** ทองคำช่วงนี้น่าลงทุนหรือไม่น่ะครับ **
-
- Verified User
- โพสต์: 145
- ผู้ติดตาม: 0
** ทองคำช่วงนี้น่าลงทุนหรือไม่น่ะครับ **
โพสต์ที่ 7
ทองคำตอนนี้ไม่น่าลงทุน
ถึงแม้ 2 เดือนนี้แกว่งตัวแคบๆ
แต่ดูแนวโน้วจากตลาดโลก
มันกำลังสร้างกระไดขาลงอยู่
รวมทั้งค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นด้วยช่วงนี้เลยไม่เหมาะ
ผมว่าน่าจะรออีกซัก 6 เดือนค่อยว่ากันใหม่
ถ้าจะซื้อแนะนำให้ซื้อเป็นทองคำแท่ง
ถึงแม้ 2 เดือนนี้แกว่งตัวแคบๆ
แต่ดูแนวโน้วจากตลาดโลก
มันกำลังสร้างกระไดขาลงอยู่
รวมทั้งค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นด้วยช่วงนี้เลยไม่เหมาะ
ผมว่าน่าจะรออีกซัก 6 เดือนค่อยว่ากันใหม่
ถ้าจะซื้อแนะนำให้ซื้อเป็นทองคำแท่ง
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 460
- ผู้ติดตาม: 0
** ทองคำช่วงนี้น่าลงทุนหรือไม่น่ะครับ **
โพสต์ที่ 11
แปลกครับ...
นึกว่าในเวปนี้ที่เน้นการลงทุนอย่างเน้นคุณค่าจะไม่สนใจการเก็งกำไรค่าทอง
ถ้าจะซื้อมีเหตุผลในการซื้อพอรึยังล่ะครับ
รู้มั้ยว่าค่าจริงๆของมันอยู่ที่เท่าไหร่ ไม่งั้นเกิดซื้อแล้วมันลงไปเรื่อยๆจะทำไงครับ
ถือต่อ ขาย หรือ ซื้อเพิ่มครับ
งงครับ
นึกว่าในเวปนี้ที่เน้นการลงทุนอย่างเน้นคุณค่าจะไม่สนใจการเก็งกำไรค่าทอง
ถ้าจะซื้อมีเหตุผลในการซื้อพอรึยังล่ะครับ
รู้มั้ยว่าค่าจริงๆของมันอยู่ที่เท่าไหร่ ไม่งั้นเกิดซื้อแล้วมันลงไปเรื่อยๆจะทำไงครับ
ถือต่อ ขาย หรือ ซื้อเพิ่มครับ
งงครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1477
- ผู้ติดตาม: 0
** ทองคำช่วงนี้น่าลงทุนหรือไม่น่ะครับ **
โพสต์ที่ 12
คุณสุวรรณ วลัยเสถียร ก็เคยเล่าว่า 20 กว่าปี SET ขึ้นมา 7 เท่า ใน ขณะที่ ทองคำขึ้นมา 20 เท่า
น่าจะมีกองทุนทองคำในเมืองไทยนะ จะได้ไม่ต้องเก็บเอง กัวอ่ะ
น่าจะมีกองทุนทองคำในเมืองไทยนะ จะได้ไม่ต้องเก็บเอง กัวอ่ะ
I do not sleep. I dream.
- วัวแดง
- Verified User
- โพสต์: 1429
- ผู้ติดตาม: 0
** ทองคำช่วงนี้น่าลงทุนหรือไม่น่ะครับ **
โพสต์ที่ 16
ถ้าถามผู้หญิง ต้องเพชรครับ:mrgreen:แล้วระหว่างทองคำ กับ เพชร ล่ะ เลือกอะไรดีครับ
ถ้าผมคิดเหมือนคนทั่วๆไป ผลตอบแทนผมก็เหมือนคนทั่วๆไป
ใจผมคงละลาย ถ้าผมคิดตามคนอื่น
ผู้ชนะไม่แน่ว่าจะต้องเป็นคนที่วิ่งเร็วที่สุด...แต่เป็นผู้ที่อดทนที่สุดต่างหาก
ใจผมคงละลาย ถ้าผมคิดตามคนอื่น
ผู้ชนะไม่แน่ว่าจะต้องเป็นคนที่วิ่งเร็วที่สุด...แต่เป็นผู้ที่อดทนที่สุดต่างหาก
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 1
** ทองคำช่วงนี้น่าลงทุนหรือไม่น่ะครับ **
โพสต์ที่ 17
เลือกทองharry เขียน:แล้วระหว่างทองคำ กับ เพชร ล่ะ เลือกอะไรดีครับ
ไม่ต้องคิดอะไรมาก ซื้อมาแล้วขายที่ไหนก็ได้
เวลาขายที่ไหนก็ได้ มีราคากลาง
ถ้าซื้อเพชร
ก็ต้องให้ทางร้านเขาเขียนรับคืน จ่ายเป็นเงินสดลด10%
เปลี่ยนรุ่น หัก5%
ขายร้านที่ไม่ได้ซื้อมา คือร้านอื่น ราคา จะเหลือเท่าไหร่
เพราะไม่มีราคากลาง
ซื้อทองไม่ต้องมีความรู้มากนัก
แค่ทองรูปพรรณ ทองคำแท่ง
ทองรูปพรรณ ส่วนใหญ่คนชอบซื้อที่เยาวราช
เพราะเลือกราคา5-10-20บาท ต่อเส้นได้เลย
ผมกลับชอบซื้อทอง สุโขทัย
จำกัดน้ำหนักตามเราต้องการไม่ได้
ต้องตามลาย คืออย่างเราซื้อสร้อยลายดอกหมาก
ช่างเขาทำจนครบลาย เส้นหนึ่งน้ำหนัก11บาทกับอีกนิด
แบบนี้ซื้อกันตามน้ำหนัก
ส่วนเพชร
คุณต้องดูน้ำดูสีเป็น ดูเหลี่ยมเป็น
เพชรดีเขาเรียกเพชรรัสเชี่ยน เบลเยี่ยม
เพราะการเจียระนัยให้เหลี่ยมต่างกัน
ส่วนมากเขาจะนำทองคำขาวมายกให้เพชรสวย
อ้อ ลืมไปเรื่องพวกนี้คุณมนเก่งกว่าผม
รอคุณมนมาอธิบายต่อแล้วกัน
- คัดท้าย
- Verified User
- โพสต์: 2917
- ผู้ติดตาม: 0
** ทองคำช่วงนี้น่าลงทุนหรือไม่น่ะครับ **
โพสต์ที่ 19
ทองดีกว่าครับ ด้วยเหตุผล 2 ข้อ คือharry เขียน:แล้วระหว่างทองคำ กับ เพชร ล่ะ เลือกอะไรดีครับ
1. ทองเป็นธาตุ แต่ เพชรเป็นคาร์บอน
ทองเป็นธาตุ ดังนั้นมันสร้างไม่ได้ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในอนาคตอันใกล้ (ยกเว้นไปเจอขุมทองบนดาวอังคาร ... :lol: ) ฝรั่งฝันเรื่องเล่นแร่แปรธาตุ มานานแล้ว แต่ยังไม่มีทีท่าว่าจะทำได้
ส่วนเพชร เป็นคาร์บอน ปัจจุบันสังเคราะห์ได้แล้ว แม้ว่าจะคุณภาพไม่ดีก็ตาม แต่ผมเชื่อว่าไม่นานหรอกครับ (จริงๆผมเชื่อลึกๆว่าทำได้ดีแล้ว แต่ว่าไม่ทำเองเพราะคงมีคนรวยๆตุนเพชรไว้เยอะ เลยปิดข่าว) มีบางคนแย้งว่าไม่มีทาง แต่ผมว่าถ้า GMO และ นาโนเทค ทำได้ละก็ ไอ้สังเคราะห์เพชรคุณภาพสูงให้สวยๆเนี่ยไม่นานหรอก ..
2. ถ้าคุณเอาทั้งสองอย่างใส่ตู้เซฟไว้แล้วไฟใหม้ ...
ทองจะยังอยู่ หลอมละลายแล้วติดตู้อยู่ รอให้มีคนไปแซะออกมา ดังคำว่าทองแท้มิกลัวไฟ .. แต่ถ้าเพชรโดนความร้อนสูงถึงระดับนึงละก็ ... ผมว่าหน้าตามันคงไม่เหมือนเดิมนะ ..
The crowd, the world, and sometimes even the grave, step aside for the man who knows where he's going, but pushes the aimless drifter aside. -- Ancient Roman Saying
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 1
** ทองคำช่วงนี้น่าลงทุนหรือไม่น่ะครับ **
โพสต์ที่ 20
เวลาเกิดเพลิงไหม้ จะเหลือทองเป็นก้อนคัดท้าย เขียน: แต่ถ้าเพชรโดนความร้อนสูงถึงระดับนึงละก็ ... ผมว่าหน้าตามันคงไม่เหมือนเดิมนะ ..
แต่เพชร โดนความร้อนระดับหนึ่ง
ก็จะระเบิดหรือแตกตัวเป็นผง
ลองถามนักดับเพลิงหรือ
นักผจญเพลิงจะไม่มีใครเคยเก็บเพชรได้ในกองขี้เถ้าที่ไฟไหม้แล้ว
แต่ในสังคมไฮโซเขาก็นับเพชร
แต่อย่างพวกเรารู้คุณค่าของการลงทุนควรเลือกทองในความคิดผมนะ
ซื้อง่าย---และ---ขายคล่อง
-
- Verified User
- โพสต์: 2326
- ผู้ติดตาม: 0
** ทองคำช่วงนี้น่าลงทุนหรือไม่น่ะครับ **
โพสต์ที่ 21
อืม .... เลยทำให้คิดได้ว่า
มนุษย์เราใช้ทองเป็นสิ่งค้ำประกันเงินตราได้ เพราะมันเป็นธาตุที่ไม่สามารถเปลี่ยนรูปไปเป็นสิ่งอื่นได้
ต่างจากเพชรเป็นคาร์บอน เป็นองค์ประกอบของสารหลายๆอย่าง เลยไม่เหมาะกับการมาค้ำประกันเงินตรา
มนุษย์เราใช้ทองเป็นสิ่งค้ำประกันเงินตราได้ เพราะมันเป็นธาตุที่ไม่สามารถเปลี่ยนรูปไปเป็นสิ่งอื่นได้
ต่างจากเพชรเป็นคาร์บอน เป็นองค์ประกอบของสารหลายๆอย่าง เลยไม่เหมาะกับการมาค้ำประกันเงินตรา
งด เลิก เสพ สุรา บุหรี่ วันนี้ เพื่อชีวิตที่ดีของท่าน
- tummeng
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3665
- ผู้ติดตาม: 0
** ทองคำช่วงนี้น่าลงทุนหรือไม่น่ะครับ **
โพสต์ที่ 22
ไปเจอบทความเกี่ยวกับทอง เลยเอามาลงเพิ่มเติมน่ะครับ
----------------------------------
ยุคทอง...ของทอง'
สรวิศ อิ่มบำรุง
ทองคำให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปี 5-7%
ถ้าให้คุณหลับตาแล้วลองนึกถึงช่องทางลงทุนต่าง ๆ ที่คุณรู้จัก เชื่อว่าหลายคนคงมีคำตอบของการลงทุนในตลาดหุ้นกองทุนรวม หรือเงินฝากธนาคารเป็นลำดับต้น ๆ แต่น้อยคนนักที่จะนึกถึงทองคำเป็นทางเลือกแรก ๆ
ทั้งที่ 'ทองคำ' ก็นับเป็นช่องทางลงทุน ที่คนไทยส่วนใหญ่มีความคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว เพียงแต่ยังเป็น 'การบริโภค' เพื่อสวมใส่ มากกว่าที่จะเป็นการมองในมิติของ 'การลงทุน' เท่านั้นเอง
คุณทราบหรือไม่ว่า ขณะที่ผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นในปีก่อนลดลงกว่า 13% ดอกเบี้ยเงินฝากก็จวนจะติดลบ แต่ผลตอบแทนจากการลงทุนในทองคำย้อนหลัง 5 ปี ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5-7% ต่อปี ซึ่งเป็นระดับของผลตอบแทนที่ไม่ธรรมดาและไม่น่ามองข้าม
ปลายปี 2547 ราคาทองคำโลกได้ทุบสถิติสูงสุดใหม่ในรอบเกือบ 17 ปี ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยราคาเฉลี่ยราว 455 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือแพงขึ้น 9% จากช่วงต้นปี และที่น่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ ราคาทองคำแอบขยับตัวสูงขึ้นเรื่อย ๆ เกือบ 80% นับตั้งแต่ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ได้นั่งเก้าอี้ทำเนียบขาวสมัยแรกในปี 2544
บรรดานักวิเคราะห์ของโลกคาดกันว่าจะได้เห็นราคาทองคำแพงขึ้นอีกในปี 2548 และเผลอๆ อาจได้เห็นราคาทองคำเฉลี่ยที่ 700 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ในช่วงต้นปี 2549 อีกด้วย
จึงนับว่า 'ยุคทอง...ของทอง' กำลังเกิดขึ้นอย่างแท้จริง ลองมารู้จักกับทองในมิติที่เป็นมากกว่าเครื่องประดับใน Fundamentals ฉบับนี้
..................
การลงทุนในทองคำมีมาตั้งนานแล้ว แต่ก็ดูจะจำกัดวงอยู่ในกลุ่มร้านค้าทอง ซึ่งมีความจำเป็นต้องมีการลงทุนซื้อทองเข้ามาเพื่อจำหน่ายในร้านอยู่แล้ว
ฉะนั้น คนที่เข้ามาลงทุนส่วนใหญ่ ก็จะเป็นร้านค้าทองเล็ก ๆ ทั่วไป ในส่วนของประชาชนเองนั้นก็จะเป็นการซื้อเพื่อสวมใส่ในฐานะของเครื่องประดับมากกว่า การลงทุนในทองคำสำหรับประเทศไทย จึงถือว่ายังเป็นเรื่องที่ใหม่มาก ซึ่งแนวโน้มของการลงทุนในทองคำระดับโลก ก็เพิ่งส่งสัญญาณให้เห็นในช่วงประมาณปีเศษ ๆ ที่ผ่านมานี้เอง
เกี่ยวกับเรื่องนี้ผู้คลุกคลีอยู่ในแวดวงทองคำอย่าง 'น.พ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ' ประธานกรรมการห้างทองแม่ทองสุก เยาวราช ในฐานะของรองเลขาธิการสมาคมค้าทองคำ เล่าให้ฟังว่า ระยะประมาณปีเศษๆ มานี้เอง ที่ราคาทองคำมีความเคลื่อนไหวค่อนข้างผูกติดกับเงินยูเอสดอลลาร์ ประกอบกับเกิดการรวมตัวของเหมืองทองคำต่าง ๆ จึงทำให้เกิดการสร้างราคา หรือทำให้ราคาทองคำในตลาดโลกมีเสถียรภาพมากขึ้น จากในอดีตที่เหมืองทองคำแต่ละแห่งต่างคนต่างค้า ราคาทองคำก็เลยไม่มีทิศทางแล้วก็ไม่มีความน่าสนใจ
'แต่พอทุกคนมารวมกลุ่มกัน โดยเริ่มจากการที่เหมืองทองคำมารวมกัน เหมืองเล็กถูกเหมืองใหญ่เทคโอเวอร์ มีการกลืนและควบรวมกิจการกัน เลยทำให้มีศักยภาพในการควบคุมกลไกของราคาทองคำในตลาดโลก และทำให้ทุกอย่างมาผูกกับการเงินในตลาดโลกมากขึ้น โดยเฉพาะยูโร และยูเอสดอลลาร์ ซึ่งสามารถอ้างอิงในเรื่องของเศรษฐกิจของโลกได้มากขึ้น เมื่อเกิดความแข็งแกร่งตรงนี้ เลยทำให้กองทุนต่าง ๆ เริ่มแบ่งพอร์ตการลงทุนมาลงทุนในทองคำมากขึ้น จากเดิมที่จะลงทุนเฉพาะตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ตลาดหุ้น และ Commodity market เป็นส่วนใหญ่'
การที่กองทุนต่าง ๆ หันมาลงทุนในทองคำมากขึ้นในช่วงปีเศษ ๆ ที่ผ่านมานั้น น.พ.กฤชรัตน์ มองว่า ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากระบบเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาที่เริ่มอ่อนแอลง และมีปัญหาเนื่องจากภาวะขาดดุลการค้าต่อเนื่องกว่า 3 ปี และมียอดสะสมในการขาดดุลการค้าสูงมาก จึงทำให้ความน่าสนใจในการที่จะถือครองเงินยูเอสดอลลาร์น้อยลง
กองทุนต่างๆ ที่เคยถือครองเงินดอลลาร์ หรือหันไปเล่นหุ้นดาวโจนส์ หรือหุ้นในตลาดในอเมริกาเริ่มมองว่ามีความเสี่ยงมากขึ้น เพราะเศรษฐกิจของอเมริกาโดยภาพรวมมันมีการขาดดุลการค้าอยู่ และเพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยง จึงมีการกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์อื่น ๆ เพิ่มขึ้น เช่น ลงทุนไปในตลาดหุ้นโซนเอเชีย
'จะเห็นได้ว่าในช่วง 1 ปีที่ผ่านมานี้ ตลาดหุ้นในโซนเอเชียปรับตัวดีขึ้นทั้งหมด จากเม็ดเงินจากต่างประเทศที่ไหลเข้ามา ประกอบกับเป็นช่วงที่ประเทศในภูมิภาคแถบเอเชียส่วนใหญ่อยู่ในช่วงฟื้นตัว ก็ทำให้มีเม็ดเงินโยกเข้ามาตรงนี้ประมาณ 3-5% ซึ่งก็เป็นจำนวนเงินมหาศาล นี่เป็นสาเหตุเริ่มต้นที่ทำให้ทองคำเป็นที่สนใจของบรรดากองทุนต่างๆ '
น.พ.กฤชรัตน์ เล่าว่า ช่วงก่อนหน้านี้สัก 2 ปี จะเห็นได้ว่า ราคาทองคำจะไม่หวือหวา ค่อนข้างอยู่ในเกณฑ์มั่นคง นิ่ง ๆ แล้วก็ค่อย ๆ ปรับขึ้นทีละนิด แต่ในช่วง 1 ปีมานี้ หลังจากผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่สำคัญ นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ 11 กันยา ก็ทำให้เกิดความผันผวนของระบบเศรษฐกิจค่อนข้างมาก
'ตรงนี้จากเดิมที่ไม่มีใครมาสนใจเรื่องทองคำ ก็หันมาสนใจกันมากขึ้น จึงทำให้เกิดเม็ดเงินจำนวนมหาศาล เริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดทองคำ และเป็นช่วงที่ราคาทองคำเริ่มหวือหวา เพราะว่าทองคำเริ่มเป็นที่สนใจในการลงทุน จากเดิมที่มีการซื้อขายในรูปของตัวทองจริง ๆ เพื่อบริโภคจริง ๆ เป็นส่วนใหญ่'
สำหรับผลตอบแทนจากการลงทุนในทองคำย้อนหลังในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา หากซื้อต้นปีแล้วขายปลายปี คิดปีต่อปี ทองคำจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5-7% ต่อปี ซึ่งเป็นระดับของผลตอบแทนจากการลงทุนที่น่าสนใจทีเดียว
โดย น.พ.กฤชรัตน์ บอกว่า การลงทุนทุกอย่างล้วนมีความเสี่ยง มากน้อยแตกต่างกันไป ทองคำเองก็มีความเสี่ยง แต่ไม่มากเท่ากับการลงทุนในหุ้น เนื่องจากราคาทองคำจะขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัย คือ 'อัตราแลกเปลี่ยน' เงินบาท/เงินสกุลยูเอสดอลลาร์ และ 'ราคาทองคำในตลาดโลก' ซึ่งทั้ง 2 ปัจจัยนี้เป็นปัจจัยที่สวนทิศทางกัน จึงทำให้ความเสี่ยงของทองคำถูกดิสเคาท์ไปในระดับหนึ่ง
'ราคาทองคำจะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับยูเอสดอลลาร์ หมายความว่า ถ้าดอลลาร์แข็ง ราคาทองคำจะตก ถ้าดอลลาร์อ่อนตัว ราคาทองคำก็จะสูงขึ้น ในทางกลับกันถ้าดอลลาร์อ่อนตัว ราคาทองคำก็จะสูงขึ้น ฉะนั้นเมื่อดอลลาร์อ่อนตัว ก็แสดงว่าบาทต้องแข็งขึ้น คือราคามันจะน้อยลง เพราะฉะนั้นเมื่อเอามาแมทช์กัน 2 อัน จะเห็นว่า ส่วนหนึ่งของความผันผวนจะหายไป เนื่องจากทองคำไม่ได้ขึ้นกับปัจจัยเพียงตัวเดียว จึงบอกว่าทองคำมีความเสี่ยง แต่มีความเสี่ยงไม่มากนัก'
หากใครที่จะหันมาลงทุนในทองคำ เขาแนะนำว่าเป็นสินทรัพย์ที่เหมาะจะลงทุนในระยะ 'ปานกลางถึงยาว' คือ ลงทุนมากกว่า 2 เดือนขึ้นไป และในระยะ 4-5 ปีนับจากนี้ ก็ยังสามารถลงทุนได้ การลงทุนต้องมองภาพยาว ๆ คือ เราลงทุนต้องรู้ด้วยว่าเราอยู่ในการลงทุนแบบไหน เราลงทุนชนิดอะไร ทองคำไม่เหมือนหุ้น จะมาซื้อวันนี้ พรุ่งนี้ขาย ไม่ได้ ถ้าทำอย่างนั้นอย่าลงทุนในทองคำ เราต้องเข้าใจตรงนั้น แต่สภาพคล่องของทองคำดีกว่าเพชร
'คุณมีเพชรเดินไปสองช่วงตึก ยังไม่รู้ว่าใครจะซื้อคุณเลย คุณต้องขับรถมาหาร้านเพชรซึ่งไม่สะดวก ราคามาตรฐานก็ไม่มี ขึ้นกับความพอใจของผู้ซื้อหรือผู้ขายพอสมควร แต่ทองคำมีราคามาตรฐานเป็นราคาเดียวกันทั่วประเทศ คุณจะไปเหนือ, กลาง, อีสาน หรือใต้ ราคาทองคำแท่งขายออกราคาเดียวกันทั่วประเทศ ถ้าเป็นทองรูปพรรณก็เสียค่ากำเหน็จบาทละโดยเฉลี่ย 400-500 บาท แล้วแต่ชนิดและลาย มาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ และราคาทองคำของไทยก็เป็นราคาที่อิงจากทองแท่งของตลาดโลก ราคาทองคำในประเทศเราเปลี่ยนทุกวัน หมายความว่าบางวันก็ไม่ขึ้นไม่ลง แต่ต้องดูราคากันทุกวัน'
นอกจากนี้ น.พ.กฤชรัตน์ ยังบอกอีกว่า ทองคำยังมีสภาพคล่องสูง โดยเฉพาะในประเทศไทย ถ้าคุณมีทองคำแล้วนำไปขายที่ไหนในประเทศไทยสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ทันที สภาพคล่องในการเปลี่ยนเป็นเงินสดเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกว่าทองคำนั้น มีสภาพคล่องสูง เป็น 'current asset' ที่เปลี่ยนเป็นเงินได้ในทันทีทั่วโลก ยิ่งเมืองไทยยิ่งคล่องใหญ่เลย ในทางบัญชีเองทองคำก็คงอยู่ในเรื่องของสินทรัพย์ระยะสั้น
สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในทองคำ สามารถทำได้ 2 ลักษณะ คือ 'ซื้อเพื่อลงทุนเพียงอย่างเดียว' ไม่ได้มีไว้เพื่อประดับ ก็ควรจะซื้อ 'ทองคำแท่ง' ซึ่งมีตั้งแต่ 1 บาท ไปจนถึง 100 บาท ขึ้นอยู่กับกำลังซื้อของผู้ลงทุน แต่อยากแนะนำให้ซื้อทองคำแท่งขนาดมาตรฐาน ได้แก่ 5 บาท และ 10 บาท หรือหากซื้อเพื่อใส่เป็นเครื่องประดับไว้โชว์ได้ด้วย ก็ต้องซื้อเป็น 'ทองรูปพรรณ' ซึ่งก็จะมีต้นทุนในการลงทุนที่แตกต่างกันออกไป
'ถ้าเป็นการลงทุนในทองคำแท่ง จะมีข้อดีคือไม่ต้องเสียค่าแรงหรือค่ากำเหน็จ คือ ราคาทองเท่าไรคุณก็ซื้อตามนั้น ขายตามนั้น อันนั้นก็ง่าย แต่ถ้าคุณซื้อเป็นทองคำรูปพรรณ ก็ต้องเสียค่ากำเหน็จ หรือพูดในภาษาทั่วไปก็คือ ค่าแรง เวลาคุณขายคืนค่าแรงมันก็ต้องหายไป แล้วสร้อยคอก็ต้องถูกเอามาหลอมละลายใหม่ ก็จะมีเสียค่าหลอมละลาย ค่าสึกหรอ ซึ่งจะมีส่วนต่างตรงนี้ประมาณ 300-500 บาทต่อทองคำ 1 บาท แต่ถ้าทองคำแท่งส่วนต่างจะต่างกันเพียง 100 บาท ต่อ ทองคำ 1 บาท คือ 1% ซึ่งน้อยมาก นี่ในประเทศไทย หรือมาตรฐานโลกเองก็ตามก็จะมีส่วนต่างไม่เกิน 1% เหมือนกัน ระหว่างซื้อกับขาย'
สำหรับผู้ที่สนใจจะลงทุนในทองคำ น.พ.กฤชรัตน์ บอกว่า คุณสามารถที่จะซื้อทองคำได้จากร้านทองมาตรฐานทั่วประเทศ ไม่จำเป็นจะต้องมาซื้อที่กรุงเทพฯ หรือที่เยาวราช ปัจจุบันมีร้านทองกระจายอยู่ทั่วประเทศ ทุกจังหวัด ทุกอำเภอ มากกว่า 5,000-6,000 แห่ง
ซึ่งในที่นี้เป็นร้านทองที่เป็นสมาชิกของสมาคมค้าทองคำประมาณ 900 แห่ง ซึ่งผู้สนใจสามารถจะทำการซื้อทองคำได้จากร้านทองมาตรฐานทุกแห่ง แต่ถ้าต้องการความมั่นใจของคุณภาพทอง ก็ให้เลือกร้านที่มีตราของสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) หรือตราของสมาคมค้าทองคำ เพื่อให้ได้ทองคำที่ได้มาตรฐาน ตามหลักของสมาคมค้าทองคำร่วมกับ สคบ.กำหนดให้ทองคำ 1 บาท มีน้ำหนัก 15.16 กรัม และเป็นทองมาตรฐาน 96.5%
แต่เมื่อไหร่ที่คิดจะลงทุนในทองคำ สิ่งหนึ่งที่คุณควรจะรู้ไว้คือสถานการณ์ของทองคำในปัจจุบัน น.พ.กฤชรัตน์ บอกว่าตอนนี้เราต้องพูดกันแบบรายวัน เพราะว่าเป็นช่วงของการปรับเปลี่ยนราคา โดยราคาทองคำจากต้นปีลดลงมาถึง 600 บาท จาก 8,500 ลดลงมาเหลือ 7,900 บาท ในปัจจุบัน
หมายความว่าราคาขายทองคำแท่งในปัจจุบันอยู่ที่ 7,900 บาท(25 ม.ค.48) ฉะนั้น ถามว่าราคาตรงนี้ถูกหรือแพง ตอบว่าราคาตรงนี้ถูกกว่าต้นปีมา 600 บาท ถามว่าโอกาสที่จะลงไปกว่านี้มีมั้ย โอกาสลงมีเหมือนกัน แต่น้อย ถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ อาจจะแค่ 10% หรือต่ำกว่านั้น แล้วถ้าจะลงก็น่าจะลงได้น้อย เพราะว่าราคาลงมาเยอะแล้ว
'ถามว่าโอกาสจะขึ้นมีขนาดไหน โอกาสที่ราคาทองคำจะสูงขึ้นนั้นมีสูงกว่ามาก ใน 100% โอกาสที่ราคาทองคำจะสูงขึ้นมากถึง 70% นักวิเคราะห์จากทั่วโลกมองว่าราคาทองคำภายในสัก 3-5 เดือน ข้างหน้ามองว่าทองคำราคาน่าจะไปอยู่ที่ 450 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ เป็นราคาทองคำในกลางปี 2548 ซึ่งเป็นราคาสูงสุดเดิมเมื่อเดือนพ.ย.2547 จากปัจจุบันราคาทองคำอยู่ที่ 427 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์'
ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังมองหาช่องทางในการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนในระดับที่ดี มีความเสี่ยงไม่มากนัก และสภาพคล่องสูง ทองคำน่าจะเป็นคำตอบสำหรับการลงทุนของคุณได้ไม่มากก็น้อย
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ
วันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548
----------------------------------
ยุคทอง...ของทอง'
สรวิศ อิ่มบำรุง
ทองคำให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปี 5-7%
ถ้าให้คุณหลับตาแล้วลองนึกถึงช่องทางลงทุนต่าง ๆ ที่คุณรู้จัก เชื่อว่าหลายคนคงมีคำตอบของการลงทุนในตลาดหุ้นกองทุนรวม หรือเงินฝากธนาคารเป็นลำดับต้น ๆ แต่น้อยคนนักที่จะนึกถึงทองคำเป็นทางเลือกแรก ๆ
ทั้งที่ 'ทองคำ' ก็นับเป็นช่องทางลงทุน ที่คนไทยส่วนใหญ่มีความคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว เพียงแต่ยังเป็น 'การบริโภค' เพื่อสวมใส่ มากกว่าที่จะเป็นการมองในมิติของ 'การลงทุน' เท่านั้นเอง
คุณทราบหรือไม่ว่า ขณะที่ผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นในปีก่อนลดลงกว่า 13% ดอกเบี้ยเงินฝากก็จวนจะติดลบ แต่ผลตอบแทนจากการลงทุนในทองคำย้อนหลัง 5 ปี ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5-7% ต่อปี ซึ่งเป็นระดับของผลตอบแทนที่ไม่ธรรมดาและไม่น่ามองข้าม
ปลายปี 2547 ราคาทองคำโลกได้ทุบสถิติสูงสุดใหม่ในรอบเกือบ 17 ปี ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยราคาเฉลี่ยราว 455 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือแพงขึ้น 9% จากช่วงต้นปี และที่น่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ ราคาทองคำแอบขยับตัวสูงขึ้นเรื่อย ๆ เกือบ 80% นับตั้งแต่ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ได้นั่งเก้าอี้ทำเนียบขาวสมัยแรกในปี 2544
บรรดานักวิเคราะห์ของโลกคาดกันว่าจะได้เห็นราคาทองคำแพงขึ้นอีกในปี 2548 และเผลอๆ อาจได้เห็นราคาทองคำเฉลี่ยที่ 700 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ในช่วงต้นปี 2549 อีกด้วย
จึงนับว่า 'ยุคทอง...ของทอง' กำลังเกิดขึ้นอย่างแท้จริง ลองมารู้จักกับทองในมิติที่เป็นมากกว่าเครื่องประดับใน Fundamentals ฉบับนี้
..................
การลงทุนในทองคำมีมาตั้งนานแล้ว แต่ก็ดูจะจำกัดวงอยู่ในกลุ่มร้านค้าทอง ซึ่งมีความจำเป็นต้องมีการลงทุนซื้อทองเข้ามาเพื่อจำหน่ายในร้านอยู่แล้ว
ฉะนั้น คนที่เข้ามาลงทุนส่วนใหญ่ ก็จะเป็นร้านค้าทองเล็ก ๆ ทั่วไป ในส่วนของประชาชนเองนั้นก็จะเป็นการซื้อเพื่อสวมใส่ในฐานะของเครื่องประดับมากกว่า การลงทุนในทองคำสำหรับประเทศไทย จึงถือว่ายังเป็นเรื่องที่ใหม่มาก ซึ่งแนวโน้มของการลงทุนในทองคำระดับโลก ก็เพิ่งส่งสัญญาณให้เห็นในช่วงประมาณปีเศษ ๆ ที่ผ่านมานี้เอง
เกี่ยวกับเรื่องนี้ผู้คลุกคลีอยู่ในแวดวงทองคำอย่าง 'น.พ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ' ประธานกรรมการห้างทองแม่ทองสุก เยาวราช ในฐานะของรองเลขาธิการสมาคมค้าทองคำ เล่าให้ฟังว่า ระยะประมาณปีเศษๆ มานี้เอง ที่ราคาทองคำมีความเคลื่อนไหวค่อนข้างผูกติดกับเงินยูเอสดอลลาร์ ประกอบกับเกิดการรวมตัวของเหมืองทองคำต่าง ๆ จึงทำให้เกิดการสร้างราคา หรือทำให้ราคาทองคำในตลาดโลกมีเสถียรภาพมากขึ้น จากในอดีตที่เหมืองทองคำแต่ละแห่งต่างคนต่างค้า ราคาทองคำก็เลยไม่มีทิศทางแล้วก็ไม่มีความน่าสนใจ
'แต่พอทุกคนมารวมกลุ่มกัน โดยเริ่มจากการที่เหมืองทองคำมารวมกัน เหมืองเล็กถูกเหมืองใหญ่เทคโอเวอร์ มีการกลืนและควบรวมกิจการกัน เลยทำให้มีศักยภาพในการควบคุมกลไกของราคาทองคำในตลาดโลก และทำให้ทุกอย่างมาผูกกับการเงินในตลาดโลกมากขึ้น โดยเฉพาะยูโร และยูเอสดอลลาร์ ซึ่งสามารถอ้างอิงในเรื่องของเศรษฐกิจของโลกได้มากขึ้น เมื่อเกิดความแข็งแกร่งตรงนี้ เลยทำให้กองทุนต่าง ๆ เริ่มแบ่งพอร์ตการลงทุนมาลงทุนในทองคำมากขึ้น จากเดิมที่จะลงทุนเฉพาะตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ตลาดหุ้น และ Commodity market เป็นส่วนใหญ่'
การที่กองทุนต่าง ๆ หันมาลงทุนในทองคำมากขึ้นในช่วงปีเศษ ๆ ที่ผ่านมานั้น น.พ.กฤชรัตน์ มองว่า ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากระบบเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาที่เริ่มอ่อนแอลง และมีปัญหาเนื่องจากภาวะขาดดุลการค้าต่อเนื่องกว่า 3 ปี และมียอดสะสมในการขาดดุลการค้าสูงมาก จึงทำให้ความน่าสนใจในการที่จะถือครองเงินยูเอสดอลลาร์น้อยลง
กองทุนต่างๆ ที่เคยถือครองเงินดอลลาร์ หรือหันไปเล่นหุ้นดาวโจนส์ หรือหุ้นในตลาดในอเมริกาเริ่มมองว่ามีความเสี่ยงมากขึ้น เพราะเศรษฐกิจของอเมริกาโดยภาพรวมมันมีการขาดดุลการค้าอยู่ และเพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยง จึงมีการกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์อื่น ๆ เพิ่มขึ้น เช่น ลงทุนไปในตลาดหุ้นโซนเอเชีย
'จะเห็นได้ว่าในช่วง 1 ปีที่ผ่านมานี้ ตลาดหุ้นในโซนเอเชียปรับตัวดีขึ้นทั้งหมด จากเม็ดเงินจากต่างประเทศที่ไหลเข้ามา ประกอบกับเป็นช่วงที่ประเทศในภูมิภาคแถบเอเชียส่วนใหญ่อยู่ในช่วงฟื้นตัว ก็ทำให้มีเม็ดเงินโยกเข้ามาตรงนี้ประมาณ 3-5% ซึ่งก็เป็นจำนวนเงินมหาศาล นี่เป็นสาเหตุเริ่มต้นที่ทำให้ทองคำเป็นที่สนใจของบรรดากองทุนต่างๆ '
น.พ.กฤชรัตน์ เล่าว่า ช่วงก่อนหน้านี้สัก 2 ปี จะเห็นได้ว่า ราคาทองคำจะไม่หวือหวา ค่อนข้างอยู่ในเกณฑ์มั่นคง นิ่ง ๆ แล้วก็ค่อย ๆ ปรับขึ้นทีละนิด แต่ในช่วง 1 ปีมานี้ หลังจากผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่สำคัญ นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ 11 กันยา ก็ทำให้เกิดความผันผวนของระบบเศรษฐกิจค่อนข้างมาก
'ตรงนี้จากเดิมที่ไม่มีใครมาสนใจเรื่องทองคำ ก็หันมาสนใจกันมากขึ้น จึงทำให้เกิดเม็ดเงินจำนวนมหาศาล เริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดทองคำ และเป็นช่วงที่ราคาทองคำเริ่มหวือหวา เพราะว่าทองคำเริ่มเป็นที่สนใจในการลงทุน จากเดิมที่มีการซื้อขายในรูปของตัวทองจริง ๆ เพื่อบริโภคจริง ๆ เป็นส่วนใหญ่'
สำหรับผลตอบแทนจากการลงทุนในทองคำย้อนหลังในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา หากซื้อต้นปีแล้วขายปลายปี คิดปีต่อปี ทองคำจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5-7% ต่อปี ซึ่งเป็นระดับของผลตอบแทนจากการลงทุนที่น่าสนใจทีเดียว
โดย น.พ.กฤชรัตน์ บอกว่า การลงทุนทุกอย่างล้วนมีความเสี่ยง มากน้อยแตกต่างกันไป ทองคำเองก็มีความเสี่ยง แต่ไม่มากเท่ากับการลงทุนในหุ้น เนื่องจากราคาทองคำจะขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัย คือ 'อัตราแลกเปลี่ยน' เงินบาท/เงินสกุลยูเอสดอลลาร์ และ 'ราคาทองคำในตลาดโลก' ซึ่งทั้ง 2 ปัจจัยนี้เป็นปัจจัยที่สวนทิศทางกัน จึงทำให้ความเสี่ยงของทองคำถูกดิสเคาท์ไปในระดับหนึ่ง
'ราคาทองคำจะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับยูเอสดอลลาร์ หมายความว่า ถ้าดอลลาร์แข็ง ราคาทองคำจะตก ถ้าดอลลาร์อ่อนตัว ราคาทองคำก็จะสูงขึ้น ในทางกลับกันถ้าดอลลาร์อ่อนตัว ราคาทองคำก็จะสูงขึ้น ฉะนั้นเมื่อดอลลาร์อ่อนตัว ก็แสดงว่าบาทต้องแข็งขึ้น คือราคามันจะน้อยลง เพราะฉะนั้นเมื่อเอามาแมทช์กัน 2 อัน จะเห็นว่า ส่วนหนึ่งของความผันผวนจะหายไป เนื่องจากทองคำไม่ได้ขึ้นกับปัจจัยเพียงตัวเดียว จึงบอกว่าทองคำมีความเสี่ยง แต่มีความเสี่ยงไม่มากนัก'
หากใครที่จะหันมาลงทุนในทองคำ เขาแนะนำว่าเป็นสินทรัพย์ที่เหมาะจะลงทุนในระยะ 'ปานกลางถึงยาว' คือ ลงทุนมากกว่า 2 เดือนขึ้นไป และในระยะ 4-5 ปีนับจากนี้ ก็ยังสามารถลงทุนได้ การลงทุนต้องมองภาพยาว ๆ คือ เราลงทุนต้องรู้ด้วยว่าเราอยู่ในการลงทุนแบบไหน เราลงทุนชนิดอะไร ทองคำไม่เหมือนหุ้น จะมาซื้อวันนี้ พรุ่งนี้ขาย ไม่ได้ ถ้าทำอย่างนั้นอย่าลงทุนในทองคำ เราต้องเข้าใจตรงนั้น แต่สภาพคล่องของทองคำดีกว่าเพชร
'คุณมีเพชรเดินไปสองช่วงตึก ยังไม่รู้ว่าใครจะซื้อคุณเลย คุณต้องขับรถมาหาร้านเพชรซึ่งไม่สะดวก ราคามาตรฐานก็ไม่มี ขึ้นกับความพอใจของผู้ซื้อหรือผู้ขายพอสมควร แต่ทองคำมีราคามาตรฐานเป็นราคาเดียวกันทั่วประเทศ คุณจะไปเหนือ, กลาง, อีสาน หรือใต้ ราคาทองคำแท่งขายออกราคาเดียวกันทั่วประเทศ ถ้าเป็นทองรูปพรรณก็เสียค่ากำเหน็จบาทละโดยเฉลี่ย 400-500 บาท แล้วแต่ชนิดและลาย มาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ และราคาทองคำของไทยก็เป็นราคาที่อิงจากทองแท่งของตลาดโลก ราคาทองคำในประเทศเราเปลี่ยนทุกวัน หมายความว่าบางวันก็ไม่ขึ้นไม่ลง แต่ต้องดูราคากันทุกวัน'
นอกจากนี้ น.พ.กฤชรัตน์ ยังบอกอีกว่า ทองคำยังมีสภาพคล่องสูง โดยเฉพาะในประเทศไทย ถ้าคุณมีทองคำแล้วนำไปขายที่ไหนในประเทศไทยสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ทันที สภาพคล่องในการเปลี่ยนเป็นเงินสดเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกว่าทองคำนั้น มีสภาพคล่องสูง เป็น 'current asset' ที่เปลี่ยนเป็นเงินได้ในทันทีทั่วโลก ยิ่งเมืองไทยยิ่งคล่องใหญ่เลย ในทางบัญชีเองทองคำก็คงอยู่ในเรื่องของสินทรัพย์ระยะสั้น
สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในทองคำ สามารถทำได้ 2 ลักษณะ คือ 'ซื้อเพื่อลงทุนเพียงอย่างเดียว' ไม่ได้มีไว้เพื่อประดับ ก็ควรจะซื้อ 'ทองคำแท่ง' ซึ่งมีตั้งแต่ 1 บาท ไปจนถึง 100 บาท ขึ้นอยู่กับกำลังซื้อของผู้ลงทุน แต่อยากแนะนำให้ซื้อทองคำแท่งขนาดมาตรฐาน ได้แก่ 5 บาท และ 10 บาท หรือหากซื้อเพื่อใส่เป็นเครื่องประดับไว้โชว์ได้ด้วย ก็ต้องซื้อเป็น 'ทองรูปพรรณ' ซึ่งก็จะมีต้นทุนในการลงทุนที่แตกต่างกันออกไป
'ถ้าเป็นการลงทุนในทองคำแท่ง จะมีข้อดีคือไม่ต้องเสียค่าแรงหรือค่ากำเหน็จ คือ ราคาทองเท่าไรคุณก็ซื้อตามนั้น ขายตามนั้น อันนั้นก็ง่าย แต่ถ้าคุณซื้อเป็นทองคำรูปพรรณ ก็ต้องเสียค่ากำเหน็จ หรือพูดในภาษาทั่วไปก็คือ ค่าแรง เวลาคุณขายคืนค่าแรงมันก็ต้องหายไป แล้วสร้อยคอก็ต้องถูกเอามาหลอมละลายใหม่ ก็จะมีเสียค่าหลอมละลาย ค่าสึกหรอ ซึ่งจะมีส่วนต่างตรงนี้ประมาณ 300-500 บาทต่อทองคำ 1 บาท แต่ถ้าทองคำแท่งส่วนต่างจะต่างกันเพียง 100 บาท ต่อ ทองคำ 1 บาท คือ 1% ซึ่งน้อยมาก นี่ในประเทศไทย หรือมาตรฐานโลกเองก็ตามก็จะมีส่วนต่างไม่เกิน 1% เหมือนกัน ระหว่างซื้อกับขาย'
สำหรับผู้ที่สนใจจะลงทุนในทองคำ น.พ.กฤชรัตน์ บอกว่า คุณสามารถที่จะซื้อทองคำได้จากร้านทองมาตรฐานทั่วประเทศ ไม่จำเป็นจะต้องมาซื้อที่กรุงเทพฯ หรือที่เยาวราช ปัจจุบันมีร้านทองกระจายอยู่ทั่วประเทศ ทุกจังหวัด ทุกอำเภอ มากกว่า 5,000-6,000 แห่ง
ซึ่งในที่นี้เป็นร้านทองที่เป็นสมาชิกของสมาคมค้าทองคำประมาณ 900 แห่ง ซึ่งผู้สนใจสามารถจะทำการซื้อทองคำได้จากร้านทองมาตรฐานทุกแห่ง แต่ถ้าต้องการความมั่นใจของคุณภาพทอง ก็ให้เลือกร้านที่มีตราของสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) หรือตราของสมาคมค้าทองคำ เพื่อให้ได้ทองคำที่ได้มาตรฐาน ตามหลักของสมาคมค้าทองคำร่วมกับ สคบ.กำหนดให้ทองคำ 1 บาท มีน้ำหนัก 15.16 กรัม และเป็นทองมาตรฐาน 96.5%
แต่เมื่อไหร่ที่คิดจะลงทุนในทองคำ สิ่งหนึ่งที่คุณควรจะรู้ไว้คือสถานการณ์ของทองคำในปัจจุบัน น.พ.กฤชรัตน์ บอกว่าตอนนี้เราต้องพูดกันแบบรายวัน เพราะว่าเป็นช่วงของการปรับเปลี่ยนราคา โดยราคาทองคำจากต้นปีลดลงมาถึง 600 บาท จาก 8,500 ลดลงมาเหลือ 7,900 บาท ในปัจจุบัน
หมายความว่าราคาขายทองคำแท่งในปัจจุบันอยู่ที่ 7,900 บาท(25 ม.ค.48) ฉะนั้น ถามว่าราคาตรงนี้ถูกหรือแพง ตอบว่าราคาตรงนี้ถูกกว่าต้นปีมา 600 บาท ถามว่าโอกาสที่จะลงไปกว่านี้มีมั้ย โอกาสลงมีเหมือนกัน แต่น้อย ถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ อาจจะแค่ 10% หรือต่ำกว่านั้น แล้วถ้าจะลงก็น่าจะลงได้น้อย เพราะว่าราคาลงมาเยอะแล้ว
'ถามว่าโอกาสจะขึ้นมีขนาดไหน โอกาสที่ราคาทองคำจะสูงขึ้นนั้นมีสูงกว่ามาก ใน 100% โอกาสที่ราคาทองคำจะสูงขึ้นมากถึง 70% นักวิเคราะห์จากทั่วโลกมองว่าราคาทองคำภายในสัก 3-5 เดือน ข้างหน้ามองว่าทองคำราคาน่าจะไปอยู่ที่ 450 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ เป็นราคาทองคำในกลางปี 2548 ซึ่งเป็นราคาสูงสุดเดิมเมื่อเดือนพ.ย.2547 จากปัจจุบันราคาทองคำอยู่ที่ 427 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์'
ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังมองหาช่องทางในการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนในระดับที่ดี มีความเสี่ยงไม่มากนัก และสภาพคล่องสูง ทองคำน่าจะเป็นคำตอบสำหรับการลงทุนของคุณได้ไม่มากก็น้อย
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ
วันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548
Price is what you pay. Value is what you get...
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
** ทองคำช่วงนี้น่าลงทุนหรือไม่น่ะครับ **
โพสต์ที่ 23
โค้ด: เลือกทั้งหมด
คุณสุวรรณ วลัยเสถียร ก็เคยเล่าว่า 20 กว่าปี SET ขึ้นมา 7 เท่า ใน ขณะที่ ทองคำขึ้นมา 20 เท่า
ส่วนทอง ขึ้น 20 เท่า ก็แปลว่า ในปี 2527 ทองราคาบาทละ 400 ยิ่งไม่น่าจะเป็นไปได้
ใครจำได้บ้างครับ สมัย ปี 2527 ทองบาทละเท่าไร
- คัดท้าย
- Verified User
- โพสต์: 2917
- ผู้ติดตาม: 0
** ทองคำช่วงนี้น่าลงทุนหรือไม่น่ะครับ **
โพสต์ที่ 25
เรื่องนี้ผมเห็นด้วยมากๆครับ .. ทองมันไม่ได้ขึ้นอะไรมากมาย แต่จริงๆ ไทยเราจนลงต่างหาก ...ba_2l เขียน:
ถ้าดูจากกราฟจะเห็นว่าราคาทองคำในตลาดโลก ณ ปัจจุบันไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเมื่อ20ปีที่แล้วซักเท่าไหร่ครับพี่ Jeng แต่ราคาทองคำในบ้านเราที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมากนั้นผมคิดว่าเกิดจากการลดค่าเงินบาทเป็นสาเหตุสำคัญครับ
นักวิชาการหลายๆคนออกมาพูดว่า ซื้อทองดี ทองขึ้น แต่ถ้าไปย้อนดูราคาทองจริงๆจะเห็นว่ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น จริงๆแล้วการซื้อทองผมมองว่าเป็นการเปลี่ยนให้เงินเราเปลี่ยนไปเป็นมูลค่ากลางของประชาคมโลกเท่านั้นเองครับ
The crowd, the world, and sometimes even the grave, step aside for the man who knows where he's going, but pushes the aimless drifter aside. -- Ancient Roman Saying