มุมมองลงทุนสไตล์ Sai
- sai
- Verified User
- โพสต์: 4090
- ผู้ติดตาม: 0
มุมมองลงทุนสไตล์ Sai
โพสต์ที่ 242
ที่พยายามอยู่คือวันละ 3 ฉบับครับ ถึงบ้างไม่ถึงบ้างครับแต่ถ้าไม่ถึงก็มาอ่านย้อนหลังวันที่มีเวลาครับwinzer เขียน:อยากทราบว่าพี่อ่านหนังสือพิมพ์ธุรกิจ วันละกี่เล่มหรอครับ และพี่ใช้เวลาเท่าไหร่ในการศึกษาเพิ่มเติมในแต่ละวันครับ ขอบคุณครับ
Small Details Make a Big Difference
-
- Verified User
- โพสต์: 525
- ผู้ติดตาม: 1
มุมมองลงทุนสไตล์ Sai
โพสต์ที่ 243
พี่ Sai ครับ
ผมขอรบกวนถามความเห็นเกี่ยวกับหุ้นหน่อยครับ
KTC - ผมสังเกตว่าหุ้นตกลงมาเยอะ และรายได้เป็นลบ แต่น่าแปลกที่ เพื่อนผมหลายๆคนก็ยังใช้ KTC เพราะว่าไม่มีเก็บค่ารายปีให้ปวดหัว
ผมเลยสงสัยว่า เพราะอะไรทั้งๆที่คนใช้เยอะ
TVO - ทั้งๆ ที่จะมีการเพิ่ม line ผลิตอีก 6000 กลางปี แต่ทำไมราคาหุ้นกลับหยุดนิ่งเลยครับ มันมีปัจจัยแค่ผลประกอบการ Q4 ลดลง เพราัะราคากากถั่วเหลืองมันถูกลงอย่าางเดียวรึเปล่าครับ
Pranda - ราคาของ Pranda ตอนนี้อยู่ในระดับที่ถูกกว่าค่า peak ที่มันเคยถึง 9 บาทในปี 2008 อันนี้ เป็นเพราะว่าเค้าบริหารงานได้กำไรน้อยลง หรือว่ามีคู่แข่งมากขึ้นหรือเปล่าครับ แล้วการที่ Jubile เข้ามาในตลาด จะทำให้เกิดคู่แข่งขึ้นมาจนทำใ้ห้ Pranda ถูกเบียดไม๊ครับ เพราะดู Jubile นี่ขึ้นเอาๆตั้งแต่ IPO แต่ Pranda เองกลับคงที่ ทั้งๆ ที่หุ้นโดยรวมในตลาดวิ่งขึ้นอยู่
ไำม่ทราบว่า พี่ซาอิ มีมุมมองว่ายังไงบ้างครับ
ผมขอรบกวนถามความเห็นเกี่ยวกับหุ้นหน่อยครับ
KTC - ผมสังเกตว่าหุ้นตกลงมาเยอะ และรายได้เป็นลบ แต่น่าแปลกที่ เพื่อนผมหลายๆคนก็ยังใช้ KTC เพราะว่าไม่มีเก็บค่ารายปีให้ปวดหัว
ผมเลยสงสัยว่า เพราะอะไรทั้งๆที่คนใช้เยอะ
TVO - ทั้งๆ ที่จะมีการเพิ่ม line ผลิตอีก 6000 กลางปี แต่ทำไมราคาหุ้นกลับหยุดนิ่งเลยครับ มันมีปัจจัยแค่ผลประกอบการ Q4 ลดลง เพราัะราคากากถั่วเหลืองมันถูกลงอย่าางเดียวรึเปล่าครับ
Pranda - ราคาของ Pranda ตอนนี้อยู่ในระดับที่ถูกกว่าค่า peak ที่มันเคยถึง 9 บาทในปี 2008 อันนี้ เป็นเพราะว่าเค้าบริหารงานได้กำไรน้อยลง หรือว่ามีคู่แข่งมากขึ้นหรือเปล่าครับ แล้วการที่ Jubile เข้ามาในตลาด จะทำให้เกิดคู่แข่งขึ้นมาจนทำใ้ห้ Pranda ถูกเบียดไม๊ครับ เพราะดู Jubile นี่ขึ้นเอาๆตั้งแต่ IPO แต่ Pranda เองกลับคงที่ ทั้งๆ ที่หุ้นโดยรวมในตลาดวิ่งขึ้นอยู่
ไำม่ทราบว่า พี่ซาอิ มีมุมมองว่ายังไงบ้างครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 395
- ผู้ติดตาม: 0
มุมมองลงทุนสไตล์ Sai
โพสต์ที่ 244
ขอช่วยตอบ มีคนบอกว่ารายได้ของKTCไม่ได้มาจากการใช้ครับ แต่มาจากการดอกเบี้ยในการผ่อน เพราะฉะนั้นถึงมีผู้ใช้เยอะแต่ไม่ผ่อน(คือใช้แล้วจ่ายครบทุกเดือน)ก็ไม่มีประโยชน์ครับsoraroz เขียน:พี่ Sai ครับ
KTC - ผมสังเกตว่าหุ้นตกลงมาเยอะ และรายได้เป็นลบ แต่น่าแปลกที่ เพื่อนผมหลายๆคนก็ยังใช้ KTC เพราะว่าไม่มีเก็บค่ารายปีให้ปวดหัว
-
- Verified User
- โพสต์: 1155
- ผู้ติดตาม: 0
มุมมองลงทุนสไตล์ Sai
โพสต์ที่ 246
คุณ sai ครับ ขอถามความเห็นของหุ้น
TCCC และ STA
ดีไม่ดีอย่างไร
ตัวไหนดีหรือแย่กว่ากัน อย่างไร
ของคุณมากครับคุณ sai
TCCC และ STA
ดีไม่ดีอย่างไร
ตัวไหนดีหรือแย่กว่ากัน อย่างไร
ของคุณมากครับคุณ sai
Blueplanet
- sai
- Verified User
- โพสต์: 4090
- ผู้ติดตาม: 0
มุมมองลงทุนสไตล์ Sai
โพสต์ที่ 247
[quote="soraroz"]พี่ Sai ครับ
ผมขอรบกวนถามความเห็นเกี่ยวกับหุ้นหน่อยครับ
KTC - ผมสังเกตว่าหุ้นตกลงมาเยอะ และรายได้เป็นลบ แต่น่าแปลกที่ เพื่อนผมหลายๆคนก็ยังใช้ KTC เพราะว่าไม่มีเก็บค่ารายปีให้ปวดหัว
ผมเลยสงสัยว่า เพราะอะไรทั้งๆที่คนใช้เยอะ
ถ้าดูคร่าวคร่าวจากงบการเงินนะครับ รายได้ไม่ลด แถมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ปัญหาคือ อัตรากำไรสุทธิลดลงเรื่อยเรื่อย แสดงว่าต้องมีการแข่งขันกันอย่างสูงมากทำให้ต้นทุนต่างต่างเยอะกว่ารายได้ ราคาหุ้นเทรดกันค่อนข้างต่ำคือ 0.4 เท่าของบุ๊ค แต่หากปีนี้เทรนด์ดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น เข้าใจว่าจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนเพิ่มด้วย ดูไม่ออกเลยครับว่ากำไรในอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่ผมก็ใช้ ktc เหมือนกันครับ
TVO - ทั้งๆ ที่จะมีการเพิ่ม line ผลิตอีก 6000 กลางปี แต่ทำไมราคาหุ้นกลับหยุดนิ่งเลยครับ
ผมขอรบกวนถามความเห็นเกี่ยวกับหุ้นหน่อยครับ
KTC - ผมสังเกตว่าหุ้นตกลงมาเยอะ และรายได้เป็นลบ แต่น่าแปลกที่ เพื่อนผมหลายๆคนก็ยังใช้ KTC เพราะว่าไม่มีเก็บค่ารายปีให้ปวดหัว
ผมเลยสงสัยว่า เพราะอะไรทั้งๆที่คนใช้เยอะ
ถ้าดูคร่าวคร่าวจากงบการเงินนะครับ รายได้ไม่ลด แถมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ปัญหาคือ อัตรากำไรสุทธิลดลงเรื่อยเรื่อย แสดงว่าต้องมีการแข่งขันกันอย่างสูงมากทำให้ต้นทุนต่างต่างเยอะกว่ารายได้ ราคาหุ้นเทรดกันค่อนข้างต่ำคือ 0.4 เท่าของบุ๊ค แต่หากปีนี้เทรนด์ดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น เข้าใจว่าจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนเพิ่มด้วย ดูไม่ออกเลยครับว่ากำไรในอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่ผมก็ใช้ ktc เหมือนกันครับ
TVO - ทั้งๆ ที่จะมีการเพิ่ม line ผลิตอีก 6000 กลางปี แต่ทำไมราคาหุ้นกลับหยุดนิ่งเลยครับ
Small Details Make a Big Difference
- yoyo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4833
- ผู้ติดตาม: 1
มุมมองลงทุนสไตล์ Sai
โพสต์ที่ 248
ทุกวันนี้ผมพยายามอ่านให้ครบ 1 ฉบับ ยังทำไม่ค่อยได้เลยsai เขียน:ที่พยายามอยู่คือวันละ 3 ฉบับครับ ถึงบ้างไม่ถึงบ้างครับแต่ถ้าไม่ถึงก็มาอ่านย้อนหลังวันที่มีเวลาครับ
การลงทุนที่มีค่าที่สุด คือการลงทุนในความรู้
http://www.yoyoway.com
http://www.yoyoway.com
-
- Verified User
- โพสต์: 525
- ผู้ติดตาม: 1
มุมมองลงทุนสไตล์ Sai
โพสต์ที่ 249
[quote="sai"][quote="soraroz"]พี่ Sai ครับ
ผมขอรบกวนถามความเห็นเกี่ยวกับหุ้นหน่อยครับ
KTC - ผมสังเกตว่าหุ้นตกลงมาเยอะ และรายได้เป็นลบ แต่น่าแปลกที่ เพื่อนผมหลายๆคนก็ยังใช้ KTC เพราะว่าไม่มีเก็บค่ารายปีให้ปวดหัว
ผมเลยสงสัยว่า เพราะอะไรทั้งๆที่คนใช้เยอะ
ถ้าดูคร่าวคร่าวจากงบการเงินนะครับ รายได้ไม่ลด แถมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ปัญหาคือ อัตรากำไรสุทธิลดลงเรื่อยเรื่อย แสดงว่าต้องมีการแข่งขันกันอย่างสูงมากทำให้ต้นทุนต่างต่างเยอะกว่ารายได้
ผมขอรบกวนถามความเห็นเกี่ยวกับหุ้นหน่อยครับ
KTC - ผมสังเกตว่าหุ้นตกลงมาเยอะ และรายได้เป็นลบ แต่น่าแปลกที่ เพื่อนผมหลายๆคนก็ยังใช้ KTC เพราะว่าไม่มีเก็บค่ารายปีให้ปวดหัว
ผมเลยสงสัยว่า เพราะอะไรทั้งๆที่คนใช้เยอะ
ถ้าดูคร่าวคร่าวจากงบการเงินนะครับ รายได้ไม่ลด แถมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ปัญหาคือ อัตรากำไรสุทธิลดลงเรื่อยเรื่อย แสดงว่าต้องมีการแข่งขันกันอย่างสูงมากทำให้ต้นทุนต่างต่างเยอะกว่ารายได้
- sai
- Verified User
- โพสต์: 4090
- ผู้ติดตาม: 0
มุมมองลงทุนสไตล์ Sai
โพสต์ที่ 250
ประมาณว่าให้ความสำคัญกับตัวผลประกอบการณ์ที่จะมาถึงเป็นหลักน่ะครับ หากเราดูแล้วไม่ได้มีปัจจัยอะไรที่จะมากระทบผลประกอบการณ์ ในท้ายที่สุดราคาหุ้นก็จะวิ่งตามมาเองครับ (ปกติพวกเรารวมผมด้วย หลายครั้งจะให้ความสำคัญกับราคาหุ้นค่อนข้างมาก มักจะหาสาเหตุของการขึ้นลงของราคา น่ะครับ) เหมือนบัฟเฟตเคยเปรียบเทียบการลงทุนกับการดูฟุตบอลว่า หากเราจะรู้ว่าทีมของเราเล่นดีหรือไม่ เราต้องดูที่สนาม ไม่ได้ดูที่ป้ายบอกคะแนน ครับsoraroz เขียน: ผมสงสัยอย่างนึงที่พี่บอกว่า
>> ขอให้เรามั่นใจในการคาดการณ์กำไรที่จะมาถึง
อัีนนี้หมายถึงยังไงเหรอครับพี่
Small Details Make a Big Difference
-
- Verified User
- โพสต์: 1301
- ผู้ติดตาม: 0
มุมมองลงทุนสไตล์ Sai
โพสต์ที่ 252
ชีวิตคุณ sai น่านับถือมาก
- sai
- Verified User
- โพสต์: 4090
- ผู้ติดตาม: 0
มุมมองลงทุนสไตล์ Sai
โพสต์ที่ 253
ไม่เคยดูละเอียดทั้งสองตัวเลยครับ สองตัวเท่าที่ดูคนละแนวกันเลยนะครับ อย่าง tccc ก็น่าจะเป็นแนวหุ้นปันผลblueplanet เขียน:คุณ sai ครับ ขอถามความเห็นของหุ้น
TCCC และ STA
ดีไม่ดีอย่างไร
ตัวไหนดีหรือแย่กว่ากัน อย่างไร
ของคุณมากครับคุณ sai
คงลงทุนไปได้เรื่อยเรื่อย เพื่อรับเงินปันผล แต่ปีนี้น้ำแล้งไม่แน่ใจจะกระทบมากหรือน้อยนะครับ ตัว sta ก็เป็นแนว คอมโม (เคยได้ยินหลายคนเล่าว่า ค่อนข้างเดางบยากมากครับ ) แนวคอมโมผมว่าการ follow trend น่าจะง่ายกว่าการคาดเดางบหรือดูอัตราส่วนทางการเงินนะครับ ถ้ามีให้เลือกแค่สองตัว เป็นผมคงเลือก tccc เนื่องจากดูจะเข้าใจกว่าครับ (แต่ sta แรงมากเลยครับ จะลงทุนคงต้องติดตามใกล้ชิดนะครับ แต่กราฟสวยดีครับ )
Small Details Make a Big Difference
- Little Boy
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1318
- ผู้ติดตาม: 0
มุมมองลงทุนสไตล์ Sai
โพสต์ที่ 254
พี่ sai ครับ รบกวนถามความเห็นเกี่ยวกับหุ้น ssi หน่อยครับว่าพี่มีความคิดเห็นอย่างไรครับ ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับความเห็นครับ
ความรู้..อาจมีขอบเขตจำกัด แต่จินตนาการ..ไร้ขีดจำกัด
- sai
- Verified User
- โพสต์: 4090
- ผู้ติดตาม: 0
มุมมองลงทุนสไตล์ Sai
โพสต์ที่ 257
รู้น้อยอีกแล้วครับกลุ่มนี้ ตอบเท่าที่รู้นะครับ เท่าที่มีข้อมูลบริษัท ssi เป็นผู้ผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน รายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ช่วงนี้มีหลายหลายปัจจัยที่เป็นบวกต่อผลประกอบการณ์ของ ssi ดังต่อไปนี้ครับLittle Boy เขียน:พี่ sai ครับ รบกวนถามความเห็นเกี่ยวกับหุ้น ssi หน่อยครับว่าพี่มีความคิดเห็นอย่างไรครับ ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับความเห็นครับ
1. คู่แข่งรายสำคัญมีปัญหาทางการเงินอย่างหนัก เท่าที่ตามข่าวยังไม่สามารถกลับมาผลิตได้เหมือนช่วงเดิมครับ
2. ภาวะเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวส่งผลให้มีการใช้สินค้าของ ssi เพิ่มขึ้นมาก เท่าที่ผ่านมาใน q1 เท่าที่ตามจากข่าวน่าจะขายดีเป็นประวัติการณ์เลยครับ คาดว่าน่าจะสูงถึง 675000 ตันครับ (ถ้าได้ตามนี้จะโต 42% qoq 93% yoy ครับ ) โดยผู้บริหารตั้งเป้าทั้งปีที่ 2.7 ล้านตันครับ หารจากปริมาณขายq1 ที่คาดการณ์ ก็หาร 4 ลงตัวพอดี
3.ราคาเหล็กรีดร้อนปรับขึ้นเป็นเกือบ 650 เหรียญต่อตัน โดยบริษัทมีสต๊อคสินค้าคงเหลือเยอะมาก มีประมาณ 800000 ตัน (ต้นทุนประมาณ 435-465 เหรียญ )
4. ค่าเงินบาทยังคงเป็นทิศทางแข็งค่าขึ้นเรื่อยเรื่อย ตรงนี้จะเป็นประโยชน์ทำให้ ผู้บริหารเคยเล่าว่าหากเงินบาทแข็งค่าขึ้นหนึ่งบาทจะทำให้ประหยัดต้นทุนการสั่งซื้อ slap ราว 700-800 ล้านบาทต่อปี
ดูแล้วเหมือนทุกอย่างจะเป็นใจให้กับ ssi จริงจริงครับ หากเราสนใจลงทุนในหุ้นตัวนี้ คงต้องติดตามปัจจัยบวกทางด้านต้นว่ามีทิศทางเป็นอย่างไรบ้าง หากเปลี่ยนแปลงก็ต้องประเมิณดูครับว่า ว่าจะกระทบต่อปริมาณขาย และ มาร์จิ้นอย่างไรบ้างครับ สิ่งที่ต้องระมัดระวังก็คือตอนนี้ p/bv ของ ssi อยู่ในระดับค่อนข้างสูงครับคืออยู่ที่ 1.29 เท่า (สูงสุดในรอบ 5 ปีเช่นกันครับ ) หนี้สินต่อทุนที่ระดับค่อนข้างสูง ดูรวมรวมหุ้นลักษณะนี้คงไม่เหมาะลงทุนระยะยาวนัก น่าจะเป็นแนวเก็งกำไรผลประกอบการณ์รายไตรมาสครับ หากชอบกลุ่มนี้จริงจริง จากข้อมูลที่มีอยู่ เชื่อว่าโดยรวมก็พอเก็งกำไรได้ครับ แต่ต้องรู้นะครับว่าเก็งกำไรอยู่ และ อย่าลืมตั้งจุดตัดขาดทุนหากไม่เป็นอย่างที่คิดด้วยนะครับ สรุปสำหรับ ssi ที่ราคาปัจจุบันคงเหมาะสำหรับคนโสด และกล้าได้กล้าเสีย high risk high return ครับ (เข้าใจว่าคุณ little boy จะแต่งสิ้นปี ตอนนี้ยังพอเก็งกำไรได้อยู่ครับ อิอิ )
Small Details Make a Big Difference
-
- Verified User
- โพสต์: 525
- ผู้ติดตาม: 1
มุมมองลงทุนสไตล์ Sai
โพสต์ที่ 258
พี่ซาอิครับ อยากรบกวนถามเกี่ยวกับหุ้นประกันชีวิตอย่าง BLA หน่อยครับว่า มีความเสี่ยงอะไรที่เราควรระวังบ้างครับ
แล้วอย่างบริษัทส่งออกอาหารอย่างเดียวเ่ช่น CFRESH นี่ควรจะมองด้านไหนครับ อย่างเช่น ต้องมองด้านตลาดของอาหาร ค่าเงิน ตลาดส่งออกรึเปล่าครับ
เคยได้ยินพี่ๆบอกว่าเราไม่ควรมองค่าของหุ้นในอดีต แต่ถ้าอย่างมองบางตัว ที่ราคาขึ้นมาสูงแล้วนี่ เราควรระวังอะไรรึเปล่าครับ หรือเราควรดูสถานะของบริษัทนั้น ณ ตอนนั้นมากกว่าครับ
แล้วก็ ธุรกิจสื่้อ TV นี่รายได้หลักเค้ามาจากคนโฆษณารึเปล่าครับ อย่างช่องต่างๆ หรือว่ารายการโทรทัศน์ จุดแข็งของช่องพวกนี้ คือคนดู หรือสปอนเซอร์ึีครับพี่ แล้วความเสี่ยงของกลุ่มนี้มีเยอะไม๊ครับ
ขอบคุณมากครับพี่ซาอิ
แล้วอย่างบริษัทส่งออกอาหารอย่างเดียวเ่ช่น CFRESH นี่ควรจะมองด้านไหนครับ อย่างเช่น ต้องมองด้านตลาดของอาหาร ค่าเงิน ตลาดส่งออกรึเปล่าครับ
เคยได้ยินพี่ๆบอกว่าเราไม่ควรมองค่าของหุ้นในอดีต แต่ถ้าอย่างมองบางตัว ที่ราคาขึ้นมาสูงแล้วนี่ เราควรระวังอะไรรึเปล่าครับ หรือเราควรดูสถานะของบริษัทนั้น ณ ตอนนั้นมากกว่าครับ
แล้วก็ ธุรกิจสื่้อ TV นี่รายได้หลักเค้ามาจากคนโฆษณารึเปล่าครับ อย่างช่องต่างๆ หรือว่ารายการโทรทัศน์ จุดแข็งของช่องพวกนี้ คือคนดู หรือสปอนเซอร์ึีครับพี่ แล้วความเสี่ยงของกลุ่มนี้มีเยอะไม๊ครับ
ขอบคุณมากครับพี่ซาอิ
- sai
- Verified User
- โพสต์: 4090
- ผู้ติดตาม: 0
มุมมองลงทุนสไตล์ Sai
โพสต์ที่ 259
[quote="soraroz"]พี่ซาอิครับ อยากรบกวนถามเกี่ยวกับหุ้นประกันชีวิตอย่าง BLA หน่อยครับว่า มีความเสี่ยงอะไรที่เราควรระวังบ้างครับ
ธรุกิจอย่าง bla ความเสี่ยงไม่น่ามากนะครับ เพราะเป็นธรุกิจที่มีความแน่นอนค่อนข้างสูง เท่าที่คิดออกก็น่าจะเป็นความเสี่ยงที่ส่งผลกระทบทางอ้อมเช่น อัตราดอกเบี้ย ซึ่งหากอัตราดอกเบี้ยปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอาจทำให้ลูกค้าเกิดการเปรียบเทียบการลงทุนอื่นอื่นกับการประกันชีวิต และอาจทำให้มองดูการประกันชีวิตมีความน่าสนใจลดลงเล็กน้อยครับ (แต่ผมก็มองว่าไม่น่ากระทบมากนะครับในระยะยาว ) ตัวนี้หากเราสามารถซื้อในราคาที่ไม่แพงจนเกินไป และ ถือลงทุนในระยะเวลาที่นานพอ เข้าใจว่าค่อนข้างปลอดภัยทีเดียวครับ
แล้วอย่างบริษัทส่งออกอาหารอย่างเดียวเ่ช่น CFRESH นี่ควรจะมองด้านไหนครับ อย่างเช่น ต้องมองด้านตลาดของอาหาร ค่าเงิน ตลาดส่งออกรึเปล่าครับ
ส่วนสำคัญของธรุกิจอาหารเพื่อการส่งออกอย่าง cfresh จุดที่ต้องระวังคงเป็นเรื่องของราคาวัตถุดิบ ราคาขายของบริษัท ค่าเงินบาท และ กฎหมายการค้าของตลาดส่งออกต่างต่างว่ามีกฎกติการใดใดที่เปลียนแปลงไปหรือไม่ หลังจากนั้นค่อยวิเคราะห์ว่าเป็นประโยชน์ต่อเราหรือคู่แข่งขันอย่างไรครับ
เคยได้ยินพี่ๆบอกว่าเราไม่ควรมองค่าของหุ้นในอดีต แต่ถ้าอย่างมองบางตัว ที่ราคาขึ้นมาสูงแล้วนี่ เราควรระวังอะไรรึเปล่าครับ หรือเราควรดูสถานะของบริษัทนั้น ณ ตอนนั้นมากกว่าครับ
แล้วก็ ธุรกิจสื่้อ TV
ธรุกิจอย่าง bla ความเสี่ยงไม่น่ามากนะครับ เพราะเป็นธรุกิจที่มีความแน่นอนค่อนข้างสูง เท่าที่คิดออกก็น่าจะเป็นความเสี่ยงที่ส่งผลกระทบทางอ้อมเช่น อัตราดอกเบี้ย ซึ่งหากอัตราดอกเบี้ยปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอาจทำให้ลูกค้าเกิดการเปรียบเทียบการลงทุนอื่นอื่นกับการประกันชีวิต และอาจทำให้มองดูการประกันชีวิตมีความน่าสนใจลดลงเล็กน้อยครับ (แต่ผมก็มองว่าไม่น่ากระทบมากนะครับในระยะยาว ) ตัวนี้หากเราสามารถซื้อในราคาที่ไม่แพงจนเกินไป และ ถือลงทุนในระยะเวลาที่นานพอ เข้าใจว่าค่อนข้างปลอดภัยทีเดียวครับ
แล้วอย่างบริษัทส่งออกอาหารอย่างเดียวเ่ช่น CFRESH นี่ควรจะมองด้านไหนครับ อย่างเช่น ต้องมองด้านตลาดของอาหาร ค่าเงิน ตลาดส่งออกรึเปล่าครับ
ส่วนสำคัญของธรุกิจอาหารเพื่อการส่งออกอย่าง cfresh จุดที่ต้องระวังคงเป็นเรื่องของราคาวัตถุดิบ ราคาขายของบริษัท ค่าเงินบาท และ กฎหมายการค้าของตลาดส่งออกต่างต่างว่ามีกฎกติการใดใดที่เปลียนแปลงไปหรือไม่ หลังจากนั้นค่อยวิเคราะห์ว่าเป็นประโยชน์ต่อเราหรือคู่แข่งขันอย่างไรครับ
เคยได้ยินพี่ๆบอกว่าเราไม่ควรมองค่าของหุ้นในอดีต แต่ถ้าอย่างมองบางตัว ที่ราคาขึ้นมาสูงแล้วนี่ เราควรระวังอะไรรึเปล่าครับ หรือเราควรดูสถานะของบริษัทนั้น ณ ตอนนั้นมากกว่าครับ
แล้วก็ ธุรกิจสื่้อ TV
Small Details Make a Big Difference
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 200
- ผู้ติดตาม: 0
มุมมองลงทุนสไตล์ Sai
โพสต์ที่ 260
พี่ Sai คิดอย่างไรกับ BJC ครับ
รายได้โตขึ้นสม่ำเสมอต่อเนื่อง ในช่วง 5 ปีหลัง
D/E ราวๆ 1 เท่า
Forward P/E ประมาณ 7 ซึ่งยังถือว่าไม่แพง
ติดเรื่องธรรมาภิบาลของผู้บริหารในอดีต ที่เคยหมกเม็ดบางอย่างไว้จนนักลงทุนเข็ดไปตามๆกัน
ที่สนใจตัวนี้เพราะ มันน่าจะโตไปได้เรื่อยๆตาม GDP เพราะสินค้าอุปโภค บริโภค ยังไงคนก็ต้องกินต้องใช้
เลยอยากทราบมุมมองของพี่ Sai ครับ ขอบคุณครับ
รายได้โตขึ้นสม่ำเสมอต่อเนื่อง ในช่วง 5 ปีหลัง
D/E ราวๆ 1 เท่า
Forward P/E ประมาณ 7 ซึ่งยังถือว่าไม่แพง
ติดเรื่องธรรมาภิบาลของผู้บริหารในอดีต ที่เคยหมกเม็ดบางอย่างไว้จนนักลงทุนเข็ดไปตามๆกัน
ที่สนใจตัวนี้เพราะ มันน่าจะโตไปได้เรื่อยๆตาม GDP เพราะสินค้าอุปโภค บริโภค ยังไงคนก็ต้องกินต้องใช้
เลยอยากทราบมุมมองของพี่ Sai ครับ ขอบคุณครับ
Speculators deal with greed.
Investors deal with fear.
Investors deal with fear.
-
- Verified User
- โพสต์: 525
- ผู้ติดตาม: 1
มุมมองลงทุนสไตล์ Sai
โพสต์ที่ 261
[quote="sai"][quote="soraroz"]พี่ซาอิครับ อยากรบกวนถามเกี่ยวกับหุ้นประกันชีวิตอย่าง BLA หน่อยครับว่า มีความเสี่ยงอะไรที่เราควรระวังบ้างครับ
ธรุกิจอย่าง bla ความเสี่ยงไม่น่ามากนะครับ เพราะเป็นธรุกิจที่มีความแน่นอนค่อนข้างสูง เท่าที่คิดออกก็น่าจะเป็นความเสี่ยงที่ส่งผลกระทบทางอ้อมเช่น อัตราดอกเบี้ย ซึ่งหากอัตราดอกเบี้ยปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอาจทำให้ลูกค้าเกิดการเปรียบเทียบการลงทุนอื่นอื่นกับการประกันชีวิต และอาจทำให้มองดูการประกันชีวิตมีความน่าสนใจลดลงเล็กน้อยครับ (แต่ผมก็มองว่าไม่น่ากระทบมากนะครับในระยะยาว ) ตัวนี้หากเราสามารถซื้อในราคาที่ไม่แพงจนเกินไป และ ถือลงทุนในระยะเวลาที่นานพอ เข้าใจว่าค่อนข้างปลอดภัยทีเดียวครับ
แล้วอย่างบริษัทส่งออกอาหารอย่างเดียวเ่ช่น CFRESH นี่ควรจะมองด้านไหนครับ อย่างเช่น ต้องมองด้านตลาดของอาหาร ค่าเงิน ตลาดส่งออกรึเปล่าครับ
ส่วนสำคัญของธรุกิจอาหารเพื่อการส่งออกอย่าง cfresh จุดที่ต้องระวังคงเป็นเรื่องของราคาวัตถุดิบ
ธรุกิจอย่าง bla ความเสี่ยงไม่น่ามากนะครับ เพราะเป็นธรุกิจที่มีความแน่นอนค่อนข้างสูง เท่าที่คิดออกก็น่าจะเป็นความเสี่ยงที่ส่งผลกระทบทางอ้อมเช่น อัตราดอกเบี้ย ซึ่งหากอัตราดอกเบี้ยปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอาจทำให้ลูกค้าเกิดการเปรียบเทียบการลงทุนอื่นอื่นกับการประกันชีวิต และอาจทำให้มองดูการประกันชีวิตมีความน่าสนใจลดลงเล็กน้อยครับ (แต่ผมก็มองว่าไม่น่ากระทบมากนะครับในระยะยาว ) ตัวนี้หากเราสามารถซื้อในราคาที่ไม่แพงจนเกินไป และ ถือลงทุนในระยะเวลาที่นานพอ เข้าใจว่าค่อนข้างปลอดภัยทีเดียวครับ
แล้วอย่างบริษัทส่งออกอาหารอย่างเดียวเ่ช่น CFRESH นี่ควรจะมองด้านไหนครับ อย่างเช่น ต้องมองด้านตลาดของอาหาร ค่าเงิน ตลาดส่งออกรึเปล่าครับ
ส่วนสำคัญของธรุกิจอาหารเพื่อการส่งออกอย่าง cfresh จุดที่ต้องระวังคงเป็นเรื่องของราคาวัตถุดิบ
Commodity อย่ายึดติดกับราคา อย่าคิดว่าราคาปัจจุบันขึ้นมาจากเท่าไหร่ ให้มองว่า บริษัทที่ตนเองลงทุน มีพื้นฐาน demand และราคาของผลิตภัณฑ์เป็นอย่างไร
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2147
- ผู้ติดตาม: 0
มุมมองลงทุนสไตล์ Sai
โพสต์ที่ 265
รบกวนขอความเห็นของพี่ sai เกี่ยวกับ SSF กับ LVT หน่อยครับ
สำหรับ SSF แล้วผมคิดว่าถึงแม้ว่าปีที่แล้วกำไรทั้งปีจะระเบิดก็ตาม แต่ยังกังวลเหมือนกันในปีนี้ว่าจะทำได้ดีแค่ไหนหรือดีแค่ชั่วคราว เพราะใน Q4 ที่ผ่านมากำไรลดลงไปเยอะพอควร ส่วน LVT ไม่รู้ว่ากำไรจะเป็นยังไงเพราะใน Q3 ว่าผิดคาดแล้ว Q4 กลับน่าผิดหวังกว่าอีก ไม่รู้ว่า margin จะกลับมาดีเหมือนเดิมได้หรือป่าว แต่ติดตรงที่ปันผลเยอะแล้วราคาถือว่าถูกเเลยยังหวังอยู่ว่าจะทำกำไรได้ดีกว่าปีที่ผ่านมา รบกวนพี่ sai ช่วยวิจารณ์ด้วยครับ :D
สำหรับ SSF แล้วผมคิดว่าถึงแม้ว่าปีที่แล้วกำไรทั้งปีจะระเบิดก็ตาม แต่ยังกังวลเหมือนกันในปีนี้ว่าจะทำได้ดีแค่ไหนหรือดีแค่ชั่วคราว เพราะใน Q4 ที่ผ่านมากำไรลดลงไปเยอะพอควร ส่วน LVT ไม่รู้ว่ากำไรจะเป็นยังไงเพราะใน Q3 ว่าผิดคาดแล้ว Q4 กลับน่าผิดหวังกว่าอีก ไม่รู้ว่า margin จะกลับมาดีเหมือนเดิมได้หรือป่าว แต่ติดตรงที่ปันผลเยอะแล้วราคาถือว่าถูกเเลยยังหวังอยู่ว่าจะทำกำไรได้ดีกว่าปีที่ผ่านมา รบกวนพี่ sai ช่วยวิจารณ์ด้วยครับ :D
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 200
- ผู้ติดตาม: 0
มุมมองลงทุนสไตล์ Sai
โพสต์ที่ 266
ขอบคุณพี่ Sai มากๆ ครับ มองขาดแบบทะลุปรุโปร่งกันเลยทีเดียว :lol:
ตอนนี้ ที่ผมยังค่อนข้างติดใจคือ ทำไมนายตลาดยังให้ P/E กับ BJC ค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับกลุ่มพาณิชย์ตัวอื่นๆ
ไม่ใช่ว่าเพิ่งมาต่ำ ... แต่ต่ำมาอย่างสม่ำเสมอ :lol:
เลยกลัวว่าผมจะมองอะไรพลาดไปรึเปล่า ?
นายตลาดไม่น่าผิดพลาด นานขนาดนั้น ผมคงมองไม่เห็นเองมากกว่า
แต่พอพี่ Sai มาวิเคราะห์ให้ฟัง ... ก็คิดว่าคงไม่ใช่
นายตลาดคงไม่เห็นค่าตัวนี้ซะมากกว่า
( แต่ดูกราฟพี่ Sai แล้วน่าประหลาดใจ เหมือนกันนะนี่ Yield สูง , P/E ต่ำ , P/B ต่ำ ทั้งๆที่บริษัทก็ไม่ได้ low profile )
ส่วนเรื่องธรรมาภิบาลก็คือเรื่องเดียวกับที่พี่ Sai กล่าวไว้แหละครับ
ขออนุญาตพี่ Tiger มา quote ไว้หน่อย ตั้งแต่ 5-6 ปีที่แล้ว
สรุป คงยังเป็น Question mark อยู่ มั้งครับ เกี่ยวกับเรื่องนี้
สุดท้ายขอบคุณอีกครั้งครับพี่ Sai
ตอนนี้ ที่ผมยังค่อนข้างติดใจคือ ทำไมนายตลาดยังให้ P/E กับ BJC ค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับกลุ่มพาณิชย์ตัวอื่นๆ
ไม่ใช่ว่าเพิ่งมาต่ำ ... แต่ต่ำมาอย่างสม่ำเสมอ :lol:
เลยกลัวว่าผมจะมองอะไรพลาดไปรึเปล่า ?
นายตลาดไม่น่าผิดพลาด นานขนาดนั้น ผมคงมองไม่เห็นเองมากกว่า
แต่พอพี่ Sai มาวิเคราะห์ให้ฟัง ... ก็คิดว่าคงไม่ใช่
นายตลาดคงไม่เห็นค่าตัวนี้ซะมากกว่า
( แต่ดูกราฟพี่ Sai แล้วน่าประหลาดใจ เหมือนกันนะนี่ Yield สูง , P/E ต่ำ , P/B ต่ำ ทั้งๆที่บริษัทก็ไม่ได้ low profile )
ส่วนเรื่องธรรมาภิบาลก็คือเรื่องเดียวกับที่พี่ Sai กล่าวไว้แหละครับ
ขออนุญาตพี่ Tiger มา quote ไว้หน่อย ตั้งแต่ 5-6 ปีที่แล้ว
กรณีล่าสุดที่ผมพอทราบเกี่ยวกับเรื่องทำนองนี้ ถ้าจำไม่ผิดก็คือ ตอนที่ OISHI ขายตึกให้เสร็จ แล้วต้องทำสัญญาเช่าต่อ ( รายละเอียดจริงๆ คงต้องไปตามอ่านจากกระทู้ OISHI ถ้าผมเข้าใจผิดคงขออภัยไว้ล่วงหน้า )Tiger เขียน:ถ้าไม่นับรวมไทยเบฟท์ที่อาจจะเข้าตลาด
อีกบริษัท เคยอยู่ในตลาดที่ปัจจุบัน คุณ เจริญ ถือ ก็คือ โรงแรมอิมพีเรียลครับ
น่าจะเป็นส่วนประกอบการพิจารณาเรื่องธรรมมาภิบาลได้บ้าง
ส่วนตัวผมเองไม่ทราบรายละเอียดมากนัก จึงเขียนถามไว้ ตาม link นี้ครับ
ใครทราบรายละเอียด ก็รบกวนช่วยเล่าให้ฟังด้วยครับ
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=10120
ส่วนนึงจากความรู้พี่ม้าเฉียวครับ อ่านใน link ข้างบนจะมีรายละเอียดมากกว่าครับ
เค้าได้มาตั้งแต่ 2539 นะครับ จากคุณอากร ฮุนตระกูล ซึ่งขอร้องให้คุณเจริญช่วยซื้อไปนะครับ โดยซื้อหุ้นในราคา 33 บาทต่อหุ้น
จากนั้นก็มีปัญหาเกี่ยวกับ การขายสินทรัพย์ของอิมพีเรียลตลอด จนกระทั่งเอาออกจากตลาดไปนะครับ
โดยมีการจัดตั้งบริษัทขึ้นมารับซื้อสินทรัพย์จากอิมพีเรียลไปในราคาที่ไม่ค่อยเป็นธรรมนักนะครับ บริษัทที่ว่า ก็เช่น บจ.ควีนส์ปาร์ค โฮเต็ล กรุ๊ป บจ.พลาซ่าแอทธินี โฮเต็ล (ประเทศไทย)
ถ้าจำไม่ผิดนะ สินทรัพย์ที่มีการขายในตอนที่ยังอยู่ในตลาด คือ
-ขายโรงแรมเดิมที่ถนนวิทยุพร้อมที่ดิน ประมาณ 4 ไร่ เข้าบริษัทที่ท่าน...และญาติมีส่วนเป็นผู้ถือหุ้น เพื่อนำเงินไปสร้างโรงแรมพลาซ่าแอทธินี ปัจจุบัน ที่ดินนั้นได้ทำโครงการ Athenee Residence และโรงแรมพลาซ่าแอทธินี ก็ถูกขายออกให้กับกลุ่มและบริษัทในเครือของท่าน...ในราคาที่ถูก
-ขายโรงแรม 2 โรงแรมในซอยสุขุมวิท 24 และ 26 แก่ใครก็ไม่รู้ แล้วเช่า 2 โรงแรมนั้น กลับโดยเสียค่าเช่าในอัตราที่สูง และสุดท้าย 2 โรงแรมนี้กลายเป็นของส่วนตัวของท่าน...
-ขาย บ.ลำปางธานี บริษัทย่อย ซึ่งเป็นเจ้าของ ที่ดินเชียงใหม่ 300 กว่าไร่ แก่ บริษัทในเครือของท่าน... ราคาประมาณ 60 ล้านบาท ทั้งที่ต้นทุนของที่ดินเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วอยู่ที่ประมาณ 140 ล้านบาท
-ท่าน... ญาติของท่าน... และบริษัทในเครือท่าน...มีการทำเทนเดอร์โยนหุ้นขายให้กันเอง เพื่อบันทึกการขาดทุนจากการขายเงินลงทุนเพื่อประหยัดภาษี ไม่รู้ว่าจะมีการกดราคาในตลาดเพื่อผลประโยชน์นี้หรือเปล่า แต่ทำให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยเกือบทั้งหมดดับอนาจ
ปี 2546 หลังออกตลาดด้วยราคาทำเทนเดอร์หุ้นละ 16 บาท (ถูกจัง) 555 เรื่องยังไม่จบ
มีการขายทรัพย์สินทั้งหมดของบริษัท เช่น โรงแรมอิมพีเรียลควีนส์ปาร์ค โรงแรมพลาซ่า แอทธินี โรงแรมที่แม่ฮ่องสอน โรงแรมอิมพีเรียลที่สมุย 2 แห่ง และ โรงแรมที่เขมร เป็นต้น โดยไม่แจ้งรายละเอียด ของทรัพย์สินที่จะขาย ให้ผู้ถือหุ้นทราบล่วงหน้า โดยอ้างว่า บริษัทยังมีหนี้สินอยู่เป็นจำนวนมาก จึงมีความประสงค์ขายทรัพย์สินของบริษัท เพื่อนำเงินที่ได้จากการขายทรัพย์สินดังกล่าวมาชำระหนี้เงินกู้ แต่ทำไมต้องขายทรัพย์สินเกือบทั้งหมด และ ถ้าดูงบการเงินจะเห็นว่าบริษัทฯมีผลการดำเนินงานดีขึ้นนะ และเป็นการขายทรัพย์สินในราคาที่ต่ำกว่าที่ควร และวิธีการขายก็ไม่น่าจะโปร่งใส
เฮ้อ นี่ก็แค่ส่วนหนึ่งของหนังเรื่องนี้เท่านั้นนะท่าน
สรุป คงยังเป็น Question mark อยู่ มั้งครับ เกี่ยวกับเรื่องนี้
สุดท้ายขอบคุณอีกครั้งครับพี่ Sai
Speculators deal with greed.
Investors deal with fear.
Investors deal with fear.
- sai
- Verified User
- โพสต์: 4090
- ผู้ติดตาม: 0
มุมมองลงทุนสไตล์ Sai
โพสต์ที่ 267
ทั้งสองตัวถือเป็นหุ้นที่ผมเข้าใจน้อยมากมากทั้งคู่เลยนะครับ แต่ยังไงจะลองตอบแบบตามความเข้าใจนะครับ ถ้าท่านใดเข้าใจมากกว่าเพิ่มเติมได้เลยนะครับ ผมจะได้มีความรู้เพิ่มขึ้นด้วยครับ ตัวแรกคือ ssf ถ้าดูจากตารางผลประกอบการณ์ย้อนหลัง 4 ปีที่ผ่านมา จะดูว่า ssf เป็นหุ้นที่มีผลการดำเนินงานดีขึ้นเรื่อยเรื่อยใน 4 ปีที่ผ่านมานะครับ แต่จุดที่น่าสังเกตุคือ การเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิ มาจากการเพิ่มในส่วนของอัตรากำไรสุทธิเป็นหลัก คือยอดขายก็เพิ่มบ้างแต่ไม่ได้เยอะมาก(ทั้งทั้งที่ผมดูแล้วเทรนด์อาหารแช่แข็ง แบบของ ssf น่าจะเติบโตได้ค่อนข้างดีนะครับ เพราะทั้งสินค้าและรสชาติของ ssf ผมว่าอร่อยดีครับ ) พอดูละเอียดแต่ละไตรมาสยิ่งคาดเดากำไรยากมาก บางครั้งก็ดีมาก บางครั้งก็ดีน้อยกว่าที่คาด โดย q4 ที่ผ่านมาทำได้ราว 0.20 บาทต่อหุ้น แต่กำไรทั้งปีของปี 2552 ทำได้ 1 บาทต่อหุ้นครับ ถ้าเราเอาแค่กำไร q4 คูณ 4 กำไรของปีนี้ก็ยังน้อยกว่าปีที่แล้ว ประกอบกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นกว่าเมื่อปีที่ผ่านมาน่าจะกระทบต่อกำไรสุทธิบ้างไม่มากก็น้อย ปลายปีที่แล้วจนถึงต้นปีนี้อาจได้ประโยชน์จากการที่อินโดมีโรคระบาดเรื่องกุ้ง ทำให้ ssf ได้ประโยชน์ในระยะสั้น(ssf มีบริษัทลูกที่เป็นฟาร์มเพาะเลี้ยงกุ้งเอง สามบริษัท ) ดังนั้นหากภาวะกลับมาเป็นปกติแล้ว ผมเคยได้ยินมาว่าอินโดมีต้นทุนการเลี้ยงกุ้งที่ถูกกว่าเรา และ ราคากุ้งต่ำกว่าเราพอสมควร คู่แข่งจากต่างชาติ อาจกลับมาแข่งขันได้อีก (ทำให้คาดเดามาร์จิ้นไม่ได้อีก เพราะ Cycle ของพวกปศุสัตว์ สั้นๆมากการ จึงคาดเดาวงจรยาก ) สรุปคือการลงทุน ssf มีปัจจัยที่มีผลต่อผลประกอบการณ์เยอะพอสมควรเลยครับ pe นี่ดูยากมาก เพราะหากแค่อัตรากำไรสุทธิเปลีย่นเล็กน้อย pe อาจจะเพิ่มหรือลดได้ง่ายง่ายเลยครับ พี่ท่านหนึ่งเคยแนะนำว่าการลงทุนหุ้นที่เราคาดเดากำไรยากยาก ควรดู pbv ประกอบด้วย กรณี ssf ปัจจุบัน pbv อยู่ที่ระดับ 1.49 เท่า สูงสุดในรอบหลายปีที่ผ่านมาครับ (ดังนั้นถ้าเราไม่รู้รอบวงจรของธรุกิจ น่าจะถือว่าเป็นราคาที่มีความเสี่ยงพอสมควรครับ ) นโยบายจ่ายปันผลค่อนข้างดีคือที่ 60 % ของกำไรสุทธิ โอกาสที่กำไรปีนี้จะดีกว่าปีที่แล้วผมมองว่ามีไม่มาก สำหรับผมเทียบราคาปัจจุบันของ ssf กับราคาหุ้นตัวอื่นอื่นในตลาด โผมยังพอหาหุ้นที่ผมเข้าใจ และ ให้ผลตอบแทนสูงกว่าได้ครับ เลยมองเฉยเฉยครับ ด้านล่างผมเอาตัวเลขผลประกอบการณ์คร่าวคร่าว และ ตัวเลขภาวะการแข่งขันของอุตสาหกรรมมาฝากครับ จะเห็นว่าตอนนี้โดยรวมใช้กำลังการผลิตเพียง 47.5 % เท่านั้นเอง ครับLaziale เขียน:รบกวนขอความเห็นของพี่ sai เกี่ยวกับ SSF กับ LVT หน่อยครับ
สำหรับ SSF แล้วผมคิดว่าถึงแม้ว่าปีที่แล้วกำไรทั้งปีจะระเบิดก็ตาม แต่ยังกังวลเหมือนกันในปีนี้ว่าจะทำได้ดีแค่ไหนหรือดีแค่ชั่วคราว เพราะใน Q4 ที่ผ่านมากำไรลดลงไปเยอะพอควร ส่วน LVT ไม่รู้ว่ากำไรจะเป็นยังไงเพราะใน Q3 ว่าผิดคาดแล้ว Q4 กลับน่าผิดหวังกว่าอีก ไม่รู้ว่า margin จะกลับมาดีเหมือนเดิมได้หรือป่าว แต่ติดตรงที่ปันผลเยอะแล้วราคาถือว่าถูกเเลยยังหวังอยู่ว่าจะทำกำไรได้ดีกว่าปีที่ผ่านมา รบกวนพี่ sai ช่วยวิจารณ์ด้วยครับ :D
ตัวที่สองคือ lvt เป็นธรุกิจรับเหมา ปรับปรุงประสิทธิภาพของโรงงานปูน โดยใช้เทคโนโลยีการออกแบบหม้อบดปูน รวมถึงการขยายกำลังการผลิตสำหรับโรงงานผลิตปูนซิเมนต์ โดยมีบริัษัทลูกอยู่ที่อินเดีย (เข้าใจว่าอินเดียมีโรงปูนแบบที่เหมาะจะเป็นลูกค้าเค้าเยอะครับ ประกอบกับอินเดียเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่เติบโตต่อเนื่องรุนแรง และแน่นอนความต้องการใช้ปูนคงอยู่ในระดับสูงครับ ) ทีมผู้บริหารมาจากปูนใหญ่ค่อนข้างเยอะ น่าจะเชี่ยวชาญธรุกิจนี้ค่อนข้างดีครับ(บริษัทนี้ถ้าดูดีดี หัวใจหลักของการพัฒนาองค์กรณ์น่าจะอยู่ที่คนเป็นหลักครับ เพราะต้องใช้ความรู้ความสามารถของคนเป็นวัตถุดิบในการหาเงินเป็นหลัก ดังนั้นอาจมีค่าใช้จ่ายและสวัสดิการพิเศษเกี่ยวกับบุคคลากรมากสักหน่อยครับ ) ดูจากงบการเงิน q4 รายได้เพิ่มขึ้นพอสมควร แต่ มาร์จิ้นกลับลดลงมากครับ ตรงนี้คงต้องติดตามว่าเกิดจากเหตุใดกันแน่ (สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือคู่แข่งอย่างจีน ผมไม่มีข้อมูลว่าพัฒนาไปถึงขนาดไหนแล้ว ประกอบกับสิทธิบัตรที่หมดอายุจะมีผลกระทบอย่างไรบ้าง เคยดูรายชื่อลูกค้าของ lvt อยู่ในจีนพอสมควรครับ ) ถ้าตามผมคิดคือปี 2552 เป็นปีที่ยังปกคลุมด้วยปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจครับ(แต่ lvt ไม่กระทบมากเพราะมีงานต่อเนื่องที่อยู่ในระหว่างการลงทุนมากในปี 2552 ไม่แน่ใจว่าการที่งานภาพรวมของอุตสาหกรรมมีน้อยจะส่งผลต่อมาร์จิ้นหรือไม่ ) การลงทุนใหญ่ใหญ่ของโรงปูนคงมีน้อย หรือหากจำเป็นต้องมีก็คงมีการชลอไปก่อน ปี 2553 ซึ่งเป็นปีที่เศรษฐกิจฟื้นตัว น่าจะมีความต้องการบริโภคปูนเยอะขึ้นแบบก้าวกระโดด (คือของปีนี้ และ ปีก่อนที่อั้นความต้องการมาด้วย ) น่าจะส่งผลให้ลูกค้าของ lvt มีการตื่นตัวในการปรับปรุงและพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต ตามข้อมูลเท่าที่มี ผมมองว่า lvt เป็นหุ้นที่มี pe ต่ำ ปันผลอยู่ในเกณฑ์ดีมาก ถือว่าน่าสนใจ เพียงแต่สิ่งที่ผู้ลงทุนต้องติดตามใกล้ชิดคือ backlog ว่ามีมากหรือน้อยแค่ไหน และ โครงการงานในอนาคตที่บริษัทจะประมูลเพิ่มมีน้อยมากแค่ไหนครับ ส่วนงบการเงินคงต้องมองภาพรวมเป็นปีครับ เพราะถ้ามองเป็นรายไตรมาสอาจจะงงงง เพราะกำไรโดดไปมาระหว่าง q ได้ง่ายครับ ข้อด้อยเท่าที่เห็นคือตัวนี้ตามข้อมูลได้ค่อนข้างยากจริงจริงครับ ข่าวสารมีน้อยมากครับ เอาตารางผลประกอบการณ์มาฝากด้วยครับด้านล่าง สองตัวนี้ใครพอมีข้อมูลเสริมได้เลยนะครับ สำหรับสองตัวนี้ผมมีความรู้จำกัดจริงจริงครับ ไปเล่นน้ำก่อนนะครับ สุขสันต์วันสงกรานต์นะครับ
Small Details Make a Big Difference
-
- Verified User
- โพสต์: 525
- ผู้ติดตาม: 1
มุมมองลงทุนสไตล์ Sai
โพสต์ที่ 269
[quote="sai"][quote="Laziale"]รบกวนขอความเห็นของพี่ sai เกี่ยวกับ SSF กับ LVT หน่อยครับ
สำหรับ SSF แล้วผมคิดว่าถึงแม้ว่าปีที่แล้วกำไรทั้งปีจะระเบิดก็ตาม แต่ยังกังวลเหมือนกันในปีนี้ว่าจะทำได้ดีแค่ไหนหรือดีแค่ชั่วคราว เพราะใน Q4 ที่ผ่านมากำไรลดลงไปเยอะพอควร ส่วน LVT ไม่รู้ว่ากำไรจะเป็นยังไงเพราะใน Q3 ว่าผิดคาดแล้ว Q4 กลับน่าผิดหวังกว่าอีก ไม่รู้ว่า margin จะกลับมาดีเหมือนเดิมได้หรือป่าว แต่ติดตรงที่ปันผลเยอะแล้วราคาถือว่าถูกเเลยยังหวังอยู่ว่าจะทำกำไรได้ดีกว่าปีที่ผ่านมา รบกวนพี่ sai ช่วยวิจารณ์ด้วยครับ
สำหรับ SSF แล้วผมคิดว่าถึงแม้ว่าปีที่แล้วกำไรทั้งปีจะระเบิดก็ตาม แต่ยังกังวลเหมือนกันในปีนี้ว่าจะทำได้ดีแค่ไหนหรือดีแค่ชั่วคราว เพราะใน Q4 ที่ผ่านมากำไรลดลงไปเยอะพอควร ส่วน LVT ไม่รู้ว่ากำไรจะเป็นยังไงเพราะใน Q3 ว่าผิดคาดแล้ว Q4 กลับน่าผิดหวังกว่าอีก ไม่รู้ว่า margin จะกลับมาดีเหมือนเดิมได้หรือป่าว แต่ติดตรงที่ปันผลเยอะแล้วราคาถือว่าถูกเเลยยังหวังอยู่ว่าจะทำกำไรได้ดีกว่าปีที่ผ่านมา รบกวนพี่ sai ช่วยวิจารณ์ด้วยครับ
Commodity อย่ายึดติดกับราคา อย่าคิดว่าราคาปัจจุบันขึ้นมาจากเท่าไหร่ ให้มองว่า บริษัทที่ตนเองลงทุน มีพื้นฐาน demand และราคาของผลิตภัณฑ์เป็นอย่างไร