ขอความเห็นครับ

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
mwasan
Verified User
โพสต์: 14
ผู้ติดตาม: 0

ขอความเห็นครับ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ผมได้เงินสดมาก้อนหนึ่งครับ 100,000 บาท และผมมีภาระที่ต้องคืนเขา เดือนละ 2000 กว่าๆเป็นเวลา 4 ปีครับ ถ้าคิดเป็นดอกก็ตกประมาณ 4% กว่าๆ  โดยส่วนตัวผมพอมีกำลังที่จะผ่อนได้ไม่ลำบากนัก ตอนแรกผมกะเอามาทำอะไรเล็กๆน้อยๆ แต่ตอนนี้ผมคงไม่ทำแล้วครับ ด้วยเหตุผมคือผมขาดความรอบคอบ อยากถามพี่ๆ ว่าผมสมควรลงในหุ้นดีหรือป่าวครับ โดยส่วนตัวผมก็มีอยู่นิดหน่อยแค่หลักหมื่น ผลงานก็ไม่ขาดทุน มีกำไรนิดหน่อย ถ้าชื้อแบบยาวๆหน่อย เลือกหุ้นปัจจัยพื้นฐานดีๆหน่อย พีๆว่าผมสมควรลงในหุ้น หรือคืนเขาโดยไม่ต้องเสียดอกเบี้ยครับ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Suysak
Verified User
โพสต์: 691
ผู้ติดตาม: 0

ขอความเห็นครับ

โพสต์ที่ 2

โพสต์

คืนเถอะครับ

การไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐครับ พี่น้องคับ

ตลาดหุ้นผันผวนเอาแน่เอานอนไม่ได้ ถ้าเรามีกำลังผ่อนได้เดือนละสองพัน แสดงว่า เรา สามารถเก็บตังได้เดือนละสองพันครับ ค่อยๆเก็บมาลงหุ้นดีกว่า ไม่เครียดด้วย

:8)
AleAle
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2141
ผู้ติดตาม: 0

ขอความเห็นครับ

โพสต์ที่ 3

โพสต์

เงินไม่เย็น  ใจเราก็จะไม่เย็นครับ
o-bo-ja-ma
Verified User
โพสต์: 1601
ผู้ติดตาม: 0

ขอความเห็นครับ

โพสต์ที่ 4

โพสต์

:(  เงินเย็น ใจเย็นครับ ตอนนี้ตลาดขึ้นใครเข้าตลาดเป็นได้เงิน ระวังครับ ๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
คนรักน้ำมัน
Verified User
โพสต์: 266
ผู้ติดตาม: 0

ขอความเห็นครับ

โพสต์ที่ 5

โพสต์

สมควรคืนเพราะเป็นเงินร้อนครับ
หุ้นไม่ใช่เพียงแค่กระดาษแผ่นหนึ่ง มันเป็นเอกสารที่แสดงถึงความมีส่วนเป็นเจ้าของในกิจการนั้นด้วย เมือคิดจะลงทุน จงใช้มุมมองอย่างเจ้าของกิจการ เน้นลงไปในกิจการและข้อมูลเบี้องหลัง ไม่ใช่แค่มองว่ามันเป็นแค่หุ้น ต้องรู้ใช้ชัดว่ากิจการนี้ทำอะไร และทำได้ดีแค่ไหน?
blueplanet
Verified User
โพสต์: 1155
ผู้ติดตาม: 0

ขอความเห็นครับ

โพสต์ที่ 6

โพสต์

2000x12x4=96,000 แต่ได้ มา 100,000
อย่างนี้ก็กำไร
ถ้าได้อย่างนี้จริง
อย่างนี้ ต้องกู้มาลงทุน
ส่วนลงทุนอะไร ก็ ศึกษาเองแล้วกัน
ใช้เวลศึกษาจริงๆจังๆ
กำไรเห็นๆ
Blueplanet
akekarat
Verified User
โพสต์: 1746
ผู้ติดตาม: 0

ขอความเห็นครับ

โพสต์ที่ 7

โพสต์

พูดยากครับ เพราะอัตราดอกเบี้ย ก็ไม่ได้มากมายอะไร
แต่ปัญหาคือ คุณบอกเองว่าไม่รอบคอบ แสดงว่าถ้านำไปลงทุน โอกาสเสียหายก็จะมีมากกว่า
ต่อให้รอบคอบ ก็ไม่มีอะไรการันตีว่าคุณจะสามารถทำกำไรได้ 5% ขึ้นไปต่อปี ถึงแม้ว่ามันจะน้อยมากและดูเหมือนไม่ยากก็เถอะ

อีกวิธีหนึ่งก็คือซื้อหุ้นที่มีประวัติปันผลดี ซัก 6-10% ต่อปี
ซึ่งหาได้ไม่ยากในตลาด แต่วิธีนี้ก็ยังมีความเสี่ยง ถึงแม้จะไม่มาก
ผมว่าคุณตัดสินใจเองดีกว่า จะว่าไป ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่เงินหรอก เพราะเงินก็ไม่ร้อน
แต่ใจคุณมันร้อน จะทำให้เงินต้นมันหายไปแล้วกลายเป็นต้องหาเงินจ่ายทั้งต้นทั้งดอกมากกกว่า
jojo4624
Verified User
โพสต์: 48
ผู้ติดตาม: 0

ขอความเห็นครับ

โพสต์ที่ 8

โพสต์

คืนดีกว่าครับ ไม่มีหนี้ดีที่สุด :)
doo_meau
Verified User
โพสต์: 108
ผู้ติดตาม: 0

ขอความเห็นครับ

โพสต์ที่ 9

โพสต์

ลงทุนครับ ความคิดผมอาจไม่เหมือนคนอื่น
แต่ถ้าเรามีวินัย บริหารความเสี่ยง ลงทุนในหุ้นที่ยังมั่นคงในระยะ3-5ปีข้างหน้า โดยมีปันผลที่5-6%ก็น่าจะดีนะครับ ส่วนตัวผมเคยทำแบบนี้
และมีวินัยอยู่ตลอด ได้ผลตอบแทนมาเล็กน้อยและสบายใจ เงินที่ได้ก็มาเพิ่มขนาดของพอตให้ใหญ่ขึ้น แต่ต้องมีความรู้พอสมควรด้วยนะครับ ถ้าไม่มั่นใจ หรือทำแล้วไม่สบายใจ อย่าทำครับ เพราะกฏข้อแรกคืออย่าขาดทุน แต่ใจความสำคัญคือต้องสบายใจครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
nattachai
Verified User
โพสต์: 371
ผู้ติดตาม: 0

ขอความเห็นครับ

โพสต์ที่ 10

โพสต์

คืนดีกว่าครับ เงินไม่ใช่ของเรา เอามาลงทุนจะทำให้ใจไม่นิ่งครับ
โอรสสวรรค์
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 569
ผู้ติดตาม: 0

ขอความเห็นครับ

โพสต์ที่ 11

โพสต์

ลงทุนครับ เพราะดอกเบี้ยต่ำมาก

    ถ้าต้องการที่ปลอดภัยผมแนะนำพวกกองทุนอสังหาริมทรัพย์ครับ พวก lease hold ตัวหลัก ๆ ได้ปันผลปีละประมาณ 10% แต่ราคาไม่ค่อยน่าสนใจ ผมแนะนำให้ลองดูตัว LUXF ครับ เป็น free hold แถมมีการประกันค่าเช่าด้วย ในช่วง 3 ปีข้างหน้า เทียบเท่าเงินปันผลประมาณ 7.0%ต่อปี หรือ 70 สตางค์ต่อหน่วย (ยังไม่รวมปันผลงวดครึ่งปีหลัง ที่งบปีจะสิ้นสุดเดือนมิ.ย. 53 ที่ทั้งปีประกันไว้ 6.5% น่าจะประกาศจ่ายอีกประมาณ 32 สตางค์เร็ว ๆ นี้) ราคาปัจจุบันก็ 8 บาทกว่า ๆ ก็ตกปีละเกือบ 10% ครับ
เราจะพอเพียง แค่เราเพียงพอ
เราจะมีพอ แม้เราพอมี
เราจะดีพอ แค่เราพอดี
เราจะพอใจ แค่ใจเราพอ

ภาพประจำตัวสมาชิก
OutOfMyMind
Verified User
โพสต์: 1242
ผู้ติดตาม: 0

ขอความเห็นครับ

โพสต์ที่ 12

โพสต์

ผมว่าเป็นโอกาสที่ดีนะครับ ได้เงินมาลงทุนทันที 1 แสนบาท
แล้วผ่อนจ่ายแค่เดือนละ 2 พัน

เพียงแต่คุณต้องเข้าใจว่า การลงุทนในหุ้นมันผันผวน คุณต้องให้เวลาเงินมันนอนอยู่ในพอร์ตนานพอ เพื่อเอาชนะความผันผวนในระยะสั้น

หากเป็นผมจะตั้งเป้าเอาเงิน 1 แสนนั่น นอนอยู่ในพอร์ต ไม่เอาออกไปไหน ปล่อยให้เงินลงทุนมันทำงานของมันไป เลือกหุ้นที่มีพื้นฐานดี มี MOS และเสนอขายให้ผมในราคาเหมาะสม

ส่วนเงินผ่อน 2 พันต่อเดือนนั้น ให้ทำงานประจำแล้วแบ่งเงินมาผ่อนไป

อัตราผลตอบแทนที่จะเอาชนะเงินกู้ที 4% กว่าต่อปีนั้น มีโอกาสทำได้ค่อนข้างสูง

สำหรับเกมส์นี้ หากเป็นผม ผมแทงครับ
บทความดีดีสำหรับนักลงทุนเน้นคุณค่า
https://www.facebook.com/OutOfMyMindOnValueInvestment
ภาพประจำตัวสมาชิก
นพพร
Verified User
โพสต์: 1039
ผู้ติดตาม: 0

ขอความเห็นครับ

โพสต์ที่ 13

โพสต์

ผมเอาครับ ได้เงินก้อนมาก่อน
ก้าวแรกที่เล็กๆ แต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ของชีวิต
Radio
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1339
ผู้ติดตาม: 0

ขอความเห็นครับ

โพสต์ที่ 14

โพสต์

ช่วงนี้เป็นตลาดขาขึ้น จับหุ้นตัวไหนก็ขึ้นทั้งนั้น
จึงเห็นว่าเป็นเรื่องง่ายที่จะได้ผลตอบแทนที่สูงๆ
  เป็นผม ผมคืนครับ ไม่เป็นหนี้สบายใจกว่า
vivitawin
Verified User
โพสต์: 1922
ผู้ติดตาม: 0

ขอความเห็นครับ

โพสต์ที่ 15

โพสต์

[quote="Radio"]ช่วงนี้เป็นตลาดขาขึ้น จับหุ้นตัวไหนก็ขึ้นทั้งนั้น
จึงเห็นว่าเป็นเรื่องง่ายที่จะได้ผลตอบแทนที่สูงๆ
อนัตตา
Verified User
โพสต์: 447
ผู้ติดตาม: 0

ขอความเห็นครับ

โพสต์ที่ 16

โพสต์

ถ้าเป็นผมคงลุยไปโลด ทุกวันนี้ยังใช้บริการดอกเบี้ย ร้อยละ 20 อยู่

ถ้าได้ร้อยละ 4 นี่คงขอเต็มแม็คไปเลย   :lol:

แต่ก็ระวัง ถ้ากล้าเล่นกับไฟ ก็มีโอกาสโดนไฟลวกได้

ยกตัวอย่างที่ผมเคยกู้มาซื้อ SVI เพื่อเอาปันผล 0.95 B.

เมื่อส.ค. ปีที่แล้ว

ราคาหุ้นตอนนั้นถูกไล่ขึ้นไป และผมซื้อได้ที่ราคา ~2.6

คิดง่ายๆ ผมได้เงินปันผล ~36% ดอกเบี้ยเงินกู้แค่ 20%

ยังไงก็คุ้มถ้าถือยาวๆ หลังปันผลหุ้นก็ตกมาต่ำสุดประมาณ

1.9 จากนั้นก็ขึ้นๆ ลงๆ สูงสุดประมาณ 2.16 (ถ้าจำไม่ผิด)

ราคาในพอร์ตผมติดลบทางบัญชี แต่ถ้านำปันผลมาหักลบ

ก็ยังมีกำไรมากกว่าดอกเบี้ยเงินกู้นิดหน่อย

เนื่องจากมีความมั่นใจในหุ้นผมจึงไม่คิดจะ ขายเอาส่วนต่าง

จึงถือมาเรื่อยๆ และใช้เงินที่เข้ามาใหม่ทยอยซื้อเพิ่ม

ไม่ถึงปี ตอนนี้ราคามาอยู่ที่ 3.0 B. ก็แฮ็ปปี้ด้วย

ประการฉะนี้ล่ะครับท่านผู้ชม
จิตที่ฝึกดีแล้ว ย่อมนำสุขมาให้
haruti
Verified User
โพสต์: 769
ผู้ติดตาม: 0

ขอความเห็นครับ

โพสต์ที่ 17

โพสต์

:lol: เจอคำว่า "ไม่รอบคอบ" อันนี้จบเลยครับ....เอาไม่คืนเถอะ เพราะ ถ้า ไม่รอบคอบเงินของตัวเอง อันนี้ เราเดือดร้อนคนเดียว แต่ เงินกู้ ต้องถือว่า เป้นเงินของชาวบ้านเขา ถ้าไม่รอบคอบ อันนี้ มีทางพลาดได้สูงครับ :wink:
haruti
Verified User
โพสต์: 769
ผู้ติดตาม: 0

ขอความเห็นครับ

โพสต์ที่ 18

โพสต์

แก้ คำผิด....เอาไปคืนเถอะ ไม่ใช่ เอาไม่คืนเถอะ :wink:
mwasan
Verified User
โพสต์: 14
ผู้ติดตาม: 0

ขอความเห็นครับ

โพสต์ที่ 19

โพสต์

ขอบคุณสำหรับความคิดของพี่ๆทุกคนนะครับ ตกลงนี่ชั่งใจอยากเหมือนกันว่าจะลุยหรือจะคืน ผมจะนำไปคิดให้รอบครอบ เพื่อไม่ให้พลาดอีกครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
kurapica
Verified User
โพสต์: 587
ผู้ติดตาม: 0

ขอความเห็นครับ

โพสต์ที่ 20

โพสต์

ถ้ามีหุ้นตีแตก หรือตัวที่มั่นใจ มันก็น่าลุยนะ
แต่ถ้าไม่ก็ คืนไปดีกว่า
ยอดดอยอยู่ไหนจ๊ะ ขึ้นมามากแล้วนะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
holidaytours
Verified User
โพสต์: 349
ผู้ติดตาม: 0

ขอความเห็นครับ

โพสต์ที่ 21

โพสต์

คืนดีกว่าครับ
สถิตจากคนเล่นหุ้น 80 % แพ้
10 % เสมอตัว
10% ชนะ
เล่นหุ้นมีความเสียงสูงนะครับ
และการลงทุนก็มีความเสี่ยงครับ
สิ่งทั้งหลาย ขึ้นอยู่กับใจ มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จเพราะใจ - พุทธภาษิต
งาน อาชีพเสริมทำเงินล้าน สร้างรายได้ ธุรกิจส่วนตัว รวย!
ภาพประจำตัวสมาชิก
Rocker
Verified User
โพสต์: 4886
ผู้ติดตาม: 0

ขอความเห็นครับ

โพสต์ที่ 22

โพสต์

ผมแนะนําให้คืนครับ  เล่นหุ้นควรใช้เงินเย็นจริงๆครับ เพราะติดดอย หรือ ซวยขึ้นมา ต้องถือยาว จะได้ไม่ถูกกดดันเรื่อง การคืนเงินต้น ยังไม่นับดอกเบี้ยที่ต้องเสียให้คน ยืมนะครับ ถ้าโดนเข้าจริงๆ คงยิ้มไม่ออกครับ  :lol:



แต่ถ้าเป็นเงินเย็น ก็อีกเรื่อง 1 ครับ มุมมองผมเห็นว่า เงิน 1 แสน นั้นน้อยไปสําหรับการลงทุนนะครับ ควรหารายได้จากทางอื่นเสริม เข้ามาด้วยครับ เพราะ 1 แสน หาก ทํา return ได้ 20-30% แบบกลางๆนะ ได้ราวๆ2-3หมื่นบาท  แต่ถ้าอยากจะลงทุนจริงๆก็คิดว่า 1 แสนก็เป็น longterm investing ไป ออมในหุ้น

แต่

ก็ต้องมาเทียบกับต้นุทนค่าเสียโอกาส เวลาที่ต้องมา วิเคราะห์ หุ้น ตามหุ้น และความเครียด ในกรณีไม่เป็นตามที่เราคิดอีก ครับ ว่า ผลตอบแทนแค่นี้จะคุ้มไหม หรือ หาเงินให้เยอะกว่านี้เช่น 2-3 แสน ก่อนแล้ว ค่อยมาลงทุน
ผม กลัวถ้าได้น้อยแต่ลงแรงเยอะ จะถอดใจเสียก่อนนะครับ เหนื่อยเท่ากันแต่ได้น้อยกว่าคนอื่นในแง่เม็ดเงิน หรือ % มันก็รู้สึกไม่แจ่มใช่มะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
picklife
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2567
ผู้ติดตาม: 0

ขอความเห็นครับ

โพสต์ที่ 23

โพสต์

ขอถามเพิ่มนะครับ
1.เงินเดือนเท่าไหร่ครับ?
2.อายุเท่าไหร่ครับ?
3.ประสบการณ์ลงทุนกี่ปีครับ?
4.ผลตอบแทยเฉลียทบต้นเท่าไหร่ครับ?

ผมคงช่วยตัดสินใจไม่ได้ถ้าข้อมุลมีไม่ครบ
ถ้าคนเงินเดือน2-3หมื่นกับคนเงินเดือน 1หมื่นกว่าๆมีภาระเดือนละ2พันผมว่าต่างกันมากครับ สิ่งนี้จะบอกได้ว่าอุณหภูมิของเงินก้อนนี้ร้อนหรืออุ่นขนาดไหน  อายุก็สำคัญถ้ายังหนุ่มกลองผิดลองถูกได้มาก ผมว่าสิ่งที่สำคัญกว่าเงินคือประการณ์การลงทุนที่ได้มาครับ ประสบการณ์และผลตอบแทนก็สำคัญครับเป็นตัวบอกว่าคุณมีความพร้อมในสิ่งที่คุณจะลงทุนแค่ไหนครับ

ส่วนมุมมองในเรื่องเงิน1แสนดอก4%สำหรับผม ผมถือว่าถูกมากครับ ไม่ผิดถ้าคุณจะเอาเงินก้อนนี้ไปลงทุน ซึ่งคุณก็สามารถเลือกลงทุนได้หลายอย่างไม่จำเป้นต้องเป็นหุ้น ถ้าคิดจะลงหุ้นก็ต้องมีความรู้ ผมมองว่าทุกการลงทุนมีความเสี่ยงอยู่แล้วหากคุณไม่รู้เรื่องที่ลง ไม่จำเป้นต้องหุ้น ไปทำธุรกิจอื่นแล้วไม่ศึกษาก็ขาดทุนเหมือนๆกับหุ้น ดังนั้นหากมองหุ้นเหมือนกับเรากำลังจะทำธุรกิจ ผมว่าก็เป็นการลงทุนที่น่าสนใจครับ

ส่วนมุมมองเรื่องเงินนี้เป็นเงินร้อนหรือไม่ ก็แล้วแต่นิยามของแต่ละคนครับ ถ้าคุณมองว่าเงินก้อนนี้เป็นเงินร้อน แสดงว่าคุณให้เงินมีอุณหภูมิ เมื่อคุณมองว่าเงินมีอุณหภูมิแล้วคุณก็ต้องมองเงินทุกบาททุกสตังค์คุณให้มีอุณหภูมิด้วยเพื่อความแฟร์ เช่น
1.ฝากเงินกับธนาคาร ดอก1% อัตตราเงินเฟ้อ3.5% ยิ่งนานเงินเรายิ่งลด แสดงว่าเงินราอุ่นๆนิดๆนะครับ ไม่ใช่เย็น
2.ซื้อรถแล้วผ่อน ผ่อนรถ5% ถ้าคิดเป็นแบบลดต้นลดดอก จะเห็นว่าดอกรถจริงๆจะอยู่ประมาณ8%(หลายคนโดนหลอกต้องระวัง) ดังนั้นการณ์ที่คุณไปลงทุนในรถ เสียค่าเสื่อมปีแรก20% และปีต่อๆไป5% รวมกับดอกอีก8%(กรณีคุณกู้) แสดงว่าปีแรก -20% และปีต่อๆไปอีก-13%จนผ่อนหมด และต่อด้วย-5%ทุกปีจนกว่าจะขายรถทิ้ง

ซึ่งสรุปคือ ถ้ามองว่าเงินก้อนนี้เป็นร้อน คุณต้องเข้าใจการเงินด้วยนะครับว่าการกู้เงินมาซื้อรถนั้นร้อนกว่า

แต่!!!สุดท้ายผมก็ไม่ได้แนะให้เอามาลงในหุ้นนะครับอยากให้ข้อมูลในเรื่องการเงินเท่านั้นครับว่ามุมมองการเงินถือว่าถูกและน่าสนใจมาก แต่หากจะเอามาลงทุนก็ชั่งใจนิดนะครับว่า ถ้าไม่เอาเงินก้อนนี้ก็เสียโอกาสแต่ถ้าเอาแล้วบริหารไม่ดีก็อาจเสียเงินต้นในอนาคตได้ ในบางเรื่องมีโอกาสต้องรีบคว้า แต่บางเรื่องโอกาศแต่ความรู้ไม่ได้คว้าไปเจ็บตัวปล่าวๆ สู้อยู่เฉยๆปล่อยให้โอกาสผ่านอย่างไปเสียดายมันอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดก็ได้นะครับ :D
เม่าน้อยคลำทางหาแสงไฟ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ayethebing
Verified User
โพสต์: 2125
ผู้ติดตาม: 0

ขอความเห็นครับ

โพสต์ที่ 24

โพสต์

เห็นบอกว่าเงินกู้นี้ มีดอกเบี้ยประมาณ 4 % (แบบจ่ายแบงก์นะ ไม่ใช่แบบจ่ายรถ) ต้องจ่ายภายในปีนึงให้หมด

ถ้าเลือกลงทุนแบบความเสี่ยงต่ำ เช่น หุ้นปันผลดีๆ หรือแม้แต่กองทุนอสังหา ได้เงินปันผลประมาณ 6% ขึ้นไป ซึ่งไม่น่าจะหายากมากนัก

ได้กำไร 2% ของ 100,000 คือ 2000 บาท

ผมว่ามันคุ้มนะ ถ้าคุณมั่นใจว่าสามารถจ่ายเงินกู้ได้ทุกๆ เดือนแบบไม่มีปัญหา เป็นการบังคับให้ออมเงินอีกต่างหาก

จริงอยู่การไม่มีหนี้ดีที่สุด แต่ถ้ามีแล้วเรามีสติและไม่โลภมากจนเกินไป ก็พอได้ครับ

สรุปว่าเชียร์ให้ซื้อหุ้นปันผลหรือกองทุนรวมที่ความเสี่ยงต่ำครับ อย่าลืมเครดิตภาษีตอนปลายปีเพื่อจะได้ผลตอบแทนเพิ่มด้วยละ
ขอนไม้อันนิ่งสงบ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Saran
Verified User
โพสต์: 2377
ผู้ติดตาม: 1

ขอความเห็นครับ

โพสต์ที่ 25

โพสต์

อยู่ที่ความสบายใจครับ

ถ้ายังสามารถทำงานหาเงินมาจ่ายค่าผ่อนได้ไหวตลอด 4 ปีก็ยังโอเคครับ แต่ก็ต้องยอมรับความเสี่ยงที่จะขาดทุนในหุ้นที่ซื้อด้วยนะ

แต่อยากให้คิดอีกด้านว่า ถ้าเปลี่ยนจากคุณต้องมาจ่ายค่าผ่อนที่มีดอกเบี้ยด้วย กับเลือกเอาเงิน 2,000 บาท นั้นทยอยซื้อ TDEX ทุกๆเดือน
(ที่เลือก TDEX เพราะเห็นว่าอยากลงทุนในหุ้น และดูเหมือนคุณยังเป็นมือใหม่) อันนี้ก็ต้องยอมรับความเสี่ยงที่จะขาดทุนตามภาวะตลาดเหมือนกัน

คุณ mwasan พอใจแบบไหนมากกว่าครับ  :wink:
OnlyRead
Verified User
โพสต์: 140
ผู้ติดตาม: 1

ขอความเห็นครับ

โพสต์ที่ 26

โพสต์

ขอ Vote ว่า "คืนเงินเค้าไป" ด้วยคนครับ
โพสต์โพสต์