ขอความรู้จากพี่ๆที่มีประสบการณ์ มองหาหุ้นที่จะลงทุนอย่างไร?

[PRO_BABY]

ถามแต่ละท่านที่มีประสบการณ์ครับว่าเราจะเลือกหุ้น หรือมองหาหุ้นที่เราสนใจที่จะลงทุนเน้นอะไรเป็นหลักครับ

เช่น มองที่ภาพรวมทั้งประเทศ ทิศทางการเติบโตของอุตสาหกรรม เลือกอุตสาหกรรมที่โดดเด่นในอนาคตสัก 1-2 ปี เลือกหุ้นที่น่าสนใจในอุตสาหกรรมนั้นๆ เจาะลึกลงในรายละเอียด หามูลค่า

แต่ละท่านเริ่มต้นอย่างไรครับ
ขอบคุณครับ

[Nevercry.boy]

what is your style

is it dsgt

[Suysak]

ผมดูนี่เลย อย่างหยาบ ๆ ก็ ดู eps ก่อน ถ้าปรับตัวดีขึ้น หรือ จากขาดทุนแล้วพลิกมากำไร ก็จะไปดู คำอธิบายประกอบงบ ก็ไอ้ที่เขาสรุปแจ้งตลาดพร้อมกันนะครับ

ลองดูสิ เผื่อได้ทีเด็ด ตอนนี้ก็ดูยังงี้แหละครับ  :lol:

ยกตัวอย่างให้ดู จำได้ว่าเมื่อครั้ง หุ้นอิเล็กตัวนึง ชื่อคล้ายมังกร ยังไม่แตกพาร์
ราคาไม่ไปไหน ไม่ใคร่มีคนสนใจ

อยู่มาวันนึง ผมนึกเฮี้ยนลองดู หุ้นกลุ่มอิเล็ก ทั้งที่เมื่อก่อนไม่ใคร่สนใจ ด้วยความที่เขาเล่ากันว่า มันเป็น วัฏจักร

ผมเปิดดู eps ไตรมาสนั้น ก็พบว่า โอ้โฮ ใช่เลย ทำไมมัน ดูดีขึ้นเยอะจากเดิมขาดทุนมั่งกำไรมั่ง หนักไปทางขาดทุนซะละมาก

แต่มันกลับมากำไรได้นะ ผมจึงไปเปิด คำอธิบายประกอบงบการเงินต่อ เขาเล่าว่า บริษัทได้ปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีการผลิต จากเดิมทำได้แต่ single layer ปรับมาจนสามารถทำ multi layer ได้

จึงทำให้กำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้น และบริษัทสามารถหาลูกค้าได้หลากหลายมากขึ้น

แหม เมื่อการณ์เป็นเยี่ยงนี้ ผมจึงคิดตะละลิ้กติ้กต้อก เอาเองว่า เมื่อก่อนทำได้แต่โปรดักส์ง่ายๆ คราวนี้ทำแบบซับซ้อนได้ คนก็ซื้อทีวีเยอะ ประจวบเหมาะกับ ช่วงนั้น มีโอลิมปิก และ TV LCD เริ่มราคาถูกลง ยังงี้อาเจ้กแถวบ้านเรียกว่า

" เซ็งลี้ฮ้อ "

กำไรของบริษัทจึงปรับตัวดีขึ้นทุกไตรมาส เอ้าเฮ กำไรสิเรา

มือใหม่ลองดูวิธีแบบนี้ก่อนก็ได้นะครับ ไม่หวงห้าม  :lol:

[PRO_BABY]

what is your style

is it dsgt

สำหรับมุมมองมือใหม่อย่างผมเลือกธุรกิจที่จะลงทุนโดยเริ่มอย่างนี้ครับ(เท่าที่งัดออกจากสมองเล็กๆครับ)

-มองอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจ ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าหรือบริการที่เมื่อคนมีเงินมากขึ้นจะบริโภคมากขึ้น หรือปรับเปลี่ยนรสนิยม
-มองอุตสาหกรรมที่เติบโตทุกช่วงของเศรษฐกิจ และโตมากขึ้นเมื่อเศรษฐกิจโต
ส่วนที่นอกเหนือจากความรู้และเข้าใจยากผมจะหลีกเลี่ยงครับ

กลุ่มแรก
จะเป็นกลุ่มอุปโภคเป็นหลัก เช่น โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ เสื้อผ้า แฟชั่น เช่าซื้อ  ยานยนต์ ร้านอาหาร ท่องเที่ยวฯลฯ  โดยผมมองว่ากลุ่มนี้จะได้รับประโยชน์มากเมื่อรายได้คนมากขึ้น อาจมีการปรับเปลี่ยน เช่น พนักงานมีรายได้มากขึ้น ได้โบนัส มากขึ้น อาจเปลี่ยนโทรศัพท์เครื่องใหม่แพงขึ้น  ซื้อทีวีเครื่องใหม่ โน๊ตบุ๊ก  ปกติกินร้านอาหารทั่วไปอาจเปลี่ยนมาเข้าร้านที่เป็นเฉพาะด้านมากขึ้น เช่น โออิชิ เอสแอนด์พี mk  เที่ยวต่างจังหวัดบ่อยขึ้น  แต่ถ้าหากมีรายได้มากขึ้นอย่างมากอาจเป็นสาเหตุมาจากการเลื่อนตำแหน่ง อาจซื้อรถคันใหม่ ซื้อคอนโด ซื้อของเข้าบ้าน ตกแต่ง ปรับปรุง ต่อเติม ฯลฯ

กลุ่มที่สอง
เป็นกล่มที่ขายสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต  กลุ่มดำเนินธุรกิจค้าขาย บริการสาธาณะ เช่น ปกติดื่มน้ำเปล่า พอมีรายได้มากขึ้นหน่อยก็อาจเข้าร้านสะดวกซื้อมากขึ้น ดื่มน้ำผลไม้ กินขนมขบเคี้ยวมากขึ้น  ดูแลสุขภาพมากขึ้น ใช้เครื่องสำอางค์ยี่ห้อแพงขึ้น มีเงินเก็บมากขึ้นเริ่มหาทางเลือกในการออม การลงทุน พ่อแม่มีเงินให้ลูกใช้จ่ายเพิ่ม คนเดินห้างมากขึ้น ห้างขายของดีขึ้น สามารถขึ้นค่าเช่าได้สูงขึ้น

จากข้างบนผมก็จะเริ่มมาดูว่ามันมีหุ้นตัวไหนในตลาดที่น่าสนใจที่ธุรกิจเข้าข่ายบ้าง ยกตัวอย่างผ้าอ้อม  

เดือนมิถุนายน ครั้งแรกของการเปิดพอร์ทหลังจากที่หายไปหลายปี ผมได้เจอธุรกิจตัวหนึ่งเข้าซึ่งไม่คิดว่าจะมีในตลาด บังเอิญผมเคยดูหนังเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวกับวัยรุ่นคนหนึ่งพยายามสร้างธุรกิจของตัวเองด้วยการผลิตผ้าอ้อมสำเร็จรูป (เอาเท่านี้ครับมันยาว)  โดยผมมองว่าแต่ก่อนคนไทยจะใช้ผผ้าอ้อมผ้า ใช้เสร็จก็ซัก แต่พอสังคมเปลี่ยนไป พ่อแม่ต้องทำงานมากขึ้น การดำเนินชีวิตที่ต้องการความสะดวก รวดเร็ว จึงหันมาใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูป ประกอบกับความสะดวกสบาย ราคาไม่แพง ซึ่งผมสังเกตุได้จากความปลี่ยนแปลงของคนในอำเภอ ในหมู่บ้านผมซึ่งบ้านนอกมาก พอแม่รุ่นก่อนๆใช้ผ้าอ้อมซัก แต่พอเป็นพ่อแม่รุ่นใหม่ๆ ที่เข้ามาทำงานใน กทม. พอมีลูก ก็หันมาใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูป แม้แต่ในสังคมต่างจังหวัดก็เริ่มใช้ แต่ยังไม่แพร่หลายมาก  ประกอบกับตัวธุรกิจที่โตต่อเนื่อง สวนทางกับอัตราการเกิด อีกทั้งเป็นสินค้าที่มีกลุ่มเป้าหมายในระดับกลางและล่าง ซึ่งดูได้จากการกำหนดราคา ซึ่งผมมองว่ากลุ่มนี้ยังโตได้อีกจากเหตุผลด้านบน  ประกอบกับความสามารถในการทำยอดขาย กำไร ทั้งที่เกิดภาวะตกต่ำของเศรษฐกิจ  อีกทั้งบริษัทมีหนี้สินน้อย การจ่ายปันผลต่อเนื่อง ค่า ROE  สูงสม่ำเสมอ มีการขยายงานไปยังต่างประเทศ

หลังจากนั้นผมก็ทำการประมาณการยอดขาย ในอนาคต แล้วหากำไรที่จะเกิดขึ้น ประเมินราคาในอนาคต หามูลค่าปัจจุบัน แล้วมาดูราคาในตลาด เมื่อเห็นว่าราคาเหมาะสม มีส่วนต่างพอสมควรจึงลงทุน ถึงแม้ว่าพอซื้อเสร็จราคาจะตกลงมา แต่ผมก็ซื้อเพิ่มเท่าที่มีเงินเหลือแต่ไม่เกินสัดส่วนที่กำหนดไว้ที่ 35% ของพอร์ท จากนั้นก็รอครับ   ความรู้ผมอาจตืนเขินไปหน่อยครับ

แต่ละท่านมีแนวคิดที่จะพอเป็นความรู้ให้ผู้สนใจก็แชร์ด้วยนะครับถือว่าทำบุญ เพราะการให้ความรู้เป็นบุญครับ

[Nevercry.boy]

your vision is not freshy stydent

it seems like a pro

i understood now  

it is about your method

[picklife]

ขอบคุณครับพี่ PRO_BABY
Login2003นี่ไม่ธรรมดาจริงๆ

[pol256]

Pro_baby แนวคิดพี่แน่นด้วยประสบการณ์ขนาดนี้ ต้องเปลี่ยนจากถาม  มาเป็นสอนเด็กๆอย่างผมแทนดีกว่านะคร้าบบ  :)  :)

[PRO_BABY]

ขอบคุณครับพี่ PRO_BABY
Login2003นี่ไม่ธรรมดาจริงๆ

ความรู้ก็มีเท่านี้ล่ะครับ   แต่เรื่องจิตใจยังอีกไกลเลยครับ เพราะเพิ่งเปิดพอท์ลงทุนจริงจังไม่กี่เดือนนี่เอง

[PRO_BABY]

ขอบคุณครับพี่ PRO_BABY
Login2003นี่ไม่ธรรมดาจริงๆ

ความรู้ก็มีเท่านี้ล่ะครับ   แต่เรื่องจิตใจยังอีกไกลเลยครับ เพราะเพิ่งเปิดพอท์ลงทุนจริงจังไม่กี่เดือนนี่เอง

[Nevercry.boy]

ผมชอบแนวคิดคุณ PRO_BABY ครับ

อยากแชร์ประสบการณ์ด้วย ถ้าจำไม่ผิด เคยเจอกันใน DSGT

แต่ยังไม่ค่อยมีเวลา ขอติดไว้นะครับ

...............................

วิธีการของผมมี 4 ขั้นตอน ดังนี้

1. Explain

2. Prove

3. Sell

4. Find

แล้วไว้มาขยายความครับ

[PRO_BABY]

ผมชอบแนวคิดคุณ PRO_BABY ครับ

อยากแชร์ประสบการณ์ด้วย ถ้าจำไม่ผิด เคยเจอกันใน DSGT

แต่ยังไม่ค่อยมีเวลา ขอติดไว้นะครับ

...............................

วิธีการของผมมี 4 ขั้นตอน ดังนี้

1. Explain

2. Prove

3. Sell

4. Find

แล้วไว้มาขยายความครับ

ยินดีครับ

[Warantact]

มองงบก่อน งบดีค่อยมาดูว่าทำอะไร 5555
มองเพี้ยนๆไม่เหมือนชาวบ้าน

ดู D/E ก่อนเลย ยกเว้นบริษัทในกลุ่มการเงิน ถ้า D/E > 2 โยนลงตะกร้า
55555

[Nevercry.boy]

ก่อนจะเริ่มต้นกระบวนการถามหาหุ้น

ให้ถามหาตัวเองก่อน ผมจะค่อย ๆ เจาะใจ คุณ PRO_BABY

.....................................

เอาหล่ะจ้องหน้ากระจกให้ดี ๆ

....................................

เราอยากเป็นนักลงทุนแบบไหน?

ก. นักเก็งกำไรรายวัน
ข. นักเก็งกำไรรายสัปดาห์
ค. นักเก็งกำไรรายเดือน
ง. นักเก็งกำไรรายไตรมาส
จ. นักเก็งกำไรรายปี

.....................................

a. นักลงทุนซื้อธุรกิจ หาธุรกิจที่ ROE สูง ๆ กัดฟันซื้อโดยคิดว่าราคาที่ซื้อนั้น Fair แล้ว ใจแข็งดั่งหินผา ไม่สนใจราคาหุ้น
b. นักลงทุนซื้ออนาคตธุรกิจ กำไรดีก็ซื้อเพิ่ม กำไรไม่ดีทำการโยกย้ายเงินตรา
c. นักลงทุนแบบสินทรัพย์ ไม่ถูกกว่าสินทรัพย์ ไม่ซื้อไม่สน

.....................................

ตอบคำถามนี้ก่อน แล้วมาว่ากันต่อ

[Nevercry.boy]

หากตอบคำถามนี้เสร็จ

ผมจะมีอีกหนึ่งคำถามว่า

แน่ใจนะว่าทนเห็นหุ้นของตัวเองลงไป 50% ได้ โดยที่พื้นฐานไม่เปลี่ยน

..................................................................

นี่ไม่ใช่คำถามของผมนะครับ - หลายท่านทราบดีว่าเป็นคำพูดของใคร

..................................................................

ถ้าได้คุณมีแนวโน้มจะเป็นนักลงทุนมากกว่านักเก็งกำไร

ถ้าไม่ใช่ ก็ยังไม่ใช่อยู่ดี

[PRO_BABY]

ก่อนจะเริ่มต้นกระบวนการถามหาหุ้น

ให้ถามหาตัวเองก่อน ผมจะค่อย ๆ เจาะใจ คุณ PRO_BABY

.....................................

เอาหล่ะจ้องหน้ากระจกให้ดี ๆ

....................................

เราอยากเป็นนักลงทุนแบบไหน?

ก. นักเก็งกำไรรายวัน
ข. นักเก็งกำไรรายสัปดาห์
ค. นักเก็งกำไรรายเดือน
ง. นักเก็งกำไรรายไตรมาส
จ. นักเก็งกำไรรายปี

.....................................

a. นักลงทุนซื้อธุรกิจ หาธุรกิจที่ ROE สูง ๆ กัดฟันซื้อโดยคิดว่าราคาที่ซื้อนั้น Fair แล้ว ใจแข็งดั่งหินผา ไม่สนใจราคาหุ้น
b. นักลงทุนซื้ออนาคตธุรกิจ กำไรดีก็ซื้อเพิ่ม กำไรไม่ดีทำการโยกย้ายเงินตรา
c. นักลงทุนแบบสินทรัพย์ ไม่ถูกกว่าสินทรัพย์ ไม่ซื้อไม่สน

.....................................

ตอบคำถามนี้ก่อน แล้วมาว่ากันต่อ

ขอบคุณที่มาให้ข้อมูลครับ งั้นเริ่มเลยครับ
ปัจจุบันผมยังเป็นนักเก็งกำไรรายไตรมาสครับ แต่อาจหลายไตรมาสเพื่อให้โอกาสธุรกิจพิสูจตัวเอง และพิสูจน์แนวคิดเราที่ตัดสินใจลงทุนด้วยครับ

ส่วนต่อมาผมเป็นนักลงทุนที่ซื้อธุรกิจโดยดูจากผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้นสูงสม่ำเสมอ ยอดขายเติบโต ในขณะเดียวกันก็มองอนาคตธุรกิจด้วยครับ หากผลตอบแทนส่วนผู้ถือหุ้นสูง แต่อนาคตดูเติบโดโตน้อย การขยายงานน้อย การลงทุนน้อย ผมก็จะข้ามไปก่อน(มองหาตัวอื่น) แต่ถ้าผ่านก็จะศึกษาลงรายละเอียด ประเมินยอดขาย กำไร  ปัจจัยที่จะมากระทบยอดขายกำไร ความเสี่ยงต่างๆของธุรกิจ แล้วประเมินราคาที่เหมาะสม ถ้าหากมีส่วนต่างที่พอใจถึงแม้จะไม่มาก  แต่เมื่อเทียบกับการเติบโตในอนาคตก็จะลงทุนครับ

ในขณะเดียวกันถ้าธุรกิจเติบโตตามเป้าก็จะลงทุนเพิ่มแต่ในจำนวนเงินทุนที่เรากำหนด % ของพอร์ท  แต่ถ้าหากดำเนินธุรกิจแล้ว ยอดขายไม่โต กำไรก็ตก อาจมองหาการลงทุนใหม่ๆ(ถือว่าพื้นฐานอาจเปลี่ยนไปแล้ว)  

สำหรับส่วนนี้สั้นๆเท่านี้ครับ

[PRO_BABY]

หากตอบคำถามนี้เสร็จ

ผมจะมีอีกหนึ่งคำถามว่า

แน่ใจนะว่าทนเห็นหุ้นของตัวเองลงไป 50% ได้ โดยที่พื้นฐานไม่เปลี่ยน

..................................................................

นี่ไม่ใช่คำถามของผมนะครับ - หลายท่านทราบดีว่าเป็นคำพูดของใคร

..................................................................

ถ้าได้คุณมีแนวโน้มจะเป็นนักลงทุนมากกว่านักเก็งกำไร

ถ้าไม่ใช่ ก็ยังไม่ใช่อยู่ดี

สำหรับข้อนี้ผมยังเป็นนักลงทุนหน้าใหม่มากๆ ถึงแม้จะศึกษา เรียนทางด้านบริหารตั้งแต่ ตรี ถึงโท จบมาทำงานก็อยู่ในแวดวงการขาย  แต่ก็ยังไม่เคยผ่านช่วงการตกหนักในการลงทุนในตลาดหุ้น แต่ล่าสุดเข้ามาใหม่ก็โดนเลย  สิบกว่า % เท่านั้น(สองรอบ) แต่ก็ซื้อเพิ่มเพราะมั่นใจในธุรกิจและการศึกษาของเราก่อนลงทุน

ส่วน 50% ถ้าธุรกิจดำเนินได้ ไม่ได้เกิดจากพื้นฐานธุรกิจ เกิดจากปัจจัยภายนอก(ตลาดตกอย่างหนักทั้งตลาด) หรือเกิดขึ้นชั่วคราวกิจการสามารถจัดการได้(โดนฟ้องร้อง โดนไฟไหม้ ฯลฯ) ผมยังถือต่อครับ  

[ฐิติ]

หากตอบคำถามนี้เสร็จ

ผมจะมีอีกหนึ่งคำถามว่า

แน่ใจนะว่าทนเห็นหุ้นของตัวเองลงไป 50% ได้ โดยที่พื้นฐานไม่เปลี่ยน

..................................................................

นี่ไม่ใช่คำถามของผมนะครับ - หลายท่านทราบดีว่าเป็นคำพูดของใคร

..................................................................

ถ้าได้คุณมีแนวโน้มจะเป็นนักลงทุนมากกว่านักเก็งกำไร

ถ้าไม่ใช่ ก็ยังไม่ใช่อยู่ดี

ผมระลึกถึงเจ้าของวลีนี้จริงๆ ไม่รู้ตอนนี้หายตัวไปไหนแล้ว

[Nevercry.boy]

thanks khun pro baby

now i understand your expectation

i will continue with my speculation tool for u

i am a growth investor or speculator

do u know canslim methodology

[Nevercry.boy]

ดีครับที่ทราบว่าเป็นแนวเก็งกำไร

ผมเองก็ไม่นิยามตัวเองครับใครจะบอกว่าผมเป็นนักลงทุนหรือนักเก็งกำไร ไม่เป็นไรทั้งนั้น ผมไม่ซีเรียส

โอนีล เขียนในหนังสือว่า หน้าที่ของเขาคือ make money ไม่ได้มีหน้าที่ทำนายอนาคตใคร

วิธีของผมขั้นแรก ต้องกรองหุ้นก่อน ง่าย ๆ แบบนี้ครับ

CANSLIM  

C = ผลกำไรไตรมาสก่อน (Current quarterly earnings) มองหาบริษัทที่เพิ่งประกาศผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 40-500%

A = กำไรต่อปีเพิ่มขึ้น (Annual earnings increases) มองหาบริษัทที่มีความเติบโตติดต่อกัน 5 ปี โดยมีอัตราเติบโตที่ไม่ต่ำกว่า 25% ต่อปี ถ้าหุ้นมีลักษณะอย่างนี้เราไม่จำเป็นต้องสนใจ P/E Ratio ซึ่งช่วงของ P/E อาจจะอยู่ที่ 20 ขึ้นไป

N = สินค้าใหม่ ทีมบริหารใหม่ จุดสูงสุดใหม่ (New products, new management, new highs) หุ้นที่ดีมักจะมีเรื่องราวใหม่ๆ อยู่เบื้องหลังมัน เช่น สินค้าใหม่ที่น่าสนใจ หรือ ผู้บริหารคนใหม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดจุดสูงสุดใหม่

S = อุปสงค์ และ อุปทาน (Supply and demand) หากหุ้นที่มีขนาดเล็กมีปริมาณการซื้อขายสูงๆ จะทำให้โอกาสที่ราคาหุ้นจะถูกขับเคลื่อนสูงขึ้นได้

L = ผู้นำ และ ผู้ตาม (Leaders and laggards) เลือกลงทุนในหุ้นที่มีความเข้มแข็งในอันดับต้นของหมวดนั้นๆ สัก 2-3 บริษัท หุ้นเหล่านี้มักจะปรับตัวดีกว่าหุ้นอื่นๆ ในหมวดเดียวกันในอัตรา 80-90% ภายใน 12 เดือน อยู่ให้ห่างหุ้นที่ปรับตัวแย่ลงในระยะ 7 เดือน

I = ได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนสถาบัน (Institutional sponsorship) หาให้ได้ว่าหุ้นตัวใดที่นักลงทุนสถาบันนิยมซื้อ หากเป็นหุ้นที่มีผลตอบแทนดีและนักลงทุนสถาบันยังมีอยู่น้อย เราอาจจะนำมาเป็นหุ้นที่เราจะเข้าซื้อ

M = ทิศทางของตลาด (Market direction) ตรวจสอบตลาดทุกวันเพื่อหาสัญญาณของการปรับตัวลง และให้ระวังการเข้าซื้อในขณะนั้น

Credit :
วิบูลย์ พึงประเสริฐ
Value Way


หาเจอแล้วจะได้หุ้นมาจำนวนแค่หยิบมือเดียว ไม่น่าเกิน 5 ตัว แล้วมาเข้าวิธีของผมต่อ

1. Explain

2. Prove

3. Sell

4. Find

[Nevercry.boy]

Explain

อธิบายว่าหุ้นตัวที่เราสนนั้นดีอย่างไร ถ้าเราเลือกหุ้นตามหลัก Canslim ไม่ต้องห่วงครับ หุ้นตัวนั้นมีคนสนมากแน่นอน

คุณต้องอธิบายว่าทำไมถึงจะซื้อ (ซึ่งแน่นอนท่ามกลางความกลัวและความโลภ)

แต่ผมแนะนำให้คุณเข้าที่ "ร้อยคนร้อยหุ้น" แล้วอธิบายสิ่งที่คุณคิด

แน่นอนหากคุณพูดอะไรไม่เข้าท่า คุณจะมีคนมาให้ความเห็นกับสิ่งที่คุณคิด อาจท้วงติง และทำให้คุณต้องคิดใหม่

แต่ถ้าใช่คุณต้องอธิบายได้ดีทีเดียวล่ะ

....................................

ปล. อย่าพยายามไปในบอร์ดที่ไร้เหตุผล มิฉะนั้นคุณจะได้ความเห็นประมาณว่า

"เมื่อไรขึ้นอ่ะ"

"นึกว่าเจ๋ง"

"หุ้นดีทำไมไม่มีคนซื้อล่ะ เล่นหุ้นปั่นดีฝ่า"

...................................

ร้อยคนร้อยหุ้นนี่หล่ะครับ

Explain ครับ ถ้าเสียงตอบออกมาดี คุณก็จะมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น คุณจะเป็นคนที่น่าเชื่อถือในสายตาของตัวคุณเอง

คุณจะมีความมั่นใจครับ

*ผมตอบคำถามเรื่องช่วยฝึกจิตใจแล้วนะครับ

[Nevercry.boy]

Prove

เรื่องนี้เกี่ยวพันกับสองเรื่อง จอร์จ โซรอส เคยสอนไว้

1. underlying value เช่น ผลประกอบการประจำไตรมาส ประจำปี

2. Participant bias เช่น ราคาหุ้น

......................................................

ถ้าผลประกอบการคาดว่าจะดี ราคาหุ้นมักจะตอบรับขึ้นไปก่อน

DSGT เก็งกันถึง 12.xx บาท ก่อนที่ Q2 จะประกาศออกมา ผมและคุณ Pro_baby อยู่ด้วยกัน

แต่ดูครับ หากผลประกอบการออกมาไม่ตอบสนองกับราคา สิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร

.....................................................

ผมพูดในบริบทของนักเก็งกำไรนะครับ โดยเฉพาะนักเก็งกำไรรายไตรมาส

ดังนั้นหากตอบคำถามแล้วทั้งสองข้อพบว่าตนเองเป็นนักลงทุน

ต้องรบกวนไม่ต้องอ่าน comment ของผมนะครับ

......................................................

หาหุ้นที่ข้อ 1 และ ข้อ 2 ไปด้วยกัน

หากเธอเป็นอย่างที่ฉันคิด ฉันอยู่กับเธอชั่วกาลนาน (Hold)

หากไม่ใช่ เราอาจจะต้อง แยกทางกัน

.......................................................

[Nevercry.boy]

Sell

ผมจะไม่ขายตลอดชีวิตครับ

และจะ Let profit run จะเกิดอะไรก็จะอยู่กับมัน ตราบใดที่

1 odd ของการลงทุนอยู่ข้างผม
2 หุ้นทำกำไรมากขึ้นเรื่อย ๆ และ หุ้นมีโอกาสทำกำไรเพิ่มมากขึ้น
3 ผมยังไม่มีโอกาสการลงทุนที่ดีกว่า

แต่หากผมเจอโอกาสการลงทุนที่ดีกว่า ผมจะไปเริ่ม step แรกก่อน คือ Explain ตรงดุ่ย ๆ เข้าไปในร้อยคนร้อยหุ้น แล้วอธิบาย

หากไม่ใช่หรือไม่ได้ดั่งเราคิด ก็ไม่ไปกับมัน

[Nevercry.boy]

Find

รักสงบจงเตรียมรบให้พร้อม

มองหาโอกาสลงทุนทุกสัปดาห์ครับ ใช้หลักการณ์อย่างที่ผมบอกเตรียมไว้
หุ้นมีวิ่งทุกปีทุกเดือนทุกสัปดาห์ ไม่ต้องกังวลเรื่องตกรถ เดี๋ยวรีบร้อน ไล่ราคา

ห้ามเด็ดขาด

มองหาหุ้นไว้ใน Wish-list อย่างน้อย 2-3 ตัว ตามหลัก Canslim แล้วหาจังหวะ

Cup and Handle รายละเอียดตามอ่านครับ

http://en.wikipedia.org/wiki/CAN_SLIM

[PRO_BABY]

Find

รักสงบจงเตรียมรบให้พร้อม

มองหาโอกาสลงทุนทุกสัปดาห์ครับ ใช้หลักการณ์อย่างที่ผมบอกเตรียมไว้
หุ้นมีวิ่งทุกปีทุกเดือนทุกสัปดาห์ ไม่ต้องกังวลเรื่องตกรถ เดี๋ยวรีบร้อน ไล่ราคา

ห้ามเด็ดขาด

มองหาหุ้นไว้ใน Wish-list อย่างน้อย 2-3 ตัว ตามหลัก Canslim แล้วหาจังหวะ

Cup and Handle รายละเอียดตามอ่านครับ

http://en.wikipedia.org/wiki/CAN_SLIM

ขอบคุณครับที่มาให้ความรู้ครับ ผมจะลองเอาแนวคิดไปทดลองใช้ดูครับ ได้ผลยังไงจะแชร์ให้ทราบครคับ  แต่ที่ผ่านมาถูกตัว ถูกเวลา แต่ไม่รอครับ

[unnop.t]

[quote="Nevercry.boy"]ดีครับที่ทราบว่าเป็นแนวเก็งกำไร

ผมเองก็ไม่นิยามตัวเองครับใครจะบอกว่าผมเป็นนักลงทุนหรือนักเก็งกำไร ไม่เป็นไรทั้งนั้น ผมไม่ซีเรียส

โอนีล เขียนในหนังสือว่า หน้าที่ของเขาคือ make money ไม่ได้มีหน้าที่ทำนายอนาคตใคร

วิธีของผมขั้นแรก ต้องกรองหุ้นก่อน ง่าย ๆ แบบนี้ครับ

CANSLIM

[coffee.tum]

ผมVI น้องใหม่

....ดูอุตสาหกรรมก่อน  ดูว่าอุตสาหกรรมนี้ระยะ6-12 เดือนข้างหน้า

น่าจะมีผลประกอบการที่เติบโตขึ้น ตามภาวะอุตสาหกรรม หลังจากนั้น

จึงค่อยมาเจาะหุ้นแต่ล่ะตัวกันเลย ว่าตัวไหนราคาปัจจุบันยังต่ำกว่า

มูลค่าที่ควรจะเป็น ... เอางบตัวที่เราสนใจมานั่งดู ย้อนหลังด้วย

....ถ้าเห็นตัวไหนเข้าเกณฑ์ของเรา ก็เคาะขวาโลด .....

[leaderinshadow]

ตั้งตะแกรงกรองหุ้นไว้

คุณสมบัติของบริษัทที่จะผ่าน ง่ายๆครับ

ธุรกิจนั้น ต้องโตขึ้น 2 เท่า ภายใน 4 ปี นับจากนี้
คาดหวัง Return 25%

จบ...

เสร็จแล้วก็เตร็ดแตร่ ไปเรื่อยครับ
เจอหุ้น ก็นั่งคิดเล่นๆ ว่า เข้า Concept นี้มั้ย
ถ้าเข้า ก็ลงไปดูในรายละเอียด ว่าจริงหรือเปล่า

[CHOOKY]

ขอบคุณ เสี่ยป๋อง ที่ได้ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา
ขอเสริมนิดหน่อยละกันครับ
1.ความรู้ ความเข้าใจในธุรกิจ อุตสาหกรรม  จุลภาค มหภาค มันสามารถเรียนรุ้ได้ตลอดเวลา เรียนรู้ได้เท่าทันกันได้  ยกตัวอย่างเช่น กรณีของพี่ SAI เป็นต้น

2.สิ่งที่สำคัญและจำเป็นอย่างมากอีกข้อหนึ่งที่นักลงทุน หรือนักเล่นหุ้นต้องมี คือความเชื่อมั่นในตัวเอง ความหนักแน่น และเด็ดเดี่ยว แน่วแน่ ของจิตใจ  ในสิ่งที่จะตัดสินใจ และในสิ่งที่ได้ตัดสินใจไปแล้ว ซึ่งอยุ่ระหว่างรอพิสูจน์ ผลของการคิดและตัดสินใจนั้น  ถ้ามีข้อแรก แต่ขาดข้อ 2 ก็ประสบความสำเร็จได้ยาก (ผมเองก็เหมือนกัน ปัญหาใหญ่ของผมคือข้อ2 ทำให้ผมพลาด 12 เด้ง กับ KCE ทั้งๆที่รู้ว่า ธุรกิจมันผูกติดกับอุตสาหกรรมยานยนต์)

ผมไม่แน่ใจว่าใช่บัฟเฟต์ หรือเปล่านะครับที่บอกว่า "ควรจะอยู่เฉยๆ บ้าง" (let profit run) ผมเองก็ควรจะฝึกข้อนี้ให้มากๆ เช่นกัน

 ผมให้ความสำคัญกับข้อ 2 มากกว่า(แน่นอน ข้อ1 ก้จำเป็นไม่แพ้กัน) เพราะเมื่ออยู่ในสนาม ข้อ 2 จำเป็นและสำคัญที่สุดที่จะชี้ผลแพ้หรือชนะ