ทำไมตอนนั้นผมซื้อยานยนต์
-
- Verified User
- โพสต์: 558
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมตอนนั้นผมซื้อยานยนต์
โพสต์ที่ 91
[quote="SV2"]คิดอยู่นานครับว่าควรเข้ามาแชร์ความคิด การตัดสินใจ ในการเลือกตีแตกกับหุ้นกลุ่มยานยนต์ในโพสต์ของพี่หมอสามัญชน ดีหรือไม่
จึงได้ขออนุญาตพี่หมอสามัญชนเพื่อมาแชร์ประสบการณ์ในมุมเพิ่มเติมจากที่พี่หมอได้โพสต์ไว้แล้ว
มุมมองที่ทำให้กล้าตัดสินใจซื้อเมื่อหุ้นตกลงมามากๆ
รถยนต์ถือเป็นปัจจัยที่ 5 (หรืออาจจะที่ 6 รองจากโทรศัพท์มือถือ) ที่คนทำงานมีเงินแล้วต้องขวนขวายหาซื้อมาครอบครอง หลายคนต้องการรถยนต์มากกว่าบ้านเสียอีก
บริษัทต่างๆที่มีกำไรดีและรวมทั้งบริษัทรถเช่า การซื้อรถจะตัดค่าเสื่อม 5ปี หรือตัดปีละ 20% พอใช้ไป 4ปี ก็จะเปลี่ยนรถใหม่เพราะจะคุ้มกว่าเพราะจะได้หักค่าเสื่อมได้อีก
ไม่ต้องรับรู้กำไรเมื่อขายรถ
ในสภาวะปกติรถยนต์จะมียอดขาย(ในประเทศ) แต่ละปีแตกต่างกันไม่มากนัก อาจจะบวกหรือลบ 10-15 % แต่ถ้าเมื่อใดเกิดภาวะไม่ปกติยอดขายจะตกลงมากๆ
แต่เมื่อกลับสู่ภาวะปกติยอดขายจะกลับตัวแรงมาก จนอาจทำให้ยอดขายสูงกว่าเดิมมาก ซึ่งเกิดจากการอั้นในการซื้อรถหรือเปลี่ยนรถใหม่
มองอนาคตว่าตลาดรถน่าจะต้องกลับมาภายในอย่างช้าสุดไม่เกิน 3 ปี เหตุผลก็คือ ค่ายรถ 5-6 บริษัท ได้รับการส่งเสริมการลงทุนผลิดรถ eco-car
ซึ่งจะต้องเริ่มผลิตอย่างช้าสุดภายในปี 2555
จึงได้ขออนุญาตพี่หมอสามัญชนเพื่อมาแชร์ประสบการณ์ในมุมเพิ่มเติมจากที่พี่หมอได้โพสต์ไว้แล้ว
มุมมองที่ทำให้กล้าตัดสินใจซื้อเมื่อหุ้นตกลงมามากๆ
รถยนต์ถือเป็นปัจจัยที่ 5 (หรืออาจจะที่ 6 รองจากโทรศัพท์มือถือ) ที่คนทำงานมีเงินแล้วต้องขวนขวายหาซื้อมาครอบครอง หลายคนต้องการรถยนต์มากกว่าบ้านเสียอีก
บริษัทต่างๆที่มีกำไรดีและรวมทั้งบริษัทรถเช่า การซื้อรถจะตัดค่าเสื่อม 5ปี หรือตัดปีละ 20% พอใช้ไป 4ปี ก็จะเปลี่ยนรถใหม่เพราะจะคุ้มกว่าเพราะจะได้หักค่าเสื่อมได้อีก
ไม่ต้องรับรู้กำไรเมื่อขายรถ
ในสภาวะปกติรถยนต์จะมียอดขาย(ในประเทศ) แต่ละปีแตกต่างกันไม่มากนัก อาจจะบวกหรือลบ 10-15 % แต่ถ้าเมื่อใดเกิดภาวะไม่ปกติยอดขายจะตกลงมากๆ
แต่เมื่อกลับสู่ภาวะปกติยอดขายจะกลับตัวแรงมาก จนอาจทำให้ยอดขายสูงกว่าเดิมมาก ซึ่งเกิดจากการอั้นในการซื้อรถหรือเปลี่ยนรถใหม่
มองอนาคตว่าตลาดรถน่าจะต้องกลับมาภายในอย่างช้าสุดไม่เกิน 3 ปี เหตุผลก็คือ ค่ายรถ 5-6 บริษัท ได้รับการส่งเสริมการลงทุนผลิดรถ eco-car
ซึ่งจะต้องเริ่มผลิตอย่างช้าสุดภายในปี 2555
-
- Verified User
- โพสต์: 181
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมตอนนั้นผมซื้อยานยนต์
โพสต์ที่ 92
ผมมองว่า trend ของรถขนาดเล็กยังไงก็ต้องมาแน่ ยิ่งถ้าราคาน้ำมันขยับสูงขึ้นมากๆ ไม่ว่าจะต้วยราคาตัวน้ำมันดิบที่สูงขึ้น หรือการเก็บภาษีน้ำมันที่อาจจะสูงขึ้นเหมือนในยุโรป
ที่ต้องการให้คนไปใช้บริการยวดยานสาธารณะมากขึ้น และนำเงินภาษีบางส่วนไปอุดหนุนบริการสาธารณะต่างๆ
ยิ่งเรามีประสบการณ์กับราคาน้ำมันที่สูงลิบลิ่วในอดีตเมื่อไม่นานมานี้ คนจำนวนมากก็ต้องคิดเพื่่อไว้ว่าน้ำมันวันหนึ่งก็มีโอกาสกลับมาสูงหรือสูงกว่าเดิมอีก
วิธีลดความเสี่่ยงก็คือซื้อรถเล็กกว่าเดิมราคาถูกลง กินน้ำมันน้อยลง ค่าบำรุงรักษาก็ลดลงเป็นเงาตามตัวไปด้วยนะครับ
ที่ต้องการให้คนไปใช้บริการยวดยานสาธารณะมากขึ้น และนำเงินภาษีบางส่วนไปอุดหนุนบริการสาธารณะต่างๆ
ยิ่งเรามีประสบการณ์กับราคาน้ำมันที่สูงลิบลิ่วในอดีตเมื่อไม่นานมานี้ คนจำนวนมากก็ต้องคิดเพื่่อไว้ว่าน้ำมันวันหนึ่งก็มีโอกาสกลับมาสูงหรือสูงกว่าเดิมอีก
วิธีลดความเสี่่ยงก็คือซื้อรถเล็กกว่าเดิมราคาถูกลง กินน้ำมันน้อยลง ค่าบำรุงรักษาก็ลดลงเป็นเงาตามตัวไปด้วยนะครับ
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
ทำไมตอนนั้นผมซื้อยานยนต์
โพสต์ที่ 93
ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับเพื่อนๆที่ยังไม่รู้นะครับ
คุณ SV2 ซื้อหุ้นได้ราคาต่ำกว่าผมเยอะเลยครับ
ส่วนจำนวนหุ้นจะเปิดเผยตรงนี้ได้หรือไม่ ต้องขออณุญาตก่อนครับ :lol:
คุณ SV2 ซื้อหุ้นได้ราคาต่ำกว่าผมเยอะเลยครับ
ส่วนจำนวนหุ้นจะเปิดเผยตรงนี้ได้หรือไม่ ต้องขออณุญาตก่อนครับ :lol:
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- vi_tal signs
- Verified User
- โพสต์: 631
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมตอนนั้นผมซื้อยานยนต์
โพสต์ที่ 96
อื้อหือ ความคิดพี่ SV2
ผมว่าการที่ได้ถามแนวคิดแกะรอยความคิด
มักจะเป็นลักษณะการลงทุนเฉพาะบุคคล ที่ตามหาศึกษาได้ยาก
ว่าทำไมคิดเช่นนี้แล้วผลออกมาเป็นอย่างไร
ได้ฟังแนวคิดแล้วทำให้รู้ว่าคนที่เขาได้กันหลายเด้ง คิดกันอย่างไร :shock:
ผมว่าการที่ได้ถามแนวคิดแกะรอยความคิด
มักจะเป็นลักษณะการลงทุนเฉพาะบุคคล ที่ตามหาศึกษาได้ยาก
ว่าทำไมคิดเช่นนี้แล้วผลออกมาเป็นอย่างไร
ได้ฟังแนวคิดแล้วทำให้รู้ว่าคนที่เขาได้กันหลายเด้ง คิดกันอย่างไร :shock:
มันจะมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 942
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมตอนนั้นผมซื้อยานยนต์
โพสต์ที่ 100
สุดยอดทั้งคู่เลยครับ การมอง trend นี่สำคัญมากเลยนะครับ
ถ้าสมมุติว่าเราเจอธุรกิจที่เป็น Mega Trend อยู่ พี่ทั้งสอง ยังต้องสนใจเรื่องราคาอีกหรือเปล่าครับ
ถ้าสมมุติว่าเราเจอธุรกิจที่เป็น Mega Trend อยู่ พี่ทั้งสอง ยังต้องสนใจเรื่องราคาอีกหรือเปล่าครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 942
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมตอนนั้นผมซื้อยานยนต์
โพสต์ที่ 101
[quote="สามัญชน"]ขอบคุณครับ
คุณ sv2 เยี่ยมมากๆเลยครับ
ราคาที่ซื้อก็ต่ำกว่าผม
แสดงว่าเห็นก่อนผม
คุณ sv2 เยี่ยมมากๆเลยครับ
ราคาที่ซื้อก็ต่ำกว่าผม
แสดงว่าเห็นก่อนผม
-
- Verified User
- โพสต์: 181
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมตอนนั้นผมซื้อยานยนต์
โพสต์ที่ 103
ถึงแม้รถ eco car จะเป็น Mega trend ของโลกในวันนี้และในอนาคต อย่าลืมว่าปัจจุบันบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนในการผลิตรถ eco car มีถึง 7 บริษัท
แต่บริษัทที่จะสร้างโรงงานผลิตอาจจะมีไม่ครบเท่าที่ได้รับบัตรส่งเสริม อาจจะมีเพียง 4-5 บริษัท ด้วยเหตุผลของการเมือง, การผลิตรถที่ใช้ E85 ลงทุนน้อยกว่าและใช้สายการผลิตเดิมได้ขณะที่ภาษีก็ไม่ต่างจากeco car มาก, ภาษีรถไฮบริดถูกกว่าeco car หรืออาจเปลี่ยนใจไปผลิตในประเทศอื่นแทน ฯลฯ
ความไม่แน่นอนยังมีอีกมากตลอดระยะเวลา อะไรก็เกิดขึ้นได้ สิ่งที่่เป็นเพื่อนแท้ของนักลงทุนคือ MOS ครับ
แต่บริษัทที่จะสร้างโรงงานผลิตอาจจะมีไม่ครบเท่าที่ได้รับบัตรส่งเสริม อาจจะมีเพียง 4-5 บริษัท ด้วยเหตุผลของการเมือง, การผลิตรถที่ใช้ E85 ลงทุนน้อยกว่าและใช้สายการผลิตเดิมได้ขณะที่ภาษีก็ไม่ต่างจากeco car มาก, ภาษีรถไฮบริดถูกกว่าeco car หรืออาจเปลี่ยนใจไปผลิตในประเทศอื่นแทน ฯลฯ
ความไม่แน่นอนยังมีอีกมากตลอดระยะเวลา อะไรก็เกิดขึ้นได้ สิ่งที่่เป็นเพื่อนแท้ของนักลงทุนคือ MOS ครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 395
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมตอนนั้นผมซื้อยานยนต์
โพสต์ที่ 104
อยากรู้เหมือนกันครับ รอคุณหมอมาเฉลยอยู่นะครับกระโจมไฟ เขียน: อยากให้พี่หมอช่วยขยายความวิธีการของคุณblueblood กับคุณyoyo ที่คุณหมอนำมาปรับใช้ในการลงทุนสักหน่อยได้ไหมครับ เพื่อเป็นความรู้แก่น้องๆที่สนใจ
ขอบคุณมากครับ
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
ทำไมตอนนั้นผมซื้อยานยนต์
โพสต์ที่ 105
ตามความเข้าใจผมนะครับ
ถ้าผิดรบกวนหนูกับโยมาช่วยแก้ไขได้เลย
1. ใช้วิธีมองกำไรในอนาคตสัก 1-3 ปีครับ
ถ้ามองไม่ออกก็ไม่เอา ข้อนี้สำคัญครับ พอเราไม่เอาแล้ว ราคาหุ้นจะขึ้นระเบิดระเบ้อก็ปล่อยเขาไป ไม่ต้องไปเสียดายหรือเสียใจอะไร
ถ้ามองออกก็น่าสน
เราอาจจะเดาได้เป๊ะๆยิ่งดี
ถ้าไม่เป๊ะ ก็เอาใกล้เคียง หรือเอาขั้นต่ำจะต้องได้สักเท่านั้นเท่านี้ เป็นต้น (อย่าง sat ผมต้องการแค่ที่เคยทำได้ซึ่งก็คือ eps 2 บาท/หุ้น เท่ากับของเดิมเท่านั้นเอง และคิดว่าน่าจะmeได้ภายในปี 54 แค่นี้ก็โอแล้ว)
2. จาก eps ในข้อ 1. เราก็มากะดูว่าหุ้นแบบนั้นๆควรจะได้p/eที่เหมาะสมสักเท่าไหร่ และราคาหุ้นควรจะเป็นเท่าไหร่ (อย่าง sat ผมว่าสัก 10 เท่าก็ไม่น่าแพงอะไร)
3. เหลือบมาดูราคาหุ้นถ้ามีโอกาสขึ้นไปสักหนึ่งเด้ง ก็ใช่แล้วล่ะ :lol:
(ก็ตอนนั้น sat อยู่แถวๆ 6 บาทเอง ก็จัดการซะเลย)
4. พอซื้อแล้วเราก็ติดตามผลงานว่าบริษัททำได้เท่าไหร่
(กลายเป็นว่าทำได้ดีกว่าที่คาด เราก็ขยับเป้าหมายขึ้นได้ แต่ถ้าทำได้ต่ำกว่าคาดและไม่มีวี่แววจะเป็นไปตามนั้นเลย เราก็ปรับเป้าหมายลงมา)
ถ้าผิดรบกวนหนูกับโยมาช่วยแก้ไขได้เลย
1. ใช้วิธีมองกำไรในอนาคตสัก 1-3 ปีครับ
ถ้ามองไม่ออกก็ไม่เอา ข้อนี้สำคัญครับ พอเราไม่เอาแล้ว ราคาหุ้นจะขึ้นระเบิดระเบ้อก็ปล่อยเขาไป ไม่ต้องไปเสียดายหรือเสียใจอะไร
ถ้ามองออกก็น่าสน
เราอาจจะเดาได้เป๊ะๆยิ่งดี
ถ้าไม่เป๊ะ ก็เอาใกล้เคียง หรือเอาขั้นต่ำจะต้องได้สักเท่านั้นเท่านี้ เป็นต้น (อย่าง sat ผมต้องการแค่ที่เคยทำได้ซึ่งก็คือ eps 2 บาท/หุ้น เท่ากับของเดิมเท่านั้นเอง และคิดว่าน่าจะmeได้ภายในปี 54 แค่นี้ก็โอแล้ว)
2. จาก eps ในข้อ 1. เราก็มากะดูว่าหุ้นแบบนั้นๆควรจะได้p/eที่เหมาะสมสักเท่าไหร่ และราคาหุ้นควรจะเป็นเท่าไหร่ (อย่าง sat ผมว่าสัก 10 เท่าก็ไม่น่าแพงอะไร)
3. เหลือบมาดูราคาหุ้นถ้ามีโอกาสขึ้นไปสักหนึ่งเด้ง ก็ใช่แล้วล่ะ :lol:
(ก็ตอนนั้น sat อยู่แถวๆ 6 บาทเอง ก็จัดการซะเลย)
4. พอซื้อแล้วเราก็ติดตามผลงานว่าบริษัททำได้เท่าไหร่
(กลายเป็นว่าทำได้ดีกว่าที่คาด เราก็ขยับเป้าหมายขึ้นได้ แต่ถ้าทำได้ต่ำกว่าคาดและไม่มีวี่แววจะเป็นไปตามนั้นเลย เราก็ปรับเป้าหมายลงมา)
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 395
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมตอนนั้นผมซื้อยานยนต์
โพสต์ที่ 106
ขอถามต่ออีกข้อนะครับในกรณีsatหรือstanlyยังมีtrendที่เราสามารถมองเห็นว่าอุตสาหกรรมรถยนต์สามารถโตได้ มีฐานลูกค้าเก่าที่กำลังเพิ่มการผลิตทำให้เราคาดการกำไรอนาคตได้แต่อย่างstpiที่เป็นหุ้นรับเหมานี่คุณหมอคาดการกำไรยังไงครับเพราะจากที่ผมดูแค่คาดการปีเดียวยังยากเลยเพราะเป็นงานประมูลที่ไม่รู้เมื่อไหร่จะมาเมื่อไหร่จะมี
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
ทำไมตอนนั้นผมซื้อยานยนต์
โพสต์ที่ 110
ตัวนี้ผมก็กะกำไรผิดนะครับpwz เขียน:ขอถามต่ออีกข้อนะครับในกรณีsatหรือstanlyยังมีtrendที่เราสามารถมองเห็นว่าอุตสาหกรรมรถยนต์สามารถโตได้ มีฐานลูกค้าเก่าที่กำลังเพิ่มการผลิตทำให้เราคาดการกำไรอนาคตได้แต่อย่างstpiที่เป็นหุ้นรับเหมานี่คุณหมอคาดการกำไรยังไงครับเพราะจากที่ผมดูแค่คาดการปีเดียวยังยากเลยเพราะเป็นงานประมูลที่ไม่รู้เมื่อไหร่จะมาเมื่อไหร่จะมี
คือมันกำไรมากกว่าที่คาดไว้เยอะเลย
ก็เลยขายหมูไป
ย้อนมาดูงบก็พบว่าตัวที่ทำให้คาดการผิดนั้นคืออะไร
ก็เป็นไปตามที่ผู้สอบบัญชีตั้งข้อสังเกตไว้ว่า
การตกลงทำงานให้กันผมมองว่าต้องตกลงราคากันจนเรียบร้อยก่อนนั่นแหละในระหว่างไตรมาสที่หนึ่งของปีปัจจุบัน บริษัทฯได้มีการลงนามตกลงมูลค่าทั้งหมดของสัญญา (Final Statements) กับคู่สัญญาก่อสร้างแห่งหนึ่งในต่างประเทศเป็นจำนวน 16,385 ล้านบาท มูลค่าดังกล่าวได้รวมงานส่วนเพิ่มที่นอกเหนือจากสัญญาหลักที่เคยตกลงไว้กับคู่สัญญา ซึ่งรายได้ที่บริษัทฯรับรู้ในงวดปัจจุบันที่สำคัญประกอบด้วย (1) รายได้จำนวน 1,111 ล้านบาท เป็นงานที่คู่สัญญาให้บริษัทฯดำเนินการในไตรมาสปัจจุบัน และงานส่วนเพิ่มที่บริษัทฯได้ดำเนินการในอดีตแต่บริษัทฯรับรู้รายได้ตามอัตราที่กำหนดในสัญญาเดิมเนื่องจากยังไม่มีการตกลงราคากับคู่สัญญาทำให้มีความไม่แน่นอนว่าบริษัทฯจะมีสิทธิเรียกเก็บได้จำนวนเท่าไหร่ และ (2) เงินชดเชยค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าเร่งงานและค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องจากการที่คู่สัญญาส่งแบบก่อสร้างและวัตถุดิบให้กับบริษัทฯช้ากว่ากำหนดอีกจำนวนประมาณ 1,101 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯและคู่สัญญาตกลงกันได้ในไตรมาสปัจจุบัน
ที่ทำๆไปก่อนจนเกือบเสร็จแล้วค่อยตกลงราคาได้
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
-
- Verified User
- โพสต์: 134
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมตอนนั้นผมซื้อยานยนต์
โพสต์ที่ 113
การตกลงทำงานให้กันผมมองว่าต้องตกลงราคากันจนเรียบร้อยก่อนนั่นแหละสามัญชน เขียน: ตัวนี้ผมก็กะกำไรผิดนะครับ
คือมันกำไรมากกว่าที่คาดไว้เยอะเลย
ก็เลยขายหมูไป
ย้อนมาดูงบก็พบว่าตัวที่ทำให้คาดการผิดนั้นคืออะไร
ก็เป็นไปตามที่ผู้สอบบัญชีตั้งข้อสังเกตไว้ว่า
ที่ทำๆไปก่อนจนเกือบเสร็จแล้วค่อยตกลงราคาได้
-
- Verified User
- โพสต์: 175
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมตอนนั้นผมซื้อยานยนต์
โพสต์ที่ 115
ที่น่าจับตาคืออินโดฯครับ ล่าสุดเห็นข่าวโตโยต้าย้ายฐานฟอร์จูนเนอร์จากไทยไปแล้ว เห็นผลสำคัญคือ ขนาดตลาดรถโดยรวมของอินโด และยอดขายของโตต้าในอินโดที่พุ่งขึ้นมาเท่าๆกับไทยแล้ว (ซึ่งเมือ่เป็นเช่นนี้มองแนวโน้มในอนาคตอินโดฯกลายเป็นเหนือกว่าเรามาก เพราะขนาดประชากรของประเทศที่มากกว่า ระดับการพัฒนาของประเทศเค้าที่ต่ำกว่า และที่สำคัญคือเสถียรภาพของประเทศที่ไทยเรามาเสียท่าในช่วงหลังๆนี้
และข้อตกลงอาฟต้าทำให้โตต้าตัดสินใจง่ายขึ้น เพราะออกจากไทยไปก็ยังส่งรถจากอินโดมาไทยได้
และข้อตกลงอาฟต้าทำให้โตต้าตัดสินใจง่ายขึ้น เพราะออกจากไทยไปก็ยังส่งรถจากอินโดมาไทยได้
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1085
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมตอนนั้นผมซื้อยานยนต์
โพสต์ที่ 117
โตโยต้าย้ายฐานผลิตฟอร์จูนเนอร์จากไทยไปอินโดฯ
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ประธานโตโยต้า อินโดนีเซีย เผย บริษัทแม่เตรียมย้ายฐานการผลิตรถฟอร์จูนเนอร์ จากไทยไปอินโดนีเซีย เหตุจากความไม่มั่นคงทางการเมืองในไทย
จาการ์ตา - หนังสือพิมพ์จาการ์ตา โพสต์ รายงานเมื่อวันศุกร์ (4 มิ.ย.) อ้างนายจอห์นนี ดาร์มาวาน ประธาน พีที โตโยต้า แอสตรา มอเตอร์ ว่า โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ป ผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น วางแผนย้ายฐานการผลิตรถยนต์อเนกประสงค์ รุ่น ฟอร์จูนเนอร์ จากไทย ไปอินโดนีเซีย เริ่มตั้งแต่เดือน ส.ค.นี้ สืบเนื่องจากการไร้เสถียรภาพทางการเมือง ในขณะที่เศรษฐกิจอินโดนีเซียขยายตัวได้ดี อย่างไรก็ตาม โตโยต้าจะไม่ลงทุนเพิ่มเติมในการย้ายฐานผลิตครั้งนี้
นายดาร์มาวาน กล่าวว่า โตโยต้า แอสตรา จะเพิ่มกำลังการผลิตที่โรงงานในเมืองคาราวัง จาก 60,000 คันต่อปี เป็น 100,000 คันต่อปี และจะจ้างคนงานเพิ่มเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว โดยฐานการผลิตในอินโดนีเซีย จะป้อนสินค้าให้กับตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และตะวันออกกลาง
ในเบื้องต้น โตโยต้าวางแผนตั้งฐานการผลิตรถฟอร์จูนเนอร์ในอินโดนีเซีย แต่ตัดสินใจโยกมาไทยเมื่อเดือน ก.ย. 2545 หลังจากพิจารณาปัจจัยด้านการตลาด และประสิทธิภาพอื่นๆ
นอกเหนือจากเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจของอินโดนีเซียแล้ว นายดาร์มาวาน กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้ โตโยต้า ตัดสินใจย้ายฐานการผลิตไปที่อินโดนีเซีย คือ ยอดขายรถฟอร์จูนเนอร์ที่เพิ่มขึ้นในอินโดนีเซีย โดยรายงานก่อนหน้านี้ ระบุว่า ยอดขายระหว่างเดือน ม.ค.-มี.ค. เพิ่มขึ้น 61.2% เป็น 2,536 คัน และสามารถครองส่วนแบ่งประมาณ 24.7% ของตลาดรถยนต์อเนกประสงค์ในอินโดนีเซีย
ทั้งนี้ โตโยต้ามียอดจำหน่ายรถโดยรวม 66,307 คันในอินโดนีเซียในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ เพิ่มขึ้น 62.4% จากยอด 40,820 คันในช่วงเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว และตั้งเป้าจำหน่าย 216,000 คันตลอดปีนี้ ขณะที่คาดว่ายอดจำหน่ายรถยนต์ทั้งหมดในอินโดนีเซีย จะอยู่ที่ประมาณ 600,000 คัน โดยได้แรงหนุนจากอัตราดอกเบี้ยต่ำ และการชะลอเก็บภาษีสินค้าฟุ่มเฟือย
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ประธานโตโยต้า อินโดนีเซีย เผย บริษัทแม่เตรียมย้ายฐานการผลิตรถฟอร์จูนเนอร์ จากไทยไปอินโดนีเซีย เหตุจากความไม่มั่นคงทางการเมืองในไทย
จาการ์ตา - หนังสือพิมพ์จาการ์ตา โพสต์ รายงานเมื่อวันศุกร์ (4 มิ.ย.) อ้างนายจอห์นนี ดาร์มาวาน ประธาน พีที โตโยต้า แอสตรา มอเตอร์ ว่า โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ป ผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น วางแผนย้ายฐานการผลิตรถยนต์อเนกประสงค์ รุ่น ฟอร์จูนเนอร์ จากไทย ไปอินโดนีเซีย เริ่มตั้งแต่เดือน ส.ค.นี้ สืบเนื่องจากการไร้เสถียรภาพทางการเมือง ในขณะที่เศรษฐกิจอินโดนีเซียขยายตัวได้ดี อย่างไรก็ตาม โตโยต้าจะไม่ลงทุนเพิ่มเติมในการย้ายฐานผลิตครั้งนี้
นายดาร์มาวาน กล่าวว่า โตโยต้า แอสตรา จะเพิ่มกำลังการผลิตที่โรงงานในเมืองคาราวัง จาก 60,000 คันต่อปี เป็น 100,000 คันต่อปี และจะจ้างคนงานเพิ่มเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว โดยฐานการผลิตในอินโดนีเซีย จะป้อนสินค้าให้กับตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และตะวันออกกลาง
ในเบื้องต้น โตโยต้าวางแผนตั้งฐานการผลิตรถฟอร์จูนเนอร์ในอินโดนีเซีย แต่ตัดสินใจโยกมาไทยเมื่อเดือน ก.ย. 2545 หลังจากพิจารณาปัจจัยด้านการตลาด และประสิทธิภาพอื่นๆ
นอกเหนือจากเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจของอินโดนีเซียแล้ว นายดาร์มาวาน กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้ โตโยต้า ตัดสินใจย้ายฐานการผลิตไปที่อินโดนีเซีย คือ ยอดขายรถฟอร์จูนเนอร์ที่เพิ่มขึ้นในอินโดนีเซีย โดยรายงานก่อนหน้านี้ ระบุว่า ยอดขายระหว่างเดือน ม.ค.-มี.ค. เพิ่มขึ้น 61.2% เป็น 2,536 คัน และสามารถครองส่วนแบ่งประมาณ 24.7% ของตลาดรถยนต์อเนกประสงค์ในอินโดนีเซีย
ทั้งนี้ โตโยต้ามียอดจำหน่ายรถโดยรวม 66,307 คันในอินโดนีเซียในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ เพิ่มขึ้น 62.4% จากยอด 40,820 คันในช่วงเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว และตั้งเป้าจำหน่าย 216,000 คันตลอดปีนี้ ขณะที่คาดว่ายอดจำหน่ายรถยนต์ทั้งหมดในอินโดนีเซีย จะอยู่ที่ประมาณ 600,000 คัน โดยได้แรงหนุนจากอัตราดอกเบี้ยต่ำ และการชะลอเก็บภาษีสินค้าฟุ่มเฟือย
- jinlhong
- Verified User
- โพสต์: 129
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมตอนนั้นผมซื้อยานยนต์
โพสต์ที่ 119
พี่หมอครับ ที่ผ่านมาสำหรับตัวผมเองก็ชื่นชอบหุ้นรถยนต์ และได้เข้าซื้อ SAT เช่นกันที่ราคาต่ำกว่า 6 บาท และถือด้วยความเชื่อมั่นมาถึงตอนนี้
ตอนนี้ผมสนใจ TRU อยู่ เลยอยากจะให้พี่ช่วยชี้แนะหน่อยได้ไหมครับว่าพี่มีมุมมองสำหรับ TRU อย่างไรบ้าง สำหรับผม ผมมองว่าทุนจดทะเบียนของ TRU 500 กว่าล้านหุ้น ซึ่งมากกว่า SAT ที่ 300 ล้านหุ้น และ TRU ผลิตชิ้นส่วน และจิ๊กจับยึดรถยนต์เหมือนกัน แต่ที่ผ่านมาโดน Fortuner และ MU7 ตีกระจาย แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนรถที่ผลิตมาเป็นรถลีมูซีน รถตรวจการทหาร และเข้าร่วมประมูลรถเมลล์ ส่วนชิ้นส่วนรถยนต์ก็มีออเดอร์มากขึ้นตามลำดับ หนี้สินอยู่ในระดับต่ำ มีสภาพคล่องเงินอยู่ประมาณ 800 กว่าล้านบาท BV อยู่ที่ 4.5 ซึ่งสูงกว่าราคาหุ้นปัจจุบันที่ 3.5 บาท ขอคำชี้แนะด้วยครับ ขอบคุณมากครับ
ผลการดำเนินงาน
รายได้
ในไตรมาสที่ 1 ปี 2553 บริษัทฯ มีรายได้รวมเท่ากับ 432.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกัน
ของปีก่อน 133.79 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 44.83 แบ่งเป็นรายได้จากการขายสินค้าและบริการจำนวน
409.89 ล้านบาท รายได้อื่นๆ จำนวน 22.36 ล้านบาท
จากงบการเงิน รวม พบว่ารายได้ จากการขายและบริการเพิ่มขึ้น จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
131.55 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 47.26โดยผลกระทบจากทุกส่วนงานดังนี้
1. รายได้จากการจำหน่ายรถยนต์รวมรายได้ค่าประกอบและค่าอุปกรณ์ติดตั้งที่เกี่ยวข้องรวม 39.73
ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 9.69 ซึ่งลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 36.41 ล้านบาท หรือ
ลดลงร้อยละ 47.82 อันเนื่องมาจากบริษัทเริ่มดำเนินการผลิตรถอเนกประสงค์รุ่นประหยัด
และรถลีมูซีนเพื่อขายในไตรมาสถัดไป
2. รายได้จากการขายชิ้นส่วนและรับจ้างประกอบรวม 322.50 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 78.68
ซึ่งเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 156.97 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 94.83
3. รายได้จากการรับจ้างทำแม่พิมพ์และจิ๊กจำนวน 18.65 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 4.55
ซึ่งเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 9.48 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 103.38
4. รายได้จากการให้บริการศูนย์บริการรถยนต์จำนวน 29.01 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 7.08
ซึ่งเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 1.51 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.49
จากการที่บริษัทฯ มีรายได้จากการขายสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากธุรกิจชิ้น
ส่วนและรับจ้างประกอบมีปริมาณการสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นของลูกค้า มีลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้นจากการได้รับ
ความไว้วางใจในศักยภาพการผลิตให้ได้สินค้าที่มีคุณภาพอย่างต่อเนื่อง
ตอนนี้ผมสนใจ TRU อยู่ เลยอยากจะให้พี่ช่วยชี้แนะหน่อยได้ไหมครับว่าพี่มีมุมมองสำหรับ TRU อย่างไรบ้าง สำหรับผม ผมมองว่าทุนจดทะเบียนของ TRU 500 กว่าล้านหุ้น ซึ่งมากกว่า SAT ที่ 300 ล้านหุ้น และ TRU ผลิตชิ้นส่วน และจิ๊กจับยึดรถยนต์เหมือนกัน แต่ที่ผ่านมาโดน Fortuner และ MU7 ตีกระจาย แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนรถที่ผลิตมาเป็นรถลีมูซีน รถตรวจการทหาร และเข้าร่วมประมูลรถเมลล์ ส่วนชิ้นส่วนรถยนต์ก็มีออเดอร์มากขึ้นตามลำดับ หนี้สินอยู่ในระดับต่ำ มีสภาพคล่องเงินอยู่ประมาณ 800 กว่าล้านบาท BV อยู่ที่ 4.5 ซึ่งสูงกว่าราคาหุ้นปัจจุบันที่ 3.5 บาท ขอคำชี้แนะด้วยครับ ขอบคุณมากครับ
ผลการดำเนินงาน
รายได้
ในไตรมาสที่ 1 ปี 2553 บริษัทฯ มีรายได้รวมเท่ากับ 432.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกัน
ของปีก่อน 133.79 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 44.83 แบ่งเป็นรายได้จากการขายสินค้าและบริการจำนวน
409.89 ล้านบาท รายได้อื่นๆ จำนวน 22.36 ล้านบาท
จากงบการเงิน รวม พบว่ารายได้ จากการขายและบริการเพิ่มขึ้น จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
131.55 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 47.26โดยผลกระทบจากทุกส่วนงานดังนี้
1. รายได้จากการจำหน่ายรถยนต์รวมรายได้ค่าประกอบและค่าอุปกรณ์ติดตั้งที่เกี่ยวข้องรวม 39.73
ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 9.69 ซึ่งลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 36.41 ล้านบาท หรือ
ลดลงร้อยละ 47.82 อันเนื่องมาจากบริษัทเริ่มดำเนินการผลิตรถอเนกประสงค์รุ่นประหยัด
และรถลีมูซีนเพื่อขายในไตรมาสถัดไป
2. รายได้จากการขายชิ้นส่วนและรับจ้างประกอบรวม 322.50 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 78.68
ซึ่งเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 156.97 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 94.83
3. รายได้จากการรับจ้างทำแม่พิมพ์และจิ๊กจำนวน 18.65 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 4.55
ซึ่งเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 9.48 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 103.38
4. รายได้จากการให้บริการศูนย์บริการรถยนต์จำนวน 29.01 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 7.08
ซึ่งเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 1.51 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.49
จากการที่บริษัทฯ มีรายได้จากการขายสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากธุรกิจชิ้น
ส่วนและรับจ้างประกอบมีปริมาณการสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นของลูกค้า มีลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้นจากการได้รับ
ความไว้วางใจในศักยภาพการผลิตให้ได้สินค้าที่มีคุณภาพอย่างต่อเนื่อง
Next station @10 >> Final station - Terminal21