วันที่ 26 กรกฎาคม 2553 02:00
'3 เซียน'แนะปรับกลยุทธ์ลงทุน รับดอกเบี้ย'ขาขึ้น'ครึ่งปีหลัง
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
เปิดมุมมอง 3 เซียนหุ้นรุ่นเก๋า แนะนำกลยุทธ์การลงทุนต้อนรับดอกเบี้ย 'ขาขึ้น' หุ้น-ตราสารหนี้ ยังน่าสนใจ แต่ทองคำ 'ไม่แนะนำ'
ช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ผู้กำหนดนโยบายเศรษฐกิจภาครัฐต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ยกำลังอยู่ในทิศทาง "ขาขึ้น" บางคนพูดชัดว่าภายในสิ้นปี 2553 ดอกเบี้ยนโยบายจะปรับขึ้นไปถึง 2% ซึ่งล่าสุดปรับเพิ่มขึ้นจาก 1.25% เป็น 1.5% และธนาคารพาณิชย์ก็ประสานเสียงปรับอัตราดอกเบี้ยสองขาทั้งเงินกู้และเงินฝากตามมาติดๆ ขณะที่กำไรสุทธิไตรมาส 2/2553 ของธนาคารพาณิชย์ โชว์ตัวเลขกำไรเพิ่มขึ้นอย่างมาก
เอกยุทธ อัญชันบุตร ประธานบริหารเครือโอเรียนเต็ล มาร์ท กรุ๊ป แนะนำว่า หากทิศทางดอกเบี้ยนโยบายมีแนวโน้มปรับขึ้นไปแตะที่ 2% ภายในสิ้นปีนี้อย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์จริง เวลานี้คงเหมาะที่จะแบ่งเงินมาซื้อหุ้นเพียงแค่ 50% และหุ้นกลุ่มหลักที่น่าลงทุนคือหุ้นกลุ่มสถาบันการเงิน เพราะปีนี้ผลประกอบการหุ้นกลุ่มแบงก์จะออกมาดีมาก แม้ราคาหุ้นจะวิ่งรับข่าวดีไปเยอะแล้วแต่เชื่อว่าราคาหุ้นยังปรับขึ้นได้อีก
ถ้าถามว่าหุ้นตัวไหนดีแนะนำหุ้นธนาคารกรุงเทพ (BBL) และหุ้นธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ผลประกอบการปีนี้จะออกมาโดดเด่น และราคาหุ้นยังมีส่วนต่างให้ทำกำไร ราคาเป้าหมาย BBL อยู่ที่ 160 บาท ส่วนหุ้น KBANK ราคาเป้าหมาย 110-120 บาท หุ้นกลุ่มอาหารส่งออกก็ไม่เลว
"ผมเชียร์ซื้อหุ้นเจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) ปีนี้มองว่าฐานะการเงินจะออกมาสวยมาก ราคาหุ้นที่ขึ้นมามากแล้วยังน่าจะขึ้นต่อไปได้อีก ผมให้ราคาเป้าหมาย 35 บาท"
เอกยุทธ แนะนำว่า ก่อนที่งบการเงินไตรมาส 2/2553 จะออก (วันสุดท้าย 15 สิงหาคม 2553) อยากให้นักลงทุนรีบขายหุ้นในพอร์ตออกมาทำกำไรก่อน จากนั้นให้กลับมาซื้อใหม่อีกครั้งในช่วงปลายเดือนสิงหาคม หรือต้นเดือนกันยายน หรือให้ขายในช่วงที่ SET Index วิ่งขึ้นมาแถวๆ 840 จุด แล้วให้กลับมาซื้อในช่วงที่ดัชนีลงมาบริเวณ 800 จุด เล่นรอบการลงทุนอย่างที่บอกรับรองได้กำไรแน่นอน
"เท่าที่ประเมินขณะนี้ ราคาหุ้นในตลาดค่อนข้างขึ้นมาเกือบเต็มมูลค่า ถ้าไม่มีข่าวอะไรใหม่เชื่อว่าผลประกอบการไตรมาส 2/2553 ออกมา คงมีการกระตุกบ้าง แต่คงไม่รุนแรงนัก จึงไม่แนะนำให้เข้ามาซื้อในระดับนี้ ควรรอหาจังหวะ "ขายอย่างเดียว" เพราะหลายตัวราคาอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงมากแล้ว"
การลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังแบ่งเงินลงทุนมาซื้อหุ้น 50% ก็พอ ส่วนอีก 50% เซียนหุ้นรายนี้แนะนำว่า ให้นำมาลงทุนในหุ้นกู้เอกชน และพันธบัตรเชื่อว่าในช่วงไตรมาส 3/2553 ดอกเบี้ยหุ้นกู้คงขึ้นไปยืนระดับ 6% จากปัจจุบันดอกเบี้ยหุ้นกู้อยู่ราวๆ 4% ถือว่าต่ำเกินไป ซึ่งไม่เหมาะสมกับการลงทุนในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น
"หลายคนถามผมว่าลงทุนทองคำตอนนี้ดีหรือไม่ บอกเลยว่า "ไม่สมควรอย่างยิ่ง" เพราะถ้ามีการขยับดอกเบี้ยขึ้นทั่วโลกค่าเงินดอลลาร์จะสูงขึ้นก็จะทำให้ราคาทองคำถูกกดลง นักลงทุนก็จะหันกลับมาลงทุนตลาดหุ้น-ตลาดพันธบัตรมากขึ้น ดังนั้นซื้อทองสะสมเวลานี้จึงมีความเสี่ยงสูง...ผมคิดว่าลงทุนในตลาดหุ้นน่าจะหากำไรได้มากกว่า คำถามอีกข้อที่คนถามมากคือเวลานี้ควรหลีกเลี่ยงหุ้นกลุ่มใด ตอนนี้อย่าไปยุ่งหุ้นทหารไทย (TMB) และหุ้นทีพีไอ โพลีน (TPIPL) เพราะรัฐบาลอาจขายหุ้นออกมา ส่วนทีพีไอ โพลีน ก็มีปัญหาเรื่องคดีความ ถ้าไม่มีเรื่องนี้ราคาหุ้น 20 บาท คงได้เห็น"
ถ้ามองยาวไปถึงปี 2554 เอกยุทธ ทำนายว่า ตลาดหุ้นยังไปต่อได้แน่นอน เพราะเศรษฐกิจไทยคงฟื้นตัวมากขึ้นจากปีนี้...ผมมองว่าปีหน้าดัชนีคงยืนระดับ 1,000 จุดได้ไม่ยาก หากไม่มีเรื่องเลวร้ายออกมาเซอร์ไพรส์ ส่วนสิ้นปี 2553 อาจยืนระดับ 880-920 จุด
นอกจากนี้ เขายังฝากถึง ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ว่าที่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ ไม่ควรออกมาให้ข่าวว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทั้งๆ ที่เรื่องยังไม่ได้ข้อยุติ เพราะมันมีทั้งคนได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ คนได้ก็คือธนาคารพาณิชย์ ส่วนคนเสียประโยชน์ก็คือประชาชนอย่างเราๆ (ที่โดนเอาเปรียบทั้งขึ้นทั้งล่อง)
ทางฝั่งมุมมองของ นายแพทย์บุญ วนาสิน นักลงทุนรุ่นเก๋า มองว่า การลงทุนในตลาดหุ้นยังน่าสนใจแนะนำให้แบ่งเงินออกมาเลย 50% ยังมีหุ้นบลูชิพหลายตัวที่ราคาถูกลงไปเลยหุ้นตัวใหญ่ๆ ไม่ว่าจะเป็นในกลุ่มแบงก์ กลุ่มส่งออก อิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ แต่ก่อนลงทุนควรรอให้ดัชนีปรับฐานลงไปต่ำกว่า 820 จุดก่อน
หมอบุญ เน้นย้ำว่าหุ้นที่จะลงทุนให้เลือกตัวที่มี P/E ต่ำๆ และปันผลสูงๆ แต่อย่าให้ระบุเลยว่าเป็นตัวไหนเดี๋ยวคนจะหาว่าหมอบุญปั่นหุ้น หุ้นที่นักลงทุนควรหลีกเลี่ยงเลยคือ "พัฒนาอสังหาริมทรัพย์" ช่วงนี้มีแต่คนเก็งกำไร โดยเฉพาะหุ้นที่ดินและคอนโดมิเนียม (สัญญาณเริ่มน่ากลัว)
ส่วนเงินที่เหลืออีก 30% ให้นำไปซื้อตราสารหนี้ภาคเอกชน ดอกเบี้ยหุ้นกู้คงขึ้นมาเหนือ 4.5% เร็วๆ นี้ ส่วนอีก 20% ให้นักลงทุนเก็บไว้เป็น "เงินสด" หากคุณลงทุนตามสูตรนี้ในช่วงที่ดอกเบี้ยขาขึ้นรับรองในช่วงครึ่งปีหลังคุณจะได้กำไรจากการลงทุนผ่านตลาดหุ้น 7-8% สบายๆ...สำหรับหุ้นตัวเล็กๆ คงไม่เหมาะที่จะลงทุน เพราะสถานการณ์ทั้งในและนอกประเทศยังไม่มีอะไรแน่นอนสักอย่าง ส่วนตัวมองว่าดัชนีสิ้นปีนี้คงยืนแถว 830-840 จุด เท่านั้น
"นักธุรกิจหลายคนชอบนะที่แบงก์ชาติจะปรับขึ้นดอกเบี้ย อย่างน้อยก็เบรกความร้อนแรงของภาวะเศรษฐกิจ (เงินเฟ้อ) ได้บ้าง เพราะหลายคนเชื่อว่าจีดีพีปีนี้ถึงแน่ 5-6% สำหรับผมมองว่า..มันแรงเกินไป" หมอบุญ กล่าว
ตรงกันข้ามกับความคิดเห็นของ ทนายวิชัย ทองแตง ประธานกรรมการ บมจ.ประสิทธิ์พัฒนา ในฐานะเซียนหุ้นรายใหญ่ มองว่า ดอกเบี้ยจะขึ้นหรือลงไม่น่าจะมีผลต่อตลาดหุ้นมากนัก จริงอยู่อาจส่งผลกระทบบ้างแต่ไม่ใช่นัยสำคัญที่นักลงทุนจะหยิบเรื่องพวกนี้มาเป็นปัจจัยในการซื้อขายหุ้น ถ้ามีก็คงเป็นเพียงนักลงทุนที่เล่นสั้นๆ ส่วนคนเล่นยาวๆ เขาคงไม่สนใจประเด็นนี้
อยากให้นักลงทุนนำเรื่องภาวะเศรษฐกิจและการเมือง มาเป็นตัวแปรในการลงทุนมากกว่า ส่วนตัวมองว่าเศรษฐกิจโดยรวมยังเติบโตได้ดี ที่สำคัญธนาคารบ้านเรายังแข็งแรง ฉะนั้นช่วงนี้นักลงทุนควรแบ่งเงิน 1 ใน 4 มาลงทุนในตลาดหุ้น แม้วันนี้หลายคนจะยังมองปัญหาในแถบยุโรป และสหรัฐอเมริกาไม่ออกก็ตาม ส่วนตัวเชื่อว่าสิ้นปีนี้ SET Index คงยืนเหนือ 850 จุด แต่คงไม่ถึง 900 จุด...ส่วนปีหน้า (2554) อะไรๆ คงดีขึ้น หากการเมืองมีการสมานฉันท์เกิดขึ้น
Tags : เอกยุทธ อัญชันบุตร หุ้น
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... ีหลัง.html