ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"
-
- Verified User
- โพสต์: 423
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"
โพสต์ที่ 31
ขออนุญาตขยายความเพิ่มอีกนิดครับ
[quote="END"]ผมลองถามผู้รู้มาแต่ผมก็โง่อยู่ดีไม่เข้าใจที่เขาอธิบาย
ในความเข้าใจของผมถ้าเราได้ผลตอบแทนเดือนละ 6% แบบทบต้น
กรณีถือ(สมมุติได้กำไรแบบคงที่เดือนละ6%)
เดือนที่ 1 หุ้นขึ้น 6% เราก็จะได้กำไร 6% พอเดือนที่ 2 หุ้นขึ้นอีก 6% รวม
แล้วขึ้น 12% ( 6*2 ) เราก็จะได้กำไร 12% พอครบ 1 ปีเราก็จะได้กำไร 6*12
= 72%
[quote="END"]ผมลองถามผู้รู้มาแต่ผมก็โง่อยู่ดีไม่เข้าใจที่เขาอธิบาย
ในความเข้าใจของผมถ้าเราได้ผลตอบแทนเดือนละ 6% แบบทบต้น
กรณีถือ(สมมุติได้กำไรแบบคงที่เดือนละ6%)
เดือนที่ 1 หุ้นขึ้น 6% เราก็จะได้กำไร 6% พอเดือนที่ 2 หุ้นขึ้นอีก 6% รวม
แล้วขึ้น 12% ( 6*2 ) เราก็จะได้กำไร 12% พอครบ 1 ปีเราก็จะได้กำไร 6*12
= 72%
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเดินทางสายนี้คือ จิตใจที่มั่นคงและแน่วแน่.....ส่วนความรู้เป็นสิ่งที่สามารถไขว่คว้าเพื่อตามให้ทันผู้อื่นได้ สู้ต่อไป...
- picklife
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2567
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"
โพสต์ที่ 32
ขอตอบเป็นข้อๆนะครับ(สงสัยสอนจระเข้หลายตัวว่ายน้ำ )ผมไม่เข้าใจตรงที่ว่าเราจะถือหุ้นให้มันทบต้นได้อย่างไร เอาแบบถือเหมือน
ดร. เลยอะครับ เช่นถ้าเราซื้อหุ้น 100 บาท เราต้องทำกำไรให้ได้ 100%
ถึงจะทบต้นเป็น 200 บาท แต่ของ ดร. ท่านบอกว่ากำไรเฉลี่ย 30% ต่อปี
รู้สึกท่านจะเริ่มต้นที่เงิน 30 กว่าล้านแล้วมันทบต้นยังไงถึงเป็น 1 พันล้าน
มันก็ต้องขึ้นกว่า 3000% ซิครับผมก็เลยงง เอาแบบคิดง่ายๆนะครับ สมมุติ
ว่าเราได้กำไรทุกปี
1.การทบต้นหมายถึงอะไร? การทบต้นหมายถึงการนำผลตอบแทนที่ได้ไปลงทุนต่อ เช่น
ปี53มีเงิน100ลงทุน1ปีได้กำไร10%คือ10บาท แสดงว่าปีที่54เราจะมีเงิน110บาท
ปี54มีเงิน110บาท(เพราะเราไม่เอาเงินออก) กำไร10%คือ11บาท แสดงว่าปีที่55เราจะมีเงิน121บาท
ปี55มีเงิน121บาท(เพราะเราไม่เอาเงินออก) กำไร10%คือ12.1บาท แสดงว่าปีที่56เราจะมีเงิน133.1บาท
สิ่งนี้เรียกว่าการทบต้น!!! การทบต้นไม่จำเป็นต้องได้กำไร100%ถึงทบต้น กำไรเท่าไหร่ก็ได้ตราบใดที่เราไม่เอากำไรนั้นออกมา เราก็เรียกว่าทบต้น
ซึ่ง!!! การทบต้นที่จริงสามารถจะคิดแบบไหนก็ได้แล้วแต่ จะคิดทบต้นทั้งระบบอย่างที่คุณENDบอกว่าลงทุน100ต้องได้กำไร100รวมเป็น200โดยไม่สนใจว่าใช้ระยะเวลาเท่าไหร่ถึงจะเรียกว่าทบต้น
ก็สามารถบอกแบบนั้น คนหนึ่งบอกทบต้นทุกวัน อีกคนบอกทุกเดือน อีกคนบอกทุกปี คุณENDบอกทั้งระบบการลงทุน ซึ่งConceptเหมือนกัน แต่!!!ต่างกันที่กรอบเวลา ซึ่งหากแต่ละคนคิดกรอบเวลาไม่เหมือนกันเราก็เอาผลตอบแทนมาเทียบกันยาก
เพราะกรอบเวลาที่คิดคนละระบบ ซึ่งถ้าเราไม่สนใจผลตอบแทนคนทั้งโลกอยู่คนเดียวเทียบกับตัวเองก็ได้เหมือนกัน แต่หากเราใส่ใจผลตอบแทนคนอื่นๆด้วยเราก็ต้องกำหนดกรอบเวลาที่ตรงกัน ระบบเดียวกัน ซึ่งระบบมาตฐานที่ใช้อยู่ตอนนี้ก็เป็นระบบทบต้นที่ตัดยอดทุกๆ1ปี
ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วย ดังนั้นด้วยระบบการเงินการบัญชีภาษีและอื่นๆทั้งหมด จึงคุยกันที่กรอบเวลาเดียวกันคือ1ปี!!!
ซึ่งจากสูตร F=P*(1+i)^n เราก็จะFixไว้ที่nคือจะนวนปี iคือจำนวนผลตอบแทนต่อปี เป็นกรอบเวลาเดียวกัน กำไรที่ได้จะต้องตัดยอดทุกๆ1ปี
(แต่ของธนาคารเนื่องการเงินเข้าออกเป็นรายวัน การทบต้นของดอกธนาคารจึงเป็นรายวัน แต่ก็ต้องรักษาระบบปีด้วย ดอกเบี้ยจึงบอกมาเป็นต่อปี
แล้วพอคิดต่อวันค่อยไปหารจำนวนวันทีหลัง แต่สำหรับธุรกิจและการลงทุน ผมว่าเรามองกันเป็นปีต่อปี ง่ายและชัดเจน และใช้กันทั่วโลก น่าจะลงตัวสุดแล้ว)
เม่าน้อยคลำทางหาแสงไฟ
- picklife
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2567
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"
โพสต์ที่ 33
ดังนั้น เมื่อคุณENDต้องการเปรียบเทียบผลตอบแทนตัวเองกับคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนด้วยกัน การฝากประจำ การซื้อบอนด์ การลงทุนทำธุรกิจ คุณENDก็ต้องใช้ระบบเดียวกันที่คนอื่นเขาใช้ ผมไม่ได้บอกว่าห้ามนอกกรอบเรานอกกรอบได้ครับแต่เราน้องนอกกรอบคนเดียวไม่วามารถนำผลตอบแทนไปเทียบกับคนอื่นได้ ซึ่งหากคุณENDต้องการนำผลตอบแทนไปเทียบกับคนอื่นระบบอื่นการลงทุนอื่นๆ คุณENDต้องคิดในกรอบครับ
ซึ่งกรอบก็ง่ายมากๆคุณENDน่าจะรู้อยู่แล้วนะครับ ยกตัวอย่างเลยละกันเข้าใจง่ายดี
จะซื้อหุ้นตัวเดียวหรือหลายร้อยตัวอย่าไปสน กำไรขาดทุนที่แสดงในพอร์ทเท่าไหร่อย่าไปแคร์ สนอย่างเดียวคือ!!! มูลค่าในพอร์ทเท่านั้น!!!
สูตรหากำไรปีนั้นๆ i=F/P-1 (คูณ100เพื่อให้เป็น%)
i=ผลตอบแทนปีนั้นๆ P=มูลค่าพอร์ทต้นปี F=มูลค่าพอร์ทปลายปี
สูตรหากำไรทบต้น i=((F/P)^(1/n))-1 (คูณ100เพื่อให้เป็น%)
i=ผลตอบแทนปีนั้นๆ P=มูลค่าพอร์ทเริ่มลงทุน F=มูลค่าพอร์ทปีล่าสุด n=จำนวณปีทั้งหมดในการลงทุน
ปีที่0 เริ่มลงทุนด้วยเงิน100มูลค่าในพอร์ท100
ปีที่1 มูลค่าในพอร์ท 150, กำไรปีที่1=150/100-1=50.0%, กำไรทบต้น1ปี=((150/100)^(1/1))-1=50.0%
ปีที่2 มูลค่าในพอร์ท 200, กำไรปีที่2=200/150-1=33.3%, กำไรทบต้น2ปี=((200/100)^(1/2))-1=41.4%
ปีที่3 มูลค่าในพอร์ท 120, กำไรปีที่3=120/200-1=-40.0%, กำไรทบต้น3ปี=((120/100)^(1/3))-1=6.3%
ปีที่4 มูลค่าในพอร์ท 300, กำไรปีที่4=300/120-1=150.0%, กำไรทบต้น4ปี=((300/100)^(1/4))-1=31.6%
ซึ่งกรอบก็ง่ายมากๆคุณENDน่าจะรู้อยู่แล้วนะครับ ยกตัวอย่างเลยละกันเข้าใจง่ายดี
จะซื้อหุ้นตัวเดียวหรือหลายร้อยตัวอย่าไปสน กำไรขาดทุนที่แสดงในพอร์ทเท่าไหร่อย่าไปแคร์ สนอย่างเดียวคือ!!! มูลค่าในพอร์ทเท่านั้น!!!
สูตรหากำไรปีนั้นๆ i=F/P-1 (คูณ100เพื่อให้เป็น%)
i=ผลตอบแทนปีนั้นๆ P=มูลค่าพอร์ทต้นปี F=มูลค่าพอร์ทปลายปี
สูตรหากำไรทบต้น i=((F/P)^(1/n))-1 (คูณ100เพื่อให้เป็น%)
i=ผลตอบแทนปีนั้นๆ P=มูลค่าพอร์ทเริ่มลงทุน F=มูลค่าพอร์ทปีล่าสุด n=จำนวณปีทั้งหมดในการลงทุน
ปีที่0 เริ่มลงทุนด้วยเงิน100มูลค่าในพอร์ท100
ปีที่1 มูลค่าในพอร์ท 150, กำไรปีที่1=150/100-1=50.0%, กำไรทบต้น1ปี=((150/100)^(1/1))-1=50.0%
ปีที่2 มูลค่าในพอร์ท 200, กำไรปีที่2=200/150-1=33.3%, กำไรทบต้น2ปี=((200/100)^(1/2))-1=41.4%
ปีที่3 มูลค่าในพอร์ท 120, กำไรปีที่3=120/200-1=-40.0%, กำไรทบต้น3ปี=((120/100)^(1/3))-1=6.3%
ปีที่4 มูลค่าในพอร์ท 300, กำไรปีที่4=300/120-1=150.0%, กำไรทบต้น4ปี=((300/100)^(1/4))-1=31.6%
เม่าน้อยคลำทางหาแสงไฟ
- picklife
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2567
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"
โพสต์ที่ 34
F=P*(1+i)^n เห็นมีน้องๆหลายคนบอกว่าเข้าใจ.....สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะแชร์จากประสบการณ์ตัวผมเองนะครับ
ตอนนั้นผมเรียนป.ตรี ผมเจอสูตรนี้ คิดได้เป็นและสอบได้เกรดAและเพื่อนผมหลายๆคนก็ได้A-Bเช่นกัน ตอนนั้นผมและเพื่อนๆคิดว่าเราเข้าใจสูตรนี้แล้ว
แต่พอเวลาผ่านมาจากวันนั้น4ปี ผมเริ่มเข้ามาสู๋โลกการลงทุนและเอาสูตรนี้มานั่งดูใหม่....ผมกลับค้นพบความสุดยอด และเข้าใจทุกคำพูดไม่ว่าจะเป็น
"มีล้านแรกยากที่สุด แต่พอมีล้านแรกแล้ว ล้านต่อมาจะง่ายขึ้น"
"ออมก่อนรวยกว่า"
"อยู่อย่างจนจะรวย อยู่อย่างรวยจะจน"
และคำพูดของไอสไตร์ที่ว่า"สิ่งมหัศจรรย์อันดับที่8ของโลกที่มนุษย์สร้างขึ้นคือ...ดอกทบต้น"
ทำให้ผมมองย้อนกลับไปตอนเรียนว่าเราช่างโง่เขลานัก นับแต่นั้นผมไม่กล้าใช้คำว่าเข้าใจอีกเลย
เพราะว่าเข้าใจ=เข้า+ใจ หมายถึงเข้าไปถึงในใจกลางนั้นๆ เข้าไปถึงหัวใจของมัน ตอนนี้ผมมองไปตอนนั้น
แม้นผมจะได้Aวิชานี้มา แต่ผมไม่เข้าใจเรื่องเงินกับเวลาเลย ผมแค่รู้เรื่องเงินกับเวลา ซึ่งแค่รู้เรื่องก็เพียงพอกับการได้เกรดนั้นมา
มีโจทย์มาทำได้หมด ตรงนี้ผมว่าใช้แค่คำว่ารู้เรื่องหรือทำได้หรือเข้าใจที่มาที่ไป แล้วเมื่อคุณเข้าลึกเข้าไปอีกขั้นจนถึงแก่น เมื่อนั้นก็ค่อยใช้คำว่าเข้าใจก็ไม่สายครับ
โดยส่วนตัวผมเริ่มเปลี่ยนจากรู้เรื่องเป็นเข้าใจ จากการที่ผมลองเขียนกราฟระหว่างเงินกับเวลา น้องๆท่านใดที่ยังไม่เคยเขียนลองเขียนดูนะครับแล้วลองนั่งมองดูมันนานๆ
แล้วคิดมากๆๆๆๆ จนถึงจุดหนึ่งก็จะเข้าใจมันเองครับ
ตอนนั้นผมเรียนป.ตรี ผมเจอสูตรนี้ คิดได้เป็นและสอบได้เกรดAและเพื่อนผมหลายๆคนก็ได้A-Bเช่นกัน ตอนนั้นผมและเพื่อนๆคิดว่าเราเข้าใจสูตรนี้แล้ว
แต่พอเวลาผ่านมาจากวันนั้น4ปี ผมเริ่มเข้ามาสู๋โลกการลงทุนและเอาสูตรนี้มานั่งดูใหม่....ผมกลับค้นพบความสุดยอด และเข้าใจทุกคำพูดไม่ว่าจะเป็น
"มีล้านแรกยากที่สุด แต่พอมีล้านแรกแล้ว ล้านต่อมาจะง่ายขึ้น"
"ออมก่อนรวยกว่า"
"อยู่อย่างจนจะรวย อยู่อย่างรวยจะจน"
และคำพูดของไอสไตร์ที่ว่า"สิ่งมหัศจรรย์อันดับที่8ของโลกที่มนุษย์สร้างขึ้นคือ...ดอกทบต้น"
ทำให้ผมมองย้อนกลับไปตอนเรียนว่าเราช่างโง่เขลานัก นับแต่นั้นผมไม่กล้าใช้คำว่าเข้าใจอีกเลย
เพราะว่าเข้าใจ=เข้า+ใจ หมายถึงเข้าไปถึงในใจกลางนั้นๆ เข้าไปถึงหัวใจของมัน ตอนนี้ผมมองไปตอนนั้น
แม้นผมจะได้Aวิชานี้มา แต่ผมไม่เข้าใจเรื่องเงินกับเวลาเลย ผมแค่รู้เรื่องเงินกับเวลา ซึ่งแค่รู้เรื่องก็เพียงพอกับการได้เกรดนั้นมา
มีโจทย์มาทำได้หมด ตรงนี้ผมว่าใช้แค่คำว่ารู้เรื่องหรือทำได้หรือเข้าใจที่มาที่ไป แล้วเมื่อคุณเข้าลึกเข้าไปอีกขั้นจนถึงแก่น เมื่อนั้นก็ค่อยใช้คำว่าเข้าใจก็ไม่สายครับ
โดยส่วนตัวผมเริ่มเปลี่ยนจากรู้เรื่องเป็นเข้าใจ จากการที่ผมลองเขียนกราฟระหว่างเงินกับเวลา น้องๆท่านใดที่ยังไม่เคยเขียนลองเขียนดูนะครับแล้วลองนั่งมองดูมันนานๆ
แล้วคิดมากๆๆๆๆ จนถึงจุดหนึ่งก็จะเข้าใจมันเองครับ
เม่าน้อยคลำทางหาแสงไฟ
-
- Verified User
- โพสต์: 57
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"
โพสต์ที่ 35
ขออนุญาตแชร์ความเข้าใจนะครับ
ผมคิดว่า คุณ END คงงงคำว่า ทบต้น
ทบต้น ไม่ได้หมายความว่า กำไรเทียบเท่าเงินต้น
แต่มันแปลว่า ผลกำไรที่ได้ ไปประกบกับเงินต้น เพื่อลงทุนต่อ
ดังนั้น ที่ ดร. นิเวศน์พูดถึง ก็แค่หมายถึง คุณจะไม่เอาเงินที่คุณลงทุนไป รวมถึงผลตอบแทน ไม่ว่าทางไหนออกมา แล้วนำเงินไปลงทุนต่อ แค่นั้นเองครับ
ดังนั้น ถ้าคุณยกตัวอย่างหุ้นไม่ปันผล ถือยังไงให้ทบต้น
คำตอบคือ มันทบอยู่แล้ว ตราบใดที่คุณไม่ขายมันออก
งั้นถ้าไม่ทบล่ะ จะเป็นยังไง ..
ไม่ทบก็คือ เงินต้นคุณ 100 มันก็จะเป็น 100 อยู่อย่างนั้น และผลกำไรจากการเติบโตของหุ้น คุณจะเอามันออกไป เพราะมันจะไม่ใช่เงินลงทุนซ้ำของคุณอีก(ก็จะให้มันไม่ทบไง)
ผลล่ะ..
หุ้นเดิม 10 หุ้น หุ้นละ 10 บาท มูลค่า 100 บาท
สิ้นปีที่ 1 หุ้นโต 10เปอร์เซนต์
จำนวนหุ้น 10 หุ้น หุ้นละ 11 บาท มูลค่า 110 บาท
แต่เนื่องจากคุณจะไม่ทบต้น ก็คือ คุณต้องขายหุ้นทิ้ง "เกือบๆ 1 หุ้น" (สมมุตินะครับ) เพื่อขายทิ้งให้เหลือแต่เงินต้น 100 บาท เหมือนเดิม
ส่วนเงินที่คุณขายได้ ก็เอาไปกิน เล่น เที่ยวตามใจชอบไป ไม่ใช่ลงทุน
จะเกิดอะไรขึ้น..
คือ คุณจะเหลือหุ้นในมือ ราวๆ 9 หุ้น มูลค่า 100 บาท
และถ้าปีต่อไปมันโต 10% อีก เงินที่คุณจะได้มันจะเท่ากับ 110 อีกครั้ง
ซึ่งรวมผมตอบแทน 2 ปีของคุณ มันจะเป็น 20 บาท แทนที่จะเป็น 21 บาทตามการลงทุนแบบทบต้น(ตามตัวอย่างที่พี่ๆเค้ายกมาข้างบน)
ผมคิดว่า คุณ END คงงงคำว่า ทบต้น
ทบต้น ไม่ได้หมายความว่า กำไรเทียบเท่าเงินต้น
แต่มันแปลว่า ผลกำไรที่ได้ ไปประกบกับเงินต้น เพื่อลงทุนต่อ
ดังนั้น ที่ ดร. นิเวศน์พูดถึง ก็แค่หมายถึง คุณจะไม่เอาเงินที่คุณลงทุนไป รวมถึงผลตอบแทน ไม่ว่าทางไหนออกมา แล้วนำเงินไปลงทุนต่อ แค่นั้นเองครับ
ดังนั้น ถ้าคุณยกตัวอย่างหุ้นไม่ปันผล ถือยังไงให้ทบต้น
คำตอบคือ มันทบอยู่แล้ว ตราบใดที่คุณไม่ขายมันออก
งั้นถ้าไม่ทบล่ะ จะเป็นยังไง ..
ไม่ทบก็คือ เงินต้นคุณ 100 มันก็จะเป็น 100 อยู่อย่างนั้น และผลกำไรจากการเติบโตของหุ้น คุณจะเอามันออกไป เพราะมันจะไม่ใช่เงินลงทุนซ้ำของคุณอีก(ก็จะให้มันไม่ทบไง)
ผลล่ะ..
หุ้นเดิม 10 หุ้น หุ้นละ 10 บาท มูลค่า 100 บาท
สิ้นปีที่ 1 หุ้นโต 10เปอร์เซนต์
จำนวนหุ้น 10 หุ้น หุ้นละ 11 บาท มูลค่า 110 บาท
แต่เนื่องจากคุณจะไม่ทบต้น ก็คือ คุณต้องขายหุ้นทิ้ง "เกือบๆ 1 หุ้น" (สมมุตินะครับ) เพื่อขายทิ้งให้เหลือแต่เงินต้น 100 บาท เหมือนเดิม
ส่วนเงินที่คุณขายได้ ก็เอาไปกิน เล่น เที่ยวตามใจชอบไป ไม่ใช่ลงทุน
จะเกิดอะไรขึ้น..
คือ คุณจะเหลือหุ้นในมือ ราวๆ 9 หุ้น มูลค่า 100 บาท
และถ้าปีต่อไปมันโต 10% อีก เงินที่คุณจะได้มันจะเท่ากับ 110 อีกครั้ง
ซึ่งรวมผมตอบแทน 2 ปีของคุณ มันจะเป็น 20 บาท แทนที่จะเป็น 21 บาทตามการลงทุนแบบทบต้น(ตามตัวอย่างที่พี่ๆเค้ายกมาข้างบน)
-
- Verified User
- โพสต์: 57
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"
โพสต์ที่ 36
เอาใหม่นะครับ เมื่อกี้โพสไปแบบลืมโจทย์ จขกท. แหะๆ
ดังนั้น ขอสมมุติโดยใช้แบบ คห. ผมข้างบนละกัน
หุ้น 1 บาท 1000 หุ้น มูลค่า 1000 บาท
สิ้นปี
หุ้น 10 บาท หุ้น 1000 หุ้น มูลค่า 10,000 บาท ปันผล 100 รวม 10,100
ถ้าทบ ก็คือ เงินลงทุนปีถัดไปของคุณ คือ 10,100 บาท
ถ้าปีถัดไป กำไร 10 % มูลค่าพอร์ตคุณจะเป็น 11,110
ถ้าไม่ทบ คุณจะเอาเงินออกมาใช้จ่ายเล่น เหลือแต่เงินต้นไว้ คือ 1000 บาท(ก็ผลกำไร จะไม่เอามาทบกับเงินต้นเพื่อลงทุนต่อนี่) และถ้าปีถัดไป กำไร 10 % มูลค่าพอร์ตคุณจะเป็น 1,100
รวม 2 ปี ถ้าทบต้น คุณจะกำไร 10,110 บาท แต่ถ้าไม่ทบ คุณจะกำไร 9,200 บาท(ปีที่ 1.. 9,100 และปีที่ 2.. 100)
ใช้พื้นที่ไปตั้ง 2 ความเห็น ไม่รู้จะมีประโยชน์มั๊ย แห่ะๆ
ทบต้น คือ ดูหลายๆปีนะครับ ไม่ใช่ปีเดียวแล้วถามว่ามันทบต้นยังไงถ้าหากผมซื้อหุ้นตัวนึงโดยใช้เงิน 1,000 บาทซื้อหุ้นราคา
1 บาทจำนวน 1,000 หุ้น หากใน 1 ปีหุ้นนั้นวิ่งไปที่ราคา
10 บาท และได้ปันผล 10% ( คิดจากราคา1บาท ) เท่ากับว่า
ผมได้กำไรส่วนต่าง 1000% และได้กำไรปันผล 10% เงิน
1,000 บาทของผมก็จะมีตัวเล่นสมมุติที่ 10,000 บาท
( เพราะยังไม่ได้ขาย ) และได้เงินจริงๆจากปันผล 100 บาท
ดังนั้น ขอสมมุติโดยใช้แบบ คห. ผมข้างบนละกัน
หุ้น 1 บาท 1000 หุ้น มูลค่า 1000 บาท
สิ้นปี
หุ้น 10 บาท หุ้น 1000 หุ้น มูลค่า 10,000 บาท ปันผล 100 รวม 10,100
ถ้าทบ ก็คือ เงินลงทุนปีถัดไปของคุณ คือ 10,100 บาท
ถ้าปีถัดไป กำไร 10 % มูลค่าพอร์ตคุณจะเป็น 11,110
ถ้าไม่ทบ คุณจะเอาเงินออกมาใช้จ่ายเล่น เหลือแต่เงินต้นไว้ คือ 1000 บาท(ก็ผลกำไร จะไม่เอามาทบกับเงินต้นเพื่อลงทุนต่อนี่) และถ้าปีถัดไป กำไร 10 % มูลค่าพอร์ตคุณจะเป็น 1,100
รวม 2 ปี ถ้าทบต้น คุณจะกำไร 10,110 บาท แต่ถ้าไม่ทบ คุณจะกำไร 9,200 บาท(ปีที่ 1.. 9,100 และปีที่ 2.. 100)
ใช้พื้นที่ไปตั้ง 2 ความเห็น ไม่รู้จะมีประโยชน์มั๊ย แห่ะๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 224
- ผู้ติดตาม: 1
ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"
โพสต์ที่ 37
1.ถ้าเราไม่เอาเงิน หรือกำไรมาซื้อเพิ่ม มันก็จะไม่มีทางทบต้นใช้หรือไม่
2.ถ้าเราจะถือให้ทบต้น 100% ภายใน1ปี หุ้นตัวนั้นจะต้องขึ้นกี่% (โดยไม่ใส่เงินเพิ่ม)
ขอโทษนะครับที่ผมทำตัวเป็นเด็กวุ่นวาย และขอบพระคุณพี่ๆทุกท่านที่พยาม
อธิบายแล้วอธิบายอีก แต่ตัวนี้ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ขออนุญาตวุ่น
วายจนกว่าจะเข้าใจนะครับ ขอโทษทุกท่านจริงๆครับ
2.ถ้าเราจะถือให้ทบต้น 100% ภายใน1ปี หุ้นตัวนั้นจะต้องขึ้นกี่% (โดยไม่ใส่เงินเพิ่ม)
ขอโทษนะครับที่ผมทำตัวเป็นเด็กวุ่นวาย และขอบพระคุณพี่ๆทุกท่านที่พยาม
อธิบายแล้วอธิบายอีก แต่ตัวนี้ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ขออนุญาตวุ่น
วายจนกว่าจะเข้าใจนะครับ ขอโทษทุกท่านจริงๆครับ
- PrasertsakK
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 292
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"
โพสต์ที่ 38
1. ถ้าเราไม่เอาเงิน มาซื้อเพิ่ม มันก็สามารถคิดแบบทบต้นได้ครับ แต่ผลตอบแทนที่ได้จะลดลงEND เขียน:1.ถ้าเราไม่เอาเงิน หรือกำไรมาซื้อเพิ่ม มันก็จะไม่มีทางทบต้นใช้หรือไม่
2.ถ้าเราจะถือให้ทบต้น 100% ภายใน1ปี หุ้นตัวนั้นจะต้องขึ้นกี่% (โดยไม่ใส่เงินเพิ่ม)
ขอโทษนะครับที่ผมทำตัวเป็นเด็กวุ่นวาย และขอบพระคุณพี่ๆทุกท่านที่พยาม
อธิบายแล้วอธิบายอีก แต่ตัวนี้ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ขออนุญาตวุ่น
วายจนกว่าจะเข้าใจนะครับ ขอโทษทุกท่านจริงๆครับ
ตัวอย่างนะครับ เราซื้อหุ้น 10000 บาท ได้ปันผล 10 % ราคาหุ้นไม่ได้ไปไหนเลย ถ้าเราไม่ซื้อเพิ่ม ปีแรกเราจะได้ผลตอบแทน 10 % ปีทีสองผลตอบแทนของเราจะลดลง คือ เราจะได้เงินเมื่อผ่านไป 2 ปี คือ 12000 บาท แต่ถ้าเราซื้อเพิ่มผลตอบแทนเราจะได้ 10000 x 1.1 x 1.1 = 12100 บาท ครับ
2.ถ้าเราจะถือให้ทบต้น 100% ภายใน1ปี หุ้นตัวนั้นจะต้องขึ้นกี่% ถ้าคิดแค่ 1 ปี หุ้นตัวนั้นต้องขึ้น 100 % ครับ
ps: การคิดแบบทบต้นเป็นแค่วิธีการคิดผลตอบแทนครับ ไม่ได้เกี่ยวกับการจะได้ผลตอบแทนมากหรือน้อย
- picklife
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2567
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"
โพสต์ที่ 40
ไม่หรอกครับ ถามมาตอบไปครับEND เขียน:1.ถ้าเราไม่เอาเงิน หรือกำไรมาซื้อเพิ่ม มันก็จะไม่มีทางทบต้นใช้หรือไม่
วายจนกว่าจะเข้าใจนะครับ ขอโทษทุกท่านจริงๆครับ
-การเอาเงินมาซื้อเพิ่มไม่เกี่ยวกับการทบต้นครับ คนละเรื่องกันเลย การเอาเงินมาซื้อเพิ่มเรียกว่าการเพิ่มทุน การไม่เอาเงินซื้อเพิ่มเรียกว่าการไม่เพิ่มทุน
ปล.ซึ่งเงินที่ซื้อเพิ่มหมายถึงเงินจากที่อื่นนะครับไม่ใช่ขายหุ้นAมาซื้อหุ้นBแบบนี้ไม่เรียกว่าการเอาเงินมาซื้อเพิ่มนะครับ
-การเอากำไรมาซื้อเพิ่ม ผมขอถามก่อนว่ากำไรในที่นี้หมายถึงอะไร ผมแบ่งกำไรเป็น3ส่วนนะครับ
1.กำไรจากเงินปันผล/Warrant/แจกหุ้น
ทบต้น-ได้ปันผลแล้วเอาเงินสดมาซื้อหุ้นเพิ่ม/ได้Warrantแล้วไม่ขายเอาเงินสดออกมา
ไม่ทบต้น-ได้ปันผลแล้วเอาเงินสดออกมาจากพอร์ท/ได้Warrantแล้วขายเอาเงินสดออกมา
2.กำไรจากราคาที่ขึ้นมามากๆแล้วขายหุ้นไปแล้ว
ทบต้น-ซื้อหุ้น100ราคาขึ้นมา120ขายได้เงินมา120เอาเงิน120ไปซื้อหุ้นต่อ
ไม่ทบต้น-ซื้อหุ้น100ราคาขึ้นมา120ขายได้เงินมา120เอาเงิน100ไปซื้อหุ้น เอาเงินสด20ออกจาพอร์ท
3.กำไรจากราคาหุ้นที่ขึ้นมามากๆแล้วยังไม่ขายหุ้น
ทบต้น-ซื้อหุ้น100ราคาขึ้นมา120ขายยังไม่ขาย ใช้เวลา6เดือนแสดง6เดือนคุณลงทุนแบบทบต้นมาตลอด
ไม่ทบต้น-ซื้อหุ้น100ราคาขึ้นมา101 ขาย1บาทให้พอร์ทเหลือ100 แล้วเอาเงินสดออกมา ทำแบบนี้ซ้ำๆเรียกว่าการไม่ทบต้น
สรุป ถ้าคุณทำทั้ง3อย่างแสดงว่าคุณลงทุนแบบทบต้น
แต่หากทำบางส่วนก็แสดงว่าคุณทบต้นบางส่วน
เม่าน้อยคลำทางหาแสงไฟ
- picklife
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2567
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"
โพสต์ที่ 41
ปกติไม่มีใครในตลาดหุ้นใช้คำว่าทบต้น100%ในความหมายน้องนะครับEND เขียน:2.ถ้าเราจะถือให้ทบต้น 100% ภายใน1ปี หุ้นตัวนั้นจะต้องขึ้นกี่% (โดยไม่ใส่เงินเพิ่ม)
น้องคงเข้าใจคำว่าทบต้นผิดอย่างแรง!!!!
ถ้าพูดว่าทบต้น100% หมายถึง น้องต้องทำให้ครบทั้ง3ข้อตามที่พี่บอกถึงเรียกได้ว่าทบต้น100% แต่หากทำบางข้อเรียกว่าทบต้นบางส่วนครับ
ถ้าพูดว่ากำไร100%ในปีนี้ หมายถึงพอร์ทน้องต้องโตเท่าตัวครับ จับ*2ครับ
ถ้าพูดว่ากำไรทบต้น100%มา3ปี หมายถึงได้กำไรปีละ100%มา3ปีโดยลงทุนแบบทบต้น สังเกตุดีๆนะน้อง
กำไรทบต้น=กำไร+ทบต้น
กำไรคือผลตอบแทน
ทบต้นคือลักษณะการหมุนเงินลงทุน
หรือมีคนถามเราว่าเรากำไรทบต้นเท่าไหร่ในการลงทุนมา2ปีของเรา ในกรณีกำไร 50% 2ปีติด ก็ตอบได้เลยว่า กำไรทบต้น50%
แต่หากออกมาเป็นแบบนี้
ปีที่1 +20%
ปีที่2 -50%
ปีที่3 +100%
ถ้ามีคนถามว่ากำไรเฉลียเท่าไหร่ คนมักจะคิดกับง่ายๆ คือ (20-50+100)/3=23% ดูเหมือนจะดี แต่มันคิดผิด มันคิดคนละระบบกับดอกเบี้ยดังนั้นจะเอาตัวนี้มาเปรียบเทียบว่า ผมเล่นหุ้นผมได้23% เทียบกับซื้อพันธบัตร6% ดีกว่ามากมายเล่นหุ้นดีกว่า......ซึ่งนี่ละคือหายนะจากใช้สูตรผิดๆมาวิเคราะห์
คนถึงถามใหม่ แทนที่จะถามว่า กำไรเฉลี่ย เท่าไหร่ มาเป็น กำไรเฉลี่ยทบต้นเท่าไหร่
สมมุติผลตอบแทน3ปีเป็นดังข้างต้นที่เขียนมา
สมมุติลงทุน100บาท
จะเป็น=100*1.2*0.5*2=120บาท
คิดตามสูตรที่ผมบอก
สูตรหากำไรทบต้น i=((F/P)^(1/n))-1
i = ((120/100)^(1/3))-1 = 6.2%
23%กับ6.2%มันคนละเรื่องเลยเห็นไหมครับ ดังนั้นคนถึงต้องเน้นไงครับ ว่ากำไรทบต้น นะครับ ไม่ใช่กำไรเฉยๆ ดังนั้นน้องENDจงอย่าสับสนไปว่าคำว่าทบต้นหมายถึงกำไรนะครับ
ซึ่งลองดูเคสนี้ดู จากที่คิดว่าเล่นหุ้นดีกว่าได้23%ฝากพันธบัตรได้แค่6
จะกลายเป็น จากที่คิดว่าเล่นหุ้นได้6.2%ฝากพันธบัตรได้6%
ดังนั้นคำตอบจากการวิเคราะห์จะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
จะกลายเป็นว่าพันธบัตรไม่มีความเสี่ยง6% เปลี่ยนเป็นหุ้นที่6.2%พร้อมกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นอย่างมากกกก
ดังนั้นส่วนต่าง0.2%คงไม่คุ้มกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นมา ดังนั้นในเคสนี้การลงทุนในหุ้นคงอาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดของคนคนนี้ ณ.เวลานี้ ณ.ความรู้นี้
เม่าน้อยคลำทางหาแสงไฟ
-
- Verified User
- โพสต์: 224
- ผู้ติดตาม: 1
ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"
โพสต์ที่ 43
เครื่องหมาย ^ ต้องเอาไปทำอะไรครับ พอดีความสามารถไม่ถึงสูตรหากำไรทบต้น i=((F/P)^(1/n))-1
ผลตอบแทนของผม เริ่มลงทุนเดือนแรก 200 บาท
จบเดือนแรกได้กำไร 35% พอสิ้นเดือนผมขายได้เงินมาทั้งสิน 270 บาท
เดือนที่2 นำเงิน 270 บาทไปซื้อหุ้นทั้งหมด สิ้นเดือนขายได้กำไร 6% รวมเป็น
เงิน 286.2 บาท
เดือนที่3 ผมนำเงิน 286.2 ไปซื้อหุ้นทั้งหมด สิ้นเดือนขายได้กำไร 90% รวม
เป็นเงิน 543.78 บาท
เดือนที่4 (เดือนนี้) ผมนำเงิน 543.78 ไปซื้อหุ้นทั้งหมดแต่ยังไม่ได้ขาย(ยังไม่
ถึงสินเดือน) ตอนนี้กำไร 9%
ผมได้ผลตอบแทนเฉลี่ยแบบทบต้นเท่าไรครับ เพราะไปคำนวนใน Excel
ตัวเล่นมันแปลกๆ เนื่องจากสมองยังไม่ถึงขั้นรบกวนชี้แนะด้วยนะครับ
ปล. หากเปลี่ยนเงินเริ่มต้นเป็น 2000 บาทแล้วได้% เหมือนข้างต้น
กำไรเฉลี่ยแบบทบต้นจะออกมาเหมือนกันไหมครับ
- sathaporne
- Verified User
- โพสต์: 1661
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"
โพสต์ที่ 44
[quote="END"][quote]สูตรหากำไรทบต้น
-
- Verified User
- โพสต์: 807
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"
โพสต์ที่ 45
เรื่องที่น่าสนใจมันอยู่ตรงนี้ครับ
การลงทุนแบบนี้
การลงทุนแบบนี้
มีค่าเท่ากับการลงทุนแบบนี้picklife เขียน:ปีที่1 +20%
ปีที่2 -50%
ปีที่3 +100%
การขาดทุนมีต้นทุนที่สูงมากครับ การทำผลตอบแทนสูงมากๆ ในปีเดียวไม่ใช่เรื่องยากครับ ที่จริงเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็ทำได้ด้วยซ้ำ แต่ผู้ที่ประสบความสำเร็จจากการลงทุนเกิดจากกาำรสร้างผลตอบแทนทบต้นที่สม่ำเสมอโดยไม่ขาดทุนต่างหาก ลองดูผลตอบแทนย้อนหลังของ Buffet ดูนะครับปีที่1 +6.2%
ปีที่2 +6.2%
ปีที่3 +6.2%
อย่ายอมแพ้
- Eyore
- Verified User
- โพสต์: 606
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"
โพสต์ที่ 46
ผมว่า วิธีที่คุณ END จะเข้าใจได้ง่ายที่สุดนะ
ให้แบ่งเงินเป็นสองส่วน ส่วนละ 100
แล้วคิดซะว่าถือหุ้นตัวเดียวกัน
แล้วสมมุติราคาหุ้นแต่ละเดือนขึ้นมาตามต้องการ
แล้วเอาผลตอบแทนมาเปรียบเทียบกัน
แล้วก็จะเข้าใจได้เองว่า
ทั้งสองวิธีให้ผลตอบแทนเท่ากัน
ที่คุณคิดว่ามันไม่เท่ากัน
เพราะความเข้าใจผิดของคุณ END เอง
เพราะผลตอบแทน 6% ต่อเดือนเท่ากัน
แต่สำหรับการไม่ซื้อขาย
คุณดันไปเทียบ 6% กับเงินต้น มันก็ผิดน่ะสิ ไม่ได้เทียบต่อเดือนเหมือนๆกัน
ลองคิดว่า ซื้อหุ้นตัวเดียวกัน แต่คนละวิธี
ก็จะเข้าใจว่าได้เท่ากัน
แต่การซื้อๆขายๆต้องเสียค่าคอมด้วย
ให้แบ่งเงินเป็นสองส่วน ส่วนละ 100
แล้วคิดซะว่าถือหุ้นตัวเดียวกัน
แล้วสมมุติราคาหุ้นแต่ละเดือนขึ้นมาตามต้องการ
แล้วเอาผลตอบแทนมาเปรียบเทียบกัน
แล้วก็จะเข้าใจได้เองว่า
ทั้งสองวิธีให้ผลตอบแทนเท่ากัน
ที่คุณคิดว่ามันไม่เท่ากัน
เพราะความเข้าใจผิดของคุณ END เอง
เพราะผลตอบแทน 6% ต่อเดือนเท่ากัน
แต่สำหรับการไม่ซื้อขาย
คุณดันไปเทียบ 6% กับเงินต้น มันก็ผิดน่ะสิ ไม่ได้เทียบต่อเดือนเหมือนๆกัน
ลองคิดว่า ซื้อหุ้นตัวเดียวกัน แต่คนละวิธี
ก็จะเข้าใจว่าได้เท่ากัน
แต่การซื้อๆขายๆต้องเสียค่าคอมด้วย
-
- Verified User
- โพสต์: 3350
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"
โพสต์ที่ 47
ผมขอเสนออีกวิธีคิดง่ายๆนะคับ
สมมติท่านถือหุ้น 1 ตัว ไม่ขาย และซื้อเพิ่มตัวเดิมตลอด
ถ้าคิดตามบัญชี ไม่มีการ realalize profit
แต่แค่จะทำบัญชีเฉยๆ
ให้ใช้สูตรนี้
มูลค่าปัจจุบัน = ราคาต้นทุน x (1+ r )ยกกำลังปี
ซึ่งมูลค่าปัจจุบันคือราคาหุ้นรวมที่ซื้อขาย ณ วันที่ทำจะทำบัญชีส่วนตัว
ราคาต้นทุน ก็คือไอ้ช่องที่ท่านเห็นในพอร์ทท่านนั่นแหละ
ปีคือจำนวนปีที่ท่านลงทุน ลองถอดสมการมาท่านก็จะได้ ผลตอบแทนแบบทบต้น ทางบัญชี
ซึ่งคนละเีรื่องกับการ realize profit (หมายถึงซื้อขาย
เก็บเงินสด ) ซึ่งคงต้องคำนวณตัวแปรอีกแบบ
ปล. ไม่รู้ตอบตรงคำถามไหมนะคับ
ส่วนตัว ผมดูง่ายๆ คือ บันทัดสุดท้าย ต้นทุนหุ้นทั้งหมดผมมีเท่าไหร่ อันนั้นก็คือต้นทุนผม อีกอันคือราคาตลาดของหุ้นรวมทั้งหมดที่ผมมี อีกส่วนคือส่วนเงืนสดที่ผมrealize แล้ว ผมก็เอา
ก้อนต้นทุนมาคำนวณ กับ ราคาตลาด + เงินสดที่เกิบได้จากหุ้น ก็จะคำนวณออกมาได้ ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง
แต่ถ้าท่านใส่เงินเพิ่ม ต้องทำเป็น zigma รวมก่อน
สมมติท่านถือหุ้น 1 ตัว ไม่ขาย และซื้อเพิ่มตัวเดิมตลอด
ถ้าคิดตามบัญชี ไม่มีการ realalize profit
แต่แค่จะทำบัญชีเฉยๆ
ให้ใช้สูตรนี้
มูลค่าปัจจุบัน = ราคาต้นทุน x (1+ r )ยกกำลังปี
ซึ่งมูลค่าปัจจุบันคือราคาหุ้นรวมที่ซื้อขาย ณ วันที่ทำจะทำบัญชีส่วนตัว
ราคาต้นทุน ก็คือไอ้ช่องที่ท่านเห็นในพอร์ทท่านนั่นแหละ
ปีคือจำนวนปีที่ท่านลงทุน ลองถอดสมการมาท่านก็จะได้ ผลตอบแทนแบบทบต้น ทางบัญชี
ซึ่งคนละเีรื่องกับการ realize profit (หมายถึงซื้อขาย
เก็บเงินสด ) ซึ่งคงต้องคำนวณตัวแปรอีกแบบ
ปล. ไม่รู้ตอบตรงคำถามไหมนะคับ
ส่วนตัว ผมดูง่ายๆ คือ บันทัดสุดท้าย ต้นทุนหุ้นทั้งหมดผมมีเท่าไหร่ อันนั้นก็คือต้นทุนผม อีกอันคือราคาตลาดของหุ้นรวมทั้งหมดที่ผมมี อีกส่วนคือส่วนเงืนสดที่ผมrealize แล้ว ผมก็เอา
ก้อนต้นทุนมาคำนวณ กับ ราคาตลาด + เงินสดที่เกิบได้จากหุ้น ก็จะคำนวณออกมาได้ ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง
แต่ถ้าท่านใส่เงินเพิ่ม ต้องทำเป็น zigma รวมก่อน
show me money.
- tradtrae
- Verified User
- โพสต์: 247
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"
โพสต์ที่ 48
อ่านมากตั้งเยอะ สูตรการคำนวณมากมาย จำได้มั้ง แต่ส่วนใหญ่จำไม่ได้ 555
เลยทำให้ตัวเองคิดว่า จะคิดกำไรทบต้นทำไมให้ยุ่งยากก็ไม่รู้ คิดแค่ว่า เวลาปัจจุบันมูลค่าการลงทุนของเราเป็นกี่เท่าของเงินที่ลงทุนไป ง่ายกว่าเยอะ
ไม่งั้น ดร.นิเวศน์ ท่านคงต้องอาศัยเครื่องคอมพิวเตอร์เมนเฟรมสัก 3 ตัว มาช่วยกันคำนวณสัก 3 วัน 3 คืน เพื่อคำนวณว่า มูลค่าการลงทุนของท่าน ตอนนี้เป็นกำไรทบต้นกี่เปอร์เซ็น แน่ๆ เลย :lol:
อีกอย่าง เราต้องการคิดยุ่งยากแบบนั้น ในชีวิตจริง เราคิดแบบนั้นหรือเปล่าน้า :?: :?:
เลยทำให้ตัวเองคิดว่า จะคิดกำไรทบต้นทำไมให้ยุ่งยากก็ไม่รู้ คิดแค่ว่า เวลาปัจจุบันมูลค่าการลงทุนของเราเป็นกี่เท่าของเงินที่ลงทุนไป ง่ายกว่าเยอะ
ไม่งั้น ดร.นิเวศน์ ท่านคงต้องอาศัยเครื่องคอมพิวเตอร์เมนเฟรมสัก 3 ตัว มาช่วยกันคำนวณสัก 3 วัน 3 คืน เพื่อคำนวณว่า มูลค่าการลงทุนของท่าน ตอนนี้เป็นกำไรทบต้นกี่เปอร์เซ็น แน่ๆ เลย :lol:
อีกอย่าง เราต้องการคิดยุ่งยากแบบนั้น ในชีวิตจริง เราคิดแบบนั้นหรือเปล่าน้า :?: :?:
-
- Verified User
- โพสต์: 8
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"
โพสต์ที่ 49
คือว่า ผมเป็นน้องใหม่ของบอร์ดนะครับ เพิ่งสมัครเมื่อวานนี้เอง ^^
เท่าที่ผมอ่านมาคร่าวๆ พี่ๆหลายคนได้ตอบคำถามไปอย่างละเอียดแล้วล่ะครับ แต่ผมไม่ได้อ่านละเอียดเพราะเยอะเหลือเกิน อิอิ (แบบว่าเวลามีน้อย)
ความหมายของ "ทบต้น" ถ้าจะให้ง่ายๆก็เหมือนฝากเงินไว้ในธนาคารแล้วไม่ถอนออกมาเลยนั่นแหละครับ ถ้าอัตราดอกเบี้ยคงที่ ผลตอบแทนของปีต่อๆไปจะคำนวนจากยอดเงินในบัญชีของปีก่อนหน้า
ก็คือไม่ได้เพิ่มเป็นอัตราคงที่เหมือน 1 2 3 4 5 6 แต่จะเพิ่มเป็น % ครับ เช่น
100 110 121 ... อย่างที่หลายๆคนได้ยกตัวอย่างไปแล้ว
--------------------------------------------------------------
ทีนี้ ทำไมการถือหุ้นไว้เฉยๆในบริษัทถึงเป็นการทบต้น ทั้งๆที่เราก็ไม่ได้ขายหุ้นเพื่อเอาเงินไปซื้อหุ้นใหม่สักหน่อย
คำตอบก็คือว่า ด้วยมูลค่าของหุ้นที่เพิ่มขึ้นและดูเหมือนกับว่าเราไม่ได้เอาไปลงทุนอะไรเพิ่มนั้น ที่จริงแล้วไม่ใช่ครับ
เพราะว่าผู้บริหารของบริษัทที่เราถือหุ้นอยู่ได้นำเอากำไรที่ทำได้ (ซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นขยับสูงขึ้น) ไปลงทุนในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการขยายธุรกิจ ควบรวมกิจการ หรือซื้อหุ้นคืน เป็นต้น
ซึ่งจากผลของการลงทุนใหม่ๆนั้น จะส่งผลให้กำไรของปีต่อๆไปมากขึ้นเรื่อยๆ และทำให้ราคาของหุ้นขยับตัวสูงขึ้นตามกำไรที่ทำได้
นั่นก็คือมีการทบต้นแล้วนั่นเองครับ (เพียงแต่ว่าคนที่เอาไปทำให้ทบต้นเป็นผู้บริหาร ไม่ใช่เรา)
------------------------------------------------------------------
ถ้าจะยกตัวอย่างให้เป็นเป็นรูปธรรมนะครับ (ตัวอย่างนี้ผมขอสมมติให้ "ราคาหุ้น" อยู่ที่ P/E = 1 นะครับ)
สมมติว่าคุณ End หุ้นกับเพื่อนซื้อตู้กดน้ำราคา 120 บาท โดยหุ้นที่คนละ 12 บาท จำนวน 10 คน
ตู้กดน้ำนี้ทำกำไรได้เดือนละ 10 บาท ส่งผลให้ทั้งปีได้กำไรมา 120 บาท/ตู้กดน้ำ 1 ตู้ ------------------ ต้นปีแรกมี 1 ตู้
จากนั้นหากคุณ End ไม่รีบถอนหุ้นที่น่าจะราคา 12 บาท (120/10) ออกมาซะก่อน แต่ปล่อยให้ตัวเองยังถือหุ้นต่อไปเรื่อยๆ และทุกๆครั้งที่กิจการได้กำไรก็จะเอาเงินไปซื้อตู้กดน้ำใหม่มาเรื่อยๆ
จะทำให้ในปีที่ 2 นั้นพวกคุณ End จะมีตู้กดน้ำ 2 ตู้ ส่งผลให้ทั้งปีได้กำไรมา 240 บาท (120 บาท/ตู้/ปี) ------------------ ต้นปีที่ 2 มี 2 ตู้
ทีนี้มูลค่าของธุรกิจก็จะเพิ่มขึ้น ทำให้หุ้นที่ตอนแรกคนละ 12 บาท ขยับขึ้นเป็น 24 บาท (กำไร 24 บาทต่อหุ้น)
และด้วยวิธีเดียวกันนี้ สิ้นปีที่ 3 มูลค่าหุ้นก็จะขยับสูงขึ้นเป็นหุ้นละ 48 บาท (ตู้กดน้ำ 4 ตู้ ทำกำไร 480 บาท หาร 10) ------------------ ต้นปีที่ 3 มี 4 ตู้
จะเห็นว่าต้นทุนจาก 12 บาท มันทบต้นทบดอกด้วยตัวมันเองจนส่งผลให้ราคาหุ้นขยับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆแม้ว่าคุณ End จะยังไม่ได้ขายหุ้นเลยก็ตาม
ดังนั้นในตัวอย่างนี้จะเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ 100% ซึ่งจะทำให้ในปีที่ 4 ที่ 5 และปีต่อๆไปราคาหุ้นน่าจะเป็น 96, 192, 384, 768, ...
จบละคับ >,,<
*หมายเหตุ : ผมยกตัวอย่างง่ายๆนะครับ เพราะงั้นอาจจะมีหลายๆจุดที่คำนวนผิดไปบ้าง แต่จุดประสงค์หลักคือต้องการให้เห็นภาพเฉยๆครับ
และที่ผมเขียนมานี่ก็แค่อยากจะขอออกความเห็นบ้างเฉยๆน่ะครับ ไม่อยากนั่งอ่านอย่างเดียว เผื่อว่าผมคิดอะไรพลาดไปตรงไหนจะได้มีพี่ๆคอยให้คำแนะนำด้วยไงครับ ^^
สำหรับหลายๆคนที่รู้อยู่แล้วก็ผ่านไปได้เลยนะครับ แหะๆ
เท่าที่ผมอ่านมาคร่าวๆ พี่ๆหลายคนได้ตอบคำถามไปอย่างละเอียดแล้วล่ะครับ แต่ผมไม่ได้อ่านละเอียดเพราะเยอะเหลือเกิน อิอิ (แบบว่าเวลามีน้อย)
ความหมายของ "ทบต้น" ถ้าจะให้ง่ายๆก็เหมือนฝากเงินไว้ในธนาคารแล้วไม่ถอนออกมาเลยนั่นแหละครับ ถ้าอัตราดอกเบี้ยคงที่ ผลตอบแทนของปีต่อๆไปจะคำนวนจากยอดเงินในบัญชีของปีก่อนหน้า
ก็คือไม่ได้เพิ่มเป็นอัตราคงที่เหมือน 1 2 3 4 5 6 แต่จะเพิ่มเป็น % ครับ เช่น
100 110 121 ... อย่างที่หลายๆคนได้ยกตัวอย่างไปแล้ว
--------------------------------------------------------------
ทีนี้ ทำไมการถือหุ้นไว้เฉยๆในบริษัทถึงเป็นการทบต้น ทั้งๆที่เราก็ไม่ได้ขายหุ้นเพื่อเอาเงินไปซื้อหุ้นใหม่สักหน่อย
คำตอบก็คือว่า ด้วยมูลค่าของหุ้นที่เพิ่มขึ้นและดูเหมือนกับว่าเราไม่ได้เอาไปลงทุนอะไรเพิ่มนั้น ที่จริงแล้วไม่ใช่ครับ
เพราะว่าผู้บริหารของบริษัทที่เราถือหุ้นอยู่ได้นำเอากำไรที่ทำได้ (ซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นขยับสูงขึ้น) ไปลงทุนในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการขยายธุรกิจ ควบรวมกิจการ หรือซื้อหุ้นคืน เป็นต้น
ซึ่งจากผลของการลงทุนใหม่ๆนั้น จะส่งผลให้กำไรของปีต่อๆไปมากขึ้นเรื่อยๆ และทำให้ราคาของหุ้นขยับตัวสูงขึ้นตามกำไรที่ทำได้
นั่นก็คือมีการทบต้นแล้วนั่นเองครับ (เพียงแต่ว่าคนที่เอาไปทำให้ทบต้นเป็นผู้บริหาร ไม่ใช่เรา)
------------------------------------------------------------------
ถ้าจะยกตัวอย่างให้เป็นเป็นรูปธรรมนะครับ (ตัวอย่างนี้ผมขอสมมติให้ "ราคาหุ้น" อยู่ที่ P/E = 1 นะครับ)
สมมติว่าคุณ End หุ้นกับเพื่อนซื้อตู้กดน้ำราคา 120 บาท โดยหุ้นที่คนละ 12 บาท จำนวน 10 คน
ตู้กดน้ำนี้ทำกำไรได้เดือนละ 10 บาท ส่งผลให้ทั้งปีได้กำไรมา 120 บาท/ตู้กดน้ำ 1 ตู้ ------------------ ต้นปีแรกมี 1 ตู้
จากนั้นหากคุณ End ไม่รีบถอนหุ้นที่น่าจะราคา 12 บาท (120/10) ออกมาซะก่อน แต่ปล่อยให้ตัวเองยังถือหุ้นต่อไปเรื่อยๆ และทุกๆครั้งที่กิจการได้กำไรก็จะเอาเงินไปซื้อตู้กดน้ำใหม่มาเรื่อยๆ
จะทำให้ในปีที่ 2 นั้นพวกคุณ End จะมีตู้กดน้ำ 2 ตู้ ส่งผลให้ทั้งปีได้กำไรมา 240 บาท (120 บาท/ตู้/ปี) ------------------ ต้นปีที่ 2 มี 2 ตู้
ทีนี้มูลค่าของธุรกิจก็จะเพิ่มขึ้น ทำให้หุ้นที่ตอนแรกคนละ 12 บาท ขยับขึ้นเป็น 24 บาท (กำไร 24 บาทต่อหุ้น)
และด้วยวิธีเดียวกันนี้ สิ้นปีที่ 3 มูลค่าหุ้นก็จะขยับสูงขึ้นเป็นหุ้นละ 48 บาท (ตู้กดน้ำ 4 ตู้ ทำกำไร 480 บาท หาร 10) ------------------ ต้นปีที่ 3 มี 4 ตู้
จะเห็นว่าต้นทุนจาก 12 บาท มันทบต้นทบดอกด้วยตัวมันเองจนส่งผลให้ราคาหุ้นขยับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆแม้ว่าคุณ End จะยังไม่ได้ขายหุ้นเลยก็ตาม
ดังนั้นในตัวอย่างนี้จะเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ 100% ซึ่งจะทำให้ในปีที่ 4 ที่ 5 และปีต่อๆไปราคาหุ้นน่าจะเป็น 96, 192, 384, 768, ...
จบละคับ >,,<
*หมายเหตุ : ผมยกตัวอย่างง่ายๆนะครับ เพราะงั้นอาจจะมีหลายๆจุดที่คำนวนผิดไปบ้าง แต่จุดประสงค์หลักคือต้องการให้เห็นภาพเฉยๆครับ
และที่ผมเขียนมานี่ก็แค่อยากจะขอออกความเห็นบ้างเฉยๆน่ะครับ ไม่อยากนั่งอ่านอย่างเดียว เผื่อว่าผมคิดอะไรพลาดไปตรงไหนจะได้มีพี่ๆคอยให้คำแนะนำด้วยไงครับ ^^
สำหรับหลายๆคนที่รู้อยู่แล้วก็ผ่านไปได้เลยนะครับ แหะๆ
มีอุปสรรค... แต่ไม่มีปัญหา...
-
- Verified User
- โพสต์: 224
- ผู้ติดตาม: 1
ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"
โพสต์ที่ 51
ผมขอโทษครับผมสื่อประเด็นผิด เลยใช้คำว่าทบต้น ในความหมาย
ของผมก็คืออยากให้เงิน 100 บาทกลายเป็น 200 บาทเร็วที่สุด และเมื่อ
ได้เงิน 200 มาแล้ว ก็อยากให้มันกลายเป็น 400 บาทเร็วที่สุด
ก็เท่ากับว่าถ้าเรามีเงิน 100 บาทแล้วเราต้องการถือจนมันเป็น 200 บาท
เราก็ต้องทำกำไรให้ได้ 100% ถูกต้องไหมครับ และหากเราต้องการให้ 100บาท
กลายเป็น 400 บาท เราก็ต้องทำกำไรให้มันได้ 400% ถูกต้องไหมครับ
แต่ส่วนตัวผมมองว่าหากทำแบบนั้นมันจะช้าไป ผมเลยทำแบบนี้ คือผมมีเงิน
100 บาท ผมต้องการให้มันเป็น 200 บาทเร็วที่สุด ผมก็ต้องทำกำไรให้ได้ 100% เมื่อผมต้องการให้เงิน 200 บาทเป็น 400 บาท
แทนที่ผมจะถือ ผมก็ ขายเอากำไร 200 ออกมาก่อน ผมก็จะมีเงิน 200 บาท
และทำกำไรเพียงแค่100% ผมก็จะได้เงิน 400 บาท
สรุป
วิธีแรกคือถือให้เงิน 100 บาทกลายเป็น 400 บาท เราต้องทำกำไรให้ 400%
วิธีที่สองคือซื้อๆขายๆ เราต้องทำกำไรเพียงแค่ 200% มันก็จะเป็น 400 บาท
ถูกต้องไหมครับ ตัดความน่าจะเป็นออกก่อนนะครับว่าเราไม่สามารถทำกำไร
ได้ 100% ทุกปี เพราะเรื่องนั้นผมมีวิธีรับมือ ขอรบกวนพี่ๆแบบโจทย์คณิต
ศาสตร์ก็พอครับ
ขอบคุณครับ
(ยังงงกับชีวิตว่าจะถือหรือซื้อๆขายๆ)
ของผมก็คืออยากให้เงิน 100 บาทกลายเป็น 200 บาทเร็วที่สุด และเมื่อ
ได้เงิน 200 มาแล้ว ก็อยากให้มันกลายเป็น 400 บาทเร็วที่สุด
ก็เท่ากับว่าถ้าเรามีเงิน 100 บาทแล้วเราต้องการถือจนมันเป็น 200 บาท
เราก็ต้องทำกำไรให้ได้ 100% ถูกต้องไหมครับ และหากเราต้องการให้ 100บาท
กลายเป็น 400 บาท เราก็ต้องทำกำไรให้มันได้ 400% ถูกต้องไหมครับ
แต่ส่วนตัวผมมองว่าหากทำแบบนั้นมันจะช้าไป ผมเลยทำแบบนี้ คือผมมีเงิน
100 บาท ผมต้องการให้มันเป็น 200 บาทเร็วที่สุด ผมก็ต้องทำกำไรให้ได้ 100% เมื่อผมต้องการให้เงิน 200 บาทเป็น 400 บาท
แทนที่ผมจะถือ ผมก็ ขายเอากำไร 200 ออกมาก่อน ผมก็จะมีเงิน 200 บาท
และทำกำไรเพียงแค่100% ผมก็จะได้เงิน 400 บาท
สรุป
วิธีแรกคือถือให้เงิน 100 บาทกลายเป็น 400 บาท เราต้องทำกำไรให้ 400%
วิธีที่สองคือซื้อๆขายๆ เราต้องทำกำไรเพียงแค่ 200% มันก็จะเป็น 400 บาท
ถูกต้องไหมครับ ตัดความน่าจะเป็นออกก่อนนะครับว่าเราไม่สามารถทำกำไร
ได้ 100% ทุกปี เพราะเรื่องนั้นผมมีวิธีรับมือ ขอรบกวนพี่ๆแบบโจทย์คณิต
ศาสตร์ก็พอครับ
ขอบคุณครับ
(ยังงงกับชีวิตว่าจะถือหรือซื้อๆขายๆ)
อนัตตตา แปลว่า ไม่มีอัตตา ไม่มีตัวตน มิใช่ อัตตา มิใช่ตัวตน