ขอความคิดเห็นเกี่ยวกับยุทธวิธี Value Average Investment
-
- Verified User
- โพสต์: 16
- ผู้ติดตาม: 0
ขอความคิดเห็นเกี่ยวกับยุทธวิธี Value Average Investment
โพสต์ที่ 1
คือ ผมเป็นคนมีเงินเดือนประจำ อยากจะลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุนครับ แต่ไปเป็นบทความวิจัยเรื่อง Value Average แล้วดูน่าสนใจมาก ดูดีกว่า DCA เสียอีก ก็เลยอยากจะถามความเห็นของพี่ๆ ในบอร์ดหน่อยครับว่า เป็นวิธีที่ดีมั๊ย?
http://www.spu.ac.th/announcement/articles/va.pdf
ขอบคุณครับ
http://www.spu.ac.th/announcement/articles/va.pdf
ขอบคุณครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1250
- ผู้ติดตาม: 0
ขอความคิดเห็นเกี่ยวกับยุทธวิธี Value Average Investment
โพสต์ที่ 2
ถ้าใช้กับ Tdex น่าจะเป็นวิธีที่ดี ครับ
ถ้าใช้กับหุ้นก็ระวังหน่อยครับ สมมุติว่า ...
ถ้าใช้กับ TRC เมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว ก็จะเป็นเหมื่อนกระทู้
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=41512
ถ้าใช้กับหุ้นก็ระวังหน่อยครับ สมมุติว่า ...
ถ้าใช้กับ TRC เมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว ก็จะเป็นเหมื่อนกระทู้
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=41512
-
- Verified User
- โพสต์: 16
- ผู้ติดตาม: 0
ขอความคิดเห็นเกี่ยวกับยุทธวิธี Value Average Investment
โพสต์ที่ 3
ขอบคุณมากครับ
แสดงว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่กลยุทธ์การลงทุน แต่อยู่ที่วิธีการเลือกบริษัทที่เราจะลงทุนด้วยใช่มั๊ยครับ
เพราะไม่ว่าจะใช้แบบเฉลี่ยต้นทุน หรือลงทีเดียว ถ้ายังไม่มีทักษะในการเลือกบริษัทที่ดี ก็เจ็บเหมือนๆ กัน
ขอบคุณมากครับ
แสดงว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่กลยุทธ์การลงทุน แต่อยู่ที่วิธีการเลือกบริษัทที่เราจะลงทุนด้วยใช่มั๊ยครับ
เพราะไม่ว่าจะใช้แบบเฉลี่ยต้นทุน หรือลงทีเดียว ถ้ายังไม่มีทักษะในการเลือกบริษัทที่ดี ก็เจ็บเหมือนๆ กัน
ขอบคุณมากครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 191
- ผู้ติดตาม: 0
ขอความคิดเห็นเกี่ยวกับยุทธวิธี Value Average Investment
โพสต์ที่ 4
ผมคิดว่าวิธี VA ถ้าจะเทียบกับ DCA นั้น เราต้องทำการหามูลค่าพอร์ตสุทธินะครับเพราะที่อาจารย์พิสูจน์มานั้นเป็นการทำให้เห็นแต่ต้นทุนหุ้น แต่เราอย่าลืมว่าการเปรียบเทียบนั้นสมมุติฐานต้องเหมือนกันก็คือมีรายได้เพิ่มขึ้นเท่าๆกันทุกเดือนคือ 10000 บาท ซึ่งผมได้ลองคำนวณแล้วสรุปได้ว่า
วิธีแบบ Va ได้มูลค่าพอร์ตคือ
มูลค่าหุ้นเท่ากับ 40000 บาท
มูลค่าเงินสดเท่ากับ 25664 บาท
รวมมูลค่าพอร์ตเท่ากับ 65664 บาท
วิธีแบบ DCA ได้มูลค่าพอร์ตเท่ากับ 68880 บาท
วิธีแบบ Va ได้มูลค่าพอร์ตคือ
มูลค่าหุ้นเท่ากับ 40000 บาท
มูลค่าเงินสดเท่ากับ 25664 บาท
รวมมูลค่าพอร์ตเท่ากับ 65664 บาท
วิธีแบบ DCA ได้มูลค่าพอร์ตเท่ากับ 68880 บาท
อย่าเชื่อสิ่งที่พระเจ้าบอก แต่จงคิดและเลือกที่จะเชื่อด้วยตัวท่านเอง !!
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 269
- ผู้ติดตาม: 1
ขอความคิดเห็นเกี่ยวกับยุทธวิธี Value Average Investment
โพสต์ที่ 6
ดูอีกมุมหนึ่ง ผม balance ให้ทั้งสองวิธีพอร์ทโตเท่ากันในปีที่สี่
VA จะเป็นแบบนี้ครับ
price เป้าหมาย เงินลงทุน จำนวนหน่วย ที่ซื้อ/ขาย
10 17220 17220 1722
9 34440 18942 2104.666667
12 51660 5740 478.3333333
20 68880 -17220 -861
รวม 24682 3444
หวังว่าจะคิดไม่ผิดนะ :p
VA จะเป็นแบบนี้ครับ
price เป้าหมาย เงินลงทุน จำนวนหน่วย ที่ซื้อ/ขาย
10 17220 17220 1722
9 34440 18942 2104.666667
12 51660 5740 478.3333333
20 68880 -17220 -861
รวม 24682 3444
หวังว่าจะคิดไม่ผิดนะ :p
-
- Verified User
- โพสต์: 16
- ผู้ติดตาม: 0
ขอความคิดเห็นเกี่ยวกับยุทธวิธี Value Average Investment
โพสต์ที่ 7
แล้วคุณ large มีความเห็นกับกลยุทธ์อย่างไรครับlarge เขียน:ดูอีกมุมหนึ่ง ผม balance ให้ทั้งสองวิธีพอร์ทโตเท่ากันในปีที่สี่
VA จะเป็นแบบนี้ครับ
price เป้าหมาย เงินลงทุน จำนวนหน่วย ที่ซื้อ/ขาย
10 17220 17220 1722
9 34440 18942 2104.666667
12 51660 5740 478.3333333
20 68880 -17220 -861
รวม 24682 3444
หวังว่าจะคิดไม่ผิดนะ :p
หรือว่าควรจะเก็บเป็นเงินก้อน ไว้ก้อนใหญ่ๆ เลย รอจนราคามันถูกแล้วซื้อทีเดียวดีกว่าหรือไม่
-
- Verified User
- โพสต์: 13
- ผู้ติดตาม: 0
ขอความคิดเห็นเกี่ยวกับยุทธวิธี Value Average Investment
โพสต์ที่ 8
ผมว่า VA นี่เหมาะกับ กองทุน Index หรือไม่ก็พวกหุ้น Sideway
ถ้าคิดว่าสภาพตลาดไม่แน่นอน VA ดีกว่า
แต่ถ้ามั่นใจในบริษัท มีข้อมูลเต็มที่ ก็จัดการก้อนใหญ่ไปเลยครับ
ผมลองเปรียบเทียบ TDEX ระหว่าง VA กับ DCA
เงินที่กำหนด คือ 1 หมื่นบาทต่อเดือน
สังเกตดีๆ ถ้าหุ้นตกเยอะๆ ก็ต้องจ่ายเงินเยอะตามไปด้วย
บางเดือนจ่ายถึง 4.4 เท่าของเงินที่กำหนด
ถ้าคิดว่าสภาพตลาดไม่แน่นอน VA ดีกว่า
แต่ถ้ามั่นใจในบริษัท มีข้อมูลเต็มที่ ก็จัดการก้อนใหญ่ไปเลยครับ
ผมลองเปรียบเทียบ TDEX ระหว่าง VA กับ DCA
เงินที่กำหนด คือ 1 หมื่นบาทต่อเดือน
สังเกตดีๆ ถ้าหุ้นตกเยอะๆ ก็ต้องจ่ายเงินเยอะตามไปด้วย
บางเดือนจ่ายถึง 4.4 เท่าของเงินที่กำหนด
- picklife
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2567
- ผู้ติดตาม: 0
ขอความคิดเห็นเกี่ยวกับยุทธวิธี Value Average Investment
โพสต์ที่ 9
DCAมีข้อดีอยู่แล้วที่ทำการซื้อเพิ่มทุกเดือนเป็นการเพิ่มทุนต่อเนื่อง เหมาะสำหรับมนุษย์เงินเดือนที่มีเงินเก็บเพิ่มขึ้นทุกเดือนก็นำเงินไปลงทุนต่อเนื่อง แต่ก็ไม่เหมาะกับคนมีเงินสดแล้วซื้อทีละน้อยๆก็จะเป็นการเสียโอกาสของเงินมากๆ
VAคือการความพยายามนำเอาDCAมาประยุกต์โดยใช้หลักการณ์เดิมของDCAแต่เพิ่มเติมในเรื่องถ้าลงมากก็ซื้อมากถ้าขึ้นก็ซื้อน้อย เท่ากับว่าเน้นซื้อของถูกเป็นทฤษฏีที่ดีมากครับถือว่าเป็นการพัฒนาขึ้นมาจากDCAอีกขั้นหนึ่ง
แต่!!!VAที่ว่าดีแต่มันก็คือทฤษฎีนะครับ....การการนำมาใช้คุณจะต้องรู้จักการประยุกต์ขั้นที่2จากDCAมาเป็นVAและจากVAมาเป็นการใช้งานจริงๆโดยการเอาConceptมาแนวคิดมาต่อยอด แต่มิใช่การลอกวิธีการมา
ผมสมมุตินะครับ....ผมใช้VAละ
เดือนที่1คุณลงทุนไป10000 และตั้งใจจะลงทุนเดือนละหมื่น
เดือนที่2มูลค่าเหลือ6พัน คุณก็ต้องลง14000บาท ผมขอถามว่าคุณเอา4000บาทมาจากไหน???? หรือคุณบอกว่าผมมีเงินเก็บเดือนละ15000บาทโดยปกติกะว่าจะลงทุน1หมื่นเก็บ5พัน แต่ถ้าเกิดกรณีนี้ผมก็สามารถลงทุน14000ได้ก็จริงครับ....แต่จงอย่าลืมว่าถ้ากรณีหุ้นคงที่ละเดือนที่สองมูลค่าพอร์ทคุณก็ยังคงเป็น1หมื่นเท่ากับเดือนที่สองคุณก็ต้องลงทุน1หมื่นแล้ว5พันที่เหลือละ??? เท่ากับว่าคุณจะต้องถือเงินสดไว้ในมือ5พันบาทและมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมันก็จะขัดแย้งกับหลักVIโดยสิ้นเชิง....เพราะVIซื้อหุ้นเพราะถูก แต่ถ้าคุณไม่เห็นความถูกของหุ้นก็แสดงว่าคุณยังมองธุรกิจไม่ออกพอ...หรือถ้าคุณบอกว่าคุณสามารถมองออกว่ามันถูกแต่คุณกลับถือเงินสดเพราะมองว่าไม่แน่นอนอนาคตอาจถูกกว่านี้ เมื่อคุณมองอย่างนี้ก็แสดงว่าคุณไม่ได้มองที่ความถูกอย่างเดียวแต่คุณก็ให้ความสำคัญกับจังหวะเข้าซื้อด้วยแสดงว่าคุณกลับให้ความสำคัญของหัวใจVIน้อยลง ซึ่งลองสังเกตุดูว่าทำไมชาวVIส่วนมากถือหุ้นเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า90%ทั้งนั้นเพราะอะไร?
งั้น....หลักการของVAจะใช้ไม่ได้หรือ? ผมว่าได้ครับแต่ต้องประยุกต์หัวใจของDCAคือซื้อเพิ่มทุกเดือน หัวใจของVAคือการพยายามใช้DCAแต่ซื้อไม่คงที่ ถ้าราคาลงซื้อมาก ราคาขึ้นซื่อน้อย หรือถ้ามองว่าการเพิ่มเดือนละ1หมื่นเป็นสิ่งคงที่ จะมองเห็นว่าถ้าหุ้นลงจะซื้อ หุ้นขึ้นจะขาย ด้วยซ้ำ
ดังนั้นวิธีประยุกต์คือการใช้DCAซื้อเพิ่มทุกเดือนคงที่(เต็มที่เท่ากำลังที่ซื้อได้) และใช้หัวใจของVAแต่เป็นVAซ้อนกันกับหุ้นหลายๆตัว หมายถึงถ้าตัวไหนลงมากก็ซื้อมาก ตัวไหนขึ้นอาจไม่ซื้อ แต่สุดท้ายก็ซื้อจนหมดเงิน
และสุดท้ายก็ประยุกต์มาเป็นวิธีการBalancePort คือซื้อ100%กับหุ้น5ตัวขึ้นไปมีเงินเพิ่มก็ซื้อเพิ่ม และมีการปรับพอร์ทเสมอโดยหากหุ้นตัวไหนลงแรงก็ขายบางส่วนของตัวที่ลงน้อยหรือกำไรมาช้อนซื้อ ถ้าตัวไหนขึ้นแรงก็ขายบางส่วนมาซื้อตัวที่ลงหรือขึ้นไม่แรงเป็นต้น
ซึ่งวิธีการโดยละเอียดสามารถอ่านได้จากhttp://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=39347&start=300
เป็นวิธีการปรับพอร์ทของคุณyoyoหน้าไหนไม่รู้หาดูละกันนะครับหัวใจของConceptคล้ายๆกันแต่ของคุณyoyoเขาจะไม่มองที่ราคาขึ้นลงเขาจะมองที่Upsideที่เหลือของหุ้นนั้นๆ ลองอ่านดูครับเป็นไอเดียที่ดีมากครับ น่าจะสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้พอสมควรเลยทีเดียวครับ
VAคือการความพยายามนำเอาDCAมาประยุกต์โดยใช้หลักการณ์เดิมของDCAแต่เพิ่มเติมในเรื่องถ้าลงมากก็ซื้อมากถ้าขึ้นก็ซื้อน้อย เท่ากับว่าเน้นซื้อของถูกเป็นทฤษฏีที่ดีมากครับถือว่าเป็นการพัฒนาขึ้นมาจากDCAอีกขั้นหนึ่ง
แต่!!!VAที่ว่าดีแต่มันก็คือทฤษฎีนะครับ....การการนำมาใช้คุณจะต้องรู้จักการประยุกต์ขั้นที่2จากDCAมาเป็นVAและจากVAมาเป็นการใช้งานจริงๆโดยการเอาConceptมาแนวคิดมาต่อยอด แต่มิใช่การลอกวิธีการมา
ผมสมมุตินะครับ....ผมใช้VAละ
เดือนที่1คุณลงทุนไป10000 และตั้งใจจะลงทุนเดือนละหมื่น
เดือนที่2มูลค่าเหลือ6พัน คุณก็ต้องลง14000บาท ผมขอถามว่าคุณเอา4000บาทมาจากไหน???? หรือคุณบอกว่าผมมีเงินเก็บเดือนละ15000บาทโดยปกติกะว่าจะลงทุน1หมื่นเก็บ5พัน แต่ถ้าเกิดกรณีนี้ผมก็สามารถลงทุน14000ได้ก็จริงครับ....แต่จงอย่าลืมว่าถ้ากรณีหุ้นคงที่ละเดือนที่สองมูลค่าพอร์ทคุณก็ยังคงเป็น1หมื่นเท่ากับเดือนที่สองคุณก็ต้องลงทุน1หมื่นแล้ว5พันที่เหลือละ??? เท่ากับว่าคุณจะต้องถือเงินสดไว้ในมือ5พันบาทและมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมันก็จะขัดแย้งกับหลักVIโดยสิ้นเชิง....เพราะVIซื้อหุ้นเพราะถูก แต่ถ้าคุณไม่เห็นความถูกของหุ้นก็แสดงว่าคุณยังมองธุรกิจไม่ออกพอ...หรือถ้าคุณบอกว่าคุณสามารถมองออกว่ามันถูกแต่คุณกลับถือเงินสดเพราะมองว่าไม่แน่นอนอนาคตอาจถูกกว่านี้ เมื่อคุณมองอย่างนี้ก็แสดงว่าคุณไม่ได้มองที่ความถูกอย่างเดียวแต่คุณก็ให้ความสำคัญกับจังหวะเข้าซื้อด้วยแสดงว่าคุณกลับให้ความสำคัญของหัวใจVIน้อยลง ซึ่งลองสังเกตุดูว่าทำไมชาวVIส่วนมากถือหุ้นเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า90%ทั้งนั้นเพราะอะไร?
งั้น....หลักการของVAจะใช้ไม่ได้หรือ? ผมว่าได้ครับแต่ต้องประยุกต์หัวใจของDCAคือซื้อเพิ่มทุกเดือน หัวใจของVAคือการพยายามใช้DCAแต่ซื้อไม่คงที่ ถ้าราคาลงซื้อมาก ราคาขึ้นซื่อน้อย หรือถ้ามองว่าการเพิ่มเดือนละ1หมื่นเป็นสิ่งคงที่ จะมองเห็นว่าถ้าหุ้นลงจะซื้อ หุ้นขึ้นจะขาย ด้วยซ้ำ
ดังนั้นวิธีประยุกต์คือการใช้DCAซื้อเพิ่มทุกเดือนคงที่(เต็มที่เท่ากำลังที่ซื้อได้) และใช้หัวใจของVAแต่เป็นVAซ้อนกันกับหุ้นหลายๆตัว หมายถึงถ้าตัวไหนลงมากก็ซื้อมาก ตัวไหนขึ้นอาจไม่ซื้อ แต่สุดท้ายก็ซื้อจนหมดเงิน
และสุดท้ายก็ประยุกต์มาเป็นวิธีการBalancePort คือซื้อ100%กับหุ้น5ตัวขึ้นไปมีเงินเพิ่มก็ซื้อเพิ่ม และมีการปรับพอร์ทเสมอโดยหากหุ้นตัวไหนลงแรงก็ขายบางส่วนของตัวที่ลงน้อยหรือกำไรมาช้อนซื้อ ถ้าตัวไหนขึ้นแรงก็ขายบางส่วนมาซื้อตัวที่ลงหรือขึ้นไม่แรงเป็นต้น
ซึ่งวิธีการโดยละเอียดสามารถอ่านได้จากhttp://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=39347&start=300
เป็นวิธีการปรับพอร์ทของคุณyoyoหน้าไหนไม่รู้หาดูละกันนะครับหัวใจของConceptคล้ายๆกันแต่ของคุณyoyoเขาจะไม่มองที่ราคาขึ้นลงเขาจะมองที่Upsideที่เหลือของหุ้นนั้นๆ ลองอ่านดูครับเป็นไอเดียที่ดีมากครับ น่าจะสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้พอสมควรเลยทีเดียวครับ
เม่าน้อยคลำทางหาแสงไฟ
-
- Verified User
- โพสต์: 13
- ผู้ติดตาม: 0
ขอความคิดเห็นเกี่ยวกับยุทธวิธี Value Average Investment
โพสต์ที่ 10
เปิด www.Yoyoway.com แล้วหาคำว่า "ใครว่า VI ไม่มีจังหวะซื้อขาย" ครับ
นั่นคือวิธีการที่คุณ picklife บอกไว้วิธีการของคุณ YoYo ครับ
นั่นคือวิธีการที่คุณ picklife บอกไว้วิธีการของคุณ YoYo ครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 269
- ผู้ติดตาม: 1
ขอความคิดเห็นเกี่ยวกับยุทธวิธี Value Average Investment
โพสต์ที่ 11
คุณ picklife กับคุณ myqwerty คงตอบแทนผมไปหมดแล้ว
ผมขอเสริมนิดนึงครับ ผมคิดว่าตัว VA เหมาะกับบุคคลที่มีเงื่อนไขดังนี้ครับ
1. มีเงินสดอยู่ในมือมากพอสมควร (เพื่อเติมเงินเพิ่มเท่าที่สามารถทำได้เมื่อตลาดอยู่ช่วงขาลง)
2. ต้องการย้ายมาลงทุนอย่างอื่นแทนเงินฝาก ถ้าแหล่งของเงินมาจากเงินฝากออมทรัพย์
3. ไม่มีประสงค์จะศึกษาการลงทุนชนิดอื่น ๆ อย่างจริงจัง
4. มีเป้าหมายชัดเจนว่าภายในกี่เดือน กี่เดือน ต้องการเก็บเงินได้เท่าไร (เพราะโดนเงือนไขของ VA บังคับกลาย ๆ ครับ)
ถ้าอยากได้กำไรสูงสุดลงเป็นก้อนดีกว่าครับ แต่ถ้าแบบพอเพียงขอให้โตอย่างทบต้นจริงจัง และไม่อยากศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม VA ก็ดีครับ
ผมขอเสริมนิดนึงครับ ผมคิดว่าตัว VA เหมาะกับบุคคลที่มีเงื่อนไขดังนี้ครับ
1. มีเงินสดอยู่ในมือมากพอสมควร (เพื่อเติมเงินเพิ่มเท่าที่สามารถทำได้เมื่อตลาดอยู่ช่วงขาลง)
2. ต้องการย้ายมาลงทุนอย่างอื่นแทนเงินฝาก ถ้าแหล่งของเงินมาจากเงินฝากออมทรัพย์
3. ไม่มีประสงค์จะศึกษาการลงทุนชนิดอื่น ๆ อย่างจริงจัง
4. มีเป้าหมายชัดเจนว่าภายในกี่เดือน กี่เดือน ต้องการเก็บเงินได้เท่าไร (เพราะโดนเงือนไขของ VA บังคับกลาย ๆ ครับ)
ถ้าอยากได้กำไรสูงสุดลงเป็นก้อนดีกว่าครับ แต่ถ้าแบบพอเพียงขอให้โตอย่างทบต้นจริงจัง และไม่อยากศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม VA ก็ดีครับ