปรับกำไรของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยมองว่าดัชนีฯ มีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนถึงปลายเดือนพ.ค. นี้ เพราะเชื่อว่าในช่วงปลายไตรมาส 2/2553 หรือช่วงต้นไตรมาส 3/2553 ดัชนีฯ มีโอกาสที่จะเผชิญแรงขายทำกำไร
กลยุทธ์การลงทุน แนะนำเก็งกำไรรายตัว
****บล.ฟินันเซีย ไซรัส มองเป้าดัชนีฯ ปีนี้ที่ 860 จุด เชื่อครึ่งปีหลังตลาดหุ้นกระทิง หลังได้แรงหนุน ผลงาน บจ.แจ่ม - จีดีพีฟื้น - เงินนอกไหลเข้า
นางสาวจิตรา อมรธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวในงานสัมมนา "ยุทธการ ลงจากหลังกระทิง" ในช่วงก่อนหน้านี้ว่าประเมินเป้าหมายดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยปีนี้ที่ 860 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 14% เทียบจากสิ้นปีก่อนที่ดัชนีฯ อยู่ที่ 734 จุด โดยในช่วงครึ่งปีแรกดัชนีฯ จะผันผวนตามเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศ (Fund Flow) และในช่วงครึ่งปีหลัง ตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นช่วงขาขึ้น หรือ กระทิง (bullish) ตามปัจจัยบวกต่างๆ ทั้งจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่เริ่มฟื้นตัวขึ้น หลังภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัว และจีดีพีที่มีทิศทางที่ดีขึ้น อีกทั้งเป็นไปตามพื้นฐานบริษัทจดทะเบียน และ Fund Flow
นอกจากนี้ คาดการณ์กำไรปกติในปีนี้ (ไม่รวมรายการพิเศษ) ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จะเติบโต 14% จากปีก่อน โดยกลุ่มแรกที่เติบโต คือกลุ่มที่ดิน เนื่องจากปีก่อนมีฐานที่ต่ำ และกลุ่มเคมี รวมถึงเดินเรือ นอกจากนี้ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ น่าสนใจเช่นกัน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลประกอบการของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมที่เติบโตขึ้น ทำให้คาดว่ากำไรของกลุ่มธนาคารปีนี้ น่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 15% ซึ่งการเติบโตที่ระดับดังกล่าวไม่เห็นตั้งแต่ปี 2547 โดยแนะนำ ธนาคารฯขนาดใหญ่ คือ KBANK SCB และ BAY
****บลจ.บัวหลวง มองหุ้นไทยยังน่าสน เหตุ P/E ต่ำ - ต่างชาติเข้าลงทุน พร้อมประเมิน EPS บจ. ปีนี้โต 10-15%
นางวรวรรณ ธาราภูมิ กรรมการผู้จัดการ บลจ.บัวหลวง กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยปีนี้ มีโอกาสขยับขึ้นจากเม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติที่ยังไหลเข้า โดยได้รับปัจจัยหนุนจากค่า P/E ที่ค่อนข้างต่ำอยู่ที่ 11 เท่า ซึ่งต่ำกว่าตลาดหลักทรัพย์ภูมิภาคที่อยู่ระดับ 13 เท่า ทำให้นักลงทุนต่างชาติมองว่าตลาดหลักทรัพย์ไทยค่อนข้างถูก
นอกจากนี้ ยังคาดการณ์ว่ากำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทจดทะเบียนในปีนี้มีโอกาสเติบโต 10 -15% ส่วนปัญหาการเมืองภายในประเทศ เชื่อว่ารัฐบาลจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ไม่น่าจะมีเหตุการณ์รุนแรง และน่าจะเรียกความมั่นใจของนักลงทุนกลับสู่ตลาดหุ้นไทยได้ แต่อย่างไรก็ดี หากดัชนีฯ ปรับขึ้นแรง นักลงทุนควรจะต้องระมัดระวังแรงขายทำกำไรด้วย
****บลจ.ไอเอ็นจี เผยมีโอกาสเงินนอกไหลเข้าอีก 5 หมื่น - 1 แสนล้านเหรียญ ดัน SET Index ระยะ 3 เดือนจากนี้วิ่งกรอบ 700 - 850 จุด
นายธนศักดิ์ วัฒนานิกร ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่าย นักวิเคราะห์ทางเทคนิค บลจ. ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) กล่าวประเมินว่า สัญญาณทางเทคนิคของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในระยะกลางและระยะยาวยังคงอยู่ในช่วงขาขึ้น ซึ่งตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 5% หรือประมาณ 50 จุด จากที่ประมาณปีก่อนดัชนีฯ อยู่ที่ประมาณ 600 จุด ทั้งนี้เมื่อพิจารณาสัญญาณเทคนิคจะพบว่าในระยะเวลา 3 เดือนต่อจากนี้กรอบของดัชนีฯ จะอยู่ที่ 700-850 จุด
ขณะที่ในช่วงระยะกลางถึงระยะยาวประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี กรอบของดัชนีฯ จะอยู่ที่ 650-920 จุด โดยบริเวณ 650 จุดดังกล่าวจะเป็นแนวรับที่แข็งแกร่ง เนื่องจากประเมินว่าการปรับขึ้นของดัชนีฯ เมื่อถึงจุดหนึ่งก็จะเกิดการพักตัวเพื่อปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อไป ซึ่งแนวต้านบริเวณ 920 จุดดังกล่าวจะทำให้ค่า P/E ratio อยู่ที่ประมาณ 13 เท่า โดยมองว่ามีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นไปถึงระดับดังกล่าวได้จากปริมาณเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติที่เมื่อพิจารณาจากกราฟปริมาณเท่าเดิมของเม็ดเงินต่างชาติจะพบว่า ยังสามารถมีเม็ดเงินไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยได้อีกกว่า 50,000-100,000 ล้านเหรียญ
"ปัจจัยที่อาจส่งผลให้ดัชนีฯ มีการปรับตัวลดลงอย่างแรงประมาณ 20% หรือคิดเป็น 150 จุด เพื่อลงมาสู่บริเวณแนวรับที่คาดการณ์ไว้นั้น จะเกิดจากปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรปซึ่งเป็นปัจจัยที่นักลงทุนส่วนใหญ่มีความกังวล แต่อย่างไรก็ตาม ทางไอเอ็นจีสำนักงานใหญ่ได้ประเมินว่า ปัญหาดังกล่าวน่าจะสามารถบริหารจัดการได้ นอกจากนี้ยังต้องติดตามการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของประเทศจีนเพิ่มเติมอีกส่วนหนึ่ง" นายธนศักดิ์ กล่าว
****บลจ.วรรณ คาดดัชนีฯ ใกล้แตะ 800 จุด แต่หวั่นเจอแรงขายทำกำไรระยะสั้น
นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.วรรณ กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยปี 2553 มีโอกาสแตะ 800 จุดในเร็วๆ นี้ เนื่องจากสภาพการเมืองไทยไม่มีเหตุการณ์รุนแรง และบริษัทจดทะเบียนบางแห่งให้อัตราเงินปันผลตอบแทนดี โดยหากดัชนีฯ ปรับเพิ่มขึ้นเหนือระดับดังกล่าวได้ มีโอกาสขึ้นไปถึงแนวต้านถัดไปที่ 820 จุด
อย่างไรก็ตาม หากดัชนีฯ อยู่ที่ระดับแนวต้านแรกที่ 800 จุด ถือเป็นแนวต้านแข็งแกร่ง ทาง บลจ.วรรณ อาจเตรียมพิจารณาปรับพอร์ตลงทุนในหุ้นลดลง และหันมาถือเงินสดเพิ่ม เพราะกลัวว่าจะดัชนีฯ จะปรับตัวลดลงแรงในระยะสั้น แต่หากดัชนีฯ ยืนเหนือระดับดังกล่าวได้ มีโอกาสที่ดัชนีฯ ปรับเพิ่มขึ้นต่อ ซึ่งอาจจะได้ปัจจัยสนับสนุนจากเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ เพราะอาจมีมุมมอง P/E ของตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้น
****บลจ.ไทยพาณิชย์ มองปีนี้ดัชนีฯ แกว่งในกรอบ 680-800 จุด เชื่อ นลท.ต่างชาติสลับขายทำกำไร
นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บลจ.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า แนวโน้มดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในปีนี้ประเมินว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 680-800 จุด โดยในช่วงปลายปีนี้มีโอกาสที่จะเห็นดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นไปที่ระดับ 800 จุด พร้อมทั้งประเมินว่าอัตราการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนในปีนี้จะไม่เกินที่ระดับ 15%
อย่างไรก็ดีหากประเมินถึงกระแสเงินลงทุนจากต่างชาติประเมินว่ายังมีโอกาสที่จะไหลเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง แต่ขณะเดียวกันเชื่อว่านักลงทุนต่างชาติจะมีการสลับขายออกมาหากได้กำไร และจะมีการกลับเข้ามาลงทุนใหม่
http://www.efinancethai.com/index.aspx
ส.นักวิเคราะห์ปรับเป้าตะลุยถึง 861 จุด
นักลงทุนโปรดทราบ!! สมาคมนักวิเคราะห์สำรวจ 22 โบรกเกอร์ชั้นนำ พบกูรูพร้อมใจปรับเพิ่มเป้า SET Index ปี 53 แตะ 827 จุด จากเดิมคาด 827 จุด หวังเห็นดัชนีฯ ทะยานถึงจุดสูงสุดของปีที่ระดับ 861 จุด หลังกำไรบริษัทจดทะเบียนพุ่ง จีดีพีฟื้น แถมเงินนอกไหลเข้าต่อเนื่อง สำรวจรอบเดือน มี.ค. ต่างชาติซื้อสุทธิรวมถึง 3.7 หมื่นล้านบาท ค่ายทรีนีตี้ ชี้ SET Index ช่วง 12 - 23 มี.ค.ที่ผ่านมา พุ่งสูงแซงหน้าดาวโจนส์ ฟากค่ายกสิกรไทย เล็งปรับเป้าดัชนีฯ เพิ่มเกิน 900 จุด ขณะที่ค่ายฟินันเซีย ไซรัส ฟันธงครึ่งปีหลังเป็นตลาดหุ้นกระทิงแน่
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ยังคงขยับขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยวานนี้ (24 มีนาคม 2553) ดัชนีฯ เคลื่อนไหวแดนบวกตลอดการซื้อขาย ปิดการซื้อขายดัชนีฯ อยู่ที่ 786.54 จุด เพิ่มขึ้น 4.06 จุด หรือ 0.52% มูลค่าการซื้อขาย 36,924.10 ล้านบาท ทั้งนี้ เม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติยังไหลเข้ามาต่อเนื่อง โดยวานนี้นักลงทุนต่างซื้อสุทธิอีก 2603.57 ล้านบาท คิดเป็นการซื้อต่อเนื่องในรอบเดือนมีนาคมนี้ถึง 37,315.42 ล้านบาท
โดยดัชนีฯ รอบเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ถือว่าปรับขึ้นอย่างโดดเด่น โดยนับจากวันที่ 2 มีนาคม 2553 ดัชนีฯ ปิดที่ 733.19 จุด จากนั้นขยับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จนถึงปิดการซื้อขายวันที่ 24 มีนาคม 2553 ดัชนีฯ อยู่ที่ 786.54 จุด คิดเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 53.35 จุด หรือ 7.27 %
จากดัชนีฯ ที่ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้โบรกเกอร์หลายค่ายมีมุมมองเชิงบวกต่อดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย ล่าสุด สมาคมนักวิเคราะห์ สำรวจความเห็นบริษัทหลักทรัพย์สมาชิก 22 แห่ง มีการปรับเป้าหมายดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยเพิ่มขึ้น โดยนักวิเคราะห์ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ปลายปี 2553 เป็นเฉลี่ย 827 จุด จากคาดการณ์เดือนธันวาคม2552 ที่ระดับ 812 จุด ขณะเดียวกันคาดดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ปลายปี 2554 อยู่ที่ 946 จุด
ทั้งนี้ ประเมินดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยสูงสุดในปี 2553 อยู่ที่ระดับ 861 จุด และต่ำสุดอยู่ที่ระดับ 643 จุด ซึ่งปัจจัยบวกมาจากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าของไทย และเศรษฐกิจไทย ซึ่งรวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน และอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ สะท้อนให้นักวิเคราะห์ปรับเพิ่มประมาณการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปี 2553 เป็น 4% เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 3.5% และตัวเลขปี 2554 จะเติบโต 4.5%
นอกจากนี้ แนะนำภาครัฐจับตาปัญหาสำคัญสามเรื่อง ได้แก่ ปัญหาทางการเมือง ปัญหามาบตาพุด และปัญหาเงินเฟ้อ พร้อมเร่งดำเนินการสามด้าน คือ เร่งรัดการเบิกจ่ายและการดำเนินโครงการไทยเข้มแข็ง สร้างความสมานฉันท์ในสังคม รวมถึงแก้ปัญหามาบตาพุด
****ส.นักวิเคราะห์ ชี้หุ้นเดินเรือ - โรงแรม - ปิโตรเคมี มีกำไรต่อหุ้นสูงสุดในปี 53 แนะหุ้นเด่น ADVANC, BANPU, BAY, KBANK, KTB, PTTEP และ QH
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ แถลงผลสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์ครั้งล่าสุด พบว่า ปี 2553 กลุ่มธุรกิจที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นสูงที่สุดสามอันดับแรก คือ 1.กลุ่มเดินเรือ คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยที่ 63.40 %, 2.กลุ่มโรงแรม เติบโตเป็นอันดับสองที่เฉลี่ย 57.86 % และ 3. กลุ่มปิโตรเคมี คาดเติบโตเฉลี่ย 35.65 %
โดยอัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield) ของกลุ่มธุรกิจสำคัญ ในปี 2553 ที่คาดว่าจะมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงที่สุดสามอันดับแรก คือ 1. กลุ่มสื่อสาร ประเมินอัตราผลตอบแทนไว้ที่ 6.59 %, 2. กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ คาดไว้ที่ 6.30 % และ 3. กลุ่มอาหาร คาดว่าอยู่ที่ 5.02 %
กลยุทธ์การลงทุน แนะนำนักลงทุนระยะกลางและระยะยาว ให้ลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง มีเงินปันผลสูง ฐานะการเงินดี ผู้บริหารมีความสามารถและโปร่งใส โดยพิจารณาข้อมูลพื้นฐานทั้งในระดับมหภาคและจุลภาค ซึ่งรวมถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั้งในไทยและต่างประเทศ การปรับตัวสูงขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ พิจารณาเลือกลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน รวมถึงกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
สำหรับการลงทุนระยะสั้น ควรลงทุนอย่างมีสติและระมัดระวัง ไม่เก็งกำไรโดยไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ ไม่เชื่อข่าวลือ ไม่ตื่นตระหนก ควรซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวในหุ้นพื้นฐานดี และขายในจังหวะที่เหมาะสมเพื่อทำกำไร หรือตัดขาดทุน
หุ้นที่แนะนำให้ลงทุนในหลายบริษัทหลักทรัพย์ ได้แก่ ADVANC, BANPU, BAY, KBANK, KTB, PTTEP และ QH เป็นต้น
****บล.ทรีนีตี้ ชี้ SET Index ต้นปีถึงปัจจุบันทะยานเป็นอันดับ 2 รองจากอินโดนีเซีย ระบุ 12 - 23 มี.ค.พุ่งสูงที่สุดในโลกแซงดาวโจนส์
นางวชิราลักษณ์ แสงเลิศศิลปชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า จากการสำรวจความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยระหว่างวันที่ 12 -23 มีนาคมที่ผ่านมา พบว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยปรับเพิ่มขึ้นเป็นอันดับ 1 ของโลก ขณะที่ดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และดัชนี S&P ปรับเพิ่มขึ้นเป็นอันดับรองลงมา
ทั้งนี้ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET) ปรับเพิ่มขึ้นถึง 6.70% ขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ปรับเพิ่มขึ้น 3.23%, SET100 ปรับเพิ่มขึ้น 7.16% และ SET50 ปรับเพิ่มขึ้น 7.06% ฟากดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้น 2.49% และดัชนี S&P ปรับเพิ่มขึ้น 2.10%
โดยหากเปรียบเทียบการปรับเพิ่มขึ้นของดัชนีฯ ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ดัชนีตลาดหลักทรัพยไทยปรับเพิ่มขึ้น 6.53% เป็นอันดับ 2 รองจากประเทศอินโดนีเซีย ที่ดัชนีฯ ปรับเพิ่มขึ้น 7.36% โดย SET50 ปรับเพิ่มขึ้น 6.48% , SET100 ปรับเพิ่มขึ้น 6.40% แต่ดัชนีตลาด เอ็ม เอ ไอ ปรับลดลง 0.91% ซึ่งดัชนี Nasdaq ปรับเพิ่มขึ้น 6.44%, ดัชนี S&P ปรับเพิ่มขึ้น 5.30% และดัชนีดาวโจนส์ปรับเพิ่มขึ้น 4.42%
อย่างไรก็ตาม มองว่าเม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติยังคงไหลเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ไทย ซึ่งมีทั้งเม็ดเงินที่เข้ามาลงทุนระยะยาว และเข้ามาเก็งกำไร ซึ่งปัจจุบันยังเห็นสัญญาณการไหลเข้ามาต่อเนื่องดังกล่าว
****บล.ฟิลลิป ส่งซิกมีโอกาสเห็น SET Index ทะลุเป้าที่ 810 จุด หลังเม็ดเงินนอกทะลักเข้าต่อเนื่อง
นายสุชาย สุทัศน์ธรรมกุล กรรมการผู้จัดการ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า คาดการณ์ประมาณการจุดสูงสุดของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยปี 2553 อยู่ที่ 810 จุด และจุดต่ำสุดอยู่ที่ 700 จุด โดยในเชิงโครงสร้างพื้นฐานตลาดหลักทรัพย์ไทย ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง แม้ว่าในช่วงนี้ดัชนีฯ จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเกิดจากการที่ตลาดหุ้นไทยมีขนาดที่ค่อนข้างเล็ก ดังนั้นเม็ดเงินลงทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามาจึงดันดัชนีฯ ให้ขยับขึ้น และมีผลต่อบรรยากาศการลงทุน
อย่างไรก็ดี นักลงทุนต่างชาติอาจมีมุมมองที่ดีต่อประเทศไทย โดยยอมรับว่าการไหลเข้าของเม็ดเงินจำนวนมากอาจส่งผลให้ดัชนีฯ ปรับเพิ่มขึ้น ทะลุกรอบ 810 จุดที่คาดการณ์ไว้ได้
"ปัจจัยในเชิงพื้นฐานของตลาดหุ้นไทย ประกอบด้วย พื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจเป็นแรงดึดดูดสำคัญต่อนักลงทุนต่างชาติ แต่ขณะเดียวกันยังมีปัจจัยทางการเมืองต่างๆ ซึ่งประเมินว่าอาจไม่ได้หาข้อสรุปโดยง่าย แม้ในอนาคตอาจมีการยุบสภาฯ หรือไม่ก็ตาม ก็ไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่าจะไม่มีผู้ที่ไม่เห็นด้วยอีก ดังนั้นในส่วนของประมาณการดัชนีฯ จึงไม่ได้สูงนักและยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง" นายสุชาย กล่าว
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย มองว่าจะดีขึ้นกว่าปีก่อน ตามแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในกลุ่มพลังงานและธนาคาร ซึ่งจะมีความต้องการใช้พลังงานที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งรวมถึงปริมาณความต้องการสินเชื่อน่าจะขยับตัวเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน
กลยุทธ์การลงทุนในช่วงภาวะการไหลเข้าของเงินลงทุนต่างชาติ นักลงทุนสามารถเก็งกำไรระยะสั้นได้ ส่วนนักลงทุนที่ต้องการซื้อตามพื้นฐานของหุ้น รวมทั้งนักลงทุนระยะยาว แนะนำหาจังหวะในการซื้อเพื่อถือ โดยประเมินปัจจัยพื้นฐานของหุ้นอย่างรอบคอบ เนื่องจากเม็ดเงินต่างชาติที่ไหลเข้ามาทำให้ภาพตลาดฯ บางส่วนเปลี่ยนแปลงไป
****บล.กสิกรไทย เล็งปรับเป้าดัชนีฯ เพิ่มเกิน 900 จุด จากเดิมประเมินไว้ 840 จุด หลัง กำไร บจ.สวย - ปันผลงาม
นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล. กสิกรไทย กล่าวว่า ปัจจุบันอยู่ระหว่างปรับเป้าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยปีนี้เพิ่มขึ้น โดยเบื้องต้นคาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นเกิน 900 จุด จากเดิมวางเป้าดัชนีฯ ไว้ที่ 840 จุด ทั้งนี้สาเหตุที่ปรับเป้าหมายขึ้นเป็นผลจากการรายงานตัวเลขผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในงวดไตรมาส 4/2552 ออกมาเติบโตดี และอัตราการจ่ายปันผลก็ค่อนข้างดี เชื่อว่าน่าจะสะท้อนภาพต่อเนื่องมายังปีนี้
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยฯ เตรียมที่จะปรับกำไรของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยมองว่าดัชนีฯ มีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนถึงปลายเดือนพ.ค. นี้ เพราะเชื่อว่าในช่วงปลายไตรมาส 2/2553 หรือช่วงต้นไตรมาส 3/2553 ดัชนีฯ มีโอกาสที่จะเผชิญแรงขายทำกำไร
กลยุทธ์การลงทุน แนะนำเก็งกำไรรายตัว
****บล.ฟินันเซีย ไซรัส มองเป้าดัชนีฯ ปีนี้ที่ 860 จุด เชื่อครึ่งปีหลังตลาดหุ้นกระทิง หลังได้แรงหนุน ผลงาน บจ.แจ่ม - จีดีพีฟื้น - เงินนอกไหลเข้า
นางสาวจิตรา อมรธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวในงานสัมมนา "ยุทธการ ลงจากหลังกระทิง" ในช่วงก่อนหน้านี้ว่าประเมินเป้าหมายดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยปีนี้ที่ 860 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 14% เทียบจากสิ้นปีก่อนที่ดัชนีฯ อยู่ที่ 734 จุด โดยในช่วงครึ่งปีแรกดัชนีฯ จะผันผวนตามเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศ (Fund Flow) และในช่วงครึ่งปีหลัง ตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นช่วงขาขึ้น หรือ กระทิง (bullish) ตามปัจจัยบวกต่างๆ ทั้งจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่เริ่มฟื้นตัวขึ้น หลังภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัว และจีดีพีที่มีทิศทางที่ดีขึ้น อีกทั้งเป็นไปตามพื้นฐานบริษัทจดทะเบียน และ Fund Flow
นอกจากนี้ คาดการณ์กำไรปกติในปีนี้ (ไม่รวมรายการพิเศษ) ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จะเติบโต 14% จากปีก่อน โดยกลุ่มแรกที่เติบโต คือกลุ่มที่ดิน เนื่องจากปีก่อนมีฐานที่ต่ำ และกลุ่มเคมี รวมถึงเดินเรือ นอกจากนี้ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ น่าสนใจเช่นกัน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลประกอบการของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมที่เติบโตขึ้น ทำให้คาดว่ากำไรของกลุ่มธนาคารปีนี้ น่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 15% ซึ่งการเติบโตที่ระดับดังกล่าวไม่เห็นตั้งแต่ปี 2547 โดยแนะนำ ธนาคารฯขนาดใหญ่ คือ KBANK SCB และ BAY
****บลจ.บัวหลวง มองหุ้นไทยยังน่าสน เหตุ P/E ต่ำ - ต่างชาติเข้าลงทุน พร้อมประเมิน EPS บจ. ปีนี้โต 10-15%
นางวรวรรณ ธาราภูมิ กรรมการผู้จัดการ บลจ.บัวหลวง กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยปีนี้ มีโอกาสขยับขึ้นจากเม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติที่ยังไหลเข้า โดยได้รับปัจจัยหนุนจากค่า P/E ที่ค่อนข้างต่ำอยู่ที่ 11 เท่า ซึ่งต่ำกว่าตลาดหลักทรัพย์ภูมิภาคที่อยู่ระดับ 13 เท่า ทำให้นักลงทุนต่างชาติมองว่าตลาดหลักทรัพย์ไทยค่อนข้างถูก
นอกจากนี้ ยังคาดการณ์ว่ากำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทจดทะเบียนในปีนี้มีโอกาสเติบโต 10 -15% ส่วนปัญหาการเมืองภายในประเทศ เชื่อว่ารัฐบาลจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ไม่น่าจะมีเหตุการณ์รุนแรง และน่าจะเรียกความมั่นใจของนักลงทุนกลับสู่ตลาดหุ้นไทยได้ แต่อย่างไรก็ดี หากดัชนีฯ ปรับขึ้นแรง นักลงทุนควรจะต้องระมัดระวังแรงขายทำกำไรด้วย
****บลจ.ไอเอ็นจี เผยมีโอกาสเงินนอกไหลเข้าอีก 5 หมื่น - 1 แสนล้านเหรียญ ดัน SET Index ระยะ 3 เดือนจากนี้วิ่งกรอบ 700 - 850 จุด
นายธนศักดิ์ วัฒนานิกร ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่าย นักวิเคราะห์ทางเทคนิค บลจ. ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) กล่าวประเมินว่า สัญญาณทางเทคนิคของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในระยะกลางและระยะยาวยังคงอยู่ในช่วงขาขึ้น ซึ่งตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 5% หรือประมาณ 50 จุด จากที่ประมาณปีก่อนดัชนีฯ อยู่ที่ประมาณ 600 จุด ทั้งนี้เมื่อพิจารณาสัญญาณเทคนิคจะพบว่าในระยะเวลา 3 เดือนต่อจากนี้กรอบของดัชนีฯ จะอยู่ที่ 700-850 จุด
ขณะที่ในช่วงระยะกลางถึงระยะยาวประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี กรอบของดัชนีฯ จะอยู่ที่ 650-920 จุด โดยบริเวณ 650 จุดดังกล่าวจะเป็นแนวรับที่แข็งแกร่ง เนื่องจากประเมินว่าการปรับขึ้นของดัชนีฯ เมื่อถึงจุดหนึ่งก็จะเกิดการพักตัวเพื่อปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อไป ซึ่งแนวต้านบริเวณ 920 จุดดังกล่าวจะทำให้ค่า P/E ratio อยู่ที่ประมาณ 13 เท่า โดยมองว่ามีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นไปถึงระดับดังกล่าวได้จากปริมาณเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติที่เมื่อพิจารณาจากกราฟปริมาณเท่าเดิมของเม็ดเงินต่างชาติจะพบว่า ยังสามารถมีเม็ดเงินไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยได้อีกกว่า 50,000-100,000 ล้านเหรียญ
"ปัจจัยที่อาจส่งผลให้ดัชนีฯ มีการปรับตัวลดลงอย่างแรงประมาณ 20% หรือคิดเป็น 150 จุด เพื่อลงมาสู่บริเวณแนวรับที่คาดการณ์ไว้นั้น จะเกิดจากปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรปซึ่งเป็นปัจจัยที่นักลงทุนส่วนใหญ่มีความกังวล แต่อย่างไรก็ตาม ทางไอเอ็นจีสำนักงานใหญ่ได้ประเมินว่า ปัญหาดังกล่าวน่าจะสามารถบริหารจัดการได้ นอกจากนี้ยังต้องติดตามการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของประเทศจีนเพิ่มเติมอีกส่วนหนึ่ง" นายธนศักดิ์ กล่าว
****บลจ.วรรณ คาดดัชนีฯ ใกล้แตะ 800 จุด แต่หวั่นเจอแรงขายทำกำไรระยะสั้น
นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.วรรณ กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยปี 2553 มีโอกาสแตะ 800 จุดในเร็วๆ นี้ เนื่องจากสภาพการเมืองไทยไม่มีเหตุการณ์รุนแรง และบริษัทจดทะเบียนบางแห่งให้อัตราเงินปันผลตอบแทนดี โดยหากดัชนีฯ ปรับเพิ่มขึ้นเหนือระดับดังกล่าวได้ มีโอกาสขึ้นไปถึงแนวต้านถัดไปที่ 820 จุด
อย่างไรก็ตาม หากดัชนีฯ อยู่ที่ระดับแนวต้านแรกที่ 800 จุด ถือเป็นแนวต้านแข็งแกร่ง ทาง บลจ.วรรณ อาจเตรียมพิจารณาปรับพอร์ตลงทุนในหุ้นลดลง และหันมาถือเงินสดเพิ่ม เพราะกลัวว่าจะดัชนีฯ จะปรับตัวลดลงแรงในระยะสั้น แต่หากดัชนีฯ ยืนเหนือระดับดังกล่าวได้ มีโอกาสที่ดัชนีฯ ปรับเพิ่มขึ้นต่อ ซึ่งอาจจะได้ปัจจัยสนับสนุนจากเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ เพราะอาจมีมุมมอง P/E ของตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้น
****บลจ.ไทยพาณิชย์ มองปีนี้ดัชนีฯ แกว่งในกรอบ 680-800 จุด เชื่อ นลท.ต่างชาติสลับขายทำกำไร
นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บลจ.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า แนวโน้มดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในปีนี้ประเมินว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 680-800 จุด โดยในช่วงปลายปีนี้มีโอกาสที่จะเห็นดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นไปที่ระดับ 800 จุด พร้อมทั้งประเมินว่าอัตราการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนในปีนี้จะไม่เกินที่ระดับ 15%
อย่างไรก็ดีหากประเมินถึงกระแสเงินลงทุนจากต่างชาติประเมินว่ายังมีโอกาสที่จะไหลเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง แต่ขณะเดียวกันเชื่อว่านักลงทุนต่างชาติจะมีการสลับขายออกมาหากได้กำไร และจะมีการกลับเข้ามาลงทุนใหม่
http://www.efinancethai.com/index.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 430
- ผู้ติดตาม: 0
ส.นักวิเคราะห์ ปรับเป้าดัชนีฯ ปลายปี 53 อยู่ที่ 827 จุด
โพสต์ที่ 5
ขอบคุณครับ
จำได้ตอนต้นกุมภาพันธ์ นักวิเคราะห์ฟันธงให้ขายถือเงินสด สารพัดข่าวร้าย ฮ่า ๆ
ทั้งเทคนิค ทั้งพื้นฐาน (มาบตาพุต)แย่ไปหมด set จะลงตำกว่า 650 620 580
ผ่านมาเดือนกว่าพอฝรั่งซื้อ ตอนนี้ฟันธงกันใหม่ 800 ++ ทั้งน้าน ฮ่า ๆ ๆ
วิเคราะห์ตามหลังฝรั่งเปล่าเนี่ย (ลืมที่ตัวเองวิเคราะห์หมดแล้ว)
อืมม์...ฝรั่งมันอาจบทวิเคราะห์ไทยไม่ออก มันเลยซื้อ ๆ ๆ
จำได้ตอนต้นกุมภาพันธ์ นักวิเคราะห์ฟันธงให้ขายถือเงินสด สารพัดข่าวร้าย ฮ่า ๆ
ทั้งเทคนิค ทั้งพื้นฐาน (มาบตาพุต)แย่ไปหมด set จะลงตำกว่า 650 620 580
ผ่านมาเดือนกว่าพอฝรั่งซื้อ ตอนนี้ฟันธงกันใหม่ 800 ++ ทั้งน้าน ฮ่า ๆ ๆ
วิเคราะห์ตามหลังฝรั่งเปล่าเนี่ย (ลืมที่ตัวเองวิเคราะห์หมดแล้ว)
อืมม์...ฝรั่งมันอาจบทวิเคราะห์ไทยไม่ออก มันเลยซื้อ ๆ ๆ
- ขงเบ้ง
- Verified User
- โพสต์: 399
- ผู้ติดตาม: 0
ส.นักวิเคราะห์ ปรับเป้าดัชนีฯ ปลายปี 53 อยู่ที่ 827 จุด
โพสต์ที่ 7
พวกนักวิเคราะนี่มั่วจริงๆ
อิ อิ ผมพูดเล่นนะครับ ผมก็มั่วเหมือนกัน
ตอนนี้ผมว่าไม่ควรซื้อแล้วครับ (ถ้าซื้อแล้วนะครับ :lol: :lol: :lol: )
ถ้าจะซื้อควรซื้อตั้งแต่กลางเดือนกุมภาแล้วครับ(เป็นอย่างช้า)
ตอนนั้นผมเชียรให้ซื้อ แต่ไม่ค่อยมีคนซื้อแฮะ
สงสัยพวกนักวิเคราะไม่เชียร
อย่าเชื่อผมนะครับ ผมมั่วเอาสุดสุดเลยครับ :lol: :lol: :lol:
(เดี๋ยวซวยหาว่าตกรถไฟอีก :lol: :lol: )
อิ อิ ผมพูดเล่นนะครับ ผมก็มั่วเหมือนกัน
ตอนนี้ผมว่าไม่ควรซื้อแล้วครับ (ถ้าซื้อแล้วนะครับ :lol: :lol: :lol: )
ถ้าจะซื้อควรซื้อตั้งแต่กลางเดือนกุมภาแล้วครับ(เป็นอย่างช้า)
ตอนนั้นผมเชียรให้ซื้อ แต่ไม่ค่อยมีคนซื้อแฮะ
สงสัยพวกนักวิเคราะไม่เชียร
อย่าเชื่อผมนะครับ ผมมั่วเอาสุดสุดเลยครับ :lol: :lol: :lol:
(เดี๋ยวซวยหาว่าตกรถไฟอีก :lol: :lol: )
ไม่มีกลยุทธ์ใดตายตัวขึ้นอยู่กับสภาวะการณ์
เวลารุกคิดให้นานแต่เวลาถอยต้องเร็วไร้เงา
อิสรภาพทางการเงินเป็นแค่การเริ่มต้น
ปลายทาง คือ ความหลุดพ้น
ชีวิต คือ ความว่างเปล่า
ไม่มีใครหนีพ้นความตาย
แม้เป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1ของโลก
เวลารุกคิดให้นานแต่เวลาถอยต้องเร็วไร้เงา
อิสรภาพทางการเงินเป็นแค่การเริ่มต้น
ปลายทาง คือ ความหลุดพ้น
ชีวิต คือ ความว่างเปล่า
ไม่มีใครหนีพ้นความตาย
แม้เป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1ของโลก
- hagrid
- Verified User
- โพสต์: 566
- ผู้ติดตาม: 0
ส.นักวิเคราะห์ ปรับเป้าดัชนีฯ ปลายปี 53 อยู่ที่ 827 จุด
โพสต์ที่ 8
คำพยากรณ์ว่าดัชนีตลาดจะเป็นเท่าไร เป็นสิ่งเดียวที่
ผมไม่เคยให้ความสนใจเลยครับ
เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่จะผิด
ยิ่งนักวิเคราะห์พยากรณ์ไปในทิศทางเดียวกันทั้งหมด
ตอนนั้นตลาดมักจะกลับไปในทิศตรงข้ามเสมอ
ผมไม่เคยให้ความสนใจเลยครับ
เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่จะผิด
ยิ่งนักวิเคราะห์พยากรณ์ไปในทิศทางเดียวกันทั้งหมด
ตอนนั้นตลาดมักจะกลับไปในทิศตรงข้ามเสมอ
-
- Verified User
- โพสต์: 807
- ผู้ติดตาม: 0
ส.นักวิเคราะห์ ปรับเป้าดัชนีฯ ปลายปี 53 อยู่ที่ 827 จุด
โพสต์ที่ 10
หุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่ามีอยู่เสมอนะ ตลาดกระทิงก็หายากหน่อย แค่นั้นเอง ทางที่ดีถ้าเจอหุ้นที่ mos สูงพอ จะหมีหรือกระทิงก็จัดไปเหอะ
อย่ายอมแพ้
- ขงเบ้ง
- Verified User
- โพสต์: 399
- ผู้ติดตาม: 0
ส.นักวิเคราะห์ ปรับเป้าดัชนีฯ ปลายปี 53 อยู่ที่ 827 จุด
โพสต์ที่ 11
พวกนักวิเคราะนี่มั่วจริงๆ
อิ อิ ผมพูดเล่นนะครับ ผมก็มั่วเหมือนกัน
เดาถูกหลายรอบแฮะ อิ่มครับ shortหุ้นทันเวลา :lol: :lol: :lol: อิอิเริ่มซื้อคืนบ้างแล้วครับ :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
อิ อิ ผมพูดเล่นนะครับ ผมก็มั่วเหมือนกัน
เดาถูกหลายรอบแฮะ อิ่มครับ shortหุ้นทันเวลา :lol: :lol: :lol: อิอิเริ่มซื้อคืนบ้างแล้วครับ :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
ไม่มีกลยุทธ์ใดตายตัวขึ้นอยู่กับสภาวะการณ์
เวลารุกคิดให้นานแต่เวลาถอยต้องเร็วไร้เงา
อิสรภาพทางการเงินเป็นแค่การเริ่มต้น
ปลายทาง คือ ความหลุดพ้น
ชีวิต คือ ความว่างเปล่า
ไม่มีใครหนีพ้นความตาย
แม้เป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1ของโลก
เวลารุกคิดให้นานแต่เวลาถอยต้องเร็วไร้เงา
อิสรภาพทางการเงินเป็นแค่การเริ่มต้น
ปลายทาง คือ ความหลุดพ้น
ชีวิต คือ ความว่างเปล่า
ไม่มีใครหนีพ้นความตาย
แม้เป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1ของโลก