คอลัมน์: หมายเหตุประเทศไทย: สงครามค่าเงินสงครามโลกยุคใหม่
- OutOfMyMind
- Verified User
- โพสต์: 1242
- ผู้ติดตาม: 0
คอลัมน์: หมายเหตุประเทศไทย: สงครามค่าเงินสงครามโลกยุคใหม่
โพสต์ที่ 1
คอลัมน์: หมายเหตุประเทศไทย: สงครามค่าเงินสงครามโลกยุคใหม่ โดย"ลม เปลี่ยนทิศ"/ไทยรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ อ่อนลงไปกว่าร้อยละ 11 นับจากต้นปี ทำให้ ค่าเงินเยนญี่ปุ่น แข็งค่าขึ้นไป ร้อยละ 11.8 และทำให้ ค่าเงินบาท แข็งค่าขึ้นไป ร้อยละ 10.46 ก่อให้เกิด "สงครามค่าเงิน" ซึ่งเป็น "สงคราม โลกยุคใหม่" ที่บังคับให้ทุกประเทศต้องกระโจนเข้าสู่สงคราม เพื่อ ปกป้องค่าเงินของตัวเอง ไม่ให้แข็งค่าเกินไป จนนำไปสู่ความหายนะทางเศรษฐกิจรอบใหม่
ประเทศไทย ก็หนีไม่พ้นที่จะต้อง ทำสงครามค่าเงิน เพราะ ค่าเงินบาทแข็งค่าเป็นอันดับ 3 ในภูมิภาค รองจาก ญี่ปุ่น และ มาเลเซีย
ผมเชื่อว่า นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ ครม. คงจะไฟเขียวเห็นชอบกับข้อเสนอของ คุณกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีคลัง ที่ขอให้ ประกาศตัวเข้าสู่ "สงครามค่าเงิน" ก่อนจะสายเกินแก้ ประเดิมด้วยมาตรการ เก็บภาษีหัก ณ ที่จ่าย 15 เปอร์เซ็นต์ จาก รายได้ดอกเบี้ย และ กำไร ที่ได้จาก ตราสารหนี้ ในตลาดทุนไทย ซึ่งเป็นตลาดที่นักลงทุนต่างชาตินำเงินเข้ามาลงทุนมากที่สุด
มาตรการนี้ถือเป็นมาตรการระดับอ่อน แม้จะช่วยให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงไปได้ไม่มากนัก แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
มาตรการต่อไปก็คือ อัตราดอกเบี้ย ที่ คณะกรรมการนโยบายการเงิน ของ แบงก์ชาติ จะประชุมกันในวันที่ 20 ตุลาคมนี้ ซึ่งทุกฝ่ายคาดว่า กนง.จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิม เพราะวันนี้ได้พิสูจน์แล้วว่า การขึ้นดอกเบี้ย ทำให้มีเงินดอลลาร์ไหลเข้ามาเก็งกำไรในตลาดไทยมากกว่าปกติ
แต่มาตรการเก็บภาษีดอกเบี้ยและกำไรร้อยละ 15 ที่ออกมานี้ ผมยังไม่เชื่อว่าจะสกัดค่าเงินบาทเอาไว้อยู่ เพราะ ธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังตั้งหน้าตั้งตา พิมพ์เงินดอลลาร์ ออกสู่ตลาดจำนวนมหาศาล หวังกดค่าเงินดอลลาร์ให้อ่อนมากที่สุด เพื่อช่วย ผลักดันการส่งออกของสหรัฐฯ และ เพิ่มแรงกดดันต่อเงินหยวนจีน ให้อ่อนค่าลงมา จะได้เพิ่มยอดส่งออกของสหรัฐฯเข้าไปในจีนที่เป็นตลาดใหญ่ที่สุดในโลก
นี่คือ ความเห็นแก่ตัวของสหรัฐฯ ที่คิดจะเอาประโยชน์ฝ่ายเดียว โดยไม่คิดถึงความหายนะของคนอื่นอีกทั่วโลก
ขณะเดียวกัน สหรัฐฯก็พิมพ์ธนบัตรดอลลาร์ออกมาอย่างไม่อั้น โดยไม่ต้องรับผิดชอบ ไม่ต้องมีทุนสำรอง อีกด้านหนึ่งก็ใช้วิธี กดอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 00.25 เปอร์เซ็นต์ ทำให้นักลงทุนต้องขนเงินดอลลาร์ที่มีอยู่ล้นหลามออกไปลงทุนต่างประเทศทั่วโลก เพื่อหากำไรส่วนต่างให้มากที่สุด อย่างน้อยก็มากกว่าร้อยละ 0.25 เลยทำให้ค่าเงินของทุกประเทศในโลกนี้เดือดร้อนกันไปหมด
การกระทำของ ธนาคารกลาง และ กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ทำให้ทุกประเทศที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะ กลุ่มประเทศมหาอำนาจเศรษฐกิจ จี 20 ต้องหันมาปกป้องค่าเงินของตัวเองทุกวิถีทาง ก่อให้เกิด "สงครามค่าเงิน" ขึ้นในตลาดโลกซึ่งยังไม่รู้ว่าจะจบลงอย่างไร
สงครามค่าเงิน ที่ สหรัฐฯ ก่อขึ้น ไม่ใช่มีแต่ จีน ที่ไม่ยอมสหรัฐฯ มหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่ บราซิล อินเดีย ก็ไม่ยอมสหรัฐฯเหมือนกัน
วันก่อน กุยโด้ มันเตก้า รัฐมนตรีคลังบราซิล ก็ออกมา ประกาศสงครามค่าเงินกับสหรัฐฯเต็มตัว โดยออกกฎหมาย เก็บภาษีเงินทุนที่ไหลเข้าไปลงทุนในตราสารหนี้โดยเฉพาะ จากร้อยละ 2 เป็นร้อยละ 4 เพื่อ ทำให้นักเก็งกำไรขาดทุน จากการเก็งกำไรในตลาดตราสารหนี้บราซิล
ดังนั้น มาตรการที่ รัฐมนตรีคลังกรณ์ ให้ เก็บภาษีร้อยละ 15 จาก ดอกเบี้ย และ กำไร ที่ได้จากตลาดตราสารหนี้ จึงนับว่าจิ๊บจ๊อยมาก เมื่อเทียบกับบราซิล
เมื่อ รัฐบาลนายกฯมาร์ค ไม่กล้า ทำสงครามค่าเงิน กับ สหรัฐฯ อย่างเต็มตัวเพื่อปกป้องค่าเงินบาท จะเกรงใจหรืออะไรก็ไม่รู้ ก็ควรจะหันมา ช่วยเหลือธุรกิจในประเทศที่เป็นของคนไทย โดยเฉพาะ ผู้ส่งออกไทย ให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด แต่งานนี้ ไม่ต้องใจดีฝนตกทั่วฟ้า เพราะ บริษัทข้ามชาติ ของต่างชาติเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว ไม่ต้องไปช่วย.
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ อ่อนลงไปกว่าร้อยละ 11 นับจากต้นปี ทำให้ ค่าเงินเยนญี่ปุ่น แข็งค่าขึ้นไป ร้อยละ 11.8 และทำให้ ค่าเงินบาท แข็งค่าขึ้นไป ร้อยละ 10.46 ก่อให้เกิด "สงครามค่าเงิน" ซึ่งเป็น "สงคราม โลกยุคใหม่" ที่บังคับให้ทุกประเทศต้องกระโจนเข้าสู่สงคราม เพื่อ ปกป้องค่าเงินของตัวเอง ไม่ให้แข็งค่าเกินไป จนนำไปสู่ความหายนะทางเศรษฐกิจรอบใหม่
ประเทศไทย ก็หนีไม่พ้นที่จะต้อง ทำสงครามค่าเงิน เพราะ ค่าเงินบาทแข็งค่าเป็นอันดับ 3 ในภูมิภาค รองจาก ญี่ปุ่น และ มาเลเซีย
ผมเชื่อว่า นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ ครม. คงจะไฟเขียวเห็นชอบกับข้อเสนอของ คุณกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีคลัง ที่ขอให้ ประกาศตัวเข้าสู่ "สงครามค่าเงิน" ก่อนจะสายเกินแก้ ประเดิมด้วยมาตรการ เก็บภาษีหัก ณ ที่จ่าย 15 เปอร์เซ็นต์ จาก รายได้ดอกเบี้ย และ กำไร ที่ได้จาก ตราสารหนี้ ในตลาดทุนไทย ซึ่งเป็นตลาดที่นักลงทุนต่างชาตินำเงินเข้ามาลงทุนมากที่สุด
มาตรการนี้ถือเป็นมาตรการระดับอ่อน แม้จะช่วยให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงไปได้ไม่มากนัก แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
มาตรการต่อไปก็คือ อัตราดอกเบี้ย ที่ คณะกรรมการนโยบายการเงิน ของ แบงก์ชาติ จะประชุมกันในวันที่ 20 ตุลาคมนี้ ซึ่งทุกฝ่ายคาดว่า กนง.จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิม เพราะวันนี้ได้พิสูจน์แล้วว่า การขึ้นดอกเบี้ย ทำให้มีเงินดอลลาร์ไหลเข้ามาเก็งกำไรในตลาดไทยมากกว่าปกติ
แต่มาตรการเก็บภาษีดอกเบี้ยและกำไรร้อยละ 15 ที่ออกมานี้ ผมยังไม่เชื่อว่าจะสกัดค่าเงินบาทเอาไว้อยู่ เพราะ ธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังตั้งหน้าตั้งตา พิมพ์เงินดอลลาร์ ออกสู่ตลาดจำนวนมหาศาล หวังกดค่าเงินดอลลาร์ให้อ่อนมากที่สุด เพื่อช่วย ผลักดันการส่งออกของสหรัฐฯ และ เพิ่มแรงกดดันต่อเงินหยวนจีน ให้อ่อนค่าลงมา จะได้เพิ่มยอดส่งออกของสหรัฐฯเข้าไปในจีนที่เป็นตลาดใหญ่ที่สุดในโลก
นี่คือ ความเห็นแก่ตัวของสหรัฐฯ ที่คิดจะเอาประโยชน์ฝ่ายเดียว โดยไม่คิดถึงความหายนะของคนอื่นอีกทั่วโลก
ขณะเดียวกัน สหรัฐฯก็พิมพ์ธนบัตรดอลลาร์ออกมาอย่างไม่อั้น โดยไม่ต้องรับผิดชอบ ไม่ต้องมีทุนสำรอง อีกด้านหนึ่งก็ใช้วิธี กดอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 00.25 เปอร์เซ็นต์ ทำให้นักลงทุนต้องขนเงินดอลลาร์ที่มีอยู่ล้นหลามออกไปลงทุนต่างประเทศทั่วโลก เพื่อหากำไรส่วนต่างให้มากที่สุด อย่างน้อยก็มากกว่าร้อยละ 0.25 เลยทำให้ค่าเงินของทุกประเทศในโลกนี้เดือดร้อนกันไปหมด
การกระทำของ ธนาคารกลาง และ กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ทำให้ทุกประเทศที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะ กลุ่มประเทศมหาอำนาจเศรษฐกิจ จี 20 ต้องหันมาปกป้องค่าเงินของตัวเองทุกวิถีทาง ก่อให้เกิด "สงครามค่าเงิน" ขึ้นในตลาดโลกซึ่งยังไม่รู้ว่าจะจบลงอย่างไร
สงครามค่าเงิน ที่ สหรัฐฯ ก่อขึ้น ไม่ใช่มีแต่ จีน ที่ไม่ยอมสหรัฐฯ มหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่ บราซิล อินเดีย ก็ไม่ยอมสหรัฐฯเหมือนกัน
วันก่อน กุยโด้ มันเตก้า รัฐมนตรีคลังบราซิล ก็ออกมา ประกาศสงครามค่าเงินกับสหรัฐฯเต็มตัว โดยออกกฎหมาย เก็บภาษีเงินทุนที่ไหลเข้าไปลงทุนในตราสารหนี้โดยเฉพาะ จากร้อยละ 2 เป็นร้อยละ 4 เพื่อ ทำให้นักเก็งกำไรขาดทุน จากการเก็งกำไรในตลาดตราสารหนี้บราซิล
ดังนั้น มาตรการที่ รัฐมนตรีคลังกรณ์ ให้ เก็บภาษีร้อยละ 15 จาก ดอกเบี้ย และ กำไร ที่ได้จากตลาดตราสารหนี้ จึงนับว่าจิ๊บจ๊อยมาก เมื่อเทียบกับบราซิล
เมื่อ รัฐบาลนายกฯมาร์ค ไม่กล้า ทำสงครามค่าเงิน กับ สหรัฐฯ อย่างเต็มตัวเพื่อปกป้องค่าเงินบาท จะเกรงใจหรืออะไรก็ไม่รู้ ก็ควรจะหันมา ช่วยเหลือธุรกิจในประเทศที่เป็นของคนไทย โดยเฉพาะ ผู้ส่งออกไทย ให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด แต่งานนี้ ไม่ต้องใจดีฝนตกทั่วฟ้า เพราะ บริษัทข้ามชาติ ของต่างชาติเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว ไม่ต้องไปช่วย.
บทความดีดีสำหรับนักลงทุนเน้นคุณค่า
https://www.facebook.com/OutOfMyMindOnValueInvestment
https://www.facebook.com/OutOfMyMindOnValueInvestment
- appendix
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 339
- ผู้ติดตาม: 0
คอลัมน์: หมายเหตุประเทศไทย: สงครามค่าเงินสงครามโลกยุคใหม่
โพสต์ที่ 2
เงินแข็งคนทั้งประเทศย่อมร่ำรวยขึ้น เงินอ่อนคนทั้งประเทศย่อมยากจนลง
ผมมองว่า เงินแข็งไม่ใช่หายนะของประเทศแต่เป็นเพียงแค่ปัญหาของภาคส่งออกเท่านั้น เงินอ่อนต่างหากที่เป็นหายนะของประเทศ และเป็นเพียงแค่ผลประโยชน์ส่วนตัวของเจ้าของบริษัทผู้ส่งออกไม่กี่คน แม้แต่ลูกจ้างในภาคส่งออกก็อาจได้ผลประโยชน์เพียงเศษเสี้ยวเท่านั้น
อเมริกาเห็นแก่ตัวหรือเปล่า ต้องลองคิดดู หากคิดว่าใช่ เมือตอนต้มยำกุ้งเงินไทยอ่อนจาก 25 บาทต่อเหรียญ ไป 50 บาทต่อเหรียญ ประเทศไทยคงเห็นแก่ตัวมหาศาลเลยสินะครับ
ผมมองว่า เงินแข็งไม่ใช่หายนะของประเทศแต่เป็นเพียงแค่ปัญหาของภาคส่งออกเท่านั้น เงินอ่อนต่างหากที่เป็นหายนะของประเทศ และเป็นเพียงแค่ผลประโยชน์ส่วนตัวของเจ้าของบริษัทผู้ส่งออกไม่กี่คน แม้แต่ลูกจ้างในภาคส่งออกก็อาจได้ผลประโยชน์เพียงเศษเสี้ยวเท่านั้น
อเมริกาเห็นแก่ตัวหรือเปล่า ต้องลองคิดดู หากคิดว่าใช่ เมือตอนต้มยำกุ้งเงินไทยอ่อนจาก 25 บาทต่อเหรียญ ไป 50 บาทต่อเหรียญ ประเทศไทยคงเห็นแก่ตัวมหาศาลเลยสินะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 217
- ผู้ติดตาม: 0
คอลัมน์: หมายเหตุประเทศไทย: สงครามค่าเงินสงครามโลกยุคใหม่
โพสต์ที่ 3
เมื่อค่าเงินเราแข็ง ขึ้น เราจะส่งออกสินค้าทำไม เราส่งออกเงินเราดีกว่า
เมื่อเรารวยขึ้น จะไปรับจ้างเขาทำไม ส่งออกเงินไปลงทุน ไปซื้อทรัพย์สิน
ต่างประเทศดีกว่า เป็นบทบาทประเทศไทย จากทำงานรับจ้าง สู่ นายทุน
สิงขโปร์ น่าจะเป็นตัวอย่างได้
เมื่อเรารวยขึ้น จะไปรับจ้างเขาทำไม ส่งออกเงินไปลงทุน ไปซื้อทรัพย์สิน
ต่างประเทศดีกว่า เป็นบทบาทประเทศไทย จากทำงานรับจ้าง สู่ นายทุน
สิงขโปร์ น่าจะเป็นตัวอย่างได้
- OutOfMyMind
- Verified User
- โพสต์: 1242
- ผู้ติดตาม: 0
คอลัมน์: หมายเหตุประเทศไทย: สงครามค่าเงินสงครามโลกยุคใหม่
โพสต์ที่ 4
ผมก็เห็นด้วยนะครับ การที่เรามองว่าคนโน้นคนนี้ เขามีนโยบายอย่างไร แล้วก็โอดครวญว่า เขาเอาเปรียบ เขาโกง แทนที่จะมามอง หามุมที่เป็นโอกาสสำหรับเรา ทำให้ผมนึกถึงหนังสือเรื่อง who moves my cheese หวังว่ารัฐบาลจะตัดสินใจอะไรที่ถูกต้อง ในการ position ศก ไทยให้ได้ประโยชน์จากการแข็งค่าของเงินบาทในครั้งนี้นะครับ
บทความดีดีสำหรับนักลงทุนเน้นคุณค่า
https://www.facebook.com/OutOfMyMindOnValueInvestment
https://www.facebook.com/OutOfMyMindOnValueInvestment
- Financeseed
- Verified User
- โพสต์: 1304
- ผู้ติดตาม: 0
คอลัมน์: หมายเหตุประเทศไทย: สงครามค่าเงินสงครามโลกยุคใหม่
โพสต์ที่ 6
วันนี้จีนขึ้นดอกเบี้ย เอาคืนอเมริกา
ที่จะให้เงินบาทของจีนแข็งค่า เงินเมกาเลยแข็ง เงินจีนเลยอ่อน
เมกากับจีนคู่นี้สู้กันอีกยาว 555++
ที่จะให้เงินบาทของจีนแข็งค่า เงินเมกาเลยแข็ง เงินจีนเลยอ่อน
เมกากับจีนคู่นี้สู้กันอีกยาว 555++
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 340
- ผู้ติดตาม: 0
คอลัมน์: หมายเหตุประเทศไทย: สงครามค่าเงินสงครามโลกยุคใหม่
โพสต์ที่ 7
ได้เห็นอีกมุมมองเลยครับ ค่าเงินแข็งไปลงทุนประเทศอื่นบ้าง
อีกอย่างค่าเงินแข็ง ทุกคนในประเทศรวยขึ้น
ไม่เคยคิดในมุมนี้เลย ขอบคุณมากครับ
อีกอย่างค่าเงินแข็ง ทุกคนในประเทศรวยขึ้น
ไม่เคยคิดในมุมนี้เลย ขอบคุณมากครับ
การเปลี่ยนแปลง เริ่มต้นจากการยอมรับ
- ดอยเต่า
- Verified User
- โพสต์: 114
- ผู้ติดตาม: 0
คอลัมน์: หมายเหตุประเทศไทย: สงครามค่าเงินสงครามโลกยุคใหม่
โพสต์ที่ 9
มาตรการเก็บภาษีดอกเบี้ยและกำไรร้อยละ 15
**** มาตรการนี้จริงๆแล้วเก็บได้แค่10%(ก็คือเก็บได้เท่าเดิม) นะครับ เนื่องจากไทยมีการทำสนธิสัญญาไว้ก่อนหน้านีแล้วในเรื่องการเก็บภาษีซ้ำซ้อนกับ 55 ประเทศใหญ่
ส่วนประเทศที่เหลือที่เก็บ 15% จะเป็นประเทศเล็กๆซึ่งไม่มีนัยยะต่อเม็เงินลงทุน
*** มาตรการนี้จึงไม่เป็นผล ทำเพียงเพื่อให้รู้ว่าทำแล้ว (แต่จริงๆไม่ได้ทำ)
ปล. เดี๋ยวนี้ข่าวส่วนใหญ่จะนำเสนอความจริงเพียงครึ่งเดียว
**** มาตรการนี้จริงๆแล้วเก็บได้แค่10%(ก็คือเก็บได้เท่าเดิม) นะครับ เนื่องจากไทยมีการทำสนธิสัญญาไว้ก่อนหน้านีแล้วในเรื่องการเก็บภาษีซ้ำซ้อนกับ 55 ประเทศใหญ่
ส่วนประเทศที่เหลือที่เก็บ 15% จะเป็นประเทศเล็กๆซึ่งไม่มีนัยยะต่อเม็เงินลงทุน
*** มาตรการนี้จึงไม่เป็นผล ทำเพียงเพื่อให้รู้ว่าทำแล้ว (แต่จริงๆไม่ได้ทำ)
ปล. เดี๋ยวนี้ข่าวส่วนใหญ่จะนำเสนอความจริงเพียงครึ่งเดียว