ยุคเงินเหรียญสหรัฐกำลังจะจบลง ???
-
- Verified User
- โพสต์: 96
- ผู้ติดตาม: 0
ยุคเงินเหรียญสหรัฐกำลังจะจบลง ???
โพสต์ที่ 1
นิตยสารอีโคโนมิสต์ฉบับวันที่ 4-10 ธันวาคม สรุปว่า นโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐ กำลังจะทำให้ความเชื่อมั่น ในค่าเงินเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นเงินสกุลหลัก และเป็นเงินสกุลกลางที่ถูกใช้เพื่อการค้าการลงทุนระหว่างประเทศต้องจบลง ทั้งนี้เนื่องจากสหรัฐสร้างหนี้สินเอาไว้อย่างมากมาย ดังนั้น ค่าเงินเหรียญจึงจะมีแนวโน้มที่จะต้องอ่อนตัวลงเรื่อยๆ ซึ่งแนวคิดของอีโคโนมิสต์นี้ผมเห็นว่ามีความเป็นไปได้อย่างมาก เพราะข้อมูลต่างๆ ชี้ให้เห็นว่าปัญหาของสหรัฐ (ซึ่งเป็นปัญหาของเศรษฐกิจโลกด้วย) นั้นเป็นปัญหาที่ยิ่งใหญ่มากกว่าครั้งก่อนๆ จึงอาจสรุปได้ว่าเศรษฐกิจโลก กำลังเดินมาสู่จุดหักเหที่สำคัญ และระบบการเงินระหว่างประเทศ อาจต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในช่วง 1-2 ปีข้างหน้านี้ เพื่อช่วยให้ผู้ที่สนใจเรื่องนี้ได้รับทราบความเป็นมา และข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ผมจึงขอนำเสนอแนวคิดตัวเลขและสถิติต่างๆ ที่ผมเห็นว่าสำคัญมาให้ดูกันในวันนี้ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 96
- ผู้ติดตาม: 0
ยุคเงินเหรียญสหรัฐกำลังจะจบลง ???
โพสต์ที่ 2
ข้อสรุปและข้อสังเกต
1.การใช้จ่ายเกินตัวของสหรัฐในครั้งนี้เป็นปัญหาที่ใหญ่โตอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และกำลังจะเป็นปัญหาของโลก ไม่ใช่ปัญหาของสหรัฐเพียงประเทศเดียว การแก้ไขปัญหานั้นจะต้องยอมให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่าลง รวมทั้ง เศรษฐกิจโลกก็จะต้องชะลอตัวลงไปด้วย โดยประเทศเอเชียจะต้องรับภาระการปรับตัวมากกว่าภูมิภาคอื่นๆ หมายความว่า การตั้งความหวังว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวได้ในอัตราสูงในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าจะมีความเป็นไปได้ยาก
2.ค่าเงินเหรียญสหรัฐนั้นจะต้องอ่อนตัวลงอีกอย่างแน่นอน คำถามคือ จะอ่อนตัวลงมากเพียงใด (ขณะนี้พูดกันที่ 20-30%) และที่สำคัญคือ หากไม่มีการจัดการที่ดีแล้วค่าเงินเหรียญสหรัฐก็จะร่วงหล่นลงอย่างแรงได้ (crash) ซึ่งจะเป็นชนวนทำให้เกิดสภาวะถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐและการชะลอตัวลงอย่างรุนแรงของเศรษฐกิจโลก
3.ประเทศต่างๆ อาจพยายามตรึงสถานการณ์เอาไว้อีก 1-2 ปี โดยไม่แก้ไขปัญหาพื้นฐาน (คือยอมให้สหรัฐกู้ยืมเงินต่อไปเรื่อยๆ ปีละ 5-6 แสนล้านเหรียญ) แต่หากทำเช่นนั้นก็เท่ากับการซื้อเวลา และจะทำให้วิกฤตทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จะรุนแรงยิ่งกว่านั่นคือ การปรับตัวทางเศรษฐกิจให้สมดุลมากขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
1.การใช้จ่ายเกินตัวของสหรัฐในครั้งนี้เป็นปัญหาที่ใหญ่โตอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และกำลังจะเป็นปัญหาของโลก ไม่ใช่ปัญหาของสหรัฐเพียงประเทศเดียว การแก้ไขปัญหานั้นจะต้องยอมให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่าลง รวมทั้ง เศรษฐกิจโลกก็จะต้องชะลอตัวลงไปด้วย โดยประเทศเอเชียจะต้องรับภาระการปรับตัวมากกว่าภูมิภาคอื่นๆ หมายความว่า การตั้งความหวังว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวได้ในอัตราสูงในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าจะมีความเป็นไปได้ยาก
2.ค่าเงินเหรียญสหรัฐนั้นจะต้องอ่อนตัวลงอีกอย่างแน่นอน คำถามคือ จะอ่อนตัวลงมากเพียงใด (ขณะนี้พูดกันที่ 20-30%) และที่สำคัญคือ หากไม่มีการจัดการที่ดีแล้วค่าเงินเหรียญสหรัฐก็จะร่วงหล่นลงอย่างแรงได้ (crash) ซึ่งจะเป็นชนวนทำให้เกิดสภาวะถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐและการชะลอตัวลงอย่างรุนแรงของเศรษฐกิจโลก
3.ประเทศต่างๆ อาจพยายามตรึงสถานการณ์เอาไว้อีก 1-2 ปี โดยไม่แก้ไขปัญหาพื้นฐาน (คือยอมให้สหรัฐกู้ยืมเงินต่อไปเรื่อยๆ ปีละ 5-6 แสนล้านเหรียญ) แต่หากทำเช่นนั้นก็เท่ากับการซื้อเวลา และจะทำให้วิกฤตทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จะรุนแรงยิ่งกว่านั่นคือ การปรับตัวทางเศรษฐกิจให้สมดุลมากขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
-
- Verified User
- โพสต์: 96
- ผู้ติดตาม: 0
ยุคเงินเหรียญสหรัฐกำลังจะจบลง ???
โพสต์ที่ 3
การอ่อนตัวของเงินเหรียญสหรัฐในอดีต
ค่าเงินเหรียญสหรัฐนั้นอันที่จริงแล้วอ่อนตัวลงมาโดยตลอดตั้งแต่ปี 1960 จากข้อมูลที่อ้างอิงโดยอีโคโนมิสต์จะเห็นว่า ค่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อนลงถึง 70% เมื่อเทียบกับเงินเยน และหากเทียบกับเงินยูโร โดยใช้เงินมาร์กของเยอรมนีเ ป็นตัวแทนเงินยูโรในอดีต ก็จะพบว่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อนตัวไปประมาณ 65% (ดังนั้นบริษัท หรือรัฐวิสาหกิจที่กู้ยืมเงินสกุลเยนมากๆ เพราะเห็นว่าดอกเบี้ยถูกนั้น ก็คงจะต้องพึงระวังการแข็งค่าของเงินเอาไว้ด้วย)
ในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา เงินเหรียญสหรัฐแข็งค่าสุดประมาณต้นปี 2002 และจากนั้นเป็นต้นมาก็อ่อนตัวลงไป 35% เมื่อเทียบกับเงินยูโร และ 24% เมื่อเทียบกับเงินเยน แต่ค่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อนตัวลงเพียง 17% เมื่อเทียบกับเงินสกุลต่างๆ ทั่วโลก (โดยชั่งน้ำหนักเงินสกุลต่างๆ ตามมูลค่าการค้าของสหรัฐกับประเทศนั้นๆ) หมายความว่าค่าเงินสกุลอื่นๆ (โดยเฉพาะเอเชีย) นั้นไม่ได้แข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐมากนัก เช่น เงินบาทนั้นแข็งค่าขึ้นเพียง 11% ในขณะที่ค่าเงินหยวน เงินเหรียญฮ่องกง และเงินริงกิตของมาเลเซีย ผูกค่าตายตัวกับเงินเหรียญสหรัฐ
ในเมื่อค่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อนตัวลงไปแล้ว 17% ในช่วงเกือบ 3 ปี ทำไมจึงต้องอ่อนตัวลงไปอีก ? ที่ต้องอ่อนตัวลงอีกก็เพราะว่าจากปี 2002 เป็นต้นมาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของสหรัฐไม่ยอมลดลงเลย แต่กลับเพิ่มขึ้นจาก 4% ของจีดีพี (ประมาณ 4 แสนเหรียญสหรัฐ) มาเป็นเกือบ 6% ของจีดีพีในปี 2004 (หรือกว่า 6 แสนล้านเหรียญ) นอกจากนั้นแล้วหากมองภาพยาวออกไปอีกก็จะพบว่าค่าเงินเหรียญสหรัฐในปี 2004 นั้นไม่แตกต่างจากปี 1973 และยังอยู่ในระดับค่าเฉลี่ยในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา
ค่าเงินเหรียญสหรัฐนั้นอันที่จริงแล้วอ่อนตัวลงมาโดยตลอดตั้งแต่ปี 1960 จากข้อมูลที่อ้างอิงโดยอีโคโนมิสต์จะเห็นว่า ค่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อนลงถึง 70% เมื่อเทียบกับเงินเยน และหากเทียบกับเงินยูโร โดยใช้เงินมาร์กของเยอรมนีเ ป็นตัวแทนเงินยูโรในอดีต ก็จะพบว่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อนตัวไปประมาณ 65% (ดังนั้นบริษัท หรือรัฐวิสาหกิจที่กู้ยืมเงินสกุลเยนมากๆ เพราะเห็นว่าดอกเบี้ยถูกนั้น ก็คงจะต้องพึงระวังการแข็งค่าของเงินเอาไว้ด้วย)
ในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา เงินเหรียญสหรัฐแข็งค่าสุดประมาณต้นปี 2002 และจากนั้นเป็นต้นมาก็อ่อนตัวลงไป 35% เมื่อเทียบกับเงินยูโร และ 24% เมื่อเทียบกับเงินเยน แต่ค่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อนตัวลงเพียง 17% เมื่อเทียบกับเงินสกุลต่างๆ ทั่วโลก (โดยชั่งน้ำหนักเงินสกุลต่างๆ ตามมูลค่าการค้าของสหรัฐกับประเทศนั้นๆ) หมายความว่าค่าเงินสกุลอื่นๆ (โดยเฉพาะเอเชีย) นั้นไม่ได้แข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐมากนัก เช่น เงินบาทนั้นแข็งค่าขึ้นเพียง 11% ในขณะที่ค่าเงินหยวน เงินเหรียญฮ่องกง และเงินริงกิตของมาเลเซีย ผูกค่าตายตัวกับเงินเหรียญสหรัฐ
ในเมื่อค่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อนตัวลงไปแล้ว 17% ในช่วงเกือบ 3 ปี ทำไมจึงต้องอ่อนตัวลงไปอีก ? ที่ต้องอ่อนตัวลงอีกก็เพราะว่าจากปี 2002 เป็นต้นมาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของสหรัฐไม่ยอมลดลงเลย แต่กลับเพิ่มขึ้นจาก 4% ของจีดีพี (ประมาณ 4 แสนเหรียญสหรัฐ) มาเป็นเกือบ 6% ของจีดีพีในปี 2004 (หรือกว่า 6 แสนล้านเหรียญ) นอกจากนั้นแล้วหากมองภาพยาวออกไปอีกก็จะพบว่าค่าเงินเหรียญสหรัฐในปี 2004 นั้นไม่แตกต่างจากปี 1973 และยังอยู่ในระดับค่าเฉลี่ยในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา
-
- Verified User
- โพสต์: 96
- ผู้ติดตาม: 0
ยุคเงินเหรียญสหรัฐกำลังจะจบลง ???
โพสต์ที่ 4
ในช่วงปี 1985 เพื่อแก้ปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของสหรัฐที่ระดับไม่ถึง 4% ของจีดีพีนั้น (แต่ปัจจุบันการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอยู่ที่ 6% ของจีดีพี) ค่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อนตัวลงอย่างรุนแรงไปถึง 34% เมื่อเทียบกับค่าเงินของกลุ่มประเทศคู่ค้าสำคัญ อันเป็นผลให้การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดลดลงเหลือ 1.5% ของจีดีพีในปี 1989 ต่อจากนั้นค่าเงินเหรียญก็อ่อนตัวต่อไปอีกและในที่สุดก็สามารถแก้ปัญหาการขาดดุลของสหรัฐและกลับมาเกินดุลได้ในปี 1990
แต่ผลที่เกิดขึ้นคือ เศรษฐกิจสหรัฐต้องเข้าสู่สภาวะถดถอย ทำให้ประธานาธิบดีบุช (ผู้พ่อ) ต้องพ่ายแพ้การเลือกตั้ง หากมองกลับไปถึงกรณีของไทยก็จะเห็นว่าเรา "กลับตัว" จากการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่ระดับ 8% ของจีดีพีในปี 1996-1997 มาเป็นการเกินดุลได้ในปี 1998 แต่เศรษฐกิจต้องหดตัวถึง 10% ในปีดังกล่าว หมายความว่า การปรับตัวเมื่อมีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูงๆ นั้นสามารถส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อเศรษฐกิจ
แต่ผลที่เกิดขึ้นคือ เศรษฐกิจสหรัฐต้องเข้าสู่สภาวะถดถอย ทำให้ประธานาธิบดีบุช (ผู้พ่อ) ต้องพ่ายแพ้การเลือกตั้ง หากมองกลับไปถึงกรณีของไทยก็จะเห็นว่าเรา "กลับตัว" จากการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่ระดับ 8% ของจีดีพีในปี 1996-1997 มาเป็นการเกินดุลได้ในปี 1998 แต่เศรษฐกิจต้องหดตัวถึง 10% ในปีดังกล่าว หมายความว่า การปรับตัวเมื่อมีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูงๆ นั้นสามารถส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อเศรษฐกิจ
-
- Verified User
- โพสต์: 96
- ผู้ติดตาม: 0
ยุคเงินเหรียญสหรัฐกำลังจะจบลง ???
โพสต์ที่ 5
ทำไมการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของสหรัฐจึงแก้ไขได้ยาก
การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของสหรัฐนั้นสูงผิดปกติเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่จะขาดดุลไม่เกิน 5% ของจีดีพี ซึ่งการปรับตัวจะเกิดขึ้นโดยค่าเงินจะอ่อนค่าลงประมาณ 20-40% และเกิดการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจภายในประเทศ แต่ในกรณีของสหรัฐนั้นแม้ว่าค่าเงินจะอ่อนค่าลงบ้าง แต่เศรษฐกิจก็ยังไม่ชะลอลงเท่าที่ควร และที่สำคัญคือ การขาดดุลยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งขณะนี้สหรัฐต้องกู้เงินวันละ 2.5 พันล้านเหรียญ (ไม่นับวันหยุด) หรือเท่ากับ 75-80% ของเงินออมของโลก ตัวเลขที่มากมายนี้ทำให้นักเศรษฐศาสตร์บางคนเชื่อว่า ผู้ที่ให้สหรัฐกู้ก็จำยอมที่จะต้องให้กู้ต่อไป เพราะหากไม่ทำเช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าจะไปให้ใครกู้
การปล่อยให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อนตัวเพียงอย่างเดียว อาจจะไม่เพียงพอที่จะแก้ปัญหาการขาดดุลอย่างมาก ที่สหรัฐกำลังเผชิญอยู่ ทั้งนี้เพราะสหรัฐส่งออกเดือนละ 1 แสนล้านเหรียญ และในปีปัจจุบัน การส่งออกของสหรัฐขยายตัว 16% ต่อปี (ซึ่งถือว่าขยายตัวในระดับสูง) แต่การนำเข้าก็ขยายตัวอยู่ในระดับสูงถึง 15% ต่อปีเช่นกัน หมายความว่า หากคงการขยายตัวในระดับนี้ต่อไปในปี 2005 การส่งออกก็จะอยู่ที่ระดับ 1.16 แสนล้านเหรียญต่อเดือน เป็นผลให้การขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นไปที่ 6.8 แสนล้านเหรียญ หรือเพิ่มขึ้นอีกเกือบ 1 แสนล้านเหรียญจากปี 2004
การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของสหรัฐนั้นสูงผิดปกติเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่จะขาดดุลไม่เกิน 5% ของจีดีพี ซึ่งการปรับตัวจะเกิดขึ้นโดยค่าเงินจะอ่อนค่าลงประมาณ 20-40% และเกิดการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจภายในประเทศ แต่ในกรณีของสหรัฐนั้นแม้ว่าค่าเงินจะอ่อนค่าลงบ้าง แต่เศรษฐกิจก็ยังไม่ชะลอลงเท่าที่ควร และที่สำคัญคือ การขาดดุลยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งขณะนี้สหรัฐต้องกู้เงินวันละ 2.5 พันล้านเหรียญ (ไม่นับวันหยุด) หรือเท่ากับ 75-80% ของเงินออมของโลก ตัวเลขที่มากมายนี้ทำให้นักเศรษฐศาสตร์บางคนเชื่อว่า ผู้ที่ให้สหรัฐกู้ก็จำยอมที่จะต้องให้กู้ต่อไป เพราะหากไม่ทำเช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าจะไปให้ใครกู้
การปล่อยให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อนตัวเพียงอย่างเดียว อาจจะไม่เพียงพอที่จะแก้ปัญหาการขาดดุลอย่างมาก ที่สหรัฐกำลังเผชิญอยู่ ทั้งนี้เพราะสหรัฐส่งออกเดือนละ 1 แสนล้านเหรียญ และในปีปัจจุบัน การส่งออกของสหรัฐขยายตัว 16% ต่อปี (ซึ่งถือว่าขยายตัวในระดับสูง) แต่การนำเข้าก็ขยายตัวอยู่ในระดับสูงถึง 15% ต่อปีเช่นกัน หมายความว่า หากคงการขยายตัวในระดับนี้ต่อไปในปี 2005 การส่งออกก็จะอยู่ที่ระดับ 1.16 แสนล้านเหรียญต่อเดือน เป็นผลให้การขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นไปที่ 6.8 แสนล้านเหรียญ หรือเพิ่มขึ้นอีกเกือบ 1 แสนล้านเหรียญจากปี 2004
-
- Verified User
- โพสต์: 96
- ผู้ติดตาม: 0
ยุคเงินเหรียญสหรัฐกำลังจะจบลง ???
โพสต์ที่ 6
ในทางตรงกันข้าม หากสหรัฐต้องการให้การนำเข้า (คือการบริโภค) ขยายตัวในอัตราเท่าเดิมคือ 15% แต่ต้องการลดการขาดดุลการค้าลง การส่งออกก็จะต้องขยายตัวมากกว่าปีละ 23% ซึ่งเป็นไปได้ยาก เพราะสหรัฐไม่มีทรัพยากรเหลือเพียงพอ ที่จะผลิตเพื่อการส่งออกเพิ่มมากขนาดนั้น นอกจากนั้นความต้องการซื้อสินค้าสหรัฐในตลาดโลก ก็คงไม่สามารถเพิ่มขึ้นมากมายเช่นนั้น
-
- Verified User
- โพสต์: 96
- ผู้ติดตาม: 0
ยุคเงินเหรียญสหรัฐกำลังจะจบลง ???
โพสต์ที่ 7
ในปี 1985 ความร่วมมืออย่างพร้อมเพรียงของสหรัฐและกลุ่มประเทศจี-7 ที่ตกลงกันประคับประคองค่าเงินเหรียญสหรัฐให้อ่อนตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปนั้น ไม่สามารถนำมาใช้ได้อีกในปี 2005 เพราะปัจจุบันสหรัฐขาดดุลการค้า และมีหนี้สินกับประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศในเอเชียสูงถึง 40-50% ของการขาดดุลของสหรัฐ โดยประมาณ 25% ของการขาดดุลเป็นการขาดดุลการค้ากับจีน ในกรณีของไทยนั้น เราเกินดุลกับสหรัฐ 6 พันล้านเหรียญ (ขณะที่การเกินดุลการค้าของไทยกับทุกประเทศทั่วโลกมีเพียง 2.0 พันล้านเหรียญเท่านั้น) ดังนั้น จึงเป็นการยากที่จะให้สหรัฐ "ลดฐานะ" ของตนเองมาขอความร่วมมือกับประเทศกำลังพัฒนาหลายสิบประเทศ (กลุ่มประเทศเอเชีย) เพื่อกำกับดูแลค่าเงินเหรียญสหรัฐ
-
- Verified User
- โพสต์: 96
- ผู้ติดตาม: 0
ยุคเงินเหรียญสหรัฐกำลังจะจบลง ???
โพสต์ที่ 8
สถานะทางการเงินของสหรัฐในปัจจุบันนั้น ตกต่ำจนใกล้ถึงขีดอันตรายก็ว่าได้ ในอดีตหลังจากช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา สหรัฐเป็นประเทศเจ้าหนี้สุทธิมาโดยตลอด หมายความว่า ทรัพย์สินและการลงทุนของสหรัฐนั้น มีมูลค่าสูงกว่าหนี้สินและเงินกู้ต่างๆ ของสหรัฐมาโดยตลอด แม้แต่ช่วง 1985-88 ซึ่งค่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อนตัวลงไป 34% ผู้ที่ถือเงินเหรียญสหรัฐเอาไว้ก็ยัง "กล้า" ถือเอาไว้ต่อไป เพราะสหรัฐยังเป็นเจ้าหนี้สุทธิประมาณ 2-3% ของจีดีพี แต่ปัจจุบันสหรัฐกลายเป็นลูกหนี้สุทธิ โดยมีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน ประมาณ 3.3 ล้านล้านเหรียญหรือ 28% ของจีดีพี ทั้งนี้หนี้สินทั้งหมด (โดยไม่หักสินทรัพย์ออก) นั้น มีประมาณ 11 ล้านล้านเหรียญ หรือ 100% ของจีดีพี ประเด็นก็คือ ประเทศที่เป็นเจ้าหนี้สหรัฐจะมีความมั่นใจได้มากเพียงใด เพราะเมื่อมูลหนี้มีมากขึ้น สักวันหนึ่งดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายให้กับเจ้าหนี้ และผู้ถือสินทรัพย์สหรัฐชาวต่างชาติก็จะต้องสูงกว่ารายได้ ดอกเบี้ยที่สหรัฐทำมาหาได้จากการลงทุนในต่างประเทศ และเมื่อดุลบริการขาดดุลก็จะซ้ำเติมการขาดดุลการค้าไปอีก
-
- Verified User
- โพสต์: 96
- ผู้ติดตาม: 0
ยุคเงินเหรียญสหรัฐกำลังจะจบลง ???
โพสต์ที่ 9
ประเด็นที่น่ากลัวมากที่สุด คือ การกู้ยืมเงินของสหรัฐในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้น ส่วนใหญ่เป็นการกู้เงินเพื่อการบริโภคของประชาชน และในปี 2002 นั้น เป็นการกู้เงินเพื่อการใช้จ่ายของรัฐบาลสหรัฐไม่ได้เป็นการลงทุนเพื่อสร้างกำลังการผลิตและรายได้ ที่จะสามารถนำมาใช้คืนเจ้าหนี้แต่อย่างใด ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ?
คำตอบส่วนหนึ่งมาจากนโยบายกดดอกเบี้ยในสหรัฐให้ต่ำของนายอลัน กรีนสแปน ผู้ว่าการธนาคารกลางของสหรัฐ โดยเฉพาะในช่วง 2001-3 เพื่อลดผลกระทบของการแตกของฟองสบู่ในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2000 แต่นักเศรษฐกิจบางคนตั้งข้อสังเกตว่า การลดดอกเบี้ยได้สร้างฟองสบู่ลูกใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม คือ การปรับตัวสูงขึ้นของราคาบ้าน และอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ประชาชนสหรัฐไม่ออมเงิน แต่หันมากู้เงินเพื่อบริโภคเพิ่มขึ้น โดยใช้ประโยชน์จากการปรับราคาขึ้นของอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้น จึงเห็นได้จากสถิติว่าครัวเรือนสหรัฐนั้น ปัจจุบันมีเงินออมไม่ถึง 1% ของรายได้ของตน
จะเห็นได้ว่า ดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำของสหรัฐ นั้นเป็นองค์ประกอบหลักที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินอยู่ได้ในขณะนี้ ทั้งนี้ หมายถึงดอกเบี้ย ทั้งในระยะสั้นที่ธนาคารกลางสหรัฐกำหนดได้ โดยการพิมพ์ธนบัตรเพิ่มขึ้นเพื่อให้มีสภาพคล่องเพียงพอ และดอกเบี้ยระยะยาวซึ่งขึ้นอยู่กับผู้ลงทุนที่ยินดีถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ต้องออกมาเพิ่มขึ้นวันละกว่า 1 พันล้านเหรียญ กล่าวคือ สมมติว่าดอกเบี้ยของสหรัฐทั้งระยะสั้นและระยะยาวต้องปรับตัวเพิ่มขึ้น 2-3% แล้วสิ่งที่จะเกิดขึ้น ก็คือ ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์จะแตก ทำให้เกิดปัญหาเอ็นพีแอล นอกจากนั้นดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ก็จะทำให้สหรัฐต้องจ่ายดอกเบี้ยให้กับเจ้าหนี้ต่างชาติมากขึ้น จะทำให้สหรัฐขาดดุลบัญชีบริการ ซึ่งจะทับถมปัญหาการขาดดุลการค้า และทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดโดยรวมเพิ่มขึ้นเป็น 7 หรือ 8 แสนล้านเหรียญสหรัฐได้โดยเร็ว
คำตอบส่วนหนึ่งมาจากนโยบายกดดอกเบี้ยในสหรัฐให้ต่ำของนายอลัน กรีนสแปน ผู้ว่าการธนาคารกลางของสหรัฐ โดยเฉพาะในช่วง 2001-3 เพื่อลดผลกระทบของการแตกของฟองสบู่ในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2000 แต่นักเศรษฐกิจบางคนตั้งข้อสังเกตว่า การลดดอกเบี้ยได้สร้างฟองสบู่ลูกใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม คือ การปรับตัวสูงขึ้นของราคาบ้าน และอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ประชาชนสหรัฐไม่ออมเงิน แต่หันมากู้เงินเพื่อบริโภคเพิ่มขึ้น โดยใช้ประโยชน์จากการปรับราคาขึ้นของอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้น จึงเห็นได้จากสถิติว่าครัวเรือนสหรัฐนั้น ปัจจุบันมีเงินออมไม่ถึง 1% ของรายได้ของตน
จะเห็นได้ว่า ดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำของสหรัฐ นั้นเป็นองค์ประกอบหลักที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินอยู่ได้ในขณะนี้ ทั้งนี้ หมายถึงดอกเบี้ย ทั้งในระยะสั้นที่ธนาคารกลางสหรัฐกำหนดได้ โดยการพิมพ์ธนบัตรเพิ่มขึ้นเพื่อให้มีสภาพคล่องเพียงพอ และดอกเบี้ยระยะยาวซึ่งขึ้นอยู่กับผู้ลงทุนที่ยินดีถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ต้องออกมาเพิ่มขึ้นวันละกว่า 1 พันล้านเหรียญ กล่าวคือ สมมติว่าดอกเบี้ยของสหรัฐทั้งระยะสั้นและระยะยาวต้องปรับตัวเพิ่มขึ้น 2-3% แล้วสิ่งที่จะเกิดขึ้น ก็คือ ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์จะแตก ทำให้เกิดปัญหาเอ็นพีแอล นอกจากนั้นดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ก็จะทำให้สหรัฐต้องจ่ายดอกเบี้ยให้กับเจ้าหนี้ต่างชาติมากขึ้น จะทำให้สหรัฐขาดดุลบัญชีบริการ ซึ่งจะทับถมปัญหาการขาดดุลการค้า และทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดโดยรวมเพิ่มขึ้นเป็น 7 หรือ 8 แสนล้านเหรียญสหรัฐได้โดยเร็ว
-
- Verified User
- โพสต์: 96
- ผู้ติดตาม: 0
ยุคเงินเหรียญสหรัฐกำลังจะจบลง ???
โพสต์ที่ 10
บทบาทของธนาคารกลางเอเชีย
ดังที่ผมกล่าวข้างต้น ธนาคารกลางสหรัฐสามารถควบคุมดอกเบี้ยระยะสั้นโดยการพิมพ์เงินเพิ่มได้ แต่คุมดอกเบี้ยระยะยาวไม่ได้ เพราะขึ้นอยู่กับความต้องการเงินของรัฐบาลสหรัฐ ความต้องการซื้อพันธบัตรรัฐบาลและความต้องการลงทุนในสหรัฐของนักลงทุนทั้งในสหรัฐเองและในต่างประเทศ สิ่งที่น่ากลัวคือ ขณะนี้เงินทุนที่ไหลเข้าสหรัฐ เพื่อ "ปิด" การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดโดยภาคเอกชนของต่างชาตินั้น ลดลงไปเรื่อยๆ กลายเป็นว่า ปัจจุบันผู้ที่ช่วยปล่อยกู้ในอัตราดอกเบี้ยถูกๆ กลายเป็นธนาคารกลางของเอเชียเป็นหลักนั่นเอง ดังจะเห็นได้จากการที่เงินทุนสำรองระหว่างประเทศของประเทศต่างๆ ของโลกนั้น เพิ่มขึ้นจาก 2 ล้านล้านเหรียญในปี 2000 มาเป็น 3.5 ล้านล้านเหรียญในขณะนี้
การเพิ่มของเงินทุนสำรองนั้น ประมาณ 70% เป็นการเพิ่มขึ้นเพราะธนาคารกลางต่างๆ ต้องการตุนเงินเหรียญสหรัฐและพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเพิ่มขึ้น ซึ่งถ้าเป็นความต้องการตุนเงินเหรียญสหรัฐจริงๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นการพยุงทำให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐไม่อ่อนตัว หรือเพื่อไม่ให้ค่าเงินของตนเองแข็งค่า เพราะจะเป็นอุปสรรคกับการส่งออก ก็เท่ากับธนาคารกลางต่างๆ กำลังเข้าไป "อุ้ม" เงินเหรียญสหรัฐ จะก่อให้เกิดความเสียหายเมื่อค่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อนตัวลง ซึ่งผมคิดว่าเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ดังที่ผมกล่าวข้างต้น ธนาคารกลางสหรัฐสามารถควบคุมดอกเบี้ยระยะสั้นโดยการพิมพ์เงินเพิ่มได้ แต่คุมดอกเบี้ยระยะยาวไม่ได้ เพราะขึ้นอยู่กับความต้องการเงินของรัฐบาลสหรัฐ ความต้องการซื้อพันธบัตรรัฐบาลและความต้องการลงทุนในสหรัฐของนักลงทุนทั้งในสหรัฐเองและในต่างประเทศ สิ่งที่น่ากลัวคือ ขณะนี้เงินทุนที่ไหลเข้าสหรัฐ เพื่อ "ปิด" การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดโดยภาคเอกชนของต่างชาตินั้น ลดลงไปเรื่อยๆ กลายเป็นว่า ปัจจุบันผู้ที่ช่วยปล่อยกู้ในอัตราดอกเบี้ยถูกๆ กลายเป็นธนาคารกลางของเอเชียเป็นหลักนั่นเอง ดังจะเห็นได้จากการที่เงินทุนสำรองระหว่างประเทศของประเทศต่างๆ ของโลกนั้น เพิ่มขึ้นจาก 2 ล้านล้านเหรียญในปี 2000 มาเป็น 3.5 ล้านล้านเหรียญในขณะนี้
การเพิ่มของเงินทุนสำรองนั้น ประมาณ 70% เป็นการเพิ่มขึ้นเพราะธนาคารกลางต่างๆ ต้องการตุนเงินเหรียญสหรัฐและพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเพิ่มขึ้น ซึ่งถ้าเป็นความต้องการตุนเงินเหรียญสหรัฐจริงๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นการพยุงทำให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐไม่อ่อนตัว หรือเพื่อไม่ให้ค่าเงินของตนเองแข็งค่า เพราะจะเป็นอุปสรรคกับการส่งออก ก็เท่ากับธนาคารกลางต่างๆ กำลังเข้าไป "อุ้ม" เงินเหรียญสหรัฐ จะก่อให้เกิดความเสียหายเมื่อค่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อนตัวลง ซึ่งผมคิดว่าเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
-
- Verified User
- โพสต์: 96
- ผู้ติดตาม: 0
ยุคเงินเหรียญสหรัฐกำลังจะจบลง ???
โพสต์ที่ 11
ธนาคารเอเซียนั้น เป็นผู้ที่เข้ามาอุ้มเงินเหรียญสหรัฐมากที่สุด จะเห็นได้ว่า ญี่ปุ่นมีทุนสำรองระหว่างประเทศมากถึง 8.2 แสนล้านเหรียญ (โดยซื้อเงินเหรียญสหรัฐเพิ่มถึง 1.3 แสนล้านเหรียญในไตรมาสแรกของปีนี้) และจีนมีมากถึง 5.15 แสนล้านเหรียญ หากรวมทุนสำรองของธนาคารกลางของเอเชียอื่นๆ อีก 9.1 แสนล้านเหรียญก็จะเห็นว่า เอเชียมีทุนสำรองถึง 2.24 ล้านล้านเหรียญ หรือ 64% ของทุนสำรองทั้งหมดของโลก ทั้งๆ ที่เอเชียนั้นมีจีดีพีคิดเป็นประมาณ 20-25% ของโลกเท่านั้น กล่าวคือ เอเชียน่าจะมีทุนสำรอง (ซึ่ง 70% เป็นเงินเหรียญสหรัฐ) มากเกินไป
กล่าวโดยสรุป คือ ประมาณ 60% ของแหล่งเงินที่ไหลเข้าไปยังสหรัฐ เพื่อให้ชาวสหรัฐสามารถใช้จ่ายเกินตัวได้นั้น น่าจะมาจากธนาคารกลางของต่างประเทศ และส่วนใหญ่น่าจะมาจากธนาคารกลางของเอเชียที่ยอมเป็นเจ้าหนี้ให้กับสหรัฐ และก็คงจะเป็นธนาคารกลางเอเชียที่จะเป็นผู้กำหนดทิศทางของดอกเบี้ยระยะยาวของสหรัฐในอนาคต นักวิเคราะห์ต่างชาติ บางคนเห็นว่า เรื่องนี้ไม่เป็นเรื่องที่ต้องกังวล เพราะเมื่อ 40 ปีก่อนหน้า สมัย Bretton Woods ก็ใช้ระบบการเงินระหว่างประเทศลักษณะนี้กล่าวคือ สหรัฐพิมพ์ธนบัตร และออกพันธบัตรรัฐบาล ในขณะที่ธนาคารกลางยุโรปก็รับซื้อเงินเหรียญสหรัฐมาเก็บเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นเวลากว่า 10 ปี ทำไมธนาคารกลางเอเชียจึงจะทำเช่นเดียวกันไปอีกสัก 7-8 ปีไม่ได้ คำตอบคือในช่วง 1960-1970 นั้น สหรัฐไม่ได้ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและสหรัฐเป็นเจ้าหนี้สุทธิ ไม่ใช่ลูกหนี้สุทธิ ดังนั้น สถานะทางการเงินจึงแข็งแกร่งกว่าขณะนี้มาก อย่างไรก็ดี เมื่อเวลาผ่านไปและสหรัฐพิมพ์ธนบัตรจนมีปริมาณมากกว่าทองคำที่สหรัฐมีอยู่อย่างมาก สหรัฐก็ต้องประกาศให้ค่าเงินลอยตัว และยกเลิกการผูกค่าเงินเหรียญกับทองในเดือนสิงหาคม 1971 ทำให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อนตัวลงไปประมาณ 20% และระบบ Bretton Woods ก็ต้องปิดฉากลงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
จึงพอสรุปได้ว่า อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ใน 1-2 ปีข้างหน้าและยุคเงินเหรียญสหรัฐอาจต้องปิดฉากลง ทั้งนี้ ต้องดูพฤติกรรมของธนาคารกลางเอเชียและแนวโน้มดอกเบี้ยระยะยาวของสหรัฐเป็นดัชนีเตือนภัยครับ
กล่าวโดยสรุป คือ ประมาณ 60% ของแหล่งเงินที่ไหลเข้าไปยังสหรัฐ เพื่อให้ชาวสหรัฐสามารถใช้จ่ายเกินตัวได้นั้น น่าจะมาจากธนาคารกลางของต่างประเทศ และส่วนใหญ่น่าจะมาจากธนาคารกลางของเอเชียที่ยอมเป็นเจ้าหนี้ให้กับสหรัฐ และก็คงจะเป็นธนาคารกลางเอเชียที่จะเป็นผู้กำหนดทิศทางของดอกเบี้ยระยะยาวของสหรัฐในอนาคต นักวิเคราะห์ต่างชาติ บางคนเห็นว่า เรื่องนี้ไม่เป็นเรื่องที่ต้องกังวล เพราะเมื่อ 40 ปีก่อนหน้า สมัย Bretton Woods ก็ใช้ระบบการเงินระหว่างประเทศลักษณะนี้กล่าวคือ สหรัฐพิมพ์ธนบัตร และออกพันธบัตรรัฐบาล ในขณะที่ธนาคารกลางยุโรปก็รับซื้อเงินเหรียญสหรัฐมาเก็บเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นเวลากว่า 10 ปี ทำไมธนาคารกลางเอเชียจึงจะทำเช่นเดียวกันไปอีกสัก 7-8 ปีไม่ได้ คำตอบคือในช่วง 1960-1970 นั้น สหรัฐไม่ได้ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและสหรัฐเป็นเจ้าหนี้สุทธิ ไม่ใช่ลูกหนี้สุทธิ ดังนั้น สถานะทางการเงินจึงแข็งแกร่งกว่าขณะนี้มาก อย่างไรก็ดี เมื่อเวลาผ่านไปและสหรัฐพิมพ์ธนบัตรจนมีปริมาณมากกว่าทองคำที่สหรัฐมีอยู่อย่างมาก สหรัฐก็ต้องประกาศให้ค่าเงินลอยตัว และยกเลิกการผูกค่าเงินเหรียญกับทองในเดือนสิงหาคม 1971 ทำให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อนตัวลงไปประมาณ 20% และระบบ Bretton Woods ก็ต้องปิดฉากลงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
จึงพอสรุปได้ว่า อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ใน 1-2 ปีข้างหน้าและยุคเงินเหรียญสหรัฐอาจต้องปิดฉากลง ทั้งนี้ ต้องดูพฤติกรรมของธนาคารกลางเอเชียและแนวโน้มดอกเบี้ยระยะยาวของสหรัฐเป็นดัชนีเตือนภัยครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 96
- ผู้ติดตาม: 0
ยุคเงินเหรียญสหรัฐกำลังจะจบลง ???
โพสต์ที่ 12
ขอขอบคุณ ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ สําหรับบทความที่น่าสนใจอันนี้ด้วยครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 96
- ผู้ติดตาม: 0
ยุคเงินเหรียญสหรัฐกำลังจะจบลง ???
โพสต์ที่ 13
แล้วเพื่อนๆคิดว่าไงครับ
ยุคเงินเหรียญสหรัฐกําัลังจะจบลงไหม ?
แล้วจะจบแบบ happy ending หรือว่าเศร้า เคล้านํ้าตาและคาวเลือด(ของชาวโลก) กันหนอ
ยุคเงินเหรียญสหรัฐกําัลังจะจบลงไหม ?
แล้วจะจบแบบ happy ending หรือว่าเศร้า เคล้านํ้าตาและคาวเลือด(ของชาวโลก) กันหนอ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
ยุคเงินเหรียญสหรัฐกำลังจะจบลง ???
โพสต์ที่ 14
โค้ด: เลือกทั้งหมด
ธนาคารเอเซียนั้น เป็นผู้ที่เข้ามาอุ้มเงินเหรียญสหรัฐมากที่สุด จะเห็นได้ว่า ญี่ปุ่นมีทุนสำรองระหว่างประเทศมากถึง 8.2 แสนล้านเหรียญ (โดยซื้อเงินเหรียญสหรัฐเพิ่มถึง 1.3 แสนล้านเหรียญในไตรมาสแรกของปีนี้) และจีนมีมากถึง 5.15 แสนล้านเหรียญ หากรวมทุนสำรองของธนาคารกลางของเอเชียอื่นๆ อีก 9.1 แสนล้านเหรียญก็จะเห็นว่า เอเชียมีทุนสำรองถึง 2.24 ล้านล้านเหรียญ หรือ 64% ของทุนสำรองทั้งหมดของโลก ทั้งๆ ที่เอเชียนั้นมีจีดีพีคิดเป็นประมาณ 20-25% ของโลกเท่านั้น กล่าวคือ เอเชียน่าจะมีทุนสำรอง (ซึ่ง 70% เป็นเงินเหรียญสหรัฐ) มากเกินไป
แก้ไขล่าสุดโดย Jeng เมื่อ เสาร์ ม.ค. 08, 2005 10:40 pm, แก้ไขไปแล้ว 2 ครั้ง.
-
- Verified User
- โพสต์: 96
- ผู้ติดตาม: 0
ยุคเงินเหรียญสหรัฐกำลังจะจบลง ???
โพสต์ที่ 15
คุณjengคิดว่าจะเป็นอย่างไรครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
ยุคเงินเหรียญสหรัฐกำลังจะจบลง ???
โพสต์ที่ 16
ขอเดาเล่นๆสนุกๆ ตามกฎ 20 : 80 ว่า ชาติเอเชีย มีจีดีพี 20 % ของโลก จะมีเงินสำรอง 80 % ของโลก เพราะฉะนั้น สถานการณ์ต่างๆยังคงดำเนินต่อไป สหรัฐยังคงกู้เพิ่ม และใช้จ่ายฟุ่มเฟือยต่อไป ในขณะที่ชาติต่างๆก็ให้กู้ต่อไป จนกระทั่ง จีน แสดงแสนยานุภาพทางทหาร โดยเข้ายึดไต้หวัน และสหรัฐ ไม่กล้ายุ่ง เพราะยังไม่สามารถแก้ปัญหาการรบแบบกองโจรได้สำเร็จ ดุลอำนาจทางทหารเริ่มเปลี่ยน ประเทศทั้งหลายเริ่มมองเห็นความอ่อนแอที่แท้จริงของอเมริกา
เมื่อนั้นประเทศต่างๆค่อยทิ้งเงินดอลล่ากัน
เมื่อนั้นประเทศต่างๆค่อยทิ้งเงินดอลล่ากัน
- Golden Stock
- Verified User
- โพสต์: 615
- ผู้ติดตาม: 0
ยุคเงินเหรียญสหรัฐกำลังจะจบลง ???
โพสต์ที่ 17
ขอบคุณครับที่นำมาให้อ่าน ได้ความรู้ดีครับ
ถ้ามองทางเศรษฐศาสตร์ ซึ่งเป็นเรื่องของการค้าขาย ซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้า ก็น่าจะเป็นไปตามบทความ ซึ่งก็เป็นการมองมิติเดียว ไม่ได้มองในเรื่องของการเงิน (Financial) อันประกอบด้วยตลาดเงิน และตลาดทุน ซึ่งปัจจุบันก็มีบทบาทสำคัญไม่แพ้กัน บางประเทศค้าขายไม่เก่ง แต่ก็สามารถหาเงินเข้าประเทศได้ ด้วยวิธีการทางการเงิน ซึ่งก็มีเครื่องมือต่างๆ มากมาย สิ่งหนึ่งอยากจะชี้ให้เห็นว่า บัญชีการชำระเงินของอเมริกา เกินดุลมาตลอดเช่นกัน (ใน 4 บัญชี ผมให้ตัวนี้สำคัญที่สุด รองลงมาเป็นบัญชีเดินสะพัด) ยกตัวอย่างประเทศไทยล่ะกันครับ อุตสาห์ขายสินค้าได้มากกว่าซื้อ คือมีเงินเหลือเก็บ ต่อมาเมื่อการค้าเริ่มไม่ดี ก็ต้องเสียเงินเหล่านี้ไปในตลาดเงิน เก็งกำไรค่าเงินแพ้ เสียหายมหาศาล จนประเทศเข้าสู่วิกฤติ และตลาดทุน ก็โดนกองทุนสารพัดเข้ามาเก็งกำไรและลงทุนในตลาดหุ้นไทย นี้ก็เป็นวิธีการหาเงินเหมือนกัน หรือเช่นเดียวกับนักเล่นหุ้น ก็มีวิธีหาเงินได้ แม้ว่าอาจจะไม่ได้ทำมาค้าขายอะไร คือซื้อของใช้มาอุปโภค บริโภคอย่างเดียว ไม่ได้มีสินค้าอะไรไปขายให้แก่คนอื่นๆ (อันนี้ก็คล้ายกับขาดดุลการค้า) แต่ก็ยังมีเงินเข้ามากกว่าเงินออก คือมีเงินเก็บ ซึ่งอาจจะได้กำไรจากส่วนต่างราคา เงินปันผลก็ได้ (โดยมากกว่ารายจ่ายที่ซื้อสินค้ามาอุปโภคบริโภค)
ก็เป็นความคิดเห็นหนึ่งครับ
ถ้ามองทางเศรษฐศาสตร์ ซึ่งเป็นเรื่องของการค้าขาย ซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้า ก็น่าจะเป็นไปตามบทความ ซึ่งก็เป็นการมองมิติเดียว ไม่ได้มองในเรื่องของการเงิน (Financial) อันประกอบด้วยตลาดเงิน และตลาดทุน ซึ่งปัจจุบันก็มีบทบาทสำคัญไม่แพ้กัน บางประเทศค้าขายไม่เก่ง แต่ก็สามารถหาเงินเข้าประเทศได้ ด้วยวิธีการทางการเงิน ซึ่งก็มีเครื่องมือต่างๆ มากมาย สิ่งหนึ่งอยากจะชี้ให้เห็นว่า บัญชีการชำระเงินของอเมริกา เกินดุลมาตลอดเช่นกัน (ใน 4 บัญชี ผมให้ตัวนี้สำคัญที่สุด รองลงมาเป็นบัญชีเดินสะพัด) ยกตัวอย่างประเทศไทยล่ะกันครับ อุตสาห์ขายสินค้าได้มากกว่าซื้อ คือมีเงินเหลือเก็บ ต่อมาเมื่อการค้าเริ่มไม่ดี ก็ต้องเสียเงินเหล่านี้ไปในตลาดเงิน เก็งกำไรค่าเงินแพ้ เสียหายมหาศาล จนประเทศเข้าสู่วิกฤติ และตลาดทุน ก็โดนกองทุนสารพัดเข้ามาเก็งกำไรและลงทุนในตลาดหุ้นไทย นี้ก็เป็นวิธีการหาเงินเหมือนกัน หรือเช่นเดียวกับนักเล่นหุ้น ก็มีวิธีหาเงินได้ แม้ว่าอาจจะไม่ได้ทำมาค้าขายอะไร คือซื้อของใช้มาอุปโภค บริโภคอย่างเดียว ไม่ได้มีสินค้าอะไรไปขายให้แก่คนอื่นๆ (อันนี้ก็คล้ายกับขาดดุลการค้า) แต่ก็ยังมีเงินเข้ามากกว่าเงินออก คือมีเงินเก็บ ซึ่งอาจจะได้กำไรจากส่วนต่างราคา เงินปันผลก็ได้ (โดยมากกว่ารายจ่ายที่ซื้อสินค้ามาอุปโภคบริโภค)
ก็เป็นความคิดเห็นหนึ่งครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2326
- ผู้ติดตาม: 0
ยุคเงินเหรียญสหรัฐกำลังจะจบลง ???
โพสต์ที่ 18
หากยังไม่มีขั่วอำนาจใหม่เกิดขึ้น (ต้องมีอำนาจทางการทหาร ไม่ใช่ประเทศที่มีอำนาจทางการเงิน) สหรัฐก็ยังเป็นสหรัฐเหมือนเดิม การที่เข้าสู่วิกฤตคงเป็นไปไม่ได้
ผมเลยมองไปที่เรื่อง การเข้าสู่คลื่นลูกที่ 4 นาโน-Bio Technology
ตอนนี้ สหรัฐมีแน้วโน้มเป็นผู้นำปฎิวัติยุคดังกล่าวได้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ถอดแบบรหัสพันธุกรรมได้เป็นครั้งแรก โคลนนิ่ง การทำพืชGMO ซึ่งต่อไปประเทศในเอเชียเป็นเสมือนลูกจ้างที่ทำผลผลิตให้แก่นายจ้าง
ทางเดียวที่จะเปลี่ยนขั่วได้ ต้องมีอำนาจทางการทหารอย่างเด็ดขาด หรือ ไม่ประเทศมหาอำนาจเมีการแบ่งขั่วภายในกันเองเกิดขึ้น
ผมเลยมองไปที่เรื่อง การเข้าสู่คลื่นลูกที่ 4 นาโน-Bio Technology
ตอนนี้ สหรัฐมีแน้วโน้มเป็นผู้นำปฎิวัติยุคดังกล่าวได้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ถอดแบบรหัสพันธุกรรมได้เป็นครั้งแรก โคลนนิ่ง การทำพืชGMO ซึ่งต่อไปประเทศในเอเชียเป็นเสมือนลูกจ้างที่ทำผลผลิตให้แก่นายจ้าง
ทางเดียวที่จะเปลี่ยนขั่วได้ ต้องมีอำนาจทางการทหารอย่างเด็ดขาด หรือ ไม่ประเทศมหาอำนาจเมีการแบ่งขั่วภายในกันเองเกิดขึ้น
งด เลิก เสพ สุรา บุหรี่ วันนี้ เพื่อชีวิตที่ดีของท่าน
- saun
- Verified User
- โพสต์: 27
- ผู้ติดตาม: 0
ยุคเงินเหรียญสหรัฐกำลังจะจบลง ???
โพสต์ที่ 19
เห็นด้วยกับคุณโป้งครับ
การเป็นอภิมหาอำนาจทางทหารนั้น คือค่าพรีเมียมสำหรับเงินดอลลาร์ อเมริกาถึงพิมพ์ดอลลาร์มาใช้ได้โดยไม่ต้องมีเงินสำรอง หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองทั่วโลกต่างนิยมดอลลาร์เพราะอเมริกาขึ้นมาเป็นอภิมหาอำนาจ
ผู้ชนะย่อมเป็นผู้กำหนดกฎกติกา
กระทู้นี้คือกระทูหลอกครับ
การเป็นอภิมหาอำนาจทางทหารนั้น คือค่าพรีเมียมสำหรับเงินดอลลาร์ อเมริกาถึงพิมพ์ดอลลาร์มาใช้ได้โดยไม่ต้องมีเงินสำรอง หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองทั่วโลกต่างนิยมดอลลาร์เพราะอเมริกาขึ้นมาเป็นอภิมหาอำนาจ
ผู้ชนะย่อมเป็นผู้กำหนดกฎกติกา
กระทู้นี้คือกระทูหลอกครับ
" ซ็อน " ครับผม!..
- stp
- Verified User
- โพสต์: 252
- ผู้ติดตาม: 0
ยุคเงินเหรียญสหรัฐกำลังจะจบลง ???
โพสต์ที่ 20
Dollar Crisis ก็คงจะเหมือน Economic Tsunami ..
จะต้องเกิดขึ้นแต่ไม่รู้เมื่อไหร่
ในความเห็นส่วนตัวผมว่าใกล้เต็มทีแล้ว
ไอ้ที่บอก In the God we trust ข้างหลังแบ็งค์ dollar ทุกใบไม่รู้จะขลังพอให้ใครเชื่อได้อีกหรือปล่าว
คงไม่ถึงขนาดกลายเป็นแบ็งค็กงเต๊ก แต่ก็น่าจะใกล้ที่เดียว
บทความที่ยกมาของคุณคลื่นกระทบฝั่งดูเหมือนมาจากประชาชาติธุรกิจนะ
แต่ใน The Economist ผมยังไม่ได้เข้าไปอ่าน
มีหนังสืออยู่เล่มนึง เผื่อสนใจ ชื่อ Dollar Crisis ลองซื้อมาอ่านดูครับ
ถ้าเกิดจริงก็ effect ทั้งโลกแหละครับแต่ไม่รู้ ออกมารูปแบบไหนบ้าง เดาไม่ออก แต่คงขมกันทั่วหน้า บ้ากันทั่วเมือง
ที่แน่ๆ ผมคงขายหุ้นที่เกี่ยวกับพวกส่งออกหมดโดยเฉพาะพวกตลาดหลักอยู่ America
ถ้าใครบอกคงกระทบต่อไทยน้อย ก็ต้องดูยอดส่งออกของไทยที่สวยหรูและทำให้ GDP สวยๆ ว่าอะไรเป็นประเภทสินค้าหลักและส่งไปที่ไหนบ้าง
ภาวนาอย่าให้มาเร็วกว่า 4-5 ปีก็แล้วกัน ...แต่เห็น Mr Bush แล้วใจแผ่วๆจริง พณ ท่านเล่นใช้เงินออกเป็นเบี้ยเลย
อาจเห็นเงินสกุลหลักใหม่เช่น SDRs ที่อาจเปลี่ยนโฉมจากที่อ้างอิงมูลค่าจากสกุลเงินหลักมาอ้างอิงจาก Commodity แทน
เงินทองคือมายาข้าวปลาสิของจริง
ขอให้โชคดีทุกท่านครับท่ามันมาถึง.......
จะต้องเกิดขึ้นแต่ไม่รู้เมื่อไหร่
ในความเห็นส่วนตัวผมว่าใกล้เต็มทีแล้ว
ไอ้ที่บอก In the God we trust ข้างหลังแบ็งค์ dollar ทุกใบไม่รู้จะขลังพอให้ใครเชื่อได้อีกหรือปล่าว
คงไม่ถึงขนาดกลายเป็นแบ็งค็กงเต๊ก แต่ก็น่าจะใกล้ที่เดียว
บทความที่ยกมาของคุณคลื่นกระทบฝั่งดูเหมือนมาจากประชาชาติธุรกิจนะ
แต่ใน The Economist ผมยังไม่ได้เข้าไปอ่าน
มีหนังสืออยู่เล่มนึง เผื่อสนใจ ชื่อ Dollar Crisis ลองซื้อมาอ่านดูครับ
ถ้าเกิดจริงก็ effect ทั้งโลกแหละครับแต่ไม่รู้ ออกมารูปแบบไหนบ้าง เดาไม่ออก แต่คงขมกันทั่วหน้า บ้ากันทั่วเมือง
ที่แน่ๆ ผมคงขายหุ้นที่เกี่ยวกับพวกส่งออกหมดโดยเฉพาะพวกตลาดหลักอยู่ America
ถ้าใครบอกคงกระทบต่อไทยน้อย ก็ต้องดูยอดส่งออกของไทยที่สวยหรูและทำให้ GDP สวยๆ ว่าอะไรเป็นประเภทสินค้าหลักและส่งไปที่ไหนบ้าง
ภาวนาอย่าให้มาเร็วกว่า 4-5 ปีก็แล้วกัน ...แต่เห็น Mr Bush แล้วใจแผ่วๆจริง พณ ท่านเล่นใช้เงินออกเป็นเบี้ยเลย
อาจเห็นเงินสกุลหลักใหม่เช่น SDRs ที่อาจเปลี่ยนโฉมจากที่อ้างอิงมูลค่าจากสกุลเงินหลักมาอ้างอิงจาก Commodity แทน
เงินทองคือมายาข้าวปลาสิของจริง
ขอให้โชคดีทุกท่านครับท่ามันมาถึง.......
- ch_army
- Verified User
- โพสต์: 1352
- ผู้ติดตาม: 0
ยุคเงินเหรียญสหรัฐกำลังจะจบลง ???
โพสต์ที่ 21
เงินทองคือมายาข้าวปลาสิของจริง
ประโยคนี้ดีครับ เงินเป็นเพียงสื่อกลางเท่านั้นแหละเนอะ แต่ใครไม่อยากได้ ก็ให้ผมก็ได้ครับ ไม่ก็ ลงใต้ ช่วยเหลือ เหยื่อซึนามิ
ประโยคนี้ดีครับ เงินเป็นเพียงสื่อกลางเท่านั้นแหละเนอะ แต่ใครไม่อยากได้ ก็ให้ผมก็ได้ครับ ไม่ก็ ลงใต้ ช่วยเหลือ เหยื่อซึนามิ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
ยุคเงินเหรียญสหรัฐกำลังจะจบลง ???
โพสต์ที่ 22
หนังสือเล่ม Dollar Crisis ผมซื้อมาอ่านแล้วครับ เท่าที่อ่านคงต้องใช้ระยะเวลาอีกพอสมควรครับที่จะเกิด และคงต้องติดตามสถานการณ์ต่อไปครับ
เร็วๆนี้ทางสหรัฐก็เริ่มที่จะแก้ไขปัญหาในบางจุดบ้างแล้ว เช่น ในปีนี้ทางการจะมีการผ่อนผันภาษีในการนำเงินปันผลจากสาขาที่อยู่ในประเทศต่างๆของบริษัทข้ามชาติ ซึ่งคาดว่าจะมีการโอนเงินสดกลับบริษัทแม่ในสหรัฐเป็นจำนวนมากครับ (จริงๆแล้วบริษํทในสหรัฐขนาดนี้ก็มีหลายบริษัทที่ปลอดหนี้และมีเงินสดเหลือเป็ฯจำนวนพอสมควรที่เดียวครับ)
บริษัทจดทะเบียนในไทยที่มีบริษัทแม่อยู่ในสหรัฐ ปีนี้อาจจะมีการจ่ายเงินปันผลมากกว่าปรกติก็ได้นะครับ
เร็วๆนี้ทางสหรัฐก็เริ่มที่จะแก้ไขปัญหาในบางจุดบ้างแล้ว เช่น ในปีนี้ทางการจะมีการผ่อนผันภาษีในการนำเงินปันผลจากสาขาที่อยู่ในประเทศต่างๆของบริษัทข้ามชาติ ซึ่งคาดว่าจะมีการโอนเงินสดกลับบริษัทแม่ในสหรัฐเป็นจำนวนมากครับ (จริงๆแล้วบริษํทในสหรัฐขนาดนี้ก็มีหลายบริษัทที่ปลอดหนี้และมีเงินสดเหลือเป็ฯจำนวนพอสมควรที่เดียวครับ)
บริษัทจดทะเบียนในไทยที่มีบริษัทแม่อยู่ในสหรัฐ ปีนี้อาจจะมีการจ่ายเงินปันผลมากกว่าปรกติก็ได้นะครับ
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4940
- ผู้ติดตาม: 1
ยุคเงินเหรียญสหรัฐกำลังจะจบลง ???
โพสต์ที่ 23
stp เขียน:Dollar Crisis ก็คงจะเหมือน Economic Tsunami ..
จะต้องเกิดขึ้นแต่ไม่รู้เมื่อไหร่
ในความเห็นส่วนตัวผมว่าใกล้เต็มทีแล้ว
ไอ้ที่บอก In the God we trust ข้างหลังแบ็งค์ dollar ทุกใบไม่รู้จะขลังพอให้ใครเชื่อได้อีกหรือปล่าว
คงไม่ถึงขนาดกลายเป็นแบ็งค็กงเต๊ก แต่ก็น่าจะใกล้ที่เดียว
...........
เงินทองคือมายาข้าวปลาสิของจริง
ขอให้โชคดีทุกท่านครับท่ามันมาถึง.......
เกิดแน่ๆ ครับ ไม่ไกลนักหรอกครับ
ตอนนี้ก็ us ลดลงอยู่นิครับ เห็นจากค่าเงินบาทรวมเริ่มแข็งค่าขึ้น
สอดคล้องกับ อีกกระทู้เรื่อง การสะสมเงินกองทุนสำรองระหว่างประเทศ
ประเทศไหน ถือ ตราสาร การเงิน ของ us ไว้เยอะ ถ้าไม่มีการปรับตัว
เตรียมรับมือ มีหวัง.......
เงินทองคือมายาข้าวปลาสิของจริง จริงเสมอครับ
ถ้าผมจำไม่ผิด เป็นคำพูดของ มจ.สิทธิพร กฤษดากร มีรายละเอียดใน หนังสือ สารคดี ซักเล่มนึง เด๊ยวกลับบ้านไปรื้อข้อมูลมายืนยันครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2326
- ผู้ติดตาม: 0
ยุคเงินเหรียญสหรัฐกำลังจะจบลง ???
โพสต์ที่ 25
แต่ผมมองต่างมุมครับ เรื่องนี้ไกลตัวมาก ตราบใดสหรัฐยังคุมอำนาจทางการทหารอย่างเบล็ดเสร็จอยู่ เขาจะทำเอาเปรียบประเทศเล็กๆยังไงก็ได้ มีเหตุสารพัดอ้างครับ
อย่างที่ผ่านมาไปบุกอีรัก UN ไม่เห็นชอบ แต่เขาก็ทำได้ และแสดงให้โลกรู้ว่าเขาทำได้อย่างถูกต้อง ไม่เห็นมีใครไปเบรคได้ อย่างเรื่องกุ้งของเราและหลายๆประเทศโดนกีดกัน ไปทำอะไรเขาได้ มีเหตุให้อ้างอยู่เพียบ แต่ถ้าคนของเขาไปโจมตีค่าเงินประเทศไหนเขาก็บอกมันถูกต้องตามกฎกติกาทุนนิยม
เครื่องบินรบ เฮริคอบเตอร์ บินว่อนเหนือน่านฟ้าเรา ตั้งฐานทัพตามจุดขึ้น-ลงสนามบินกองทัพอากาศ ทำอะไรเขาได้ล่ะครับ
สรุปที่พูดมาคือ โลกมันไม่ได้เป็นแบบ เสรี พูดคุยกันในกติกา อย่างที่เราเข้าใจ เขาจะเอาเปรียบเรายังไงก็ได้มีสารพัดเหตุให้อ้าง
ล่าสุดธนาคารของไทยเรา กำลังปิดตัวในสหรัฐ (ใครติดตามข่าวมาเล่าสู่กันฟังบ้างครับ) รู้สึกโดนพิษเรื่องเปิดเสรี
$ อ่อนค่า เขาก็คงดีใจเรื่องการส่งออกก็ได้นะครับ
อย่างที่ผ่านมาไปบุกอีรัก UN ไม่เห็นชอบ แต่เขาก็ทำได้ และแสดงให้โลกรู้ว่าเขาทำได้อย่างถูกต้อง ไม่เห็นมีใครไปเบรคได้ อย่างเรื่องกุ้งของเราและหลายๆประเทศโดนกีดกัน ไปทำอะไรเขาได้ มีเหตุให้อ้างอยู่เพียบ แต่ถ้าคนของเขาไปโจมตีค่าเงินประเทศไหนเขาก็บอกมันถูกต้องตามกฎกติกาทุนนิยม
เครื่องบินรบ เฮริคอบเตอร์ บินว่อนเหนือน่านฟ้าเรา ตั้งฐานทัพตามจุดขึ้น-ลงสนามบินกองทัพอากาศ ทำอะไรเขาได้ล่ะครับ
สรุปที่พูดมาคือ โลกมันไม่ได้เป็นแบบ เสรี พูดคุยกันในกติกา อย่างที่เราเข้าใจ เขาจะเอาเปรียบเรายังไงก็ได้มีสารพัดเหตุให้อ้าง
ล่าสุดธนาคารของไทยเรา กำลังปิดตัวในสหรัฐ (ใครติดตามข่าวมาเล่าสู่กันฟังบ้างครับ) รู้สึกโดนพิษเรื่องเปิดเสรี
$ อ่อนค่า เขาก็คงดีใจเรื่องการส่งออกก็ได้นะครับ
งด เลิก เสพ สุรา บุหรี่ วันนี้ เพื่อชีวิตที่ดีของท่าน
- Golden Stock
- Verified User
- โพสต์: 615
- ผู้ติดตาม: 0
ยุคเงินเหรียญสหรัฐกำลังจะจบลง ???
โพสต์ที่ 27
ส่วนใหญ่หนังสือที่เขียนก็อ้างอิงตามหลักวิชาการ แต่ว่าบางทีในโลกของความเป็นจริงก็มีจริงบางเท็จบาง ก็ว่ากันไป
ก็ลองไปยืนอ่านหนังสือในร้านหนังสือดูซิครับ จะเห็นว่าเรื่องเดียวกัน แต่คนเขียนคนละคน มุมมองก็ต่างกันไป อย่างหนังสือที่วิจารณ์เกี่ยวกับหลักการจัดการของนายกฯ ก็มีคนบอกว่าดี บางคนก็บอกว่าไม่ดี ซึ่งก็เขียนตามหลักวิชาการ
ก็เหมือนกับตอนสมัยเรียน ทำ Case study แล้วมา Discuss กันในชั้นเรียน นักศึกษาในชั้นเรียนขนาดเรียนกับอาจารย์ท่านเดียวกัน ยังวิเคราะห์แตกต่างกันเลยครับ แต่ว่าก็บอกไม่ได้ชัดเจนว่าผิดหรือถูก เพราะว่าการทำ Case study ก็อ้างอิงตามหลักวิชาการด้วยกันทุกคนครับ
ก็ลองไปยืนอ่านหนังสือในร้านหนังสือดูซิครับ จะเห็นว่าเรื่องเดียวกัน แต่คนเขียนคนละคน มุมมองก็ต่างกันไป อย่างหนังสือที่วิจารณ์เกี่ยวกับหลักการจัดการของนายกฯ ก็มีคนบอกว่าดี บางคนก็บอกว่าไม่ดี ซึ่งก็เขียนตามหลักวิชาการ
ก็เหมือนกับตอนสมัยเรียน ทำ Case study แล้วมา Discuss กันในชั้นเรียน นักศึกษาในชั้นเรียนขนาดเรียนกับอาจารย์ท่านเดียวกัน ยังวิเคราะห์แตกต่างกันเลยครับ แต่ว่าก็บอกไม่ได้ชัดเจนว่าผิดหรือถูก เพราะว่าการทำ Case study ก็อ้างอิงตามหลักวิชาการด้วยกันทุกคนครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4940
- ผู้ติดตาม: 1
ยุคเงินเหรียญสหรัฐกำลังจะจบลง ???
โพสต์ที่ 28
หลายๆ ชาติ กำลังเปลี่ยนสกุลเงินหลักใน กองทุนสำรองระหว่างประเทศ จาก US แล้ว
ของไทยตอนนี้ เหลือถือของ US ประมาณ 50% จาก 80% และยังคงจะลด % ต่อไปอีก
US ก็ US เถอะ...งานนี้....ไม่ง่ายแน่ เจ้าบุธ
ของไทยตอนนี้ เหลือถือของ US ประมาณ 50% จาก 80% และยังคงจะลด % ต่อไปอีก
US ก็ US เถอะ...งานนี้....ไม่ง่ายแน่ เจ้าบุธ
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
- stp
- Verified User
- โพสต์: 252
- ผู้ติดตาม: 0
ยุคเงินเหรียญสหรัฐกำลังจะจบลง ???
โพสต์ที่ 30
ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อเมริกากับ US Dallar มีส่วนช่วยในการฟื้นฟูเศรษฐกิจโลกอย่างมาก ตอนนั้นเงิน USD ผูกค่าไว้กับทองคำและรัฐบาลอเมริกาก็ รับรองการแลกเปลี่ยนระหว่าง USD กับทอง (Bretton Wood)
ประเทศที่ผ่านภาวะสงครามมาแต่ละประเทศก็เสียหายเงินทองหร่อยหรอ มีอยู่ประเทศเดียวที่ได้รับผลจากสงครามโลกไม่มากเพราะประเทศไม่ได้เป็นสนามรบก็คืออเมริกา
เมื่อต้องการเงินก็ต้องผลิตของขาย ผู้ซื้อรายใหญ่ก็คืออเมริกา จนเศษฐกิจของประเทศต่างๆเริ่มฟื้นขึ้นมา ดุลการค้าของอเมริกา ก็ขาดดุลมาตลอด จนเงินที่จ่ายออกไปมากกว่าทองคำสำรองที่มีอยู่ในประเทศ หรืออีกในหนึ่งถ้าเกิดคนที่มี USDต้องการแลกเปลี่ยนเป็นทอง ทองในสหรัฐมีไม่พอ มีประเทศหนึ่งที่ไม่ค่อยเชื่อ US คือฝรั่งเศส ถ้าเปลี่ยนเป็นทองได้ก็จะทำ
จนมาวันหนึ่งสงสัยสมัย Nixon หรือเปล่าจำไม่ค่อยได้ US ก็เลิกสัญญาที่ว่า USD สามารถแลกกับทองของอเมริกาได้ และเลิกผูกค่าเงินกับทองคำ
หรือพูดง่ายๆก็คือการชักดาบเอาดื้อๆ กระดาษที่ผมใช้แลกสินค้าคุณตอนนี้แลกกับทองในคลังผมไม่ได้แล้วนะ อะไรทำนองนั้่น
การค้าขายในโลกมีมูลค่ามากมายกว่าที่ปริมาณทองจะผลิตได้ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเรายังต้องการ USD หรือเงินสกุลแข็งอื่นๆเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้า และทำให้เงิน USD ยังไม่ค่อยลดค่าลง เพราะมี Demand ใช้อยู่นั่นเอง
สหรัฐจ่ายเงินไปส่วนใหญ่กับน้ำมันเพื่อใช้บริโภคในประเทศ น่าจะ 1/3 น้ำมันที่ผลิตขึ้นมาถูกใช้โดย ๊USA ไม่แปลกที่ สหรัฐ พยายามยุ่มย่ามแถบตะวันออกกลางมากๆ
การอาวุธร้ายแรงเป็นข้ออ้างในการบุกอิรัก เข้าไปก็หลายปีไม่เห็นจะเจอ แต่ที่เห็นรีบๆทำก็ดูดน้ำมันขึ้นมาใช้ ส่วนเกาหลีเหนือประกาศปาวๆว่ามี Nuclear นะ US ก็ยังเฉย
ที่อเมริการู้สึกน้ำมันจะถูกกว่าบ้านเราหรือเปล่า 4-5 บาทต่อลิตรไม่แน่ใจ Coke ราคา 2 ๊USD ต่อกระป๋อง ...80 บาท
ประเทศที่ส่งออกไปอเมริกาส่วนใหญ่ก็กลับไปลงทุนในอเมริกานั่นแหละ น้ำมันขายได้ก็ฝากในยุโรปเป็น Euro Dollar ออกกู้ออกลงทุนในอเมริกา บางทีก็ซื้อพันธบัตรรัฐบาลอเมริกันที่ไม่มีวันครบกำหนด และในสถาบันการศึกษาต่างๆที่ ไปเรียนกัน จบดอกเตอร์กันมาเขาก็จะบอกว่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐมั่นคงเป็นที่สุดเหมาะสำหรับเป็นของสะสมเป็นทุนสำรอง หรืออื่นๆ คนที่เก็บเยอะสุดก็ญี่ปุ่น จีน กับประเทศคู่ค้าอเมริกานั่นแหละทุกคนเกือบทุกประเทศใช้ตำราเล่มเดียวกัน แต่พันธบัตรตอนนี้มันออกมาจนมากเหลือเกินตามยอดขาดดุลการค้า
บางส่วนก็กลับไปในตลาดหลักทรัพย์อเมริกา หุ้นก็ขึ้น ขึ้นไปอีก PE ก็สูงแต่คนก็ซื้อเพราะsupply ของ US มันมีไม่รู้ทำอะไรก็ลงทุนในอเมริกานั่นแหละ ง่ายๆก็เข้า Stock Market ง่ายที่สุด
พอหุ้นขึ้นคนอเมริกาก็รวยขึ้นอีก เหมือนสมัยเมืองไทยหุ้นบูมมีคนรวยในเมืองไทยเยอะแยะ พอตก ก็อย่างที่เห็น
พอคนอเมริกันรู้สึกรวยก็ใช้เงิน เงินก็ออกไปอีก เป็นวนเวียนอย่างนี้
หนี้เลยไม่เคยยุบลง ยกเว้น 5-6 ปีก่อนที่ซาๆ
ประเทศที่ส่งออกต้องการส่งของไปขาย US ก็เพื่อเศรษกิจของประเทศให้ขยายตัว
เงินได้เข้ามาส่วนหนึ่งก็อยู่ในระบบ เงินในระบบเยอะขึ้น เศรษฐกิจก็ฟูฟ่องยิ่งขึ้น
Bank มีเงินเยอะก็ต้องปล่อยกู้เป็นธรรมดา ฟองสบู่โตขึ้นโตขึ้น แล้วก็แตก แบบญี่ปุ่น แบบไทยๆ แต่แบบจีนยังไม่เห็นอาจยังมาไม่ถึง
นิทานเรื่องนี้ต้องดูกันต่อ
ประเทศที่ผ่านภาวะสงครามมาแต่ละประเทศก็เสียหายเงินทองหร่อยหรอ มีอยู่ประเทศเดียวที่ได้รับผลจากสงครามโลกไม่มากเพราะประเทศไม่ได้เป็นสนามรบก็คืออเมริกา
เมื่อต้องการเงินก็ต้องผลิตของขาย ผู้ซื้อรายใหญ่ก็คืออเมริกา จนเศษฐกิจของประเทศต่างๆเริ่มฟื้นขึ้นมา ดุลการค้าของอเมริกา ก็ขาดดุลมาตลอด จนเงินที่จ่ายออกไปมากกว่าทองคำสำรองที่มีอยู่ในประเทศ หรืออีกในหนึ่งถ้าเกิดคนที่มี USDต้องการแลกเปลี่ยนเป็นทอง ทองในสหรัฐมีไม่พอ มีประเทศหนึ่งที่ไม่ค่อยเชื่อ US คือฝรั่งเศส ถ้าเปลี่ยนเป็นทองได้ก็จะทำ
จนมาวันหนึ่งสงสัยสมัย Nixon หรือเปล่าจำไม่ค่อยได้ US ก็เลิกสัญญาที่ว่า USD สามารถแลกกับทองของอเมริกาได้ และเลิกผูกค่าเงินกับทองคำ
หรือพูดง่ายๆก็คือการชักดาบเอาดื้อๆ กระดาษที่ผมใช้แลกสินค้าคุณตอนนี้แลกกับทองในคลังผมไม่ได้แล้วนะ อะไรทำนองนั้่น
การค้าขายในโลกมีมูลค่ามากมายกว่าที่ปริมาณทองจะผลิตได้ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเรายังต้องการ USD หรือเงินสกุลแข็งอื่นๆเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้า และทำให้เงิน USD ยังไม่ค่อยลดค่าลง เพราะมี Demand ใช้อยู่นั่นเอง
สหรัฐจ่ายเงินไปส่วนใหญ่กับน้ำมันเพื่อใช้บริโภคในประเทศ น่าจะ 1/3 น้ำมันที่ผลิตขึ้นมาถูกใช้โดย ๊USA ไม่แปลกที่ สหรัฐ พยายามยุ่มย่ามแถบตะวันออกกลางมากๆ
การอาวุธร้ายแรงเป็นข้ออ้างในการบุกอิรัก เข้าไปก็หลายปีไม่เห็นจะเจอ แต่ที่เห็นรีบๆทำก็ดูดน้ำมันขึ้นมาใช้ ส่วนเกาหลีเหนือประกาศปาวๆว่ามี Nuclear นะ US ก็ยังเฉย
ที่อเมริการู้สึกน้ำมันจะถูกกว่าบ้านเราหรือเปล่า 4-5 บาทต่อลิตรไม่แน่ใจ Coke ราคา 2 ๊USD ต่อกระป๋อง ...80 บาท
ประเทศที่ส่งออกไปอเมริกาส่วนใหญ่ก็กลับไปลงทุนในอเมริกานั่นแหละ น้ำมันขายได้ก็ฝากในยุโรปเป็น Euro Dollar ออกกู้ออกลงทุนในอเมริกา บางทีก็ซื้อพันธบัตรรัฐบาลอเมริกันที่ไม่มีวันครบกำหนด และในสถาบันการศึกษาต่างๆที่ ไปเรียนกัน จบดอกเตอร์กันมาเขาก็จะบอกว่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐมั่นคงเป็นที่สุดเหมาะสำหรับเป็นของสะสมเป็นทุนสำรอง หรืออื่นๆ คนที่เก็บเยอะสุดก็ญี่ปุ่น จีน กับประเทศคู่ค้าอเมริกานั่นแหละทุกคนเกือบทุกประเทศใช้ตำราเล่มเดียวกัน แต่พันธบัตรตอนนี้มันออกมาจนมากเหลือเกินตามยอดขาดดุลการค้า
บางส่วนก็กลับไปในตลาดหลักทรัพย์อเมริกา หุ้นก็ขึ้น ขึ้นไปอีก PE ก็สูงแต่คนก็ซื้อเพราะsupply ของ US มันมีไม่รู้ทำอะไรก็ลงทุนในอเมริกานั่นแหละ ง่ายๆก็เข้า Stock Market ง่ายที่สุด
พอหุ้นขึ้นคนอเมริกาก็รวยขึ้นอีก เหมือนสมัยเมืองไทยหุ้นบูมมีคนรวยในเมืองไทยเยอะแยะ พอตก ก็อย่างที่เห็น
พอคนอเมริกันรู้สึกรวยก็ใช้เงิน เงินก็ออกไปอีก เป็นวนเวียนอย่างนี้
หนี้เลยไม่เคยยุบลง ยกเว้น 5-6 ปีก่อนที่ซาๆ
ประเทศที่ส่งออกต้องการส่งของไปขาย US ก็เพื่อเศรษกิจของประเทศให้ขยายตัว
เงินได้เข้ามาส่วนหนึ่งก็อยู่ในระบบ เงินในระบบเยอะขึ้น เศรษฐกิจก็ฟูฟ่องยิ่งขึ้น
Bank มีเงินเยอะก็ต้องปล่อยกู้เป็นธรรมดา ฟองสบู่โตขึ้นโตขึ้น แล้วก็แตก แบบญี่ปุ่น แบบไทยๆ แต่แบบจีนยังไม่เห็นอาจยังมาไม่ถึง
นิทานเรื่องนี้ต้องดูกันต่อ