ทบทวน...
- tenkafubu
- Verified User
- โพสต์: 224
- ผู้ติดตาม: 0
ทบทวน...
โพสต์ที่ 1
ผมว่าเรามาทบทวนแนวคิดและวิธีการของเราในการลงทุนดีกว่าน่ะครับ..ผลตอบแทนการลงทุนของผมปีนี้ได้ 4.52% และเป็นปีแรกที่มาคิด ตอนปี 46 ยังไม่ได้คิดว่าผลตอบแทนจริงเท่าไหร่?? จึงเริ่มเอาปีนี้แล้วกัน..
1..ตอนต้นปีผมตั้งใจว่าจะลงทุนแบบเอาปันผลสูงไว้ก่อนเลย น้ำหนักการลงทุนส่วนใหญ่จึงเป็นหุ้นปันผลสูง ผมเลยตั้งใจซื้อหุ้นประกันครับ pha ครับ พระเอกของเรื่อง
2..การซื้อหุ้นประกันตัวนี้ของผม เกิดจากความอยาก ครับ..เห็นคนอื่น เห็นว่าปันผลสูง เขามีหุ้นประกันกัน ทั้งดู ROE เพิ่มขึ้นสูงหลายปีติดครับ.. รวมทั้ง PE ไม่เกิน 10 p/b ~ 1.2 NPM ก็สูงขึ้นตลอด
3..ตอนซื้อ ผมเข้าซื้อเลย พอดูตัวเลข พวกนี้คร่าวๆ ย้อนหลังจาก set.or.th เสร็จ ซึ่งตอนนั้นเพิ่งประกาศงบประจำปี46 :lol:
4..พองบ Q1/04 ออก EPS ลดลงอย่างมากครับ เมื่อเทียบกับปีก่อน ผมก็คิดว่าเป็นโอกาสแล้ว ซื้อเพิ่มเลย แต่มาดูงบใหม่ครับ eps ลดลงของกำไรจากการลงทุนที่ลดลง ผมเลยคิดว่าอย่าเพิ่ง
5..และถือมันมาจนปัจจุบันครับ...ไม่ยอมขาย แม้ว่าจะขาดทุนจากผลต่างราคาอย่างมากครับ..
บทเรียนที่ได้ของผม คือ
1..สูงสุดสู่สามัญ ผลตอบแทนจากตลาดที่สูงมากนั้น จะส่งให้ปีถัดไปทำได้ยากขึ้น
2..อย่าเพิ่งลงทุน จนกว่าจะดูรายละเอียดมากพอแล้ว ประกัน มีรายได้ 2 ทาง คือ เบี้ยประกัน และกำไรจากการลงทุน
3..ความน่าจะเป็นเป็นสิ่งสำคัญ ผมมาคิดความน่าจะเป็นของราคา โดยประมาณราคาหุ้นที่ผลตอบแทน 10% ซึ่งเป็นระดับราคาปีที่EPS ต่ำสุด พบว่า ผมมีโอกาสขาดทุน ถึง 42.5% ที่ระดับราคาที่ผมซื้อ ซึ่งนับว่าสูงมาก เมื่อเทียบกับตัวอื่นๆ ที่มีอยู่
เมื่อขาดทุนแล้ว 5% ผมถามตัวเองว่าถือต่อไหม?? คำตอบคือ ถือ
เมื่อขาดทุนแล้ว 10% ผมถามตัวเองอีกว่าถือต่อไหม?? คำตอบ เหมือนเดิม
ทำไมผมถึง ถือต่อ เพราะการที่จะทำให้ได้ผลตอบแทนเท่าเดิม ต้องทำให้ได้ถึง 11.11% ซึ่งสูงมาก เมื่อมาเทียบกับปันผลที่คาดว่าจะได้ 4% ในปีหน้าแล้วก็ยังขาดทุนอยู่ดี
คำตอบ คือ ผมตัดใจขายไม่ได้ครับ จึงทำให้ผลตอบแทนทั้งพอร์ทลดลงมาก เนื่องจากสัดส่วนการลงทุนที่สูง เทียบไม่ได้กับปีที่แล้ว ที่ผมตัดใจขายหุ้นตัวนึง เมื่อราคาลงมา 5% อย่างไม่ลังเล
เกือบ 1 ปี กับพระ เอกของเรื่อง ที่ผมต้องทำอะไรซักอย่างในวันนึงข้างหน้า?? ครับ
1..ตอนต้นปีผมตั้งใจว่าจะลงทุนแบบเอาปันผลสูงไว้ก่อนเลย น้ำหนักการลงทุนส่วนใหญ่จึงเป็นหุ้นปันผลสูง ผมเลยตั้งใจซื้อหุ้นประกันครับ pha ครับ พระเอกของเรื่อง
2..การซื้อหุ้นประกันตัวนี้ของผม เกิดจากความอยาก ครับ..เห็นคนอื่น เห็นว่าปันผลสูง เขามีหุ้นประกันกัน ทั้งดู ROE เพิ่มขึ้นสูงหลายปีติดครับ.. รวมทั้ง PE ไม่เกิน 10 p/b ~ 1.2 NPM ก็สูงขึ้นตลอด
3..ตอนซื้อ ผมเข้าซื้อเลย พอดูตัวเลข พวกนี้คร่าวๆ ย้อนหลังจาก set.or.th เสร็จ ซึ่งตอนนั้นเพิ่งประกาศงบประจำปี46 :lol:
4..พองบ Q1/04 ออก EPS ลดลงอย่างมากครับ เมื่อเทียบกับปีก่อน ผมก็คิดว่าเป็นโอกาสแล้ว ซื้อเพิ่มเลย แต่มาดูงบใหม่ครับ eps ลดลงของกำไรจากการลงทุนที่ลดลง ผมเลยคิดว่าอย่าเพิ่ง
5..และถือมันมาจนปัจจุบันครับ...ไม่ยอมขาย แม้ว่าจะขาดทุนจากผลต่างราคาอย่างมากครับ..
บทเรียนที่ได้ของผม คือ
1..สูงสุดสู่สามัญ ผลตอบแทนจากตลาดที่สูงมากนั้น จะส่งให้ปีถัดไปทำได้ยากขึ้น
2..อย่าเพิ่งลงทุน จนกว่าจะดูรายละเอียดมากพอแล้ว ประกัน มีรายได้ 2 ทาง คือ เบี้ยประกัน และกำไรจากการลงทุน
3..ความน่าจะเป็นเป็นสิ่งสำคัญ ผมมาคิดความน่าจะเป็นของราคา โดยประมาณราคาหุ้นที่ผลตอบแทน 10% ซึ่งเป็นระดับราคาปีที่EPS ต่ำสุด พบว่า ผมมีโอกาสขาดทุน ถึง 42.5% ที่ระดับราคาที่ผมซื้อ ซึ่งนับว่าสูงมาก เมื่อเทียบกับตัวอื่นๆ ที่มีอยู่
เมื่อขาดทุนแล้ว 5% ผมถามตัวเองว่าถือต่อไหม?? คำตอบคือ ถือ
เมื่อขาดทุนแล้ว 10% ผมถามตัวเองอีกว่าถือต่อไหม?? คำตอบ เหมือนเดิม
ทำไมผมถึง ถือต่อ เพราะการที่จะทำให้ได้ผลตอบแทนเท่าเดิม ต้องทำให้ได้ถึง 11.11% ซึ่งสูงมาก เมื่อมาเทียบกับปันผลที่คาดว่าจะได้ 4% ในปีหน้าแล้วก็ยังขาดทุนอยู่ดี
คำตอบ คือ ผมตัดใจขายไม่ได้ครับ จึงทำให้ผลตอบแทนทั้งพอร์ทลดลงมาก เนื่องจากสัดส่วนการลงทุนที่สูง เทียบไม่ได้กับปีที่แล้ว ที่ผมตัดใจขายหุ้นตัวนึง เมื่อราคาลงมา 5% อย่างไม่ลังเล
เกือบ 1 ปี กับพระ เอกของเรื่อง ที่ผมต้องทำอะไรซักอย่างในวันนึงข้างหน้า?? ครับ
3M Only...
Market Cap.
Market Cap.
- house
- Verified User
- โพสต์: 683
- ผู้ติดตาม: 0
ทบทวน...
โพสต์ที่ 2
ข้อผิดพลาด ปีนี้เพียบเลยครับ ยังดีว่าค่าเรียนไม่แพงเท่าไหร่
ข้อแรก คือ บ้าหุ้น growth ครับ ตัวไหน ประเมินว่าจะโตนี่โดดใส่ ไม่ดูตาม้าตาเรือและยอมรับ PE ที่สูงๆ ซึ่งทำให้ margin of safety ลดลง โดย เชื่อว่าโอกาสได้สูงกว่าความเสี่ยงที่เกิดขึ้น(Overconfident ครับ ) บางตัวซื้อมาในราคาที่เรียกว่า PE impossible เลยหันไปดูทีหลังนี่ margin of safety ติดลบไปแล้วแต่ margin of loss เพียบ ที่สำคัญคือความโลภมีอิทธิพลเหนือความรู้ครับ นั่งหา intrinsic value อยู่คืนนึงพบว่าราคามัน over ไปแล้ว ยังดันซื้อเพราะเชื่อว่ามันจะขึ้นไปอีก(ในความเป็นจริงมันลงครับ) เข็ดแล้วอันนี้
ข้อถัดมา คือตัดอารมณ์ตัวเองไม่ขาด พอมันตกมากๆ under value แล้วแต่ดันไม่กล้าเก็บ พอมันขึ้นดันไล่(เพราะยังต่ำกว่าที่คำนวณได้) ข้อนี้เป็นปัญหามาก เพราะทำให้ต้นทุนหุ้นสูงโดยใช่เหตุ หลายๆตัวแทนที่จะได้ margin of safety ที่ 30 ก็เหลือ แค่ 10-15 เท่านั้น
ข้อสามคืออคติเนื่องจากรักในกิจการครับ คืออยากเป็นเจ้าของบริษัทประเภทนี้ก็เลยซื้อ ปัญหาคือ มี bias ในการวิเคราะห์ตั้งแต่ต้นจนจบ คือมองมันในแง่ดีเกินเหตุตลอด และตัดใจขายไม่ได้ (แค่ short againt port ยังทำใจไม่ได้เลยครับ) เพราะในใจลึกๆยังหวังว่าจะกลับมา เค้าแค่เป๋ไป
ข้อสุดท้าย คือขาดความรู้ความเข้าใจในธุรกิจหลายๆประเภท ทำให้ขอบเขตของหุ้นที่ลงทุนได้ถูกจำกัดลงอย่างมาก
ข้อแรก คือ บ้าหุ้น growth ครับ ตัวไหน ประเมินว่าจะโตนี่โดดใส่ ไม่ดูตาม้าตาเรือและยอมรับ PE ที่สูงๆ ซึ่งทำให้ margin of safety ลดลง โดย เชื่อว่าโอกาสได้สูงกว่าความเสี่ยงที่เกิดขึ้น(Overconfident ครับ ) บางตัวซื้อมาในราคาที่เรียกว่า PE impossible เลยหันไปดูทีหลังนี่ margin of safety ติดลบไปแล้วแต่ margin of loss เพียบ ที่สำคัญคือความโลภมีอิทธิพลเหนือความรู้ครับ นั่งหา intrinsic value อยู่คืนนึงพบว่าราคามัน over ไปแล้ว ยังดันซื้อเพราะเชื่อว่ามันจะขึ้นไปอีก(ในความเป็นจริงมันลงครับ) เข็ดแล้วอันนี้
ข้อถัดมา คือตัดอารมณ์ตัวเองไม่ขาด พอมันตกมากๆ under value แล้วแต่ดันไม่กล้าเก็บ พอมันขึ้นดันไล่(เพราะยังต่ำกว่าที่คำนวณได้) ข้อนี้เป็นปัญหามาก เพราะทำให้ต้นทุนหุ้นสูงโดยใช่เหตุ หลายๆตัวแทนที่จะได้ margin of safety ที่ 30 ก็เหลือ แค่ 10-15 เท่านั้น
ข้อสามคืออคติเนื่องจากรักในกิจการครับ คืออยากเป็นเจ้าของบริษัทประเภทนี้ก็เลยซื้อ ปัญหาคือ มี bias ในการวิเคราะห์ตั้งแต่ต้นจนจบ คือมองมันในแง่ดีเกินเหตุตลอด และตัดใจขายไม่ได้ (แค่ short againt port ยังทำใจไม่ได้เลยครับ) เพราะในใจลึกๆยังหวังว่าจะกลับมา เค้าแค่เป๋ไป
ข้อสุดท้าย คือขาดความรู้ความเข้าใจในธุรกิจหลายๆประเภท ทำให้ขอบเขตของหุ้นที่ลงทุนได้ถูกจำกัดลงอย่างมาก
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6483
- ผู้ติดตาม: 1
ทบทวน...
โพสต์ที่ 3
บทเรียนที่มีค่าสำหรับปีนี้คือการขาดทุนหุ้น grand ครับ
ซื้อตั้งแต่ 3.44 บาท ถึง 1.98 บาท ได้ราคาเฉลี่ย 2.99 บาท
ทยอยขายตัดขาดทุนไปเรื่อยๆ ราคาเฉลี่ย 2.26 บาท
และถือมากถึง 25% ของพอร์ต เฉพาะตัวนี้ตัวเดียวทำเอาพอร์ตขาดทุนถึง 6.25% !!
ได้รู้จักหุ้นตัวนี้ เพราะกระทู้จากพี่เจ๋ง (แต่ไม่เคยแม้แต่จะคิด ที่จะไปโทษพี่เจ๋งเลยครับ พี่คงทราบดี) :lol:
เห็นว่าราคาลดลงมากจากราคา ipo ที่ 4.85 บาท
เข้าไปดูรายละเอียด ได้รู้ว่าที่ขาดทุนปีที่แล้วเพราะปิดปรับปรุงห้องพักครับ
และที่น่าสนใจที่สุดคือปีหน้าจะมีกำไรจากโครงการคอนโด-ห้องพักวิลล่าที่หัวหินถึง 300-372 ล้านบาท หรือคิดจากหุ้น 600 ล้านหุ้น ได้กำไรต่อหุ้น 0.5-0.62 บาท ที่ราคา 3 บาท พีอีแค่ 5-6 เท่า !!
เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีโครงการใหญ่ๆ ที่น่าจะทำเงินอีกหลายโครงการ..คือ
1.โครงการโรงแรมคราวน์พลาซ่า ที่สุขุมวิท 27 เชน Inter Contnental Group 380 ห้อง ระดับ4-1/2 ดาว
2.โครงการโรงแรม เชอราตัน บลูลากูน ด้านหน้าโครงการบลูลากูนคอนโดและวิลล่า เชนเชอร์ราตัน มี 250 ห้อง ระดับ 5 ดาว
3.โครงการโรงแรมโพพ้อย ที่ด้านหน้าจังซีลอน ภูเก็ต เชนเวสติน มี 209 ห้อง ระดับ 4 ดาว
4.โครงการโรงแรมรีเจ้นต์ (ก่อนหน้านี้เข้าใจว่าเป็น W Hotel) เชนรีเจนต์ มี 340 ห้อง ระดับ 5 ดาว สุขุมวิท 13
5.โครงการเดอะรีเจนต์ เรสซิเดนซ์ คอนโด 350 ห้อง อยู่ด้านหลังโรงแรม เป็นคอนโดระดับบน
6.โครงการเดอะเทรนด์ดี้ เป็นอาคารสำนักงาน 32 ชั้น และคอนโด 19 ชั้น อยู่ที่สุขุมวิท 13 เช่นกัน
เฉพาะแค่โครงการ 4 ถึง 6 ใช้เงินลงทุนถึง 5,000 ล้านบาท !!
สรุปได้ว่ามูลเหตุที่เข้าซื้อเพราะต้องการเก็งกำไรผลประกอบการที่น่าจะสูงมากในปีนี้
แต่กาลกลับพลิกผัน ไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ครับคือ
1.โรงแรมเวสติน ยังคงปิดซ่อมแซมบางส่วน 129 ห้อง
2.โครงการอสังหาคอนโดและวิลล่าที่หัวหิน แม้จะขายได้เกือบหมดแล้ว แต่ส่วนใหญ่ยังไม่สามารถรับรู้รายได้
จากเหตุผลข้างต้นทำให้กำไร 9 เดือนทำได้แค่ 28 ล้านบาท เปรียบเทียบกับที่ประมาณการไว้ก่อน IPO ที่ประมาณ 370 ล้านบาท แม้ภายหลังจะปรับลดลงเหลือ 272 ล้านบาท ก็ยังห่างไกลจากเป้าหมายมากครับ เหลือไตรมาสเดียวผมไม่แน่ใจว่าจะทำได้หรือเปล่า
ประกอบกับโครงการใหม่ๆ ต่างๆ ต้องการเงินทุนสูงมาก ทั้งต้นทุนค่าวัสดุก่อสร้าง ดอกเบี้ยก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทั้งนี้บริษัทมีเงินกู้สิ้นไตรมาส 3 ประมาณ 2 พันล้านบาทแล้ว ไม่รู้ว่าโครงการใหม่ๆ จะทำให้ D/E ของบริษัทสูงขึ้นอีกเท่าไหร่...
เมื่อเป็นอย่างนี้ ผมก็ยอมแพ้ครับ ตัดสินใจขายขาดทุนไป
สำหรับเพื่อนๆ ที่ถือ grand นอกจากปัจจัยที่ผมว่ามา ซึ่งอ่านแล้วต้องใช้วิจารณญานนะครับ ก็ยังมีข้อดีบ้าง เช่นยังมีรายได้ที่ยังไม่รับรู้จากโครงการที่หัวหิน ถึง 900 ล้านบาท ซึ่งคงมีกำไรพอสมควรครับ สำหรับโครงการใหม่ๆ หากทำได้ และมีเงินทุนเพียงพอเหมือนที่ผู้บริหารคาดไว้ ก็อาจจะเพิ่มกำไรได้มากในอนาคตครับ
บทเรียนครั้งนี้สอนผมว่า...
1.อย่าซื้อหุ้นที่มีค่าเผื่อความปลอดภัยน้อย เช่นไม่มีปันผล grand มีขาดทุนสะสมประมาณอีก 400ล้าน
2.อย่าเก็งกำไร เหมือนที่หลายท่านว่าไว้ครับ คนเราเชี่ยวไม่เหมือนกัน เอาที่เหมาะกับตัวเราดีกว่า
3.อย่าโลภ ทำให้มองโลกอย่างที่เราอยากให้เป็น และให้กลัวให้มากๆ จะได้ cut loss ไปซะเนิ่นๆ
4.อย่าขาดทุน เพราะเอาคืนยากครับ ขาดทุน 25% ต้องทำผลตอบแทนให้ได้ 33% ถึงจะเท่าทุน!!
ซื้อตั้งแต่ 3.44 บาท ถึง 1.98 บาท ได้ราคาเฉลี่ย 2.99 บาท
ทยอยขายตัดขาดทุนไปเรื่อยๆ ราคาเฉลี่ย 2.26 บาท
และถือมากถึง 25% ของพอร์ต เฉพาะตัวนี้ตัวเดียวทำเอาพอร์ตขาดทุนถึง 6.25% !!
ได้รู้จักหุ้นตัวนี้ เพราะกระทู้จากพี่เจ๋ง (แต่ไม่เคยแม้แต่จะคิด ที่จะไปโทษพี่เจ๋งเลยครับ พี่คงทราบดี) :lol:
เห็นว่าราคาลดลงมากจากราคา ipo ที่ 4.85 บาท
เข้าไปดูรายละเอียด ได้รู้ว่าที่ขาดทุนปีที่แล้วเพราะปิดปรับปรุงห้องพักครับ
และที่น่าสนใจที่สุดคือปีหน้าจะมีกำไรจากโครงการคอนโด-ห้องพักวิลล่าที่หัวหินถึง 300-372 ล้านบาท หรือคิดจากหุ้น 600 ล้านหุ้น ได้กำไรต่อหุ้น 0.5-0.62 บาท ที่ราคา 3 บาท พีอีแค่ 5-6 เท่า !!
เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีโครงการใหญ่ๆ ที่น่าจะทำเงินอีกหลายโครงการ..คือ
1.โครงการโรงแรมคราวน์พลาซ่า ที่สุขุมวิท 27 เชน Inter Contnental Group 380 ห้อง ระดับ4-1/2 ดาว
2.โครงการโรงแรม เชอราตัน บลูลากูน ด้านหน้าโครงการบลูลากูนคอนโดและวิลล่า เชนเชอร์ราตัน มี 250 ห้อง ระดับ 5 ดาว
3.โครงการโรงแรมโพพ้อย ที่ด้านหน้าจังซีลอน ภูเก็ต เชนเวสติน มี 209 ห้อง ระดับ 4 ดาว
4.โครงการโรงแรมรีเจ้นต์ (ก่อนหน้านี้เข้าใจว่าเป็น W Hotel) เชนรีเจนต์ มี 340 ห้อง ระดับ 5 ดาว สุขุมวิท 13
5.โครงการเดอะรีเจนต์ เรสซิเดนซ์ คอนโด 350 ห้อง อยู่ด้านหลังโรงแรม เป็นคอนโดระดับบน
6.โครงการเดอะเทรนด์ดี้ เป็นอาคารสำนักงาน 32 ชั้น และคอนโด 19 ชั้น อยู่ที่สุขุมวิท 13 เช่นกัน
เฉพาะแค่โครงการ 4 ถึง 6 ใช้เงินลงทุนถึง 5,000 ล้านบาท !!
สรุปได้ว่ามูลเหตุที่เข้าซื้อเพราะต้องการเก็งกำไรผลประกอบการที่น่าจะสูงมากในปีนี้
แต่กาลกลับพลิกผัน ไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ครับคือ
1.โรงแรมเวสติน ยังคงปิดซ่อมแซมบางส่วน 129 ห้อง
2.โครงการอสังหาคอนโดและวิลล่าที่หัวหิน แม้จะขายได้เกือบหมดแล้ว แต่ส่วนใหญ่ยังไม่สามารถรับรู้รายได้
จากเหตุผลข้างต้นทำให้กำไร 9 เดือนทำได้แค่ 28 ล้านบาท เปรียบเทียบกับที่ประมาณการไว้ก่อน IPO ที่ประมาณ 370 ล้านบาท แม้ภายหลังจะปรับลดลงเหลือ 272 ล้านบาท ก็ยังห่างไกลจากเป้าหมายมากครับ เหลือไตรมาสเดียวผมไม่แน่ใจว่าจะทำได้หรือเปล่า
ประกอบกับโครงการใหม่ๆ ต่างๆ ต้องการเงินทุนสูงมาก ทั้งต้นทุนค่าวัสดุก่อสร้าง ดอกเบี้ยก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทั้งนี้บริษัทมีเงินกู้สิ้นไตรมาส 3 ประมาณ 2 พันล้านบาทแล้ว ไม่รู้ว่าโครงการใหม่ๆ จะทำให้ D/E ของบริษัทสูงขึ้นอีกเท่าไหร่...
เมื่อเป็นอย่างนี้ ผมก็ยอมแพ้ครับ ตัดสินใจขายขาดทุนไป
สำหรับเพื่อนๆ ที่ถือ grand นอกจากปัจจัยที่ผมว่ามา ซึ่งอ่านแล้วต้องใช้วิจารณญานนะครับ ก็ยังมีข้อดีบ้าง เช่นยังมีรายได้ที่ยังไม่รับรู้จากโครงการที่หัวหิน ถึง 900 ล้านบาท ซึ่งคงมีกำไรพอสมควรครับ สำหรับโครงการใหม่ๆ หากทำได้ และมีเงินทุนเพียงพอเหมือนที่ผู้บริหารคาดไว้ ก็อาจจะเพิ่มกำไรได้มากในอนาคตครับ
บทเรียนครั้งนี้สอนผมว่า...
1.อย่าซื้อหุ้นที่มีค่าเผื่อความปลอดภัยน้อย เช่นไม่มีปันผล grand มีขาดทุนสะสมประมาณอีก 400ล้าน
2.อย่าเก็งกำไร เหมือนที่หลายท่านว่าไว้ครับ คนเราเชี่ยวไม่เหมือนกัน เอาที่เหมาะกับตัวเราดีกว่า
3.อย่าโลภ ทำให้มองโลกอย่างที่เราอยากให้เป็น และให้กลัวให้มากๆ จะได้ cut loss ไปซะเนิ่นๆ
4.อย่าขาดทุน เพราะเอาคืนยากครับ ขาดทุน 25% ต้องทำผลตอบแทนให้ได้ 33% ถึงจะเท่าทุน!!
แก้ไขล่าสุดโดย ลูกอิสาน เมื่อ ศุกร์ ธ.ค. 31, 2004 8:32 pm, แก้ไขไปแล้ว 2 ครั้ง.
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
ทบทวน...
โพสต์ที่ 4
ยอมรับผิดครับ
แต่เอ๊ะ พี่โพสตอน 3.14 นะ ว่าน่าซื้อมาก
http://www.thaivalueinvestor.com/webboa ... rand#28050
แต่เอ๊ะ พี่โพสตอน 3.14 นะ ว่าน่าซื้อมาก
http://www.thaivalueinvestor.com/webboa ... rand#28050
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
ทบทวน...
โพสต์ที่ 5
สิ่งนี้แหละที่ทำให้ผมไม่เคยสนใจบริษัทที่เพิ่งขายหุ้น IPO เลย
ไม่เพียงแต่ตัวเลขประมาณการในอนาคตเท่านั้นนะครับ
หลายบริษัทแต่งตัวเลขทางบัญชีก่อนเข้าตลาดล่วงหน้า 2 ถึง 3 ปี (แต่ถ้าตลาด MAI คงใช้เวลาในการแต่งตัวน้อยกว่าครับ)
แล้วบริษัทที่เป็น FA ที่ประมาณการกำไรแตกต่างจากความจริงมากมายขนาดนี้ จะมีความรับผิดชอบอะไรต่อนักลงทุนบ้าง
รู้สึกว่าถ้าเป็นทางสหรัฐอาจจะฟ้องร้องได้นะครับ
ไม่เพียงแต่ตัวเลขประมาณการในอนาคตเท่านั้นนะครับ
หลายบริษัทแต่งตัวเลขทางบัญชีก่อนเข้าตลาดล่วงหน้า 2 ถึง 3 ปี (แต่ถ้าตลาด MAI คงใช้เวลาในการแต่งตัวน้อยกว่าครับ)
แล้วบริษัทที่เป็น FA ที่ประมาณการกำไรแตกต่างจากความจริงมากมายขนาดนี้ จะมีความรับผิดชอบอะไรต่อนักลงทุนบ้าง
รู้สึกว่าถ้าเป็นทางสหรัฐอาจจะฟ้องร้องได้นะครับ
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6483
- ผู้ติดตาม: 1
ทบทวน...
โพสต์ที่ 6
Jeng เขียน:ยอมรับผิดครับ
แต่เอ๊ะ พี่โพสตอน 3.14 นะ ว่าน่าซื้อมาก
http://www.thaivalueinvestor.com/webboa ... rand#28050
นั่นซิครับพี่ ผมจะโทษใครได้ละครับพี่ ถึงแม้ผมซื้อได้ 2 บาท ผมก็ต้องโทษตัวเองอยู่ดีละครับพี่ :lol:
ผมสนับสนุนการโพสต์ลักษณะนี้อยู่แล้วครับ (แนะนำหุ้นพร้อมเหตุผล) คนอ่านต้องมีวิจรณญานอยู่แล้วครับ ลองคิดดูซิครับว่า หากไม่มีใครกล้าที่จะโพสต์แนะนำหุ้นในเวปนี้ จะเป็นอย่างไรครับ ผมคิดว่าประโยชน์เวปบอร์ดคงน้อยกว่านี้มากครับ
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
- sirivajj
- Verified User
- โพสต์: 985
- ผู้ติดตาม: 0
ทบทวน...
โพสต์ที่ 7
บทเรียนของผมคงจะได้จากการเข้าไปเล่นหุ้นที่หวังผลตอบแทนในแนวเก็งกำไร
จากหุ้น MK, TK ครับ
ถือว่า เป็นการตัดสินใจไปลงทุนในอุตสาหกรรมที่เมื่อก่อนตอนเล่นหุ้นใหม่ๆ
เคยบอกตัวเองไว้นักหนาว่า อย่าเข้าไปยุ่ง
เรียกว่า ปีแรกๆ ของการลงทุน ตั้งการ์ดรัดกุม ทำอะไรก็ระมัดระวัง
ไม่นอกตำรา มองหาเซฟตี้มาร์จินเสมอ
ต่อมาก็เลยคิดว่า ตัวเองแน่ ต้องลองความรู้สักหน่อย
รวมทั้ง ความโลภเข้าครอบงำ ก็เลยแย่ไปตามระเบียบนะครับ
ขาดทุนจาก 2 ตัวนี้ประมาณตัวละกว่า 50%
กับอีกตัวหนึ่งคือ OGC ที่คาดทุนประมาณ 30% กว่า
ตัวนี้ตอนที่ขาดทุนช่วงแรกๆ คิดว่า จะ Cutloss ทิ้งที่ประมาณ 7 - 10%
วันที่จะขายราคามันไหลลงมา ก็เลยคิดว่า เดี๋ยวรอมันกลับขึ้นอีกนิดค่อยขายก็คงได้น่า
ปรากฏว่า มันไหลลงต่ออย่างเร็วมาก และไม่เคยกลับไปตรงที่จะคัด Loss ตรงนั้นก็เลย
ปล่อยเลยตามเลยมาเป็นอย่างที่ว่า
ก็เลยเป็นบทเรียนอีกอันของปี มาเล่าสู่กันฟัง
(ซึ่งยังมีอีก แต่เป็นเรื่องละอันพันละน้อยมารวมกันมากกว่าครับ)
จากหุ้น MK, TK ครับ
ถือว่า เป็นการตัดสินใจไปลงทุนในอุตสาหกรรมที่เมื่อก่อนตอนเล่นหุ้นใหม่ๆ
เคยบอกตัวเองไว้นักหนาว่า อย่าเข้าไปยุ่ง
เรียกว่า ปีแรกๆ ของการลงทุน ตั้งการ์ดรัดกุม ทำอะไรก็ระมัดระวัง
ไม่นอกตำรา มองหาเซฟตี้มาร์จินเสมอ
ต่อมาก็เลยคิดว่า ตัวเองแน่ ต้องลองความรู้สักหน่อย
รวมทั้ง ความโลภเข้าครอบงำ ก็เลยแย่ไปตามระเบียบนะครับ
ขาดทุนจาก 2 ตัวนี้ประมาณตัวละกว่า 50%
กับอีกตัวหนึ่งคือ OGC ที่คาดทุนประมาณ 30% กว่า
ตัวนี้ตอนที่ขาดทุนช่วงแรกๆ คิดว่า จะ Cutloss ทิ้งที่ประมาณ 7 - 10%
วันที่จะขายราคามันไหลลงมา ก็เลยคิดว่า เดี๋ยวรอมันกลับขึ้นอีกนิดค่อยขายก็คงได้น่า
ปรากฏว่า มันไหลลงต่ออย่างเร็วมาก และไม่เคยกลับไปตรงที่จะคัด Loss ตรงนั้นก็เลย
ปล่อยเลยตามเลยมาเป็นอย่างที่ว่า
ก็เลยเป็นบทเรียนอีกอันของปี มาเล่าสู่กันฟัง
(ซึ่งยังมีอีก แต่เป็นเรื่องละอันพันละน้อยมารวมกันมากกว่าครับ)
What do you mean.?
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6483
- ผู้ติดตาม: 1
ทบทวน...
โพสต์ที่ 9
สิ่งที่เป็นกับดักของนักลงทุนหลายๆท่าน
คือซื้อหุ้นที่ปันผลสูงๆ และที่ปันผลสูงๆได้ เพราะมีรายการพิเศษ
หุ้นอย่างนี้ต้องระวังไว้ครับเช่น PHA SAUCE CEI ปีที่ผ่านมา
(แต่ SAUCE ราคาไม่ลดลงมากครับ)
คือซื้อหุ้นที่ปันผลสูงๆ และที่ปันผลสูงๆได้ เพราะมีรายการพิเศษ
หุ้นอย่างนี้ต้องระวังไว้ครับเช่น PHA SAUCE CEI ปีที่ผ่านมา
(แต่ SAUCE ราคาไม่ลดลงมากครับ)
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 1477
- ผู้ติดตาม: 0
ทบทวน...
โพสต์ที่ 10
ของผมเจอกับดัก cash flow เข้าไปครับ เพราะเริ่มลงทุนโดยที่ไม่รู้ว่าดูงบ CF ยังไง เลย Jackpot ไปซื้อบริษัทที่มีกำไรแต่ CF เป็นลบ แถมกู้มาปันผลได้ด้วยอ่ะ มีอยู่ในปอดตั้ง 2 ตัว
ตอนนี้ยังติดอยู่เลยครับ กะว่าประกาศปันผลปีนี้แล้วจะกระโดดหนีแล้ว
พลาดแล้วจะไม่ซ้ำสองครับ ต้องจำไว้
ตอนนี้ยังติดอยู่เลยครับ กะว่าประกาศปันผลปีนี้แล้วจะกระโดดหนีแล้ว
พลาดแล้วจะไม่ซ้ำสองครับ ต้องจำไว้
I do not sleep. I dream.
-
- Verified User
- โพสต์: 222
- ผู้ติดตาม: 0
ทบทวน...
โพสต์ที่ 11
อย่าง sauce นี่มีรายการพิเศษอะไรเหรอครับ? พอดีถือไว้อยู่บ้าง (ไปดู 56-1 ก็ไม่สะดุดตาอะไรแปลกๆแฮะ)สิ่งที่เป็นกับดักของนักลงทุนหลายๆท่าน
คือซื้อหุ้นที่ปันผลสูงๆ และที่ปันผลสูงๆได้ เพราะมีรายการพิเศษ
หุ้นอย่างนี้ต้องระวังไว้ครับเช่น PHA SAUCE CEI ปีที่ผ่านมา
(แต่ SAUCE ราคาไม่ลดลงมากครับ)
expect unexpected
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
ทบทวน...
โพสต์ที่ 15
ถึงแม้จะมีบริษัท IPO ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีมากในบางบริษัท
แต่ผมก็ยังยึดถือหลักของ Buffett ครับ คือไม่ขาดทุน ซึ่งการลงทุนบริษัท IPO นั้น ผมมีความเห็นว่าเสี่ยงมากพอควร
และถ้างบการเงินมีการตกแต่ง เราก็คงไม่สามารถที่จะคำนวณหาพื้นฐานได้เลย
แต่ผมก็ยังยึดถือหลักของ Buffett ครับ คือไม่ขาดทุน ซึ่งการลงทุนบริษัท IPO นั้น ผมมีความเห็นว่าเสี่ยงมากพอควร
และถ้างบการเงินมีการตกแต่ง เราก็คงไม่สามารถที่จะคำนวณหาพื้นฐานได้เลย
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
-
- Verified User
- โพสต์: 1688
- ผู้ติดตาม: 0
ทบทวน...
โพสต์ที่ 16
โทษครับ ขอทดลองดูภาพหน่อยครับ
==หากบริษัทไม่ได้อยู่ในตลาดฯ หุ้นยังน่าซื้อหรือไม่ ==
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 9795
- ผู้ติดตาม: 0
ทบทวน...
โพสต์ที่ 17
เห็นด้วยครับ และก็เป็นข้อดีด้วย ที่ทำให้บริษัทพวกนี้ต้องมี discount มากหน่อยการลงทุนบริษัท IPO นั้น ผมมีความเห็นว่าเสี่ยงมากพอควร
โดยเฉพาะบริษัทที่เพิ่งจะ IPO ในตลาด MAI หลังกรณี ROYNET
แหะๆ เรื่องวิเคราะห์งบไม่ทันกินคนอื่นครับ
ไม่ใช่ TOP ครับพี่สามัญชน TOP ต่อให้ซื้อที่โลว์ ก็ได้แค่ 20% เอง นอกจาก
จะได้ IPO มามากๆ ซึ่งพอร์ตจุ๋มจิ๋มของผม อดได้อยู่แล้วครับ
เป็น UMS ครับ ได้ IPO มาหน่อยที่ 7.95 ตั้งขายที่ 15.90 และมาซื้อคืน
แถวๆ 7.90 - 8.20 บาทครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
ทบทวน...
โพสต์ที่ 18
ถ้างบการเงินไม่ได้แสดงฐานะที่แท้จริงของบริษัท แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าบริษัทไหนขายถูกหรือแพง บริษัทไหน Discount หรือ PremiumCK เขียน: เห็นด้วยครับ และก็เป็นข้อดีด้วย ที่ทำให้บริษัทพวกนี้ต้องมี discount มากหน่อย
โดยเฉพาะบริษัทที่เพิ่งจะ IPO ในตลาด MAI หลังกรณี ROYNET
ซึ่งกว่าจะรู้ก็คงต้องรอดูผลประกอบการและฐานะทางการเงินของบริษัทหลังเข้าตลาดแล้วมั๊งครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1741
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ทบทวน...
โพสต์ที่ 21
สุดยอดจริงๆ
ความรู้เก่าๆเนี่ย
ความรู้เก่าๆเนี่ย
แลกเปลี่ยนมุมมองการลงทุนได้ครับ
https://www.facebook.com/%E0%B8%84%E0%B ... you_manage
https://www.facebook.com/%E0%B8%84%E0%B ... you_manage
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2603
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ทบทวน...
โพสต์ที่ 22
ขอบคุณพี่ที่ขุดมาครับเเละพี่ๆในตำนานที่เคยShareประสบการณ์ไว้ครับ
ได้เห็นเลยว่าพี่ๆที่เก่งๆเค้าผ่านความผิดพลาดมาเเล้วทั้งนั้น...เเต่สิ่งที่สำคัญคือการไม่ยอมผิดพลาดซำ้สองอีก
ได้เห็นเลยว่าพี่ๆที่เก่งๆเค้าผ่านความผิดพลาดมาเเล้วทั้งนั้น...เเต่สิ่งที่สำคัญคือการไม่ยอมผิดพลาดซำ้สองอีก
คนเราจะมีความสุข มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีเท่าไร เเต่ขึ้นกับว่า เราพอเมื่อไร
~หลวงพ่อชา สุภัทโท~
o
~หลวงพ่อชา สุภัทโท~
o
-
- Verified User
- โพสต์: 1024
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทบทวน...
โพสต์ที่ 24
ขอบคุณครับ สุดยอดไปเลย
"เพราะเรียบง่าย จึงชนะ"
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 337
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทบทวน...
โพสต์ที่ 26
ขอบคุณพี่ๆนักลงทุนมากเลยคับ...เริ่มต้นเซียนก้อเคยพลาดได้คับ... แต่พลาดแล้วเก็บมาเป็นบทเรียน..พวกผมเลยได้ความรู้ไปด้วยครับ...ขอบคุณอีกครั้งคับ เรียนรู้จากประสบการณ์ผิดพลาดของผู้อื่นและของตนเองครับ...