เบื่องานจะลาออกมาลงทุนหุ้นคุณค่าแต่กลัว....
- Tibular
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 531
- ผู้ติดตาม: 0
เบื่องานจะลาออกมาลงทุนหุ้นคุณค่าแต่กลัว....
โพสต์ที่ 61
ถ้ารักจะมาทางนี้จริงๆ ก็ต้องยอมรับให้ได้ครับ
ถึงข้อดีข้อเสียของการเล่นหุ้นคนเดียว
ถ้าไม่อย่างนั้นก็คงต้องทำงานเป็นมืออาชีพ
ด้านการลงทุนไปเลยในบริษัทต่างๆ
ข้อเสีย
"ไม่มีเงินเดือน ไม่มีสวัสดิการ ไม่มีตำแหน่ง"
"มีแต่ความเสี่ยง และผลตอบแทนอาจไม่แน่นอน"
ฯลฯ
ข้อดี
"เป็นนายตัวเอง ได้ใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการ"
"ความมั่งคั่งที่จะตามมาถ้าทำได้ดี"
ฯลฯ
ต้องลองคิดต่อดูนะครับว่ามีข้อดีข้อเสียอะไรอีก
สำหรับคนที่จะทำงานลงทุนอิสระ(งานอื่นด้วยนะัครับ)ต้องมี
1. Self-Motivation
ต้องมีแรงจูงใจตลอด และถือว่านี่คืองานของเรา
ถ้าคิดว่าออกมาลงทุนอย่างเดียวเพราะเบื่องาน
เดี๋ยวก็เข้าอีหรอบเดิม เบื่อการลงทุนอีก
"ถ้าทุนหมด ก็จบเห่"
2. Discipline
มีวินัยในตัวเอง ต้องรู้ว่าเราต้องทำอะไรบ้างในแต่ละวัน
ต้องสร้าง Job Description ของเราเอง เก็บข้อมุลเอง
ไม่ใช่อยากออกมาเพราะขี้เกียจ อยากสบาย
คิดว่า การซื้อๆขายๆหุ้นก็ได้เงิน ไม่เหนื่อย
อะไรแบบนี้ คงไม่ใช่การเป็นนักลงทุนมืออาชีพ
"มืออาชีพไม่ได้เป็นเล่นๆ"
3. Knowledge
มีความรู้ในเรื่องการลงทุนอย่างดี มีประสบการณ์ผ่านทั้ง
ช่วงดี และร้าย มีความรู้ในตัวหุ้นทั้งตลาด
ติดตามข่าวสารธุรกิจทั้งใน และนอกประเทศ
เข้าใจภาพรวมของระบบเศรษฐกิจ สังคม ฯลฯ
และที่สำคัญที่สุด
"คุณรู้จักตัวเองอย่างแท้จริงหรือยัง"
4. Independence
มีจิตใจ และความคิดที่เป็นอิสระ สามารถคิดอ่าน
วางแผนด้วยตัวเองได้ โดยเฉพาะการบริหาร
พอร์ตการลงทุนของเรา ต้องรู้ว่าอะไรควร ไม่ควรทำ
"เร็ว ช้า หนัก เบา เพิ่ม ลด"
ในหนังสือตีแตก ดร.บอกว่า
"การลงทุนคือการเดินทางที่มีความมั่งคั่งส่วนตัวเป็นเดิมพัน"
คุณพร้อมจะเดิมพันไหม
"ถ้าไม่ดีก็ให้มันตาย ถ้าไม่ตายก็ให้มันดี"
หลวงพ่อชา
ถึงข้อดีข้อเสียของการเล่นหุ้นคนเดียว
ถ้าไม่อย่างนั้นก็คงต้องทำงานเป็นมืออาชีพ
ด้านการลงทุนไปเลยในบริษัทต่างๆ
ข้อเสีย
"ไม่มีเงินเดือน ไม่มีสวัสดิการ ไม่มีตำแหน่ง"
"มีแต่ความเสี่ยง และผลตอบแทนอาจไม่แน่นอน"
ฯลฯ
ข้อดี
"เป็นนายตัวเอง ได้ใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการ"
"ความมั่งคั่งที่จะตามมาถ้าทำได้ดี"
ฯลฯ
ต้องลองคิดต่อดูนะครับว่ามีข้อดีข้อเสียอะไรอีก
สำหรับคนที่จะทำงานลงทุนอิสระ(งานอื่นด้วยนะัครับ)ต้องมี
1. Self-Motivation
ต้องมีแรงจูงใจตลอด และถือว่านี่คืองานของเรา
ถ้าคิดว่าออกมาลงทุนอย่างเดียวเพราะเบื่องาน
เดี๋ยวก็เข้าอีหรอบเดิม เบื่อการลงทุนอีก
"ถ้าทุนหมด ก็จบเห่"
2. Discipline
มีวินัยในตัวเอง ต้องรู้ว่าเราต้องทำอะไรบ้างในแต่ละวัน
ต้องสร้าง Job Description ของเราเอง เก็บข้อมุลเอง
ไม่ใช่อยากออกมาเพราะขี้เกียจ อยากสบาย
คิดว่า การซื้อๆขายๆหุ้นก็ได้เงิน ไม่เหนื่อย
อะไรแบบนี้ คงไม่ใช่การเป็นนักลงทุนมืออาชีพ
"มืออาชีพไม่ได้เป็นเล่นๆ"
3. Knowledge
มีความรู้ในเรื่องการลงทุนอย่างดี มีประสบการณ์ผ่านทั้ง
ช่วงดี และร้าย มีความรู้ในตัวหุ้นทั้งตลาด
ติดตามข่าวสารธุรกิจทั้งใน และนอกประเทศ
เข้าใจภาพรวมของระบบเศรษฐกิจ สังคม ฯลฯ
และที่สำคัญที่สุด
"คุณรู้จักตัวเองอย่างแท้จริงหรือยัง"
4. Independence
มีจิตใจ และความคิดที่เป็นอิสระ สามารถคิดอ่าน
วางแผนด้วยตัวเองได้ โดยเฉพาะการบริหาร
พอร์ตการลงทุนของเรา ต้องรู้ว่าอะไรควร ไม่ควรทำ
"เร็ว ช้า หนัก เบา เพิ่ม ลด"
ในหนังสือตีแตก ดร.บอกว่า
"การลงทุนคือการเดินทางที่มีความมั่งคั่งส่วนตัวเป็นเดิมพัน"
คุณพร้อมจะเดิมพันไหม
"ถ้าไม่ดีก็ให้มันตาย ถ้าไม่ตายก็ให้มันดี"
หลวงพ่อชา
-
- Verified User
- โพสต์: 61
- ผู้ติดตาม: 0
เบื่องานจะลาออกมาลงทุนหุ้นคุณค่าแต่กลัว....
โพสต์ที่ 62
ลองทำงานด้วย ทงทุนหุ้นไปด้วยอีกซักระยะก่อนครับ
ถ้าเวลาผ่านไปแล้วเราสามารถหารายได้จากการลงทุนหุ้นได้มากกว่าหรือใกล้เคียงกับรายได้จากการทำงานประจำ
ตอนนั้นค่อยมาคิดตัดสินใจอีกครั้งก็ได้ครับ
ต้องคิดรอบคอบ ใช้หลายๆตรรกกะด้วยครับ
ออกมาแล้ว ลงทุนหุ้นไม่รุ่ง แล้วจะกลับไปงานประจำก็ไม่ได้เนี่ย
จะเครียดเอาง่ายๆครับ
ถ้าเวลาผ่านไปแล้วเราสามารถหารายได้จากการลงทุนหุ้นได้มากกว่าหรือใกล้เคียงกับรายได้จากการทำงานประจำ
ตอนนั้นค่อยมาคิดตัดสินใจอีกครั้งก็ได้ครับ
ต้องคิดรอบคอบ ใช้หลายๆตรรกกะด้วยครับ
ออกมาแล้ว ลงทุนหุ้นไม่รุ่ง แล้วจะกลับไปงานประจำก็ไม่ได้เนี่ย
จะเครียดเอาง่ายๆครับ
- simplelife
- Verified User
- โพสต์: 756
- ผู้ติดตาม: 0
เบื่องานจะลาออกมาลงทุนหุ้นคุณค่าแต่กลัว....
โพสต์ที่ 63
ไม่พร้อม การลงทุนไม่ใช่การเดิมพันTibular เขียน:คุณพร้อมจะเดิมพันไหม
ถ้าทำงานไปด้วย แล้วลงทุนได้เท่ากับเงินเดือน มันก็เท่ากับว่าคุณได้เงินเดือนเป็นสองเท่า แล้วจะไปลดเงินเดือนตัวเองทำไม ถ้าออกมาแล้วจะได้เงินจากการลงทุนเพิ่มขึ้นอีกเท่าหรือครับ996gt3 เขียน:ลองทำงานด้วย ทงทุนหุ้นไปด้วยอีกซักระยะก่อนครับ
ถ้าเวลาผ่านไปแล้วเราสามารถหารายได้จากการลงทุนหุ้นได้มากกว่าหรือใกล้เคียงกับรายได้จากการทำงานประจำ
"I believe what I said yesterday. I don't know what I said, but I know what I think... and I assume it's what I said." -- Donald Rumsfeld
-
- Verified User
- โพสต์: 111
- ผู้ติดตาม: 0
เบื่องานจะลาออกมาลงทุนหุ้นคุณค่าแต่กลัว....
โพสต์ที่ 64
อย่าเพิ่งออกมาเลยครับ อดทนทำงานต่อ อย่างน้อยก็มีกระแสเงินสดทุกเดือน เติมเงินลงทุนไปได้เรื่อยๆ และ เอาไว้ใช้จ่ายชีวิตประจำวัน
สำหรับผมจำเป็นต้องออกจากงานมา ตอนแรกก็รู้สึกโหวงๆ จากเดิมเคยทำงานทุกวัน ตอนนี้เลยต้องพยายามสร้างพอร์ตและหาความรู้
ผมว่าจริงๆ ถ้าลงทุนแบบVI แทบจะไม่ต้องพะวงหรือมาคอยเฝ้าหุ้นเลยนะ
ตอนนี้ผมก็ยังพยายามหางานใหม่อยู่เหมือนกัน
1. กลัวไม่มีสังคม
- เกิดมาแต่ตัว ตอนไปก็ไปก็คนเดียว
2. กลัวเงินที่ลงทุนในหุ้นไม่พอเลี้ยงชีพ เพราะความไม่แน่นอนตลาด ตอนนี้ถืือ cpall กับ hmpro
- อันนี้ถ้าแม่นในหลักการ ไม่ต้องกลัว เพราะดร.ทำให้เห็นแล้ว
3. กลัวไม่เป็นที่ยอมรับของเพื่อนที่เคยรู้จัก เวลาถามว่าทำงานอะไร
- ผมก็ยังนึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะตอบว่าอะไร แต่ก็ไม่ได้แคร์อะไรมาก กรณีของคุณ อาจจะบอกว่าทำธุรกิจส่วนตัว เป็นเจ้าของร้าน 7-11 (ไม่ได้โกหกนะ เห็นถือ cpall) พูดไปตามความจริง
สรุปว่า ชั่งข้อดี ข้อเสีย คิดให้ดีๆ อย่าให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล
สำหรับผมจำเป็นต้องออกจากงานมา ตอนแรกก็รู้สึกโหวงๆ จากเดิมเคยทำงานทุกวัน ตอนนี้เลยต้องพยายามสร้างพอร์ตและหาความรู้
ผมว่าจริงๆ ถ้าลงทุนแบบVI แทบจะไม่ต้องพะวงหรือมาคอยเฝ้าหุ้นเลยนะ
ตอนนี้ผมก็ยังพยายามหางานใหม่อยู่เหมือนกัน
1. กลัวไม่มีสังคม
- เกิดมาแต่ตัว ตอนไปก็ไปก็คนเดียว
2. กลัวเงินที่ลงทุนในหุ้นไม่พอเลี้ยงชีพ เพราะความไม่แน่นอนตลาด ตอนนี้ถืือ cpall กับ hmpro
- อันนี้ถ้าแม่นในหลักการ ไม่ต้องกลัว เพราะดร.ทำให้เห็นแล้ว
3. กลัวไม่เป็นที่ยอมรับของเพื่อนที่เคยรู้จัก เวลาถามว่าทำงานอะไร
- ผมก็ยังนึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะตอบว่าอะไร แต่ก็ไม่ได้แคร์อะไรมาก กรณีของคุณ อาจจะบอกว่าทำธุรกิจส่วนตัว เป็นเจ้าของร้าน 7-11 (ไม่ได้โกหกนะ เห็นถือ cpall) พูดไปตามความจริง
สรุปว่า ชั่งข้อดี ข้อเสีย คิดให้ดีๆ อย่าให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล
-
- Verified User
- โพสต์: 7
- ผู้ติดตาม: 0
เบื่องานจะลาออกมาลงทุนหุ้นคุณค่าแต่กลัว....
โพสต์ที่ 66
เป็นการโพสครั้งแรกในบอร์ดนี้เลยนะครับ
กระทู้โดนใจ กำลงัเบื่องานอยู่เหมือนกัน
สำหรับผม ผมตั้งเป้าไว้ที่พอร์ท8หลัก แล้วจะเลิกทำงานประจำครับ
ปัจจุบันผมมีรายได้จากงานประจำ แล้วก็งานอดิเรกที่ทำอยู่ด้วย
ถ้าลาออกจากงานประจำเมื่อพอร์ทได้ตามเป้า ก็จะมาตั้งใจทำงานอดิเรกให้รายได้มากขึ้นจนมาเป็นรายได้หลัก แล้วเงินที่ได้จากหุ้นก็ถือว่าเป็นโบนัสไปครับ
กระทู้โดนใจ กำลงัเบื่องานอยู่เหมือนกัน
สำหรับผม ผมตั้งเป้าไว้ที่พอร์ท8หลัก แล้วจะเลิกทำงานประจำครับ
ปัจจุบันผมมีรายได้จากงานประจำ แล้วก็งานอดิเรกที่ทำอยู่ด้วย
ถ้าลาออกจากงานประจำเมื่อพอร์ทได้ตามเป้า ก็จะมาตั้งใจทำงานอดิเรกให้รายได้มากขึ้นจนมาเป็นรายได้หลัก แล้วเงินที่ได้จากหุ้นก็ถือว่าเป็นโบนัสไปครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 788
- ผู้ติดตาม: 1
เบื่องานจะลาออกมาลงทุนหุ้นคุณค่าแต่กลัว....
โพสต์ที่ 68
รู้ทันเหมือนกัน บางครั้งผมก็เป็นกล้วยไม้ขาว เขียน:Paul VI เขียน:mprandy เขียน::lovl: ติดเรทหรือเปล่า :lovl:ลูกอิสาน เขียน:เหมือนผมเลย :lol:por_jai เขียน: เบื่อๆอยากๆ...ฮ่า...
แต่ไม่ใช่เรื่องหุ้นนะ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2273
- ผู้ติดตาม: 0
เบื่องานจะลาออกมาลงทุนหุ้นคุณค่าแต่กลัว....
โพสต์ที่ 69
ตอนนี้ชีวิตมันสดใส
ใครๆก็อยากออกมาลงทุนอย่างเดียว
ผมเล่าให้ฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้นตอนที่แย่
ตอนออกมาลงทุนอย่างเดียว
มั่นใจมาก
ตรูเก่ง ตรูเทพ
เอาผลตอบแทนแค่ปีละ 20% ก็สบายๆแล้ว
เจอปีที่หุ้นตก
เครียด เครียด เครียด
จะเอาไรกินในอนาคต
โห ออกมาทำไมหว่า เงินเดือนก็ดี มีหน้ามีตาในสังคม
ชีวิตก็สุขสบาย สิ้นเดือนมีรายได้
ผมว่านะ จะออกมาต้อง
1 คุณมั่นใจแล้วเหรอว่าพร้อม ทางด้านฝีมือ (อย่างน้อยสัก 5 ปี ผลตอบแทนชนะ set ตลอด)
อย่าให้ภาพลวงตาระยะสั้น เช่นสองปีกำไรตั้ง 2เท่า หรือ 5 เท่า มาบอกว่าฝีมือแล้ว มันอาจเป็นแค่ดวงได้
2. ปันผลอย่างเดียวพอหรือไม่ อย่าคิดง่ายๆแค่ว่า ตอนนี้ นึกถึงอนาคตด้วย ถ้ามีครอบครัว
3. รับได้กับสภาพคนที่มองเราแปลกๆ ทำบัตรเครดิตก็ไม่ได้ ใครๆก็เห็นว่าเป็นคนไม่มั่นคง
4. ถ้าไม่รุ่ง มีทางออกหรือไม่ เช่นไปหางานได้อยู่ดี หรือว่า มีธุรกิจอะไรรองรับ
ถ้าตอบคำถามได้หมด หรือว่าคำถามอื่นๆที่จำเป็นได้หมดจริงๆ
ก็ welcome to investor club
ใครๆก็อยากออกมาลงทุนอย่างเดียว
ผมเล่าให้ฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้นตอนที่แย่
ตอนออกมาลงทุนอย่างเดียว
มั่นใจมาก
ตรูเก่ง ตรูเทพ
เอาผลตอบแทนแค่ปีละ 20% ก็สบายๆแล้ว
เจอปีที่หุ้นตก
เครียด เครียด เครียด
จะเอาไรกินในอนาคต
โห ออกมาทำไมหว่า เงินเดือนก็ดี มีหน้ามีตาในสังคม
ชีวิตก็สุขสบาย สิ้นเดือนมีรายได้
ผมว่านะ จะออกมาต้อง
1 คุณมั่นใจแล้วเหรอว่าพร้อม ทางด้านฝีมือ (อย่างน้อยสัก 5 ปี ผลตอบแทนชนะ set ตลอด)
อย่าให้ภาพลวงตาระยะสั้น เช่นสองปีกำไรตั้ง 2เท่า หรือ 5 เท่า มาบอกว่าฝีมือแล้ว มันอาจเป็นแค่ดวงได้
2. ปันผลอย่างเดียวพอหรือไม่ อย่าคิดง่ายๆแค่ว่า ตอนนี้ นึกถึงอนาคตด้วย ถ้ามีครอบครัว
3. รับได้กับสภาพคนที่มองเราแปลกๆ ทำบัตรเครดิตก็ไม่ได้ ใครๆก็เห็นว่าเป็นคนไม่มั่นคง
4. ถ้าไม่รุ่ง มีทางออกหรือไม่ เช่นไปหางานได้อยู่ดี หรือว่า มีธุรกิจอะไรรองรับ
ถ้าตอบคำถามได้หมด หรือว่าคำถามอื่นๆที่จำเป็นได้หมดจริงๆ
ก็ welcome to investor club
การลงทุนคือความเสี่ยง
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10548
- ผู้ติดตาม: 1
เบื่องานจะลาออกมาลงทุนหุ้นคุณค่าแต่กลัว....
โพสต์ที่ 70
รู้ทันเหมือนกัน บางครั้งผมก็เป็นcomrade เขียน:กล้วยไม้ขาว เขียน:Paul VI เขียน:mprandy เขียน::lovl: ติดเรทหรือเปล่า :lovl:ลูกอิสาน เขียน:เหมือนผมเลย :lol:por_jai เขียน: เบื่อๆอยากๆ...ฮ่า...
แต่ไม่ใช่เรื่องหุ้นนะ
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10548
- ผู้ติดตาม: 1
เบื่องานจะลาออกมาลงทุนหุ้นคุณค่าแต่กลัว....
โพสต์ที่ 71
sunrise เขียน:ตอนนี้ชีวิตมันสดใส
ใครๆก็อยากออกมาลงทุนอย่างเดียว
ผมเล่าให้ฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้นตอนที่แย่
ตอนออกมาลงทุนอย่างเดียว
มั่นใจมาก
ตรูเก่ง ตรูเทพ
เอาผลตอบแทนแค่ปีละ 20% ก็สบายๆแล้ว
เจอปีที่หุ้นตก
เครียด เครียด เครียด
จะเอาไรกินในอนาคต
โห ออกมาทำไมหว่า เงินเดือนก็ดี มีหน้ามีตาในสังคม
ชีวิตก็สุขสบาย สิ้นเดือนมีรายได้
ผมว่านะ จะออกมาต้อง
1 คุณมั่นใจแล้วเหรอว่าพร้อม ทางด้านฝีมือ (อย่างน้อยสัก 5 ปี ผลตอบแทนชนะ set ตลอด)
อย่าให้ภาพลวงตาระยะสั้น เช่นสองปีกำไรตั้ง 2เท่า หรือ 5 เท่า มาบอกว่าฝีมือแล้ว มันอาจเป็นแค่ดวงได้
2. ปันผลอย่างเดียวพอหรือไม่ อย่าคิดง่ายๆแค่ว่า ตอนนี้ นึกถึงอนาคตด้วย ถ้ามีครอบครัว
3. รับได้กับสภาพคนที่มองเราแปลกๆ ทำบัตรเครดิตก็ไม่ได้ ใครๆก็เห็นว่าเป็นคนไม่มั่นคง
4. ถ้าไม่รุ่ง มีทางออกหรือไม่ เช่นไปหางานได้อยู่ดี หรือว่า มีธุรกิจอะไรรองรับ
ถ้าตอบคำถามได้หมด หรือว่าคำถามอื่นๆที่จำเป็นได้หมดจริงๆ
ก็ welcome to investor club
สุดยอด
-
- Verified User
- โพสต์: 760
- ผู้ติดตาม: 0
เบื่องานจะลาออกมาลงทุนหุ้นคุณค่าแต่กลัว....
โพสต์ที่ 72
มีรายได้มาจากหลายทางย่อมดีกว่าครับ ปลอดภัยกว่า เงินก็ได้มากขึ้นด้วย
ถ้าเบื่องานเดิมก็สมัครงานใหม่เปลื่ยนงานก็ได้ครับ หรือถ้าเบื่องานประจำและการเป็นลูกจ้างก็ควรหาลู่ทางการลงทุนหรืองานอื่นไว้ด้วยครับ
คนจะรวยได้ต้องมีวิสัยทัศน์ครับ
เป็นลูกจ้างไม่มีทางรวยได้ ขยันแค่ไหนก็เป็นได้แค่ลูกจ้างดีเด่น ยิ่งขยันนายจ้างยิ่งรวย ถึงเงินเดือนเราจะได้เพิ่มก็ตาม แต่นายจ้างได้มากกว่า
คนจะรวยต้องลงทุนทำธุรกิจด้วยตัวเองครับแต่การลงทุนเองให้ประสบความสำเร็จนั้นยังต้องมีองค์ประกอบอีกหลายอย่างครับ เช่น เงินทุน ลู่ทาง พรรคพวก ฐานลูกค้า ทำเล ความน่าเชื่อถือ ความสามารถส่วนตัวในด้านนั้นๆ สติปัญญา จิตวิทยาการดึงลูกค้า (IQ & EQ) ความขยันขันแข็ง และ ดวงกับบุญวาสนาเก่า(ผมเชื่อเรื่องบุญเก่ากรรมเก่า) เป็นต้นครับ เงินทุนของผม ผมลงทุนกับธุรกิจจริง(ทำธุรกิจเอง)และลงทุนทำธุรกิจผ่านหุ้นด้วยครับ
ถ้าสิ่งเหล่านี้ยังไม่พร้อมควรทำงานประจำไปก่อนควบคู่กับการลงทุนในหุ้นด้วยครับ
ทำงานอื่นสะสมเงินไปก่อน ทุกคนเกิดมาไม่มีใครสบายตั้งแต่เกิดแน่ครับๆ ยกเว้นว่าเป็นลูกคุณทักษิณ ควรจะต้องอดทนกับชีวิตและปัญหา(ของคุณคือปัญหาการเบื่องาน) อดเปรี้ยวไว้กินหวานแล้วจะสบายตอนบั้ยปลายของชีวิต
อย่าลืมสะสมความรูการลงทุนให้เพิ่มพูนไปเรื่อยๆด้วยนะครับแล้วเวลาที่คุณรอคอยย่อมมาถึงแน่ๆ อิสระภาพทางการเงิน ไม่ต้องทำงานอีกต่อไป
แต่อย่ารีบและอย่าโลภครับเดี๋ยวพลาดได้
ถ้าเบื่องานเดิมก็สมัครงานใหม่เปลื่ยนงานก็ได้ครับ หรือถ้าเบื่องานประจำและการเป็นลูกจ้างก็ควรหาลู่ทางการลงทุนหรืองานอื่นไว้ด้วยครับ
คนจะรวยได้ต้องมีวิสัยทัศน์ครับ
เป็นลูกจ้างไม่มีทางรวยได้ ขยันแค่ไหนก็เป็นได้แค่ลูกจ้างดีเด่น ยิ่งขยันนายจ้างยิ่งรวย ถึงเงินเดือนเราจะได้เพิ่มก็ตาม แต่นายจ้างได้มากกว่า
คนจะรวยต้องลงทุนทำธุรกิจด้วยตัวเองครับแต่การลงทุนเองให้ประสบความสำเร็จนั้นยังต้องมีองค์ประกอบอีกหลายอย่างครับ เช่น เงินทุน ลู่ทาง พรรคพวก ฐานลูกค้า ทำเล ความน่าเชื่อถือ ความสามารถส่วนตัวในด้านนั้นๆ สติปัญญา จิตวิทยาการดึงลูกค้า (IQ & EQ) ความขยันขันแข็ง และ ดวงกับบุญวาสนาเก่า(ผมเชื่อเรื่องบุญเก่ากรรมเก่า) เป็นต้นครับ เงินทุนของผม ผมลงทุนกับธุรกิจจริง(ทำธุรกิจเอง)และลงทุนทำธุรกิจผ่านหุ้นด้วยครับ
ถ้าสิ่งเหล่านี้ยังไม่พร้อมควรทำงานประจำไปก่อนควบคู่กับการลงทุนในหุ้นด้วยครับ
ทำงานอื่นสะสมเงินไปก่อน ทุกคนเกิดมาไม่มีใครสบายตั้งแต่เกิดแน่ครับๆ ยกเว้นว่าเป็นลูกคุณทักษิณ ควรจะต้องอดทนกับชีวิตและปัญหา(ของคุณคือปัญหาการเบื่องาน) อดเปรี้ยวไว้กินหวานแล้วจะสบายตอนบั้ยปลายของชีวิต
อย่าลืมสะสมความรูการลงทุนให้เพิ่มพูนไปเรื่อยๆด้วยนะครับแล้วเวลาที่คุณรอคอยย่อมมาถึงแน่ๆ อิสระภาพทางการเงิน ไม่ต้องทำงานอีกต่อไป
แต่อย่ารีบและอย่าโลภครับเดี๋ยวพลาดได้
- จุดแข็งทางธุรกิจที่เลียนแบบได้ยาก มักต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการสร้างและเพาะบ่มเสมอ ไม่สามารถเนรมิตได้ด้วยเงิน (สุมาอี้)
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1172
- ผู้ติดตาม: 0
เบื่องานจะลาออกมาลงทุนหุ้นคุณค่าแต่กลัว....
โพสต์ที่ 73
หางานใหม่ครับถ้าไม่ชอบงานเดิม...ลงทุนไปด้วยทำงานประจำไปด้วยก็ไม่เห็นเป็นไร...สิ่งที่งานประจำให้ผมก็คือ
- สังคมแบบอื่นที่ไม่ใช่การลงทุน
- การฝึกที่จะทำงานเป็นกลุ่มทั้ง เจ้านาย, ลูกน้อง, และพื่อนร่วมงาน
- รายได้ที่แน่นอน...ไม่ผันผวน...ยกเว้นตกงาน
- การพัฒนาตัวเองด้านอื่นๆที่ไม่เกี่ยวกับการลงทุน
แน่นอนว่าการทำงานประจำอาจจะไม่มีอิสระนัก...และสิ่งที่ผมพูดข้างบนบางทีก็อาจจะหาได้โดยไม่ต้องทำงานประจำ...แล้วแต่การตัดสินใจครับ
ผมเองจะหยุดทำงานที่ทำอยู่เมื่ออายุครบ 40 ปี...โดยอาจจะหางานประจำที่อิสระมากขึ้นกว่านี้
ขอให้โชคดีครับ
- สังคมแบบอื่นที่ไม่ใช่การลงทุน
- การฝึกที่จะทำงานเป็นกลุ่มทั้ง เจ้านาย, ลูกน้อง, และพื่อนร่วมงาน
- รายได้ที่แน่นอน...ไม่ผันผวน...ยกเว้นตกงาน
- การพัฒนาตัวเองด้านอื่นๆที่ไม่เกี่ยวกับการลงทุน
แน่นอนว่าการทำงานประจำอาจจะไม่มีอิสระนัก...และสิ่งที่ผมพูดข้างบนบางทีก็อาจจะหาได้โดยไม่ต้องทำงานประจำ...แล้วแต่การตัดสินใจครับ
ผมเองจะหยุดทำงานที่ทำอยู่เมื่ออายุครบ 40 ปี...โดยอาจจะหางานประจำที่อิสระมากขึ้นกว่านี้
ขอให้โชคดีครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1401
- ผู้ติดตาม: 0
เบื่องานจะลาออกมาลงทุนหุ้นคุณค่าแต่กลัว....
โพสต์ที่ 74
เป็น vi จริงๆ ก็เหนื่อยเหมือนกันนะครับ (เหนื่อยกับการหาหุ้น - หาข้อมูล)
ผมก็ทำงานไปหาหุ้นไป พยายามแบ่งเวลาให้ได้เหมือนกัน (ทำงานส่วนตัวเลยสบายหน่อย)
ตั้งใจมีเงินสัก 50 ล้านค่อยเลิกทำงานครับ (ความคิดน่ะครับ ย้ำ แค่คิด)
ผมก็ทำงานไปหาหุ้นไป พยายามแบ่งเวลาให้ได้เหมือนกัน (ทำงานส่วนตัวเลยสบายหน่อย)
ตั้งใจมีเงินสัก 50 ล้านค่อยเลิกทำงานครับ (ความคิดน่ะครับ ย้ำ แค่คิด)
-
- Verified User
- โพสต์: 94
- ผู้ติดตาม: 0
เบื่องานจะลาออกมาลงทุนหุ้นคุณค่าแต่กลัว....
โพสต์ที่ 78
ขอบคุณคะ สำหรับคำแนะนำและมุมมองต่างๆจากเพื่อนๆใน web ตอนนี้ก็พยายามปรับความคิดตัวเองตามที่เพื่อนๆแนะนำคะ คิดว่าต้องทำงานต่อไปคะ พร้อมๆกับศึกษาการลงทุนจนสามารถเป็นอิสระทางการเงินได้จริงๆคะ เราเสียใจอยู่นิดนึงที่เรามาลงทุนในหุ้นช้าเกินไป และลงทุนในครั้งแรกไม่ได้ศึกษาอย่างจริงจัง ตอนนี้ก็ยังไม่เก่งคะ ต้องพยายามและสู้ต่อไป ขอบคุณอีกครั้งคะ
-
- Verified User
- โพสต์: 399
- ผู้ติดตาม: 0
เบื่องานจะลาออกมาลงทุนหุ้นคุณค่าแต่กลัว....
โพสต์ที่ 81
คนที่เคยทำงานทุกวัน พอเบื่องาน ก็อยากออก
แต่พอออกมาไม่มีไรทำจะรู้สึกว่าน่าเบื่อกว่า และรู้สึกไร้ค่า(ไม่ไช่ไร้สมรรถนะ)
แต่พอออกมาไม่มีไรทำจะรู้สึกว่าน่าเบื่อกว่า และรู้สึกไร้ค่า(ไม่ไช่ไร้สมรรถนะ)
" เสียงข้างใน" เป็นสิ่งมหัศจรรย์ เราได้ยินมัน แต่มันไม่มีเสียง ,,,,,นิ้วกลม
- BABY TERMITE
- Verified User
- โพสต์: 368
- ผู้ติดตาม: 0
เบื่องานจะลาออกมาลงทุนหุ้นคุณค่าแต่กลัว....
โพสต์ที่ 82
เบื่อๆอยากๆ = ลูกสามคนลูกอิสาน เขียน:เหมือนผมเลย :lol:por_jai เขียน: เบื่อๆอยากๆ...ฮ่า...
แต่ไม่ใช่เรื่องหุ้นนะ
:shock:
ปลวกน้อยคอยวันเติบใหญ่
-
- Verified User
- โพสต์: 40
- ผู้ติดตาม: 0
เบื่องานจะลาออกมาลงทุนหุ้นคุณค่าแต่กลัว....
โพสต์ที่ 83
หลังจากที่ปีนี้เราปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เล่นหุ้นเป็น VI อย่างเดียว ใจแข็งๆเข้าไว้ ขึ้นไม่ขาย ลงไม่ขาย(แต่อยากซื้อ ไม่ทันซะนี่ เพราะงานประจำนี่แหละ แหะๆ)
เงินเพิ่มในพอร์ท ไม่น้อยหน้าตอนเล่น แบบ week trade เลย (ตั้งเองเออเอง)
คือปีก่อน ลองเล่นแบบผสมผสาน ... รู้สึกว่า ผลตอบแทนแบบ VI มันมั่นคง และสบายใจ ร่มๆกว่าเยอะ
แต่เราเข้าใจนะว่า ที่อยากลาออกจากงานคงไม่ใช่เรื่องเงินหรอก ก็คงจะเป็นเรื่องเบื่อๆนี่แหละ คำว่า เบื่องานเนี่ย มันน่าจะหมายรวมถึง คน ด้วยนะ
แต่ถ้าลาออกเล่นหุ้นอย่างเดียว เราจะหนีคนพ้นเหรอ เราว่า มันก็คงเจอคนงี่เง่าอีก แล้วก็เบื่อต่อไป
เราก็เบื่อนะ เรารักงานที่ทำมาก เป็นคนเดียวในรุ่นเลยมั้งที่ตั้งใจว่าอยากทำงานอะไรแล้วได้ทำ เลยทำงานแนวนี้มาตลอด แต่ส่วนใหญ่ลาออกเพราะคน มากกว่า ไปไหนก็เจอคนนิสัยแบบเดิมๆ คือ มีดี กับไม่ดี คงหนีไม่พ้น
และเราก็ลังเลต่อไปอยู่ดี เราว่า บริษัทสวัสดิการหลายๆ อย่างดีนะ ค่ารถ ค่าโทรศัพท์ก็มีให้ โบนัสมีสม่ำเสมอ เงินเดือนขึ้นทุกปี ...ทำให้เราติดใจตรงนี้แหละ
แต่ลาออกมา เราก็ไม่อดหรอกนะ แต่เราว่า การที่เราจะโดดไปเล่นหุ้นอย่างเดียวเนี่ย ไม่รู้เราจะรับความ "เสียว" ได้หรือเปล่านะ ..ต้องใช้เวลาคิดดีๆ ยิ่งอายุมากแล้วเนี่ย กังวลเยอะ
แต่ถ้าใครตัดสินใจลาออก เล่นหุ้นอย่างเดียวก็ขออวยพรนะ เอาใจช่วย คุณอาจจะรวยๆๆๆ ก่อนใครๆ หลายคนที่ไม่กล้าทำก็ได้
ขอให้โชคดี
เงินเพิ่มในพอร์ท ไม่น้อยหน้าตอนเล่น แบบ week trade เลย (ตั้งเองเออเอง)
คือปีก่อน ลองเล่นแบบผสมผสาน ... รู้สึกว่า ผลตอบแทนแบบ VI มันมั่นคง และสบายใจ ร่มๆกว่าเยอะ
แต่เราเข้าใจนะว่า ที่อยากลาออกจากงานคงไม่ใช่เรื่องเงินหรอก ก็คงจะเป็นเรื่องเบื่อๆนี่แหละ คำว่า เบื่องานเนี่ย มันน่าจะหมายรวมถึง คน ด้วยนะ
แต่ถ้าลาออกเล่นหุ้นอย่างเดียว เราจะหนีคนพ้นเหรอ เราว่า มันก็คงเจอคนงี่เง่าอีก แล้วก็เบื่อต่อไป
เราก็เบื่อนะ เรารักงานที่ทำมาก เป็นคนเดียวในรุ่นเลยมั้งที่ตั้งใจว่าอยากทำงานอะไรแล้วได้ทำ เลยทำงานแนวนี้มาตลอด แต่ส่วนใหญ่ลาออกเพราะคน มากกว่า ไปไหนก็เจอคนนิสัยแบบเดิมๆ คือ มีดี กับไม่ดี คงหนีไม่พ้น
และเราก็ลังเลต่อไปอยู่ดี เราว่า บริษัทสวัสดิการหลายๆ อย่างดีนะ ค่ารถ ค่าโทรศัพท์ก็มีให้ โบนัสมีสม่ำเสมอ เงินเดือนขึ้นทุกปี ...ทำให้เราติดใจตรงนี้แหละ
แต่ลาออกมา เราก็ไม่อดหรอกนะ แต่เราว่า การที่เราจะโดดไปเล่นหุ้นอย่างเดียวเนี่ย ไม่รู้เราจะรับความ "เสียว" ได้หรือเปล่านะ ..ต้องใช้เวลาคิดดีๆ ยิ่งอายุมากแล้วเนี่ย กังวลเยอะ
แต่ถ้าใครตัดสินใจลาออก เล่นหุ้นอย่างเดียวก็ขออวยพรนะ เอาใจช่วย คุณอาจจะรวยๆๆๆ ก่อนใครๆ หลายคนที่ไม่กล้าทำก็ได้
ขอให้โชคดี
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4741
- ผู้ติดตาม: 1
เบื่องานจะลาออกมาลงทุนหุ้นคุณค่าแต่กลัว....
โพสต์ที่ 84
ผมเคยตั้งกระทู้การรีไทร์ ครั้งหนึง มีเพื่อนๆให้ความสนใจและให้ความเห็น ข้อแนะนำ มากมาย อาจมีประโยชน์กับ จขกท.
ตามลิ้งนี้ครับ
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopi ... sc&start=0
ส่วนตัวผมเองได้แนวคิด แนวทาง
หลักการ และวิธี ปฏิบัติ
จากตัวอย่างหลายๆท่าน ในเวปนี้
ที่ประสบผลสำเร็จจากการลงทุน
และมีอิสระภาพทางการเงินแล้ว
การจะรีไทร์จากงานประจำ เพราะ
เบื่องานอย่างเดียว มาเป็นเหตุผล
ผมว่าไม่ค่อยถูกต้องนัก
ควรมีเป้าหมาย และ แพลน ที่ชัดเจน
แล้วหาวิธีการปฏิบัติ ให้เป็นไปตามแพลน
เพื่อให้ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ครับ
หากคุณทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้แล้ว
คุณจะไม่กลัวอะไรทั้งนั้นครับ
ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะตามมาเองครับ
โชคดี และ มีสติ ครับ
ตามลิ้งนี้ครับ
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopi ... sc&start=0
ส่วนตัวผมเองได้แนวคิด แนวทาง
หลักการ และวิธี ปฏิบัติ
จากตัวอย่างหลายๆท่าน ในเวปนี้
ที่ประสบผลสำเร็จจากการลงทุน
และมีอิสระภาพทางการเงินแล้ว
การจะรีไทร์จากงานประจำ เพราะ
เบื่องานอย่างเดียว มาเป็นเหตุผล
ผมว่าไม่ค่อยถูกต้องนัก
ควรมีเป้าหมาย และ แพลน ที่ชัดเจน
แล้วหาวิธีการปฏิบัติ ให้เป็นไปตามแพลน
เพื่อให้ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ครับ
หากคุณทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้แล้ว
คุณจะไม่กลัวอะไรทั้งนั้นครับ
ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะตามมาเองครับ
โชคดี และ มีสติ ครับ
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
- คนขายของ
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 792
- ผู้ติดตาม: 0
เบื่องานจะลาออกมาลงทุนหุ้นคุณค่าแต่กลัว....
โพสต์ที่ 85
ขอฝากถึงเจ้าของกระทู้หน่อยครับว่า
อยากให้ลองหาความสุขในปัจจุบันให้เจอก่อน แล้วหลังจากนั้นคุณอยากทำอะไรก็ทำ
การเป็นนักลงทุนเต็มตัว ถ้าคุณมีความสุขกับการอ่านหนังสือการลงทุน ติดตามข่าว ทำวิเคราะห์ ด้วยตัวคุณเอง อ่านกราฟ แวะเวียนเยี่ยมชมบริษัทต่าง ผมว่าคุณควรวางแผนออกมาเป็น FULL TIME Investor
ถ้าหากคุณมีความสุขเฉพาะเวลาที่หุ้นขึ้นอย่างเดียว ไม่ชอบอ่าน หรือ วิเคราะห์เอง ผมว่าอย่าเลยครับ
อยากให้ลองหาความสุขในปัจจุบันให้เจอก่อน แล้วหลังจากนั้นคุณอยากทำอะไรก็ทำ
การเป็นนักลงทุนเต็มตัว ถ้าคุณมีความสุขกับการอ่านหนังสือการลงทุน ติดตามข่าว ทำวิเคราะห์ ด้วยตัวคุณเอง อ่านกราฟ แวะเวียนเยี่ยมชมบริษัทต่าง ผมว่าคุณควรวางแผนออกมาเป็น FULL TIME Investor
ถ้าหากคุณมีความสุขเฉพาะเวลาที่หุ้นขึ้นอย่างเดียว ไม่ชอบอ่าน หรือ วิเคราะห์เอง ผมว่าอย่าเลยครับ
อดทนไว้ กำไรยั่งยืน
-
- Verified User
- โพสต์: 29
- ผู้ติดตาม: 0
เบื่องานจะลาออกมาลงทุนหุ้นคุณค่าแต่กลัว....
โพสต์ที่ 87
ตอบในฐานะคนที่เคยคิดแบบเดียวกันมาก่อน แต่โดนโชคชะตาถีบให้มาลงทุนอย่างเดียวค่ะ
ถ้าเรายังมีคำถามแบบสองจิตสองใจอยู่ แปลว่าความกลัวเรายังมีมากกว่าความกล้า่ คุณเท่านั้นที่รู้คำตอบที่ดีที่สุดสำหรับตัวคุณเอง เพราะเงื่อนไขและวิธีการใช้ชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
ตอนที่เราทำงานอยู่ จำได้ว่าทรมานมาก เจอปัญหาร้อยแปด โดยเฉพาะปัญหากับคน และส่วนใหญ่จะเป็นคนต่างชาติอีกต่างหาก กลายเป็นคนนอนไม่ค่อยหลับ หรือหลับไม่ค่อยตื่น ฮ่าๆ ปี 2551 เราไปขอลาออก นายไม่ให้ออก คุยกันยาวมาก เราก็จำเป็นต้องอยู่เพราะหน้าที่บางอย่างที่เรา(คิดไปเอง)ว่าทิ้งไม่ได้ ทั้งๆ ที่ตอนนั้น เราก็ใช่ว่าจะมีเงินเก็บมากมาย เพราะภาระในบ้านเราแบกรับไว้คนเดียว แถมหม่าม๊าเราก็ยังชอบเอาตังค์เราไปแจกคนอื่น (แต่เราก็ไม่ว่าหรอก สิ่งที่หม่าม๊าทำย่อมดีที่สุดเสมอ) พอมาต้นปี 2552 พระเจ้าจอร์จ ถึงไม่อยากออก ก็ต้องออก เพราะว่าเจอพิษแฮมเบอร์เกอร์ ที่ทำงานไม่มีแม้แต่เงินจะจ่ายค่าชดเชยตามกฏหมาย แต่เรานี่ ทั้งๆ ที่อยากออกเป็นคนแรก แต่กลับไ้ด้ออกเป็นคนสุดท้าย เพราะต้องอยู่เคลียร์ทุกสิ่งทุกอย่างให้เีรียบร้อย ช่วงหลังๆ เงินเดือนก็ไม่ได้แล้ว เพื่อนก็ถามว่าอยู่ทำไม เราก็บอกว่าเมื่อก่อนเค้าก็ให้เรามาเยอะแล้วนี่นา ช่างมันเหอะ ทิ้งไปแล้วใครจะทำ แต่ก็โอเค ไม่ใช่เป็น full time เพราะมันก็ไม่มีกิจกรรมอะไรใหม่ๆ แล้ว เหลือแต่เคลียร์ของเก่า เราก็ใช้เวลาว่างมาศึกษาหุ้นสไตล์นี้แหล่ะ จริงๆ ก็ลงทุนมาตั้งแต่ปี 51 แล้ว แต่ไม่ค่อยมีเวลา
โชคดีที่หุ้นขึ้นพอดีเลย เราก็เลยรอดตัว พอออกมา ไม่ใช่ว่าไม่มีงานใหม่นะ มีคนที่เขาเห็นอะไรก็ไม่รู้ในตัวเรา ให้โอกาสเราไปทำงานในตำแหน่งเดิมเด๊ะเลย แต่ด้วยความที่เราเหนื่อยมาก เห็น job description แล้วรู้เลยว่า วงจรเดิมๆ มันจะกลับมา เลยจำใจปฏิเสธไป แต่ก็ยังมีคนกรุณาติดต่อให้ไปทำงานแบบนี้หลายครั้ง แทบจะทุกสองสามเดือนเลย แต่เราก็ว่ามันก็ยังไม่ใช่อยู่ดี
อยู่ๆ ไปเงินออมที่จัดสรรไว้ใช้ในช่วงตกงานใกล้หมด จะต้องเริ่มอยู่ให้ได้ด้วยเงินหุ้นแล้ว เราก็เริ่มคิดว่ามันจะอยู่หรือได้หรือเปล่า งานที่น่าสนใจก็ยังไม่เห็นมี เกิดตลาดปีอื่นๆ มันไม่ดีจะทำยังไง ก็เครียดนิดหน่อย แต่ธรรมะจัดสรร หม่าม๊าขายที่ได้สิบล้านพอดี หักค่าใช้จ่ายอะไรไปก็ยังพอมีเหลือสบายๆ สำหรับครอบครัวเรา ตอนนี้เลยกลายเป็นแม่ที่ให้ตังค์ลูกใช้แทน (เห็นไม๊คะ สิ่งใดที่แม่ทำ สิ่งนั้นดีที่สุดเสมอ) เราก็เลยไม่ค่อยห่วงกังวลอะไรเท่าไหร่ และก็ไม่ได้ปิดด้วยที่จะต้องลงทุนเป็นอาชีพอย่างเดียว เพียงแ่ต่ว่าถ้าเราจะทำงานอะไรอีกครั้ง เราจะเลือกทำงานที่ทำให้เรามีความสุขเท่านั้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราก็รู้สึกขอบคุณการลงทุนแบบ value และเว็ปนี้มากๆ เพราะว่าทำให้ชีวิตเรามีทางเลือกมากขึ้นนะค่ะ
ที่เล่ามายาวยืดนี้เพราะอยากจะบอกว่า ชีวิตมันมีจังหวะของมันเอง บางทีเราวางแผนอะไรไว้มากมาย มันอาจจะไม่ได้เป็นไปตามแผนที่เราวางไว้ก็ได้ ทำวันนี้ให้ดีที่สุดดีกว่า ทำในสิ่งทีุ่ถูกต้องแล้วเราจะได้ไม่เสียใจ ถ้าถึงเวลา เดี๋ยวมันก็มาเอง แต่ความสุขของเราสำคัญที่สุด ประโยคที่เราชอบมากคือ life is too short to..... (เว้นที่ไว้ให้เติมเองค่ะ) :)
ถ้าเรายังมีคำถามแบบสองจิตสองใจอยู่ แปลว่าความกลัวเรายังมีมากกว่าความกล้า่ คุณเท่านั้นที่รู้คำตอบที่ดีที่สุดสำหรับตัวคุณเอง เพราะเงื่อนไขและวิธีการใช้ชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
ตอนที่เราทำงานอยู่ จำได้ว่าทรมานมาก เจอปัญหาร้อยแปด โดยเฉพาะปัญหากับคน และส่วนใหญ่จะเป็นคนต่างชาติอีกต่างหาก กลายเป็นคนนอนไม่ค่อยหลับ หรือหลับไม่ค่อยตื่น ฮ่าๆ ปี 2551 เราไปขอลาออก นายไม่ให้ออก คุยกันยาวมาก เราก็จำเป็นต้องอยู่เพราะหน้าที่บางอย่างที่เรา(คิดไปเอง)ว่าทิ้งไม่ได้ ทั้งๆ ที่ตอนนั้น เราก็ใช่ว่าจะมีเงินเก็บมากมาย เพราะภาระในบ้านเราแบกรับไว้คนเดียว แถมหม่าม๊าเราก็ยังชอบเอาตังค์เราไปแจกคนอื่น (แต่เราก็ไม่ว่าหรอก สิ่งที่หม่าม๊าทำย่อมดีที่สุดเสมอ) พอมาต้นปี 2552 พระเจ้าจอร์จ ถึงไม่อยากออก ก็ต้องออก เพราะว่าเจอพิษแฮมเบอร์เกอร์ ที่ทำงานไม่มีแม้แต่เงินจะจ่ายค่าชดเชยตามกฏหมาย แต่เรานี่ ทั้งๆ ที่อยากออกเป็นคนแรก แต่กลับไ้ด้ออกเป็นคนสุดท้าย เพราะต้องอยู่เคลียร์ทุกสิ่งทุกอย่างให้เีรียบร้อย ช่วงหลังๆ เงินเดือนก็ไม่ได้แล้ว เพื่อนก็ถามว่าอยู่ทำไม เราก็บอกว่าเมื่อก่อนเค้าก็ให้เรามาเยอะแล้วนี่นา ช่างมันเหอะ ทิ้งไปแล้วใครจะทำ แต่ก็โอเค ไม่ใช่เป็น full time เพราะมันก็ไม่มีกิจกรรมอะไรใหม่ๆ แล้ว เหลือแต่เคลียร์ของเก่า เราก็ใช้เวลาว่างมาศึกษาหุ้นสไตล์นี้แหล่ะ จริงๆ ก็ลงทุนมาตั้งแต่ปี 51 แล้ว แต่ไม่ค่อยมีเวลา
โชคดีที่หุ้นขึ้นพอดีเลย เราก็เลยรอดตัว พอออกมา ไม่ใช่ว่าไม่มีงานใหม่นะ มีคนที่เขาเห็นอะไรก็ไม่รู้ในตัวเรา ให้โอกาสเราไปทำงานในตำแหน่งเดิมเด๊ะเลย แต่ด้วยความที่เราเหนื่อยมาก เห็น job description แล้วรู้เลยว่า วงจรเดิมๆ มันจะกลับมา เลยจำใจปฏิเสธไป แต่ก็ยังมีคนกรุณาติดต่อให้ไปทำงานแบบนี้หลายครั้ง แทบจะทุกสองสามเดือนเลย แต่เราก็ว่ามันก็ยังไม่ใช่อยู่ดี
อยู่ๆ ไปเงินออมที่จัดสรรไว้ใช้ในช่วงตกงานใกล้หมด จะต้องเริ่มอยู่ให้ได้ด้วยเงินหุ้นแล้ว เราก็เริ่มคิดว่ามันจะอยู่หรือได้หรือเปล่า งานที่น่าสนใจก็ยังไม่เห็นมี เกิดตลาดปีอื่นๆ มันไม่ดีจะทำยังไง ก็เครียดนิดหน่อย แต่ธรรมะจัดสรร หม่าม๊าขายที่ได้สิบล้านพอดี หักค่าใช้จ่ายอะไรไปก็ยังพอมีเหลือสบายๆ สำหรับครอบครัวเรา ตอนนี้เลยกลายเป็นแม่ที่ให้ตังค์ลูกใช้แทน (เห็นไม๊คะ สิ่งใดที่แม่ทำ สิ่งนั้นดีที่สุดเสมอ) เราก็เลยไม่ค่อยห่วงกังวลอะไรเท่าไหร่ และก็ไม่ได้ปิดด้วยที่จะต้องลงทุนเป็นอาชีพอย่างเดียว เพียงแ่ต่ว่าถ้าเราจะทำงานอะไรอีกครั้ง เราจะเลือกทำงานที่ทำให้เรามีความสุขเท่านั้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราก็รู้สึกขอบคุณการลงทุนแบบ value และเว็ปนี้มากๆ เพราะว่าทำให้ชีวิตเรามีทางเลือกมากขึ้นนะค่ะ
ที่เล่ามายาวยืดนี้เพราะอยากจะบอกว่า ชีวิตมันมีจังหวะของมันเอง บางทีเราวางแผนอะไรไว้มากมาย มันอาจจะไม่ได้เป็นไปตามแผนที่เราวางไว้ก็ได้ ทำวันนี้ให้ดีที่สุดดีกว่า ทำในสิ่งทีุ่ถูกต้องแล้วเราจะได้ไม่เสียใจ ถ้าถึงเวลา เดี๋ยวมันก็มาเอง แต่ความสุขของเราสำคัญที่สุด ประโยคที่เราชอบมากคือ life is too short to..... (เว้นที่ไว้ให้เติมเองค่ะ) :)
Life can only be understood backwards, but it must be lived forwards. -- Soren Kierkegaard
-
- Verified User
- โพสต์: 172
- ผู้ติดตาม: 1
เบื่องานจะลาออกมาลงทุนหุ้นคุณค่าแต่กลัว....
โพสต์ที่ 88
[quote="croyoty"][quote="babypex"]Bye Signal มาแล้ว
- yoyoeffect
- Verified User
- โพสต์: 364
- ผู้ติดตาม: 0
เบื่องานจะลาออกมาลงทุนหุ้นคุณค่าแต่กลัว....
โพสต์ที่ 89
ปีก่อนๆหน้านี้ ไม่เห็นมีใครออกมาพูดแบบนี้กันเลยคับ
ขาขึ้นตลาดหุ้น ไม่ได้มีตลอดและไม่ได้เป็นแบบนี้ตลอดนะครับ ของยังนี้ มีขึ้นมีลง กระจายความเสี่ยงกันบ้างก็ดีนะครับ ผมผ่านมา 3 วิกฤต จากปี 2545 และกำไรปีนี้พอสมควร ยังไม่กล้าออกจากงานเลยคับ
ขาขึ้นตลาดหุ้น ไม่ได้มีตลอดและไม่ได้เป็นแบบนี้ตลอดนะครับ ของยังนี้ มีขึ้นมีลง กระจายความเสี่ยงกันบ้างก็ดีนะครับ ผมผ่านมา 3 วิกฤต จากปี 2545 และกำไรปีนี้พอสมควร ยังไม่กล้าออกจากงานเลยคับ
-
- Verified User
- โพสต์: 805
- ผู้ติดตาม: 0
เบื่องานจะลาออกมาลงทุนหุ้นคุณค่าแต่กลัว....
โพสต์ที่ 90
ส่วนตัวผมก็มีประสบการณ์คล้ายกับเจ้าของกระทู้น่ะ แต่ด้วยที่ว่าไม่มีครอบครัว และไม่มีภาระทางบ้านใดๆเลย แทบจะเรียกได้ว่าไม่มีภาระค่าใช้จ่ายด้วย (เพราะตอนนั้นแม้จะเข้าสู่วัยรุ่นตอนปลายแล้ว แต่ก็ยังอาศัยหน้าหนาทนอาศัยอยู่บ้านๆญาติๆไปไม่เสียค่าใช้จ่าย)
ตอนนั้นเป็นต้นปี 2008 เริ่มมีข่าวแบงค์อเมริการล้มมาสักระยะ แต่ตอนนั้นกระแสยังไม่ได้รุนแรงนัก แค่แผลถลอดไกลหัวใจ หุ้นไทยตอนนั้นก็ขึ้นๆลงๆ ดัชนีน่าจะใกล้เคียงกับช่วงนี้ ตอนนั้นเนื่องจากข้อจำกัดในวิชาชีพไม่สามารถลงทุนในหุ้นได้สะดวกนัก ก็เลยลงทุนผ่านกองทุนรวมดัชนีเป็นหลัก ด้วยเงินมรดกที่พอมีอยู่บ้าง พออยู่ไปได้้ด้วยค่าใช้จ่ายอันน้อยนิดของตัวเองไปสักระยะ ก็ลาออกจากงานมา(แต่ก็แอบออกแบบไม่ให้ที่บ้านรู้ ฮา) โดยที่ไม่ได้มีแผนการอะไรชัดเจนหรอกว่าจะทำอะไร ... จำได้ว่าประมาณเดือน พ.ค. มั้งที่มีการเริ่มปิดทำเนียบ หุ้นก็ตกมาก ตอนนั้นกำลังอ่านหนังสือเตรียมสอบอยู่ ก็ไม่ได้สนใจรายตัวซื้อกองทุนดัชนีเพิ่มเรื่อยๆ ลงอีกก็ซื้อเพิ่มอีก ... สอบก็ไม่ผ่าน ...ยังโชคดีได้บอลยูโรย้อมใจไปพักหนึ่ง วันๆเอาแต่ดูบอลไม่ได้สนใจโลก .. บอลจบก็กลับไปเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติมต๊อกแต๊กไปวันๆ ... ด้วยความใฝ่ฝันว่าอยากลองไปหาประสบการณ์ต่างประเทศ
พอมาช่วงไตรมาสสามนี่สิ ซับไพร์ม บวกกับ สถานการณ์การเมือง ... ทำเอามูลค่าสินทรัพย์ที่มีเหลือลดลงไปเยอะมาก ยังโชคดีที่ตอนนั้นซื้อกองทุนหุ้นเพียงบางส่วน ... ตอนนั้นเริ่มมาคิดแล้วว่าเราจะหารายได้จากสินทรัพย์ที่มีอย่างไรให้พอค่าใช้จ่าย ก็คิดว่าต้องมาลงทุนในหุ้นอย่างจริงจังแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก ก็ไปซื้อหุ้นเก็งกำไรเรื่อยเปื่อยไปเรื่อย โชคดีหุ้นขึ้นทำให้ได้กลับคืนมาบ้าง แต่ก็น้อยกว่าที่ควรจะเป็นไปเยอะเพราะซื้อขายระยะสั้นๆ แต่เสียเวลาไปกับมันมาก เพราะนั่งเฝ้าหน้าจอแทบจะทั้งวัน แต่ก็แทบจะไม่ได้ประโยชน์สาระอะไรเท่าไหร่ เพราะส่วนใหญ่เฝ้าแต่ดูราคา อ่านข่าว ไม่ได้สนใจพื้นฐานรายตัวมาก ... ส่วนใหญ่จะซื้อขายตามข่าวระยะสั้น ปิดทำเีนียบ ปิดสนามบิน หุ้นตกแทนที่จะซื้อก็ขาย กลัวผลกระทบตามข่าวที่ลง ... ช่วงนี้แม้ผลตอบแทนจะยังเป็นบวก แต่นั่นก็เป็นผลพลอยได้จากช่วงตลาดขาขึ้น Return Rate / Hour ของช่วงนี้นับได้ว่าต่ำมาก
แต่สิ่งที่ลำบากก็คือไม่ค่อยอยากจะไปเจอหน้าญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงเก่าๆเท่าไหร่ เพราะไม่อยากตอบคำถามเรื่องการเรื่องงาน ถึงช่วงที่ตลาดหุ้นพุ่งไปบอกว่าเป็นนักลงทุนอาชีพ เขาก็จะมองว่าไอ้นี่ยังหนุ่มยังแน่นไม่ทำการทำงานจริงจังแล้ว จะไปบอกเขาอย่างนี้ยิ่งไม่กล้า (จริงๆตอนนั้นจากพฤติกรรมที่ลงทุนก็ไม่คู่ควรกับคำว่านักลงทุนมืออาชีพ)
... พอมาต้นปี 2009 ที่หุ้นเริ่มฟื้นอย่างจริงจังก็ต้องมาเตรียมตัวสอบซ่อมอีกรอบ เลยไม่ได้ติดตามหุ้นรายตัวแบบจริงจัง ก็อาศัยซื้อเงินปันผลเลี้ยงชีพไป เล็กๆน้อยๆ ... แล้วก็อยากจะไปหางานอิสระทำ เลยไปลองอบรม AIA ซึ่งเขาบอกว่าจะสร้างสายงาน ที่ปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคล ... ไปอบรมได้สักพักรู้สึกว่าตัวบริษัท และ ตลาดในเมืองไทยเองยังเน้นไปที่การขายมากกว่าการเน้นเป็นที่ปรึกษาอย่างจริงจัง พอกลางๆปีที่ทำงานเก่ามีงานใหญ่เรียกกลับให้เข้าไปช่วย ... ช่วงนี้ก็แทบจะไม่ได้ติดตามตลาดเลย แทบจะไม่ได้ใช้เวลาไปกับการหาหุ้น หรือ ซื้อขายหุ้นเลย ... แต่พอมาเปิดดูผลตอบแทน เฮ้ย ไอ้พวกหุ้นที่เราซื้อไว้ตั้งแต่ต้นปี ที่ซื้อตามข่าวบ้าง ซื้อแบบเหาฉลามบ้างเนี้ย พอไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับมันมาก .. มันให้ผลตอบแทนดีกว่าแบบที่คอยติดตามรายวันเยอะเลย ... จากข้อจำกัดในวิชาชีพที่ไม่สามารถซื้อขายหุ้นได้สะดวกมันทำให้เราต้องถือหุ้นในระยะยาว และ ความยุ่งของงานมันก็ทำให้ไม่มีเวลาติดตามมากนั้น แต่อาจจโชคดีด้วยที่หุ้นตอนนั้นที่ถือติดพอร์ทมาเป็นหุ้นบริษัทที่มีพื้นฐานธุรกิจที่ดี .... Return Rate / Hour ที่ใช้นับว่าช่วงนี้สูงที่สุด
ปี 2010 ทำงานจนจบภารกิจตอนต้นปี ก็พึ่งได้มีโอกาสเข้ามาอ่านในไทยวิแบบจริงๆจังๆ ได้อ่านแนวทางของพี่ๆไอดอลในห้องกระทู้ทรงคุณค่า แล้วก็มาคิดว่า ไอ้ที่เราคิดว่าตัวเองลงทุนเป็นอาชีพ จริงๆแล้วพฤติกรรมที่ผ่านมามันยังห่างไกลจากสิ่งที่นักลงทุนมืออาชีพทำเยอะมาก (แม้จะเทียบกับหลายท่านที่ลงทุนเป็นอาชีพเสริม อย่าง หมอฝน ก็ต้องยังห่างไกลเหลือเกิน) ยิ่งพอไปดูวิดีโอ money talk ที่สัมภาษณ์พี่ Sai ก็รู้เลยว่า นักลงทุนมืออาชีพมันต้องทุ่มเทอย่างนี้ มีเป้าหมายในการทำงานแต่ละวันที่ชัดเจน และ ก่อนจะตัดสินใจลงทุนอะไรมันแนวทางปฏิบัติที่แน่ชัดมั่นคงสม่ำเสมอ (แม้ว่าของแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้) ... ยิ่งมาอ่าน บทความ ดร. นิเวศน์ ล่าสุดเรื่องวิถีชีวิตของ VI นี่ก็เริ่มคิดแล้ว เออ อาชีพนักลงทุนนี่จริงๆแล้วมันก็มีภาระ ความรับผิดชอบ ที่หนักไม่แพ้กับอาชีพเดิมที่เคยทำอยู่เลย ... แถมยังอาจจะเครียดกว่าเนื่องจากมีความเสี่ยงด้านรายได้ที่สูงกว่าด้วยซ้ำ ... อยากจะบอกเลยว่า สิ่งที่พี่ๆหลายคนปฏิบัติอยู่ในแต่ละวันนั้น แทบจะหนักและเหนื่อยกว่า สิ่งที่ผู้จัดการการลงทุนมืออาชีพซะอีก ... เพราะ้ถ้าเป็น Fund Manager เขามีผู้ช่วยหลายคน มีทีมนักวิเคราะห์ของเขา มีทีมนักวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ให้ปรึกษา แถมยังสามารถโทรสายตรงถึงผู้บริหารบริษัท นัดกินข้าว ตีกอล์ฟ ได้อย่างมีแต้มต่อ ... แต่นักลงทุนรายย่อยมืออาชีพนั้นเรียกได้ว่าแทบจะเป็น Nobody ... เป็นอาชีพที่ไม่ง่ายเลย... แต่ตอนนี้ก็คงต้องลองดูสักตั้ง หวังว่าจะประสบความสำเร็จกับเขาบ้าง
ตอนนั้นเป็นต้นปี 2008 เริ่มมีข่าวแบงค์อเมริการล้มมาสักระยะ แต่ตอนนั้นกระแสยังไม่ได้รุนแรงนัก แค่แผลถลอดไกลหัวใจ หุ้นไทยตอนนั้นก็ขึ้นๆลงๆ ดัชนีน่าจะใกล้เคียงกับช่วงนี้ ตอนนั้นเนื่องจากข้อจำกัดในวิชาชีพไม่สามารถลงทุนในหุ้นได้สะดวกนัก ก็เลยลงทุนผ่านกองทุนรวมดัชนีเป็นหลัก ด้วยเงินมรดกที่พอมีอยู่บ้าง พออยู่ไปได้้ด้วยค่าใช้จ่ายอันน้อยนิดของตัวเองไปสักระยะ ก็ลาออกจากงานมา(แต่ก็แอบออกแบบไม่ให้ที่บ้านรู้ ฮา) โดยที่ไม่ได้มีแผนการอะไรชัดเจนหรอกว่าจะทำอะไร ... จำได้ว่าประมาณเดือน พ.ค. มั้งที่มีการเริ่มปิดทำเนียบ หุ้นก็ตกมาก ตอนนั้นกำลังอ่านหนังสือเตรียมสอบอยู่ ก็ไม่ได้สนใจรายตัวซื้อกองทุนดัชนีเพิ่มเรื่อยๆ ลงอีกก็ซื้อเพิ่มอีก ... สอบก็ไม่ผ่าน ...ยังโชคดีได้บอลยูโรย้อมใจไปพักหนึ่ง วันๆเอาแต่ดูบอลไม่ได้สนใจโลก .. บอลจบก็กลับไปเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติมต๊อกแต๊กไปวันๆ ... ด้วยความใฝ่ฝันว่าอยากลองไปหาประสบการณ์ต่างประเทศ
พอมาช่วงไตรมาสสามนี่สิ ซับไพร์ม บวกกับ สถานการณ์การเมือง ... ทำเอามูลค่าสินทรัพย์ที่มีเหลือลดลงไปเยอะมาก ยังโชคดีที่ตอนนั้นซื้อกองทุนหุ้นเพียงบางส่วน ... ตอนนั้นเริ่มมาคิดแล้วว่าเราจะหารายได้จากสินทรัพย์ที่มีอย่างไรให้พอค่าใช้จ่าย ก็คิดว่าต้องมาลงทุนในหุ้นอย่างจริงจังแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก ก็ไปซื้อหุ้นเก็งกำไรเรื่อยเปื่อยไปเรื่อย โชคดีหุ้นขึ้นทำให้ได้กลับคืนมาบ้าง แต่ก็น้อยกว่าที่ควรจะเป็นไปเยอะเพราะซื้อขายระยะสั้นๆ แต่เสียเวลาไปกับมันมาก เพราะนั่งเฝ้าหน้าจอแทบจะทั้งวัน แต่ก็แทบจะไม่ได้ประโยชน์สาระอะไรเท่าไหร่ เพราะส่วนใหญ่เฝ้าแต่ดูราคา อ่านข่าว ไม่ได้สนใจพื้นฐานรายตัวมาก ... ส่วนใหญ่จะซื้อขายตามข่าวระยะสั้น ปิดทำเีนียบ ปิดสนามบิน หุ้นตกแทนที่จะซื้อก็ขาย กลัวผลกระทบตามข่าวที่ลง ... ช่วงนี้แม้ผลตอบแทนจะยังเป็นบวก แต่นั่นก็เป็นผลพลอยได้จากช่วงตลาดขาขึ้น Return Rate / Hour ของช่วงนี้นับได้ว่าต่ำมาก
แต่สิ่งที่ลำบากก็คือไม่ค่อยอยากจะไปเจอหน้าญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงเก่าๆเท่าไหร่ เพราะไม่อยากตอบคำถามเรื่องการเรื่องงาน ถึงช่วงที่ตลาดหุ้นพุ่งไปบอกว่าเป็นนักลงทุนอาชีพ เขาก็จะมองว่าไอ้นี่ยังหนุ่มยังแน่นไม่ทำการทำงานจริงจังแล้ว จะไปบอกเขาอย่างนี้ยิ่งไม่กล้า (จริงๆตอนนั้นจากพฤติกรรมที่ลงทุนก็ไม่คู่ควรกับคำว่านักลงทุนมืออาชีพ)
... พอมาต้นปี 2009 ที่หุ้นเริ่มฟื้นอย่างจริงจังก็ต้องมาเตรียมตัวสอบซ่อมอีกรอบ เลยไม่ได้ติดตามหุ้นรายตัวแบบจริงจัง ก็อาศัยซื้อเงินปันผลเลี้ยงชีพไป เล็กๆน้อยๆ ... แล้วก็อยากจะไปหางานอิสระทำ เลยไปลองอบรม AIA ซึ่งเขาบอกว่าจะสร้างสายงาน ที่ปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคล ... ไปอบรมได้สักพักรู้สึกว่าตัวบริษัท และ ตลาดในเมืองไทยเองยังเน้นไปที่การขายมากกว่าการเน้นเป็นที่ปรึกษาอย่างจริงจัง พอกลางๆปีที่ทำงานเก่ามีงานใหญ่เรียกกลับให้เข้าไปช่วย ... ช่วงนี้ก็แทบจะไม่ได้ติดตามตลาดเลย แทบจะไม่ได้ใช้เวลาไปกับการหาหุ้น หรือ ซื้อขายหุ้นเลย ... แต่พอมาเปิดดูผลตอบแทน เฮ้ย ไอ้พวกหุ้นที่เราซื้อไว้ตั้งแต่ต้นปี ที่ซื้อตามข่าวบ้าง ซื้อแบบเหาฉลามบ้างเนี้ย พอไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับมันมาก .. มันให้ผลตอบแทนดีกว่าแบบที่คอยติดตามรายวันเยอะเลย ... จากข้อจำกัดในวิชาชีพที่ไม่สามารถซื้อขายหุ้นได้สะดวกมันทำให้เราต้องถือหุ้นในระยะยาว และ ความยุ่งของงานมันก็ทำให้ไม่มีเวลาติดตามมากนั้น แต่อาจจโชคดีด้วยที่หุ้นตอนนั้นที่ถือติดพอร์ทมาเป็นหุ้นบริษัทที่มีพื้นฐานธุรกิจที่ดี .... Return Rate / Hour ที่ใช้นับว่าช่วงนี้สูงที่สุด
ปี 2010 ทำงานจนจบภารกิจตอนต้นปี ก็พึ่งได้มีโอกาสเข้ามาอ่านในไทยวิแบบจริงๆจังๆ ได้อ่านแนวทางของพี่ๆไอดอลในห้องกระทู้ทรงคุณค่า แล้วก็มาคิดว่า ไอ้ที่เราคิดว่าตัวเองลงทุนเป็นอาชีพ จริงๆแล้วพฤติกรรมที่ผ่านมามันยังห่างไกลจากสิ่งที่นักลงทุนมืออาชีพทำเยอะมาก (แม้จะเทียบกับหลายท่านที่ลงทุนเป็นอาชีพเสริม อย่าง หมอฝน ก็ต้องยังห่างไกลเหลือเกิน) ยิ่งพอไปดูวิดีโอ money talk ที่สัมภาษณ์พี่ Sai ก็รู้เลยว่า นักลงทุนมืออาชีพมันต้องทุ่มเทอย่างนี้ มีเป้าหมายในการทำงานแต่ละวันที่ชัดเจน และ ก่อนจะตัดสินใจลงทุนอะไรมันแนวทางปฏิบัติที่แน่ชัดมั่นคงสม่ำเสมอ (แม้ว่าของแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้) ... ยิ่งมาอ่าน บทความ ดร. นิเวศน์ ล่าสุดเรื่องวิถีชีวิตของ VI นี่ก็เริ่มคิดแล้ว เออ อาชีพนักลงทุนนี่จริงๆแล้วมันก็มีภาระ ความรับผิดชอบ ที่หนักไม่แพ้กับอาชีพเดิมที่เคยทำอยู่เลย ... แถมยังอาจจะเครียดกว่าเนื่องจากมีความเสี่ยงด้านรายได้ที่สูงกว่าด้วยซ้ำ ... อยากจะบอกเลยว่า สิ่งที่พี่ๆหลายคนปฏิบัติอยู่ในแต่ละวันนั้น แทบจะหนักและเหนื่อยกว่า สิ่งที่ผู้จัดการการลงทุนมืออาชีพซะอีก ... เพราะ้ถ้าเป็น Fund Manager เขามีผู้ช่วยหลายคน มีทีมนักวิเคราะห์ของเขา มีทีมนักวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ให้ปรึกษา แถมยังสามารถโทรสายตรงถึงผู้บริหารบริษัท นัดกินข้าว ตีกอล์ฟ ได้อย่างมีแต้มต่อ ... แต่นักลงทุนรายย่อยมืออาชีพนั้นเรียกได้ว่าแทบจะเป็น Nobody ... เป็นอาชีพที่ไม่ง่ายเลย... แต่ตอนนี้ก็คงต้องลองดูสักตั้ง หวังว่าจะประสบความสำเร็จกับเขาบ้าง
ถึงตลาดจะฟูมฟายมากแค่ไหน ก็ยินดียืมไหล่ให้เธอซบ ยืมอกให้เธอซับน้ำตา