กระทู้ข่าวด่วน!!! Updateสถานการณ์ปัจจุบันของตลาด และSETindex
- picklife
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2567
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้ข่าวด่วน!!! Updateสถานการณ์ปัจจุบันของตลาด และSETindex
โพสต์ที่ 1
สวัสดีครับ อยากตั้งกระทู้แมงเม่ามาซักระทู้ครับ จะได้ช่วยกันUpdateสถานการณ์ปัจจุบันทันด่วนกันครับ จะได้ไม่ต้องกระทู้แปลกๆเช่นทำไมวันนี้ร่วง วันนี้วิ่ง ก็เลยตั้งกระทู้ข่าวด่วนขึ้นมา ขอบคุณเพื่อนๆที่ให้ความร่วมมือครับ
เม่าน้อยคลำทางหาแสงไฟ
- picklife
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2567
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้ข่าวด่วน!!! Updateสถานการณ์ปัจจุบันของตลาด และSETindex
โพสต์ที่ 3
เจอตัวละ อิอิ
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 29 มิถุนายน 2553 14:17:54 น.
ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดตลาดวันนี้ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 14 เดือน เนื่องจากตลาดกังวลว่าทางการจีนจะควบคุมตลาดอสังหาริมทรัพย์และวิกฤตหนี้ยุโรปจะทำให้การขยายตัวของเศรรษฐกิจจีนชะลอตัวลง
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดร่วง 108.23 จุด หรือ 4.27% แตะ 2,427.05 จุด ส่วนดัชนีหุ้นเสิ่นเจิ้นร่วง 503.15 จุด หรือ 5.03% แตะ 9,508.91 จุด
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 29 มิถุนายน 2553 14:17:54 น.
ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดตลาดวันนี้ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 14 เดือน เนื่องจากตลาดกังวลว่าทางการจีนจะควบคุมตลาดอสังหาริมทรัพย์และวิกฤตหนี้ยุโรปจะทำให้การขยายตัวของเศรรษฐกิจจีนชะลอตัวลง
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดร่วง 108.23 จุด หรือ 4.27% แตะ 2,427.05 จุด ส่วนดัชนีหุ้นเสิ่นเจิ้นร่วง 503.15 จุด หรือ 5.03% แตะ 9,508.91 จุด
เม่าน้อยคลำทางหาแสงไฟ
- picklife
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2567
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้ข่าวด่วน!!! Updateสถานการณ์ปัจจุบันของตลาด และSETindex
โพสต์ที่ 5
สวัสดีครับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ชาวTVIที่รักทุกท่าน เนื่องด้วยมักจะมีคนมาถามผมบ่อยๆทำไมSETร่วง หรือบางครั้งผมก็ไปถามคนอื่นบ่อยๆ ถามไปถามมาผมมองว่าเสียเวลาและทรัพยากรมากครับ
ดังนั้นจึงอยากให้มีกระทู้ซักกระทู้หนึ่งที่มีการคุยข่าวเศรษฐกิจ ต่างประเทศ และข่าวอื่นๆ แบบUpdateสุดๆ แบบว่าอยากให้อิมเมจออกมาแบบว่า เห็นหุ้นร่วงปุ๊บมารวมกันห้องนี้ปั๊บ ก็จะรู้ข่าวทันที ประมาณนี้นะครับ
แต่!!! สุดท้ายกระทู้นี้จะไม่ประสบความเร็จเลย หากเพื่อนๆไม่มาช่วยกันโพส เหมือนกระทู้รวมอมรมสัมนาที่ใจผมอยากให้เป็นกระทู้รวมเช่นเดียวกัน แบบว่าใครอยากรู้ว่าเร้วๆนี้จะมีอบรมที่ไหนเมื่อไหร่รู้หมด ผมว่าน่าจะเป็นการก้าวไปอีกขั้นหนึ่งของสังคมTVIแห่งนี้นะครับ ทำคล้ายๆ100คน100หุ้นใครมีอะไรก็มาUpdateกันที่เดียว ขอบคุณมากๆๆๆๆๆครับ
ปล.อันนี้ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ ส่วนใครไม่เห็นด้วยก็ขออภัยเป้นอย่างสุงครับ
ดังนั้นจึงอยากให้มีกระทู้ซักกระทู้หนึ่งที่มีการคุยข่าวเศรษฐกิจ ต่างประเทศ และข่าวอื่นๆ แบบUpdateสุดๆ แบบว่าอยากให้อิมเมจออกมาแบบว่า เห็นหุ้นร่วงปุ๊บมารวมกันห้องนี้ปั๊บ ก็จะรู้ข่าวทันที ประมาณนี้นะครับ
แต่!!! สุดท้ายกระทู้นี้จะไม่ประสบความเร็จเลย หากเพื่อนๆไม่มาช่วยกันโพส เหมือนกระทู้รวมอมรมสัมนาที่ใจผมอยากให้เป็นกระทู้รวมเช่นเดียวกัน แบบว่าใครอยากรู้ว่าเร้วๆนี้จะมีอบรมที่ไหนเมื่อไหร่รู้หมด ผมว่าน่าจะเป็นการก้าวไปอีกขั้นหนึ่งของสังคมTVIแห่งนี้นะครับ ทำคล้ายๆ100คน100หุ้นใครมีอะไรก็มาUpdateกันที่เดียว ขอบคุณมากๆๆๆๆๆครับ
ปล.อันนี้ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ ส่วนใครไม่เห็นด้วยก็ขออภัยเป้นอย่างสุงครับ
เม่าน้อยคลำทางหาแสงไฟ
- picklife
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2567
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้ข่าวด่วน!!! Updateสถานการณ์ปัจจุบันของตลาด และSETindex
โพสต์ที่ 6
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 29 มิถุนายน 2553 13:48:59 น.
ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 3 สัปดาห์ในวันนี้ เนื่องจากเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นได้ฉุดหุ้นที่เกี่ยวข้องกับอุตสากรรมส่งออกร่วงลงด้วย นอกจากนี้ การร่วงลงของตลาดหุ้นในเอเชียยังส่งผลให้บรรยากาศการซื้อขายซบเซาลง ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดร่วงลง 123.27 จุด หรือ 1.27% แตะที่ 9,570.67 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 10 มิ.ย.
ราคาหุ้นดิ่งลงเกือบทั้งกระดาน โดยหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลงหนักสุด ตามด้วยหุ้นกลุ่มธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ส่วนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ ดีดตัวขึ้นในวันนี้
ตลาดหุ้นโตเกียวดีดตัวขึ้นในช่วงเช้าเนื่องจากนักลงทุนเข้าช้อนซื้อหุ้นที่ร่วงลงอย่างหนักเมื่อวันก่อน แต่ตลาดร่วงลงในช่วงบ่ายเนื่องจากเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์และยุโรปได้กระตุ้นให้นักลงทุนเทขายหุ้นที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมส่งออก
ยูมิ นิชิมูระ รองกรรมการผู้จัดการบริษัทไดวา ซิเคียวริตีส์ แคปิตอล มาร์เก็ตส์ กล่าวว่า "ในช่วงเช้านั้นการแข็งค่าของเงินเยนได้ส่งผลกระทบต่อตลาดแค่ในวงจำกัดเท่านั้น แต่ในช่วงบ่ายตลาดร่วงลงอย่างหนักหลังจากดอลลาร์และยูโรดิ่งลงต่ำกว่าแนวรับ และหลังจากตลาดหุ้นอื่นๆในเอเชียร่วงลง"
โดยในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตราโตเกียวช่วงบ่ายวันนี้ ค่าเงินดอลลาร์ร่วงลงแตะระดับ 88 เยนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมี.ค.เป็นต้นมา ขณะที่ค่าเงินยูโรดิ่งลงต่ำกว่าระดับ 109 เยน ทั้งนี้ การแข็งค่าของเงินเยนจะฉุดผลกำไรในต่างประเทศของบริษัทญี่ปุ่นหดตัวลงด้วย
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช/สุนิตา โทร.02-2535000 ต่อ 315 อีเมล์: [email protected]--
ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 3 สัปดาห์ในวันนี้ เนื่องจากเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นได้ฉุดหุ้นที่เกี่ยวข้องกับอุตสากรรมส่งออกร่วงลงด้วย นอกจากนี้ การร่วงลงของตลาดหุ้นในเอเชียยังส่งผลให้บรรยากาศการซื้อขายซบเซาลง ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดร่วงลง 123.27 จุด หรือ 1.27% แตะที่ 9,570.67 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 10 มิ.ย.
ราคาหุ้นดิ่งลงเกือบทั้งกระดาน โดยหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลงหนักสุด ตามด้วยหุ้นกลุ่มธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ส่วนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ ดีดตัวขึ้นในวันนี้
ตลาดหุ้นโตเกียวดีดตัวขึ้นในช่วงเช้าเนื่องจากนักลงทุนเข้าช้อนซื้อหุ้นที่ร่วงลงอย่างหนักเมื่อวันก่อน แต่ตลาดร่วงลงในช่วงบ่ายเนื่องจากเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์และยุโรปได้กระตุ้นให้นักลงทุนเทขายหุ้นที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมส่งออก
ยูมิ นิชิมูระ รองกรรมการผู้จัดการบริษัทไดวา ซิเคียวริตีส์ แคปิตอล มาร์เก็ตส์ กล่าวว่า "ในช่วงเช้านั้นการแข็งค่าของเงินเยนได้ส่งผลกระทบต่อตลาดแค่ในวงจำกัดเท่านั้น แต่ในช่วงบ่ายตลาดร่วงลงอย่างหนักหลังจากดอลลาร์และยูโรดิ่งลงต่ำกว่าแนวรับ และหลังจากตลาดหุ้นอื่นๆในเอเชียร่วงลง"
โดยในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตราโตเกียวช่วงบ่ายวันนี้ ค่าเงินดอลลาร์ร่วงลงแตะระดับ 88 เยนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมี.ค.เป็นต้นมา ขณะที่ค่าเงินยูโรดิ่งลงต่ำกว่าระดับ 109 เยน ทั้งนี้ การแข็งค่าของเงินเยนจะฉุดผลกำไรในต่างประเทศของบริษัทญี่ปุ่นหดตัวลงด้วย
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช/สุนิตา โทร.02-2535000 ต่อ 315 อีเมล์: [email protected]--
เม่าน้อยคลำทางหาแสงไฟ
- manza125
- Verified User
- โพสต์: 92
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้ข่าวด่วน!!! Updateสถานการณ์ปัจจุบันของตลาด และSETindex
โพสต์ที่ 9
เห็นด้วยครับ
เป็นกำลังใจให้ครับ :D
บางคนอ่านมา ติดตามมา แต่ก็พลาดข่าวบางข่าวกันได้
ก็ต้องมาแลกเปลี่ยนข่าวกัน เป็นความคิดที่ดี
หรือถ้ามองระยะยาว คนรุ่นหลังๆจะได้รู้ว่าเหตุการณ์การล่วง/ขึ้นของดัชนีมาจากอะไร มีข่าวหรือปัจจัยเศรษฐกิจอะไรก่อนล่วงลงแรงๆ
แต่ถ้าจะโพสข้อความ แหล่งข่าวจากไหน
แนะนำให้ลงลิงค์หรือที่มาด้วยก็ดี
หรือ [ quote ] แล้วแปะข้อความก็ดี ^^
เป็นกำลังใจให้ครับ :D
บางคนอ่านมา ติดตามมา แต่ก็พลาดข่าวบางข่าวกันได้
ก็ต้องมาแลกเปลี่ยนข่าวกัน เป็นความคิดที่ดี
หรือถ้ามองระยะยาว คนรุ่นหลังๆจะได้รู้ว่าเหตุการณ์การล่วง/ขึ้นของดัชนีมาจากอะไร มีข่าวหรือปัจจัยเศรษฐกิจอะไรก่อนล่วงลงแรงๆ
แต่ถ้าจะโพสข้อความ แหล่งข่าวจากไหน
แนะนำให้ลงลิงค์หรือที่มาด้วยก็ดี
หรือ [ quote ] แล้วแปะข้อความก็ดี ^^
------------------------------
การพูด คือ อาหารของนักการเมือง
การวิเคราห์ คือ อาหารของวีไอ
การพูด คือ อาหารของนักการเมือง
การวิเคราห์ คือ อาหารของวีไอ
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4641
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้ข่าวด่วน!!! Updateสถานการณ์ปัจจุบันของตลาด และSETindex
โพสต์ที่ 11
ช่วยครับ แต่ไม่มาทุกวันนะ
นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโสฝ่ายการตลาด บล.ธนชาต กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยช่วงบ่ายวันนี้ย่อตัวลงจากผลความกังวลที่ตลาดหุ้นจีนและฮ่องกง ปรับลดลงมามากหลังมีมีการเสนอขายหุ้นไอพีโอของอะกริคัลเจอรัล แบงก์ ออฟ ไชน่า มูลค่าระดมทุนกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทย 7 แสนล้านบาท ซึ่งการระดมทุนจำนวนมากทำให้กังวลว่าเงินจะไหลออกจากตลาดโดยตลาดหุ้นฮ่องกง ลงกว่า 2% และตลาดหุ้นจีนดิ่งลง 4.3% และตลาดหุ้นในยุโรปเปิดตลาดมาลงไปกว่า 2%
อย่างไรก็ตาม ช่วงเปิดตลาดภาคบ่ายลงมาเกือบ 10 จุด แต่ดีดตัวกลับขึ้นมาได้ เพราะเป็นความกังวลจากต่างประเทศล้วนๆไม่ได้เกิดจากปัจจัยในประเทศ ซึ่งส่งผลต่อตลาดหุ้นบ้านเราบ้างอาจมีแรงขายของนักลงทุนต่างชาติออกมาแต่คง ไม่มากนักเพราะช่วงเม.ย.-พ.ค.มีแรงขายออกจำนวนมากแล้ว
สำหรับแนวโน้มในวันพรุ่งนี้ยังคงได้รับแรงกดดันจากตลาดหุ้นจีนและฮ่องกง เนื่องจากกว่าจะเข้าเทรดในวันที่ 15-16 ก.ค.ซึ่งอาจส่งผลกดดันตลาดหุ้นต่อ และยังกังวลเรื่องธนาคารยุโรปเรียกคืนเงิน Funding ซึ่งธนาคารต่างๆจะ แบกรับ Fundind Cost เพิ่มขึ้น ซึ่งกลายเป็นความกังวลใหม่
พรุ่งนี้คาดว่าตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวแคบแบบออกด้านกว้างเช่นเดียวกับวันนี้ โดยให้แนวรับที่ 793 แนวต้าน 809จุด
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่
BANPU มูลค่าการซื้อขาย 1,510.18 ล้านบาท ปิดที่ 604.00 บาท ลดลง 14.00 บาท
PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,205.52 ล้านบาท ปิดที่ 250.00 บาท ลดลง 4.00 บาท
CPF มูลค่าการซื้อขาย 1,008.52 ล้านบาท ปิดที่ 20.10 บาท ลดลง 0.20 บาท
BBL มูลค่าการซื้อขาย 966.95 ล้านบาท ปิดที่ 126.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท
PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 789.95 ล้านบาท ปิดที่ 144.00 บาท ลดลง 2.50 บาท
นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโสฝ่ายการตลาด บล.ธนชาต กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยช่วงบ่ายวันนี้ย่อตัวลงจากผลความกังวลที่ตลาดหุ้นจีนและฮ่องกง ปรับลดลงมามากหลังมีมีการเสนอขายหุ้นไอพีโอของอะกริคัลเจอรัล แบงก์ ออฟ ไชน่า มูลค่าระดมทุนกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทย 7 แสนล้านบาท ซึ่งการระดมทุนจำนวนมากทำให้กังวลว่าเงินจะไหลออกจากตลาดโดยตลาดหุ้นฮ่องกง ลงกว่า 2% และตลาดหุ้นจีนดิ่งลง 4.3% และตลาดหุ้นในยุโรปเปิดตลาดมาลงไปกว่า 2%
อย่างไรก็ตาม ช่วงเปิดตลาดภาคบ่ายลงมาเกือบ 10 จุด แต่ดีดตัวกลับขึ้นมาได้ เพราะเป็นความกังวลจากต่างประเทศล้วนๆไม่ได้เกิดจากปัจจัยในประเทศ ซึ่งส่งผลต่อตลาดหุ้นบ้านเราบ้างอาจมีแรงขายของนักลงทุนต่างชาติออกมาแต่คง ไม่มากนักเพราะช่วงเม.ย.-พ.ค.มีแรงขายออกจำนวนมากแล้ว
สำหรับแนวโน้มในวันพรุ่งนี้ยังคงได้รับแรงกดดันจากตลาดหุ้นจีนและฮ่องกง เนื่องจากกว่าจะเข้าเทรดในวันที่ 15-16 ก.ค.ซึ่งอาจส่งผลกดดันตลาดหุ้นต่อ และยังกังวลเรื่องธนาคารยุโรปเรียกคืนเงิน Funding ซึ่งธนาคารต่างๆจะ แบกรับ Fundind Cost เพิ่มขึ้น ซึ่งกลายเป็นความกังวลใหม่
พรุ่งนี้คาดว่าตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวแคบแบบออกด้านกว้างเช่นเดียวกับวันนี้ โดยให้แนวรับที่ 793 แนวต้าน 809จุด
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่
BANPU มูลค่าการซื้อขาย 1,510.18 ล้านบาท ปิดที่ 604.00 บาท ลดลง 14.00 บาท
PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,205.52 ล้านบาท ปิดที่ 250.00 บาท ลดลง 4.00 บาท
CPF มูลค่าการซื้อขาย 1,008.52 ล้านบาท ปิดที่ 20.10 บาท ลดลง 0.20 บาท
BBL มูลค่าการซื้อขาย 966.95 ล้านบาท ปิดที่ 126.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท
PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 789.95 ล้านบาท ปิดที่ 144.00 บาท ลดลง 2.50 บาท
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
- KGYF
- Verified User
- โพสต์: 399
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้ข่าวด่วน!!! Updateสถานการณ์ปัจจุบันของตลาด และSETindex
โพสต์ที่ 13
ไอเีดีย บรรเจิดดีครับ สนับสนุน เต็มที่ :lol: :lol:
" สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ = การให้ธรรมะเป็นทาน ย่อมชนะการให้ทั้งปวง "
" ทุกข์มี เพราะยึด ทุกข์ยืด เพราะอยาก ทุกข์มาก เพราะพลอย ทุกข์น้อย เพราะหยุด ทุกข์หลุด เพราะปล่อย"
" ทุกข์มี เพราะยึด ทุกข์ยืด เพราะอยาก ทุกข์มาก เพราะพลอย ทุกข์น้อย เพราะหยุด ทุกข์หลุด เพราะปล่อย"
-
- Verified User
- โพสต์: 430
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้ข่าวด่วน!!! Updateสถานการณ์ปัจจุบันของตลาด และSETindex
โพสต์ที่ 14
ทุบเฮียปอ อะ
รับตรงไหนดีละเนี่ย :lol:
ปตท.ยืนยันการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือไม่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการเงิน พร้อมขยายลงทุนเพื่อการเติบโตในอนาคตลงทุน
นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน ปตท. ได้ให้ความเห็นว่าการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือดังกล่าวคาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาของนักลงทุนหรือมีผลกระทบน้อย เนื่องจากอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ A3 นั้น ยังคงสูงกว่าอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย ณ ปัจจุบันที่ระดับ Baa1 และเป็นระดับที่สูงกว่าระดับความน่าเชื่อถือขั้นต่ำสุดของตราสารที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade - Baa3) ถึง 4 ระดับ (notches)
นอกจากนี้คาดว่าผลกระทบในเชิงต้นทุนทางการเงินนั้นน่าจะอยู่ในวงจำกัด เนื่องจากต้นทุนในการจัดหาเงินทุนนั้นยังคงขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ อาทิเช่น ภาวะตลาดในเวลาดังกล่าว อันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทที่เทียบเคียงได้ในตลาด รวมถึงแนวโน้มผลประกอบการและการเติบโตของตัวบริษัทด้วย ซึ่งในกรณี ปตท. ได้มีการพิจารณาถึงผลตอบแทนและความเสี่ยงจากการลงทุนอย่างรอบคอบแล้ว การขยายลงทุนนี้คาดว่าจะทำให้ ปตท.มีการเติบโตและมีกำไรเพิ่มขึ้นในอนาคต
ล่าสุด Fitch Rating ได้ประกาศคงอันดับความเชื่อถือภายในประเทศของ ปตท. และอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะยาวสกุลบาทภายในประเทศที่ระดับ AAA ซึ่งเป็นระดับความน่าเชื่อถือที่สูงสุด ดังนั้นต้นทุนทางการเงินของ ปตท. โดยเฉพาะในการจัดหาเงินทุนภายในประเทศนั้นน่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในครั้งนี้
รับตรงไหนดีละเนี่ย :lol:
ปตท.ยืนยันการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือไม่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการเงิน พร้อมขยายลงทุนเพื่อการเติบโตในอนาคตลงทุน
นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน ปตท. ได้ให้ความเห็นว่าการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือดังกล่าวคาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาของนักลงทุนหรือมีผลกระทบน้อย เนื่องจากอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ A3 นั้น ยังคงสูงกว่าอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย ณ ปัจจุบันที่ระดับ Baa1 และเป็นระดับที่สูงกว่าระดับความน่าเชื่อถือขั้นต่ำสุดของตราสารที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade - Baa3) ถึง 4 ระดับ (notches)
นอกจากนี้คาดว่าผลกระทบในเชิงต้นทุนทางการเงินนั้นน่าจะอยู่ในวงจำกัด เนื่องจากต้นทุนในการจัดหาเงินทุนนั้นยังคงขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ อาทิเช่น ภาวะตลาดในเวลาดังกล่าว อันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทที่เทียบเคียงได้ในตลาด รวมถึงแนวโน้มผลประกอบการและการเติบโตของตัวบริษัทด้วย ซึ่งในกรณี ปตท. ได้มีการพิจารณาถึงผลตอบแทนและความเสี่ยงจากการลงทุนอย่างรอบคอบแล้ว การขยายลงทุนนี้คาดว่าจะทำให้ ปตท.มีการเติบโตและมีกำไรเพิ่มขึ้นในอนาคต
ล่าสุด Fitch Rating ได้ประกาศคงอันดับความเชื่อถือภายในประเทศของ ปตท. และอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะยาวสกุลบาทภายในประเทศที่ระดับ AAA ซึ่งเป็นระดับความน่าเชื่อถือที่สูงสุด ดังนั้นต้นทุนทางการเงินของ ปตท. โดยเฉพาะในการจัดหาเงินทุนภายในประเทศนั้นน่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในครั้งนี้
- j21
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 690
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้ข่าวด่วน!!! Updateสถานการณ์ปัจจุบันของตลาด และSETindex
โพสต์ที่ 16
UPDATE/GOVT:คลังเพิ่มคาดการณ์จีดีพีไทยปี 53 โต 5-6%, มองดบ.นโยบายขึ้นใน Q4
(เพิ่มรายละเอียด)
กรุงเทพฯ--29 มิ.ย.--รอยเตอร์
กระทรวงการคลัง ปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 53 เป็น 5.5% หรืออยู่ใน ช่วง 5.0-6.0% จากคาดการณ์เดิมที่ 4.5% ตามแรงส่งของเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1/53 ที่ขยายตัวถึง 12% และการส่งออกที่ขยายตัวดี ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะ การส่งออกของประเทศคู่ค้าในเอเชีย ขณะที่จากข้อมูลเบื้องต้นใน 2 เดือนแรกของไตรมาส 2 กระทรวงการคลังคาดว่า จีดีพีในไตรมาส 2/53 จะโตได้ราว 5.6% จากช่วงเดียวกันปีก่อน
"จากข้อมูล 2 เดือน ทำให้เราตัดสินใจปรับประมาณการเพิ่มขึ้นเป็นที่ 5-6%
หรือเฉลี่ย 5.5% สำหรับสาเหตุสำคัญคือ ตัวเลขไตรมาส 1 ที่โตดีมาก และการส่งออกที่ดี ขึ้นมาก ตามการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจโลก" นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ โฆษกกระทรวง การคลัง กล่าวในการแถลงข่าว เขา กล่าวด้วยว่า หากเศรษฐกิจโลกขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง และสถานการณ์ ทางการเมืองของไทยนิ่ง ก็มีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะโตได้ถึงระดับ 6% เพราะการประมาณ การที่ 5.5% ถือเป็นการประมาณการที่ค่อนข้างระมัดระวังถึงความเสี่ยงต่างๆ แล้ว เมื่อมี.ค.ที่ผ่านมาสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) ซึ่งอยู่ในสังกัดกระทรวง การคลัง คาดเศรษฐกิจไทยปี 53 จะเติบโตเฉลี่ย4.5% โดยมีช่วงการคาดการณ์ที่ 4-5% นายเอกนิติ กล่าวว่า การปรับประมาณการเศรษฐกิจในครั้งนี้ได้รองรับ 3 ปัจจัย เสี่ยงของไทยไว้แล้ว ทั้งความเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า จากปัญหา หนี้ในกลุ่มประเทศยุโรป, ความเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน รวมทั้งความเสี่ยงจากผลกระทบทางการเมืองไทย และปัญหาภัยแล้ง โดยคาดว่า ปัญหาภัยแล้งจะมีผลกระทบต่อจีดีพีปี 53 ราว 0.2% ในส่วนของภาวะเศรษฐกิจในเดือนพ.ค. เขา กล่าวว่า ยังได้รับแรงสนับสนุนจาก การส่งออกที่ขยายตัวได้ดีถึง 42.1% มาช่วยชดเชยผลกระทบจากปัญหาการเมือง ที่มีผล ต่อการบริโภคและการลงทุนลงไปได้ ทั้งนี้ การบริโภคภาคเอกชนในปี 53 แม้ได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมือง แต่ มองว่ายังขยายตัวได้ 3.6% ลดลงเล็กน้อยจากคาดการณ์ในครั้งก่อนที่ 4.3% เนื่องจากการ จ้างงานที่ปรับตัวดีขึ้น และรายได้เกษตรกร ที่ยังอยู่ในระดับสูง
ส่วนการลงทุนภาคเอกชน คาดว่าจะขยายตัว 10.2% จาก 8.2% ในคาดการณ์ เดิม เนื่องจากยอดคำสั่งซื้อที่ยังเพิ่มขึ้น ขณะที่ ภาคการท่องเที่ยวของไทย จากตัวเลขเบื้องต้นในเดือนมิ.ย. แสดงถึง ทิศทางการฟื้นตัวได้เร็วกว่าที่คาดไว้ โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ที่ผ่านทาง สนามบินสุวรรณภูมิระหว่างวันที่ 1-23 มิ.ย.หดตัวลง 9% เทียบกับหดตัว 19.1% ในพ.ค. อีกทั้ง จำนวนนักท่องเที่ยวมาไทยในเดือนพ.ค.หดตัวเพียง 12.9% จากเดิมที่ คาดว่าผลกระทบทางการเมือง จะทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติหดตัวลงถึง 20% เนื่องจาก การท่องเที่ยวในภาคอื่นๆ ยังขยายตัวได้ดี เช่น การท่องเที่ยวในภูเก็ต ที่ขยายตัว ได้ถึง 60.1% มาช่วยชดเชยนักท่องเที่ยวที่ลดลงในกรุงเทพมหานคร
**คาดดอกเบี้ยขึ้น Q4
นายเอกนิติ กล่าวด้วยว่า กระทรวงการคลัง คาดการณ์ด้วยว่า ธนาคารแห่ง ประเทศไทย(ธปท.) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ราวไตรมาส 4/53 จาก ปัจจุบันอยู่ที่ 1.25% และจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.50% ไปจนถึงสิ้นปี เพื่อ รองรับแนวโน้มของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ที่จะเร่งตัวขึ้นในปีหน้า โดยกระทรวงการคลัง คาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปีนี้ จะอยู่ที่ 3.5% ลดลงจาก 4.0% ในคาดการณ์ครั้งก่อน ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะอยู่ที่ 1.3% ลดลงจาก 1.5% เนื่องจากการต่ออายุมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของรัฐบาลต่อไป ซึ่งคาดว่าจะ ช่วยลดเงินเฟ้อลงได้ 0.8% อีกทั้ง ราคาน้ำมันดิบดูไบในคาดการณ์ครั้งนี้ ได้ลดลงมาอยู่ที่เฉลี่ย 78.5 เหรียญ/บาร์เรล จาก 80 เหรียญ/บาร์เรล ในการประเมินครั้งก่อน "แบงก์ชาติคงจะเริ่มปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น 0.25% ในไตรมาส 4 แม้ว่า คาดการณ์เงินเฟ้อของเราปีนี้จะลดลง เพราะแบงก์ชาติคงขึ้นเพื่อรับกับอัตราเงินเฟ้อ ที่มีโอกาสปรับตัวขึ้นในปีหน้า เพราะถ้าเขาไปขึ้นปีหน้าเลย อาจจะไม่ทัน" เขา กล่าว
ในช่วงที่เหลือของปีนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ยังมีกำหนดการ
ประชุมเหลืออีก 4 ครั้ง คือในวันที่ 14 ก.ค., 25 ส.ค., 20 ต.ค. และ 1 ธ.ค.
--จบ--
(โดย กิติพงศ์ ไทยเจริญ รายงาน; สะตะวสิน สถาพรชาญชัย เรียบเรียง--บร--)
(เพิ่มรายละเอียด)
กรุงเทพฯ--29 มิ.ย.--รอยเตอร์
กระทรวงการคลัง ปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 53 เป็น 5.5% หรืออยู่ใน ช่วง 5.0-6.0% จากคาดการณ์เดิมที่ 4.5% ตามแรงส่งของเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1/53 ที่ขยายตัวถึง 12% และการส่งออกที่ขยายตัวดี ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะ การส่งออกของประเทศคู่ค้าในเอเชีย ขณะที่จากข้อมูลเบื้องต้นใน 2 เดือนแรกของไตรมาส 2 กระทรวงการคลังคาดว่า จีดีพีในไตรมาส 2/53 จะโตได้ราว 5.6% จากช่วงเดียวกันปีก่อน
"จากข้อมูล 2 เดือน ทำให้เราตัดสินใจปรับประมาณการเพิ่มขึ้นเป็นที่ 5-6%
หรือเฉลี่ย 5.5% สำหรับสาเหตุสำคัญคือ ตัวเลขไตรมาส 1 ที่โตดีมาก และการส่งออกที่ดี ขึ้นมาก ตามการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจโลก" นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ โฆษกกระทรวง การคลัง กล่าวในการแถลงข่าว เขา กล่าวด้วยว่า หากเศรษฐกิจโลกขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง และสถานการณ์ ทางการเมืองของไทยนิ่ง ก็มีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะโตได้ถึงระดับ 6% เพราะการประมาณ การที่ 5.5% ถือเป็นการประมาณการที่ค่อนข้างระมัดระวังถึงความเสี่ยงต่างๆ แล้ว เมื่อมี.ค.ที่ผ่านมาสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) ซึ่งอยู่ในสังกัดกระทรวง การคลัง คาดเศรษฐกิจไทยปี 53 จะเติบโตเฉลี่ย4.5% โดยมีช่วงการคาดการณ์ที่ 4-5% นายเอกนิติ กล่าวว่า การปรับประมาณการเศรษฐกิจในครั้งนี้ได้รองรับ 3 ปัจจัย เสี่ยงของไทยไว้แล้ว ทั้งความเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า จากปัญหา หนี้ในกลุ่มประเทศยุโรป, ความเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน รวมทั้งความเสี่ยงจากผลกระทบทางการเมืองไทย และปัญหาภัยแล้ง โดยคาดว่า ปัญหาภัยแล้งจะมีผลกระทบต่อจีดีพีปี 53 ราว 0.2% ในส่วนของภาวะเศรษฐกิจในเดือนพ.ค. เขา กล่าวว่า ยังได้รับแรงสนับสนุนจาก การส่งออกที่ขยายตัวได้ดีถึง 42.1% มาช่วยชดเชยผลกระทบจากปัญหาการเมือง ที่มีผล ต่อการบริโภคและการลงทุนลงไปได้ ทั้งนี้ การบริโภคภาคเอกชนในปี 53 แม้ได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมือง แต่ มองว่ายังขยายตัวได้ 3.6% ลดลงเล็กน้อยจากคาดการณ์ในครั้งก่อนที่ 4.3% เนื่องจากการ จ้างงานที่ปรับตัวดีขึ้น และรายได้เกษตรกร ที่ยังอยู่ในระดับสูง
ส่วนการลงทุนภาคเอกชน คาดว่าจะขยายตัว 10.2% จาก 8.2% ในคาดการณ์ เดิม เนื่องจากยอดคำสั่งซื้อที่ยังเพิ่มขึ้น ขณะที่ ภาคการท่องเที่ยวของไทย จากตัวเลขเบื้องต้นในเดือนมิ.ย. แสดงถึง ทิศทางการฟื้นตัวได้เร็วกว่าที่คาดไว้ โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ที่ผ่านทาง สนามบินสุวรรณภูมิระหว่างวันที่ 1-23 มิ.ย.หดตัวลง 9% เทียบกับหดตัว 19.1% ในพ.ค. อีกทั้ง จำนวนนักท่องเที่ยวมาไทยในเดือนพ.ค.หดตัวเพียง 12.9% จากเดิมที่ คาดว่าผลกระทบทางการเมือง จะทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติหดตัวลงถึง 20% เนื่องจาก การท่องเที่ยวในภาคอื่นๆ ยังขยายตัวได้ดี เช่น การท่องเที่ยวในภูเก็ต ที่ขยายตัว ได้ถึง 60.1% มาช่วยชดเชยนักท่องเที่ยวที่ลดลงในกรุงเทพมหานคร
**คาดดอกเบี้ยขึ้น Q4
นายเอกนิติ กล่าวด้วยว่า กระทรวงการคลัง คาดการณ์ด้วยว่า ธนาคารแห่ง ประเทศไทย(ธปท.) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ราวไตรมาส 4/53 จาก ปัจจุบันอยู่ที่ 1.25% และจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.50% ไปจนถึงสิ้นปี เพื่อ รองรับแนวโน้มของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ที่จะเร่งตัวขึ้นในปีหน้า โดยกระทรวงการคลัง คาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปีนี้ จะอยู่ที่ 3.5% ลดลงจาก 4.0% ในคาดการณ์ครั้งก่อน ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะอยู่ที่ 1.3% ลดลงจาก 1.5% เนื่องจากการต่ออายุมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของรัฐบาลต่อไป ซึ่งคาดว่าจะ ช่วยลดเงินเฟ้อลงได้ 0.8% อีกทั้ง ราคาน้ำมันดิบดูไบในคาดการณ์ครั้งนี้ ได้ลดลงมาอยู่ที่เฉลี่ย 78.5 เหรียญ/บาร์เรล จาก 80 เหรียญ/บาร์เรล ในการประเมินครั้งก่อน "แบงก์ชาติคงจะเริ่มปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น 0.25% ในไตรมาส 4 แม้ว่า คาดการณ์เงินเฟ้อของเราปีนี้จะลดลง เพราะแบงก์ชาติคงขึ้นเพื่อรับกับอัตราเงินเฟ้อ ที่มีโอกาสปรับตัวขึ้นในปีหน้า เพราะถ้าเขาไปขึ้นปีหน้าเลย อาจจะไม่ทัน" เขา กล่าว
ในช่วงที่เหลือของปีนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ยังมีกำหนดการ
ประชุมเหลืออีก 4 ครั้ง คือในวันที่ 14 ก.ค., 25 ส.ค., 20 ต.ค. และ 1 ธ.ค.
--จบ--
(โดย กิติพงศ์ ไทยเจริญ รายงาน; สะตะวสิน สถาพรชาญชัย เรียบเรียง--บร--)
- picklife
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2567
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้ข่าวด่วน!!! Updateสถานการณ์ปัจจุบันของตลาด และSETindex
โพสต์ที่ 17
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 30 มิถุนายน 2553 08:10:45 น.
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (29 มิ.ย.) โดยดัชนีดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 11 เดือนเนื่องจากความวิตกกังวลที่ว่าเศรษฐกิจโลกอาจชะลอตัวลง หลังจากมีข้อมูลที่บ่งชี้ถึงภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจในสหรัฐและจีน นอกจากนี้ ความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะขาดสภาพคล่องในระบบการเงินยุโรป ยังเป็นอีกปัจจัยที่ฉุดตลาดร่วงลงอย่างหนักด้วย
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ดัชนี FTSE 100 ร่วงลง 157.46 จุด หรือ 3.1% ปิดที่ 4,914.22 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 4,899.02 - 5,071.68 จุด
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนซบเซาลง หลังจากสำนักงานคอนเฟอเรนซ์ บอร์ด ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยเอกชนของสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนเม.ย.ของจีนขยับตัวขึ้นเพียง 0.3% ซึ่งเป็นระดับที่เพิ่มขึ้นน้อยที่สุดในรอบ 5 เดือน โดยดัชนีชี้นำเศรษฐกิจของจีนปรับตัวขึ้นน้อยกว่าที่เพิ่มขึ้น 1.7% ตามรายงานเมื่อช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา ซึ่งบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจจีนผ่านพ้นจุดสูงสุงของการขยายตัวมาแล้ว
ขณะที่สำนักงานคอนเฟอเรนซ์ บอร์ดรายงานว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ค.ของสหรัฐร่วงลงมาอยู่ที่ระดับ 52.9 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือน จากเดือนพ.ค.ที่ระดับ 62.7 จุด
ราคาหุ้นในตลาดลอนดอนดิ่งลงทั้งกระดาน โดยหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลงตามราคาโลหะพื้นฐานในตลาดโลกและจากความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจีน โดยหุ้นริโอทินโต ร่วงลง 6.4% และหุ้นเอ็กซ์สตราตา ปิดร่วง 6.1% ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลกเช่นกัน โดยหุ้นบีพี ปิดลบ 1.7%
ส่วนหุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงเนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลกับข่าวที่ว่าระบบการเงินของยุโรปกำลังขาดสภาพคล่องอยู่กว่า 1 แสนล้านยูโร เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ในยุโรปต้องเร่งระดมเงินเพื่อชำระคืนเงินกู้ฉุกเฉินให้กับธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) มูลค่า 4.42 แสนล้านยูโร (5.455 แสนล้านดอลลาร์) ภายในวันพฤหัสบดีนี้ โดยหุ้นบาร์เคลย์ส ร่วงลง 6.3% และหุ้นธนาคาร HSBC ดิ่งลง 3.7%
ธนาคารกลางอังกฤษเตือนวิกฤตหนี้ยูโรโซนถือเป็นความเสี่ยงที่สำคัญต่อภาคการธนาคารของอังกฤษ พร้อมแนะให้ธนาคารภายในประเทศเพิ่มทุนสำรองเงินสดเพื่อเตรียมรับมือหากเกิดปัญหาขึ้น
ในรายงานเสถียรภาพการเงินครั้งล่าสุด แบงก์ชาติอังกฤษได้ขานรับมาตรการที่สหภาพยุโรปได้นำมาใช้เพื่อควบคุมวิกฤตไม่ให้ขยายเป็นวงกว้าง แต่ขณะเดียวกันแบงก์ชาติระบุว่า การที่ธนาคารต่างๆของอังกฤษได้เข้าไปลงทุนหรือมีธุรกรรมเกี่ยวข้องกับธนาคารอื่นๆของยุโรปอาจทำให้ธนาคารของอังกฤษตกอยู่ในความเสี่ยงได้ โดยนักลงทุนยังคงวิตกว่าประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโรบางประเทศอาจผิดนัดชำระหนี้
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (29 มิ.ย.) โดยดัชนีดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 11 เดือนเนื่องจากความวิตกกังวลที่ว่าเศรษฐกิจโลกอาจชะลอตัวลง หลังจากมีข้อมูลที่บ่งชี้ถึงภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจในสหรัฐและจีน นอกจากนี้ ความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะขาดสภาพคล่องในระบบการเงินยุโรป ยังเป็นอีกปัจจัยที่ฉุดตลาดร่วงลงอย่างหนักด้วย
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ดัชนี FTSE 100 ร่วงลง 157.46 จุด หรือ 3.1% ปิดที่ 4,914.22 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 4,899.02 - 5,071.68 จุด
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนซบเซาลง หลังจากสำนักงานคอนเฟอเรนซ์ บอร์ด ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยเอกชนของสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนเม.ย.ของจีนขยับตัวขึ้นเพียง 0.3% ซึ่งเป็นระดับที่เพิ่มขึ้นน้อยที่สุดในรอบ 5 เดือน โดยดัชนีชี้นำเศรษฐกิจของจีนปรับตัวขึ้นน้อยกว่าที่เพิ่มขึ้น 1.7% ตามรายงานเมื่อช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา ซึ่งบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจจีนผ่านพ้นจุดสูงสุงของการขยายตัวมาแล้ว
ขณะที่สำนักงานคอนเฟอเรนซ์ บอร์ดรายงานว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ค.ของสหรัฐร่วงลงมาอยู่ที่ระดับ 52.9 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือน จากเดือนพ.ค.ที่ระดับ 62.7 จุด
ราคาหุ้นในตลาดลอนดอนดิ่งลงทั้งกระดาน โดยหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลงตามราคาโลหะพื้นฐานในตลาดโลกและจากความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจีน โดยหุ้นริโอทินโต ร่วงลง 6.4% และหุ้นเอ็กซ์สตราตา ปิดร่วง 6.1% ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลกเช่นกัน โดยหุ้นบีพี ปิดลบ 1.7%
ส่วนหุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงเนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลกับข่าวที่ว่าระบบการเงินของยุโรปกำลังขาดสภาพคล่องอยู่กว่า 1 แสนล้านยูโร เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ในยุโรปต้องเร่งระดมเงินเพื่อชำระคืนเงินกู้ฉุกเฉินให้กับธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) มูลค่า 4.42 แสนล้านยูโร (5.455 แสนล้านดอลลาร์) ภายในวันพฤหัสบดีนี้ โดยหุ้นบาร์เคลย์ส ร่วงลง 6.3% และหุ้นธนาคาร HSBC ดิ่งลง 3.7%
ธนาคารกลางอังกฤษเตือนวิกฤตหนี้ยูโรโซนถือเป็นความเสี่ยงที่สำคัญต่อภาคการธนาคารของอังกฤษ พร้อมแนะให้ธนาคารภายในประเทศเพิ่มทุนสำรองเงินสดเพื่อเตรียมรับมือหากเกิดปัญหาขึ้น
ในรายงานเสถียรภาพการเงินครั้งล่าสุด แบงก์ชาติอังกฤษได้ขานรับมาตรการที่สหภาพยุโรปได้นำมาใช้เพื่อควบคุมวิกฤตไม่ให้ขยายเป็นวงกว้าง แต่ขณะเดียวกันแบงก์ชาติระบุว่า การที่ธนาคารต่างๆของอังกฤษได้เข้าไปลงทุนหรือมีธุรกรรมเกี่ยวข้องกับธนาคารอื่นๆของยุโรปอาจทำให้ธนาคารของอังกฤษตกอยู่ในความเสี่ยงได้ โดยนักลงทุนยังคงวิตกว่าประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโรบางประเทศอาจผิดนัดชำระหนี้
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
เม่าน้อยคลำทางหาแสงไฟ
- picklife
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2567
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้ข่าวด่วน!!! Updateสถานการณ์ปัจจุบันของตลาด และSETindex
โพสต์ที่ 18
ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 30 มิถุนายน 2553 07:06:59 น.
สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงรุนแรงถึง 3% เมื่อคืนนี้ (29 มิ.ย.) หลังจากประเทศยักษ์ใหญ่ของโลกอย่างสหรัฐและจีนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ รวมถึงดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนเม.ย.ของจีนที่ขยายตัวในอัตราที่น้อยที่สุดในรอบ 5 เดือน และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐที่ร่วงลงเกินคาดในเดือนพ.ค. ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลว่าเศรษฐกิจที่ซบเซาอาจทำให้ดีมานด์พลังงานหดตัวลงด้วย
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค.ร่วงลง 2.31 ดอลลาร์ หรือ 3% ปิดที่ระดับ 75.94 ดอลลาร์/บาร์เรล
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์เดือนก.ค.ลดลง 7.2 เซนต์ ปิดที่ 2.0213 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินเดือนก.ค.ลดลง 6.56 เซนต์ ปิดที่ 2.0720 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนส.ค.ดิ่งลง 2.15 ดอลลาร์ ปิดที่ 75.44 ดอลลาร์/บาร์เรล
สหรัฐ จีน และญี่ปุ่น รายงานข้อมูลที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจภายในประเทศยังคงอยู่ในภาวะเปราะบาง ซึ่งทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่กังวลว่าจะทำให้ดีมานด์พลังงานลดลงด้วย โดยสำนักงานคอนเฟอเรนซ์ บอร์ด ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยเอกชนของสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนเม.ย.ของจีนขยับตัวขึ้นเพียง 0.3% ซึ่งเป็นระดับที่เพิ่มขึ้นน้อยที่สุดในรอบ 5 เดือน และน้อยกว่าเดือนมี.ค.ที่พุ่งขึ้น 1.7% ซึ่งบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจจีนผ่านพ้นจุดสูงสุงของการขยายตัวมาแล้ว
การชะลอตัวทางเศรษฐกิจจีนเป็นผลมาจากการที่รัฐบาลออกนโยบายคุมเข้มในภาคอสังหาริมทรัพย์เพื่อสกัดกั้นการเก็งกำไรและป้องกันการเกิดภาวะฟองสบู่หลังจากที่ยอดการปล่อยเงินกู้ของจีนพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อปีที่ผ่านมา โดยรัฐบาลจีนภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีเหวิน เจียเป่า ตั้งเป้าควบคุมยอดการปล่อยเงินกู้ล็อตใหม่ไว้ที่ระดับ 7.5 ล้านล้านหยวน จากระดับ 9.59 ล้านล้านหยวนในปีที่แล้ว
ขณะเดียวกัน สำนักงานคอนเฟอเรนซ์ บอร์ดรายงานว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ค.ของสหรัฐร่วงลงมาอยู่ที่ระดับ 52.9 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือน จากเดือนพ.ค.ที่ระดับ 62.7 จุด
นอกจากนี้ ทางการญี่ปุ่นเปิดเผยว่าอัตราว่างงานเดือนพ.ค.เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 5.2% จากเดือนเม.ย.ที่ระดับ 5.1% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 ขณะที่ตัวเลขการใช้จ่ายภาคครัวเรือนโดยเฉลี่ยของญี่ปุ่นในเดือนพ.ค.ปรับตัวลดลง 0.7% จากปีที่แล้ว มาอยู่ที่ระดับ 280,714 เยน ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 ส่วนรายได้ต่อเดือนในภาคครัวเรือนโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 421,413 เยน ลดลง 2.4%
นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันประจำสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 25 มิ.ย. ซึ่งทางการสหรัฐจะเปิดเผยในวันพุธนี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า สต็อกน้ำมันดิบจะลดลง 1.1 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นจะเพิ่มขึ้น 900,000 บาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินจะลดลง 400,000 บาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันอาจเพิ่มขึ้น 0.2%
ทางการสหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์นี้ รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นเดือนมิ.ย. จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ยอดทำสัญญาซื้อบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนพ.ค. และตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนมิ.ย. โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ในวอลล์สตรีทคาดว่า ตัวเลขจ้างงานเดือนมิ.ย.จะลดลง 110,000 ตำแหน่ง เนื่องจากการจ้างพนักงานชั่วคราวของภาครัฐในส่วนของงานสำมะโนประชากรมีแนวโน้มปรับตัวลดลง และคาดว่าอัตราว่างงานเดือนมิ.ย.จะพุ่งขึ้นแตะระดับ 9.7%
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงรุนแรงถึง 3% เมื่อคืนนี้ (29 มิ.ย.) หลังจากประเทศยักษ์ใหญ่ของโลกอย่างสหรัฐและจีนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ รวมถึงดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนเม.ย.ของจีนที่ขยายตัวในอัตราที่น้อยที่สุดในรอบ 5 เดือน และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐที่ร่วงลงเกินคาดในเดือนพ.ค. ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลว่าเศรษฐกิจที่ซบเซาอาจทำให้ดีมานด์พลังงานหดตัวลงด้วย
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค.ร่วงลง 2.31 ดอลลาร์ หรือ 3% ปิดที่ระดับ 75.94 ดอลลาร์/บาร์เรล
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์เดือนก.ค.ลดลง 7.2 เซนต์ ปิดที่ 2.0213 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินเดือนก.ค.ลดลง 6.56 เซนต์ ปิดที่ 2.0720 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนส.ค.ดิ่งลง 2.15 ดอลลาร์ ปิดที่ 75.44 ดอลลาร์/บาร์เรล
สหรัฐ จีน และญี่ปุ่น รายงานข้อมูลที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจภายในประเทศยังคงอยู่ในภาวะเปราะบาง ซึ่งทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่กังวลว่าจะทำให้ดีมานด์พลังงานลดลงด้วย โดยสำนักงานคอนเฟอเรนซ์ บอร์ด ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยเอกชนของสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนเม.ย.ของจีนขยับตัวขึ้นเพียง 0.3% ซึ่งเป็นระดับที่เพิ่มขึ้นน้อยที่สุดในรอบ 5 เดือน และน้อยกว่าเดือนมี.ค.ที่พุ่งขึ้น 1.7% ซึ่งบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจจีนผ่านพ้นจุดสูงสุงของการขยายตัวมาแล้ว
การชะลอตัวทางเศรษฐกิจจีนเป็นผลมาจากการที่รัฐบาลออกนโยบายคุมเข้มในภาคอสังหาริมทรัพย์เพื่อสกัดกั้นการเก็งกำไรและป้องกันการเกิดภาวะฟองสบู่หลังจากที่ยอดการปล่อยเงินกู้ของจีนพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อปีที่ผ่านมา โดยรัฐบาลจีนภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีเหวิน เจียเป่า ตั้งเป้าควบคุมยอดการปล่อยเงินกู้ล็อตใหม่ไว้ที่ระดับ 7.5 ล้านล้านหยวน จากระดับ 9.59 ล้านล้านหยวนในปีที่แล้ว
ขณะเดียวกัน สำนักงานคอนเฟอเรนซ์ บอร์ดรายงานว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ค.ของสหรัฐร่วงลงมาอยู่ที่ระดับ 52.9 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือน จากเดือนพ.ค.ที่ระดับ 62.7 จุด
นอกจากนี้ ทางการญี่ปุ่นเปิดเผยว่าอัตราว่างงานเดือนพ.ค.เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 5.2% จากเดือนเม.ย.ที่ระดับ 5.1% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 ขณะที่ตัวเลขการใช้จ่ายภาคครัวเรือนโดยเฉลี่ยของญี่ปุ่นในเดือนพ.ค.ปรับตัวลดลง 0.7% จากปีที่แล้ว มาอยู่ที่ระดับ 280,714 เยน ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 ส่วนรายได้ต่อเดือนในภาคครัวเรือนโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 421,413 เยน ลดลง 2.4%
นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันประจำสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 25 มิ.ย. ซึ่งทางการสหรัฐจะเปิดเผยในวันพุธนี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า สต็อกน้ำมันดิบจะลดลง 1.1 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นจะเพิ่มขึ้น 900,000 บาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินจะลดลง 400,000 บาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันอาจเพิ่มขึ้น 0.2%
ทางการสหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์นี้ รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นเดือนมิ.ย. จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ยอดทำสัญญาซื้อบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนพ.ค. และตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนมิ.ย. โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ในวอลล์สตรีทคาดว่า ตัวเลขจ้างงานเดือนมิ.ย.จะลดลง 110,000 ตำแหน่ง เนื่องจากการจ้างพนักงานชั่วคราวของภาครัฐในส่วนของงานสำมะโนประชากรมีแนวโน้มปรับตัวลดลง และคาดว่าอัตราว่างงานเดือนมิ.ย.จะพุ่งขึ้นแตะระดับ 9.7%
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
เม่าน้อยคลำทางหาแสงไฟ
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4641
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้ข่าวด่วน!!! Updateสถานการณ์ปัจจุบันของตลาด และSETindex
โพสต์ที่ 22
ช่วย จขกท. ครับ แต่ไม่มาทุกวันนะ
SET ปิดช่วงบ่ายที่ระดับ 797.31 จุด ลดลง 1.78 จุด(-0.22%) มูลค่าการซื้อขาย 21,731.15 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯระบุตลาดหุ้นไทยวันนี้แข็งแกร่งกว่าภูมิภาค แต่เริ่มเห็นแววตลาดซึม โดยเฉพาะช่วงเข้าใกล้การระดมทุนหุ้นไอพีโอขนาดใหญ่ของจีน หากไม่มีปัจจัยใหม่มากระตุ้นอาจส่งผลให้ตลาดซึมยาวอย่างน้อยถึงกลางสัปดาห์ หน้า โดยกรอบแนวรับ 786-795 จุด แนวต้าน 804 จุด
ตลาดหลักทรัพย์ปิดตลาดช่วงบ่ายวันนี้ที่ระดับ 797.31 จุด ลดลง 1.78 จุด(-0.22%) มูลค่าการซื้อขาย 21,731.15 ล้านบาท
การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบแคบแตะจุดสูงสุดของวันที่ระดับ 802.76 จุด ส่วนดัชนีจุดต่ำสุดของวันอยู่ที่ 794.54 จุด
ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 177 หลักทรัพย์ ลดลง 163 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 145 หลักทรัพย์
นายพงศ์ภัทร สิริพิพัฒน์ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคจีไอ(ประเทศไทย)กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งตัวในกรอบแคบและถือว่าแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับตลาด หุ้นภูมิภาคที่ปรับตัวลดลงตามปัจจัยภาวะเศรษฐกิจในยุโรปและอเมริกา รวมถึงการเสนอขายหุ้นไอพีโอขนาดใหญ่ของจีน ทำให้สภาพคล่องหายไปจากตลาด เห็นได้ว่าในช่วงบ่ายตลาดหุ้นไทยเริ่มซึม คาดว่าจะเป็นเช่นนี้อีกระยะหนึ่ง เพราะไม่มีปัจจัยใหม่มากระตุ้น
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มตลาดหุ้นไทยที่จะเปิดทำการอีกครั้งในวันศุกร์ยังคงแกว่งตัวในกรอบ แคบๆต่อเนื่อง และมูลค่าการซื้อขายยังคงซึมต่อไป แต่อาจมีการตอบรับที่ดีจากการประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐในคืนวันศุกร์ หากตัวเลขการจ้างงานลดลงน้อยกว่าที่คาดอาจส่งผลให้จิตวิทยาการลงทุนกลับมาดี อีกครั้ง แต่หากไม่มีอะไรน่าแปลกใจภาวะตลาดหุ้นโดยทั่วไปอาจจะซึมถึงกลางสัปดาห์ หน้าที่จะเสร็จสิ้นการเสนอขายหุ้นไอพีโอของจีน
กรอบการลงทุนสำหรับวันศุกร์ให้แนวรับที่ 786-795 และแนวต้านที่ 804 จุด
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่
ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 1,867.70 ล้านบาท ปิดที่ 86.75 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท
CPF มูลค่าการซื้อขาย 1,442.70 ล้านบาท ปิดที่ 20.30 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท
PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,216.63 ล้านบาท ปิดที่ 246.00 บาท ลดลง 4.00 บาท
IVL มูลค่าการซื้อขาย 1,149.51 ล้านบาท ปิดที่ 22.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.60 บาท
BTS มูลค่าการซื้อขาย 861.75 ล้านบาท ปิดที่ 0.86 บาท เพิ่มขึ้น 0.03 บาท
SET ปิดช่วงบ่ายที่ระดับ 797.31 จุด ลดลง 1.78 จุด(-0.22%) มูลค่าการซื้อขาย 21,731.15 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯระบุตลาดหุ้นไทยวันนี้แข็งแกร่งกว่าภูมิภาค แต่เริ่มเห็นแววตลาดซึม โดยเฉพาะช่วงเข้าใกล้การระดมทุนหุ้นไอพีโอขนาดใหญ่ของจีน หากไม่มีปัจจัยใหม่มากระตุ้นอาจส่งผลให้ตลาดซึมยาวอย่างน้อยถึงกลางสัปดาห์ หน้า โดยกรอบแนวรับ 786-795 จุด แนวต้าน 804 จุด
ตลาดหลักทรัพย์ปิดตลาดช่วงบ่ายวันนี้ที่ระดับ 797.31 จุด ลดลง 1.78 จุด(-0.22%) มูลค่าการซื้อขาย 21,731.15 ล้านบาท
การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบแคบแตะจุดสูงสุดของวันที่ระดับ 802.76 จุด ส่วนดัชนีจุดต่ำสุดของวันอยู่ที่ 794.54 จุด
ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 177 หลักทรัพย์ ลดลง 163 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 145 หลักทรัพย์
นายพงศ์ภัทร สิริพิพัฒน์ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคจีไอ(ประเทศไทย)กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งตัวในกรอบแคบและถือว่าแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับตลาด หุ้นภูมิภาคที่ปรับตัวลดลงตามปัจจัยภาวะเศรษฐกิจในยุโรปและอเมริกา รวมถึงการเสนอขายหุ้นไอพีโอขนาดใหญ่ของจีน ทำให้สภาพคล่องหายไปจากตลาด เห็นได้ว่าในช่วงบ่ายตลาดหุ้นไทยเริ่มซึม คาดว่าจะเป็นเช่นนี้อีกระยะหนึ่ง เพราะไม่มีปัจจัยใหม่มากระตุ้น
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มตลาดหุ้นไทยที่จะเปิดทำการอีกครั้งในวันศุกร์ยังคงแกว่งตัวในกรอบ แคบๆต่อเนื่อง และมูลค่าการซื้อขายยังคงซึมต่อไป แต่อาจมีการตอบรับที่ดีจากการประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐในคืนวันศุกร์ หากตัวเลขการจ้างงานลดลงน้อยกว่าที่คาดอาจส่งผลให้จิตวิทยาการลงทุนกลับมาดี อีกครั้ง แต่หากไม่มีอะไรน่าแปลกใจภาวะตลาดหุ้นโดยทั่วไปอาจจะซึมถึงกลางสัปดาห์ หน้าที่จะเสร็จสิ้นการเสนอขายหุ้นไอพีโอของจีน
กรอบการลงทุนสำหรับวันศุกร์ให้แนวรับที่ 786-795 และแนวต้านที่ 804 จุด
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่
ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 1,867.70 ล้านบาท ปิดที่ 86.75 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท
CPF มูลค่าการซื้อขาย 1,442.70 ล้านบาท ปิดที่ 20.30 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท
PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,216.63 ล้านบาท ปิดที่ 246.00 บาท ลดลง 4.00 บาท
IVL มูลค่าการซื้อขาย 1,149.51 ล้านบาท ปิดที่ 22.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.60 บาท
BTS มูลค่าการซื้อขาย 861.75 ล้านบาท ปิดที่ 0.86 บาท เพิ่มขึ้น 0.03 บาท
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
- picklife
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2567
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้ข่าวด่วน!!! Updateสถานการณ์ปัจจุบันของตลาด และSETindex
โพสต์ที่ 24
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม 2553 06:59:24 น.
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กเทรดวันแรกของไตรมาส 3 ด้วยการปิดลบเมื่อคืนนี้ (1 ก.ค.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ รวมถึงจำนวนคนว่างงานรายสัปดาห์ที่พุ่งขึ้นเหนือความคาดหมาย รวมทั้งข้อมูลด้านอสังหาริมทรัพย์และภาคการผลิตที่ย่ำแย่ ซึ่งทำให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดลบ 41.49 จุด หรือ 0.42% แตะที่ 9,732.53 จุด ดัชนี S&P 500 ลดลง 3.34 จุด หรือ 0.32% ปิดที่ 1,027.37 จุด และดัชนี Nasdaq ขยับลง 7.88 จุด หรือ 0.37% ปิดที่ 2,101.36 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.165 หมื่นล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 1,839 ต่อ 1,202 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 9.65 พันล้านหุ้น
ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงเนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่แล้ว เพิ่มขึ้น 13,000 ราย สู่ระดับ 472,000 ราย สวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 452,000 ราย และเป็นการปรับตัวขึ้นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งบ่งชี้ว่าผู้ประกอบการยังคงเลย์ออฟพนักงานมากขึ้น
รายงานดังกล่าวมีขึ้นก่อนที่กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (nonfarm payroll) เดือนมิ.ย.ในวันศุกร์นี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ในวอลล์สตรีทคาดว่าตัวเลขจ้างงานเดือนมิ.ย.จะร่วง 110,000 ตำแหน่ง เนื่องจากการจ้างพนักงานชั่วคราวของภาครัฐในส่วนของงานสำมะโนประชากรนั้น มีแนวโน้มปรับตัวลดลง และคาดว่าอัตราว่างงานเดือนมิ.ย.จะอยู่ที่ระดับ 9.7%
ขณะที่สมาคมนายหน้าค้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) รายงานว่า ดัชนีการทำสัญญาซื้อบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนพ.ค.ร่วงลงสู่ระดับ 77.6 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 9 ปี และร่วงลง 15.9% เมื่อเทียบกับเดือนพ.ค.ปีที่แล้ว ส่วนดัชนีการทำสัญญาซื้อบ้านในเดือนเม.ย.ปีนี้อยู่ที่ระดับ 110.9 จุด
นอกจากนี้ สำนักงานจัดการด้านอุปทาน (ISM) ของสหรัฐรายงานว่า ดัชนีภาคการผลิตเดือนมิ.ย.ร่วงลงสู่ระดับ 56.2 จุด จากเดือนพ.ค.ที่ระดับ 59.7 จุด
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กเทรดวันแรกของไตรมาส 3 ด้วยการปิดลบเมื่อคืนนี้ (1 ก.ค.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ รวมถึงจำนวนคนว่างงานรายสัปดาห์ที่พุ่งขึ้นเหนือความคาดหมาย รวมทั้งข้อมูลด้านอสังหาริมทรัพย์และภาคการผลิตที่ย่ำแย่ ซึ่งทำให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดลบ 41.49 จุด หรือ 0.42% แตะที่ 9,732.53 จุด ดัชนี S&P 500 ลดลง 3.34 จุด หรือ 0.32% ปิดที่ 1,027.37 จุด และดัชนี Nasdaq ขยับลง 7.88 จุด หรือ 0.37% ปิดที่ 2,101.36 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.165 หมื่นล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 1,839 ต่อ 1,202 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 9.65 พันล้านหุ้น
ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงเนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่แล้ว เพิ่มขึ้น 13,000 ราย สู่ระดับ 472,000 ราย สวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 452,000 ราย และเป็นการปรับตัวขึ้นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งบ่งชี้ว่าผู้ประกอบการยังคงเลย์ออฟพนักงานมากขึ้น
รายงานดังกล่าวมีขึ้นก่อนที่กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (nonfarm payroll) เดือนมิ.ย.ในวันศุกร์นี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ในวอลล์สตรีทคาดว่าตัวเลขจ้างงานเดือนมิ.ย.จะร่วง 110,000 ตำแหน่ง เนื่องจากการจ้างพนักงานชั่วคราวของภาครัฐในส่วนของงานสำมะโนประชากรนั้น มีแนวโน้มปรับตัวลดลง และคาดว่าอัตราว่างงานเดือนมิ.ย.จะอยู่ที่ระดับ 9.7%
ขณะที่สมาคมนายหน้าค้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) รายงานว่า ดัชนีการทำสัญญาซื้อบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนพ.ค.ร่วงลงสู่ระดับ 77.6 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 9 ปี และร่วงลง 15.9% เมื่อเทียบกับเดือนพ.ค.ปีที่แล้ว ส่วนดัชนีการทำสัญญาซื้อบ้านในเดือนเม.ย.ปีนี้อยู่ที่ระดับ 110.9 จุด
นอกจากนี้ สำนักงานจัดการด้านอุปทาน (ISM) ของสหรัฐรายงานว่า ดัชนีภาคการผลิตเดือนมิ.ย.ร่วงลงสู่ระดับ 56.2 จุด จากเดือนพ.ค.ที่ระดับ 59.7 จุด
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
เม่าน้อยคลำทางหาแสงไฟ
- pacabee
- Verified User
- โพสต์: 381
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้ข่าวด่วน!!! Updateสถานการณ์ปัจจุบันของตลาด และSETindex
โพสต์ที่ 25
ต่างชาติถล่มขายหุ้นไทยครึ่งปีแรก1.7หมื่นล.
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
เปิดพอร์ตลงทุนตลาดหุ้นไทยครึ่งปีแรกต่างชาติถล่มขาย 1.7 หมื่นล้านบาท สถาบันขาย 632 ล้านบาท รายย่อยกว้านซื้อ 1.7 หมื่นล้านบาท
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
เปิดพอร์ตลงทุนตลาดหุ้นไทยครึ่งปีแรกต่างชาติถล่มขาย 1.7 หมื่นล้านบาท สถาบันขาย 632 ล้านบาท รายย่อยกว้านซื้อ 1.7 หมื่นล้านบาท
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้ข่าวด่วน!!! Updateสถานการณ์ปัจจุบันของตลาด และSETindex
โพสต์ที่ 26
ราคาทองคำปิดร่วง 39 ดอลล์ หลังมีสัญญาณภาคการเงินยุโรปฟื้น
http://breakingnews.nationchannel.com/r ... sid=456036
....ฟื้นจริงหรือไม่ ต้องพิจารณาเองนะครับ
http://breakingnews.nationchannel.com/r ... sid=456036
....ฟื้นจริงหรือไม่ ต้องพิจารณาเองนะครับ
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
- sutee_p
- Verified User
- โพสต์: 325
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้ข่าวด่วน!!! Updateสถานการณ์ปัจจุบันของตลาด และSETindex
โพสต์ที่ 27
แรงงานกรีซนัดหยุดงานประท้วงมาตรการรัดเข็มขัด 8 ก.ค.นี้
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 2 กรกฎาคม 2553 12:46 น.
สหภาพแรงงานหลักของกรีซ เรียกร้องให้สมาชิกร่วมกันผละงานประท้วง เป็นเวลา 24 ชั่วโมง ในวันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม เพื่อประท้วงการปฏิรูปเบี้ยบำนาญ และมาตรการรัดเข็มขัดของรัฐบาล ซึ่งออกมาเพื่อแก้วิกฤตหนี้สินของประเทศ
ทั้งนี้ การผละงานประท้วงดังกล่าว ถือเป็นการผละงานประท้วง ครั้งที่ 6 ในปีนี้ ซึ่งมีแรงงานประมาณ 2.5 ล้านคน หรือครึ่งหนึ่งของแรงงานชาวกรีซเข้าร่วม
สหภาพแรงงานภาคเอกชนกรีซ กล่าวว่า การผละงานประท้วงดังกล่าว เกิดขึ้นพร้อมกับที่รัฐบาลได้รับเงินช่วยเหลือจากสหภาพยุโรป และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ จำนวน 1.1 แสนล้านยูโร ซึ่งสหภาพแรงงานไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เนื่องจากมองว่าไม่ยุติธรรมต่อแรงงาน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 2 กรกฎาคม 2553 12:46 น.
สหภาพแรงงานหลักของกรีซ เรียกร้องให้สมาชิกร่วมกันผละงานประท้วง เป็นเวลา 24 ชั่วโมง ในวันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม เพื่อประท้วงการปฏิรูปเบี้ยบำนาญ และมาตรการรัดเข็มขัดของรัฐบาล ซึ่งออกมาเพื่อแก้วิกฤตหนี้สินของประเทศ
ทั้งนี้ การผละงานประท้วงดังกล่าว ถือเป็นการผละงานประท้วง ครั้งที่ 6 ในปีนี้ ซึ่งมีแรงงานประมาณ 2.5 ล้านคน หรือครึ่งหนึ่งของแรงงานชาวกรีซเข้าร่วม
สหภาพแรงงานภาคเอกชนกรีซ กล่าวว่า การผละงานประท้วงดังกล่าว เกิดขึ้นพร้อมกับที่รัฐบาลได้รับเงินช่วยเหลือจากสหภาพยุโรป และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ จำนวน 1.1 แสนล้านยูโร ซึ่งสหภาพแรงงานไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เนื่องจากมองว่าไม่ยุติธรรมต่อแรงงาน
- picklife
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2567
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้ข่าวด่วน!!! Updateสถานการณ์ปัจจุบันของตลาด และSETindex
โพสต์ที่ 29
โหวววว รายย่อยไทย แข็งแกร่งจริงๆ SETเราเริ่มมีศัยภาพแล้ววว อิอิpacabee เขียน:ต่างชาติถล่มขายหุ้นไทยครึ่งปีแรก1.7หมื่นล.
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
เปิดพอร์ตลงทุนตลาดหุ้นไทยครึ่งปีแรกต่างชาติถล่มขาย 1.7 หมื่นล้านบาท สถาบันขาย 632 ล้านบาท รายย่อยกว้านซื้อ 1.7 หมื่นล้านบาท
เม่าน้อยคลำทางหาแสงไฟ
- picklife
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2567
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้ข่าวด่วน!!! Updateสถานการณ์ปัจจุบันของตลาด และSETindex
โพสต์ที่ 30
ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 6 กรกฎาคม 2553 10:19:55 น.
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX เดือนส.ค.ซึ่งมีการซื้อขายทางระบบอิเล็กทรอนิกที่ตลาดสิงคโปร์ ปรับตัวลง 1.05 ดอลลาร์ หรือ 1.5% 71.09 ดอลลาร์/บาร์เรลในช่วงเช้านี้ จากระดับปิดที่ตลาดนิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ที่ 72.14 ดอลลาร์/บาร์เรล (ตลาดน้ำมันนิวยอร์กปิดทำการวันจันทร์ที่ 5 ก.ค.เนื่องในวันหยุดชดเชยวันชาติสหรัฐ) เนื่องจากความกังวลที่ว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่เป็นไปอย่างล่าช้าในยุโรปและจีน จะส่งผลให้ดีมานด์พลังงานหดตัวลงด้วย
สัญญาน้ำมันดิบดิ่งลงต่ำกว่าระดับ 72 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากศูนย์เทคโนโลยีและวิจัยยานยนต์ของจีนเปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์ รถ SUV และรถเอนกประสงค์ในจีน ขยายตัว 10.9% เมื่อเทียบเป็นรายปี แตะที่ 839,228 คันในเดือนมิ.ย. น้อยกว่าในเดือนเม.ย.และพ.ค.ที่ขยายตัว 34% และ 25% ตามลำดับ นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับแรงกดดันจากตลาดหุ้นยุโรปที่ร่วงลงติดต่อกัน 5 วันทำการ
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX เดือนส.ค.ซึ่งมีการซื้อขายทางระบบอิเล็กทรอนิกที่ตลาดสิงคโปร์ ปรับตัวลง 1.05 ดอลลาร์ หรือ 1.5% 71.09 ดอลลาร์/บาร์เรลในช่วงเช้านี้ จากระดับปิดที่ตลาดนิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ที่ 72.14 ดอลลาร์/บาร์เรล (ตลาดน้ำมันนิวยอร์กปิดทำการวันจันทร์ที่ 5 ก.ค.เนื่องในวันหยุดชดเชยวันชาติสหรัฐ) เนื่องจากความกังวลที่ว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่เป็นไปอย่างล่าช้าในยุโรปและจีน จะส่งผลให้ดีมานด์พลังงานหดตัวลงด้วย
สัญญาน้ำมันดิบดิ่งลงต่ำกว่าระดับ 72 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากศูนย์เทคโนโลยีและวิจัยยานยนต์ของจีนเปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์ รถ SUV และรถเอนกประสงค์ในจีน ขยายตัว 10.9% เมื่อเทียบเป็นรายปี แตะที่ 839,228 คันในเดือนมิ.ย. น้อยกว่าในเดือนเม.ย.และพ.ค.ที่ขยายตัว 34% และ 25% ตามลำดับ นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับแรงกดดันจากตลาดหุ้นยุโรปที่ร่วงลงติดต่อกัน 5 วันทำการ
เม่าน้อยคลำทางหาแสงไฟ