set index 2554

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
naijan
Verified User
โพสต์: 5011
ผู้ติดตาม: 0

set index 2554

โพสต์ที่ 1

โพสต์

set index อยู่ในระดับเท่าใดครับ ปี2554
โบรกเกอร์ของท่าน ให้น้ำหนักลงทุนในหุ้นกลุ่มใดกันบ้างครับ
นำข้อมูลมาแลกเปลี่ยนกันครับ
naijan
Verified User
โพสต์: 5011
ผู้ติดตาม: 0

set index 2554

โพสต์ที่ 2

โพสต์

3 กูรู ฟันธงเศรษฐกิจ - หุ้นปีหน้า

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล นักวิชาการอิสระ ผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดเงินและตลาดทุน ย้ำว่า ในช่วง 7-8 เดือนมานี้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวในลักษณะที่อ่อนแอ คือยังอยู่ในสภาวะ 3 วันดี 4 วันไข้ ดังจะเห็นได้จาก ตัวเลขเศรษฐกิจที่สหรัฐฯและยุโรปที่ประกาศออกมายังไม่มีความแน่นอน ซึ่งนักลงทุนไม่ควรใส่ใจมากนัก เพราะสาระสำคัญอยู่ตรงที่ ผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมายังไม่หมดไป เศรษฐกิจจะฟื้นตัวอย่างอ่อนแอในทุกภูมิภาค ยกเว้นเอเชีย และอาจมีลูกระเบิดรออยู่ในอนาคต

ส่วนปัญหาหนี้สาธารณะของกรีซ โปรตุเกส และไอร์แลนด์ยังไม่อยู่ในสภาวะที่น่ากังวลมากนัก เพราะขนาดเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้นับว่าเล็กมากเมื่อเทียบกับประเทศสำคัญ ๆ ในยุโรป ในขณะที่ประเทศในเอเชียจะเผชิญกับปัญหาในด้านตรงกันข้ามคือเศรษฐกิจจะขยายตัวอย่างมาก จนต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อดูแลเศรษฐกิจในเดินต่อไปได้ ประเทศต่าง ๆ ในเอเชียต้องเผชิญความเสี่ยงจากเม็ดเงินฝั่งตะวันตกที่ไหลเข้ามาจนอาจทำให้เกิดภาวะฟองสบู่ ซึ่งจะต้องขึ้นอยู่กับรัฐบาลประเทศต่าง ๆ ว่าจะต้องดูแลอย่างไร โดยภาวะฟองสบู่สามารถสังเกตได้จากราคาอสังหาริมทรัพย์ ที่ดิน และสินทรัพย์ต่าง ๆ รวมทั้งหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น


ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายการลงทุน บลจ.อยุธยา เปรียบเทียบว่า เศรษฐกิจของประเทศในเอเชียเหมือนกับเวลาในช่วงสาย ๆ ใกล้เที่ยงวัน ซึ่งค่อนข้างปลอดโปร่ง ต่างจากฝั่งตะวันตกที่กำลังอยู่ในช่วงกลางคืนดึกสงัด และเฝ้ารอพระอาทิตย์ขึ้น ซึ่งจะต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 3-5 ปี ทำให้เม็ดเงินจากฝั่งตะวันตกไหลจากที่ที่มีความเสี่ยงสูงไปยังที่ที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่ให้ผลตอบแทนสูง ซึ่งก็คือเอเชีย

ประภาสบอกว่า ปัจจุบันค่าเฉลี่ยของราคาหุ้นต่อกำไร หรือ P/E ของตลาดหุ้นทั่วโลกเริ่มขยับเข้าใกล้กันมากขึ้น ไม่มีตลาดหุ้นใดในโลกที่มีค่า P/E เกินกว่า 20 เท่า หรือต่ำกว่า 10 เท่า โดย P/E เฉลี่ยของหุ้นในเอเชียอยู่ที่ 13 เท่า แต่ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า หุ้นของเอเชียน่าจะมีราคาถูกกว่าฝั่งตะวันตก

นอกจากนี้ ยังเริ่มมีสัญญาณของกองทุนขนาดใหญ่ที่ลงทุนระยะยาวจากฝั่งตะวันตก อย่างกองทุนบำเหน็จบำนาญ จะให้น้ำหนักและย้ายมาลงทุนในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) มากขึ้น เพื่อให้ผลตอบแทนเป็นไปตามเป้า พร้อมกับขยายสาขามาตั้งสำนักงานในเอเชีย และใช้บริการผู้จัดการกองทุนในภูมิภาค ซึ่งมีความใกล้ชิดกับข้อมูลมากกว่า


วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการบริหาร และหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า สภาพคล่องในระบบทั่วโลกในขณะนี้มีปริมาณสูงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนที่ระดับ 7.3 ล้านเหรียญสหรัฐ จากการที่สหรัฐฯพิมพ์เงินเพิ่มเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศ และด้วยเหตุที่เศรษฐกิจสหรัฐฯยังไม่ฟื้นตัวทำให้อัตราดอกเบี้ยน่าจะคงอยู่ที่ระดับ 0 0.25% ในระยะยาว ในขณะที่การลงทุนในตลาดพันธบัตรก็เริ่มมีสัญญาณอิ่มตัว วิศิษฐ์จึงเชื่อว่า จะมีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นได้อีกราว 2.5 5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ และทำให้ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกมีโอกาสปรับขึ้นได้ราว 10 22% และตลาดหุ้นเอเชียน่าจะได้รับอานิสงส์มากกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาคอื่น ๆ

วิศิษฐ์ยังบอกอีกว่า ฟองสบู่ที่เกิดจากสภาพคล่องที่มีอยู่ล้นระบบจะหายไป ถ้าบริษัทจดทะเบียนมีมูลค่าพื้นฐานหรือสามารถทำกำไรได้ดี ในขณะที่ผู้กำหนดนโยบายจะต้องถูกท้าทายในเรื่องการออกมาตรการ การดูแลอัตราแลกเปลี่ยน และอัตราดอกเบี้ยในประเทศ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Har ... fault.aspx
naijan
Verified User
โพสต์: 5011
ผู้ติดตาม: 0

set index 2554

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ผวาฟันด์โฟลว์ปั๊มฟองสบู่หุ้น จับตาคลื่นดอลลาร์ปี54

นักวิเคราะห์ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนประเมิน ดัชนี 1,200-1,400 จุด โซนอันตรายตลาดหุ้นไทยสู่ภาวะฟองสบู่  ชี้จับตาเงินทุนไหลเข้าปีหน้าเป็นตัวแปรสำคัญ เตือนจุดเสี่ยง  1,160 จุด  ขณะที่เผยปัจจัยพื้นฐานในประเทศ ทั้งเศรษฐกิจ - การทำกำไรบริษัทจดทะเบียน

ยังแกร่ง เผย 9 เดือนแรก โชว์กำไร 4.27 แสนล้าน พุ่งเฉียด 30 % กบข.รับปีหน้าลงทุนลำบาก เหตุหุ้น 40-50 ตัว ราคาแพงแล้ว "ศุภวุฒิ"ชี้ปี 2554 ธปท.ต้องสกัดเงินไหลเข้า ล่าสุดหุ้นดิ่งผวาจีนสกัดฟองสบู่
          กระแสความกังวลต่อภาวะฟองสบู่ในตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียรวมหุ้นไทยยังมีต่อเนื่อง  แม้ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดจะลดความร้อนแรงลง จากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ ที่เป็นไปในทิศทางเดียวกับภูมิภาค จากความกังวลกรณีประเทศจีนออกมาตรการสกัดฟองสบู่ และอาจปรับขึ้นดอกเบี้ย จากตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น รวมถึงความกังวลกรณีประเทศในภูมิภาคจะออกมาตรการสกัดเงินทุนไหลเข้าหรือฟันด์โฟลว์  
      ความกังวลถึงภาวะความผันผวนของเศรษฐกิจทั่วโลก หลังสหรัฐอเมริกาเดินหน้ามาตรการเพิ่มปริมาณเงินดอลลาร์สหรัฐฯเข้าระบบอีกระลอก(QE2) ซึ่งจะยิ่งเพิ่มแรงกดดันปัญหาค่าเงินในประเทศต่าง ๆ เพิ่มขึ้น ดร.อัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ย้ำว่า ธปท.ยังคงติดตามและเตรียมมาตรการจำนวนมากไว้รับมือสถานการณ์อย่างเข้มงวดและรอบคอบ เพื่อไม่ให้กระทบต่อเศรษฐกิจในระยะยาว โดยธปท.ไม่ได้เพิกเฉยต่อกระบวนการทำให้อัตราดอกเบี้ยกลับไปยืนในระดับปกติ และยังมีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของอัตราดอกเบี้ยแท้จริงติดลบเวลานี้ เมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อในระยะยาว (อ่านรายละเอียดข่าว ธปท.เพิ่มมาตรการคุมเงินไหลเข้า... หน้า 14)
สำหรับตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวขึ้นร้อนแรงตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2553   ส่งผลให้ดัชนียืนเหนือระดับ 1,000 จุดได้เป็นครั้งแรก ตั้งแต่เกิดวิกฤติปี  2540 ทำให้ในรอบเกือบ 11 เดือนของปีนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นแล้วถึง 42 %
***ดัชนี 1,400 จุด เป็นฟองสบู่
         "ฐานเศรษฐกิจ"ได้สำรวจไปยังนักวิเคราะห์หลักทรัพย์และนักลงทุน ที่คร่ำหวอดอยู่ในตลาดหุ้นมานาน ต่างมองตรงกันว่า ฟองสบู่ยังไม่ก่อตัวในตลาดหุ้นไทย แต่ก็ยอมรับว่า ขณะนี้ราคาหุ้นไม่ถูกและไม่แพงจนเกินไป ขณะที่มองตรงกันอีกว่า ความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดภาวะฟองสบู่ในตลาดหุ้น คือ ปัจจัยจากภายนอก นั่นคือ เศรษฐกิจประเทศสหรัฐอเมริกาและยุโรปที่ยังชะลอตัว ซึ่งจะทำให้เงินทุนหนีเข้ามาในภูมิภาคเอเชีย
         นายกวี  ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์(บล.)กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (มหาชน)(บมจ.) กล่าวว่า สำหรับสัญญาณหรือตัวบ่งชี้การเกิดฟองสบู่ในตลาดหุ้นไทย คือ ราคาหุ้นปรับขึ้นไปมากเกินกว่าปัจจัยพื้นฐานรองรับ จนทำให้ระดับราคาต่อกำไรต่อหุ้น หรือพีอี เรโช อยู่ที่ 17 เท่า   และดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นไปที่ระดับ 1,400 จุด
         อย่างไรก็ตามปัจจัยที่จะต้องจับตา คือ กระแสเงินทุนไหลเข้าในปี 2554  และมาตรการของภาครัฐ ในการควบคุมการเกิดภาวะฟองสบู่กับเศรษฐกิจของประเทศ จากกระแสเงินที่ยังไหลเข้ามาต่อเนื่อง ที่สำคัญคือ การป้องกันไม่นำเงินร้อนที่เป็นเงินระยะสั้น มาใช้ในภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง อาทิ การปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะต้องมีการควบคุม เพื่อไม่ให้เกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือเอ็นพีแอล ซึ่งยอมรับว่าสัญญาณจากความเสี่ยงจากกลุ่มสถาบันการเงินก็ยังไม่มี เนื่องจากเอ็นพีแอลยังต่ำ และมีการควบคุมการปล่อยสินเชื่อ รวมทั้งเงินสำรองของธนาคารก็ยังสูงกว่าในช่วงเกิดฟองสบู่ในอดีต
      ส่วนกระแสเงินร้อนของต่างชาติ แม้ว่าจะไหลเข้าตลาดหุ้นจนส่งผลต่อภาวะฟองสบู่ในตลาดหุ้นนั้น เชื่อว่าไม่น่าจะมีผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นกลุ่มคนไม่มาก และเปรียบได้กับเป็นกลุ่มคนมีเงิน เพียงส่งผลให้กำไรลดลงเท่านั้นหากฟองสบู่แตก  ขณะที่ยอมรับว่าราคาหุ้นปัจจุบันจะเต็มมูลค่าแล้ว หากอิงจากดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯปีนี้ที่ระดับ 1,030-1,040 จุด
***หุ้นขึ้นอีก 200 จุด อันตราย
            ด้านมุมมองของดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญการลงทุนในตลาดหุ้น  กล่าวว่า ช่วง 2 ปีมานี้ (ปี 2552-2553 )หุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ราคาหุ้นตอนนี้จึงอยู่ในภาวะที่ต้องยอมรับว่าไม่ถูกแล้ว แต่ก็ไม่แพงจนเกินไป  อย่างไรก็ตามในความเห็นส่วนตัวมองว่าหากดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับขึ้นอีก 20 % (หรือดัชนีอยู่ที่ระดับ 1,200 จุด โดยคำนวณจากดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯวันที่ 16 พ.ย.53 ปิดที่ 1,000.73 จุด)  ถือว่าอันตราย เพราะเป็นฟองสบู่แล้ว
             อย่างไรก็ตามเมื่อดูจากปัจจัยในประเทศ ทั้งภาพรวมเศรษฐกิจและปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)เอง พบว่าหุ้นไทยมีความเสี่ยงไม่สูงที่จะเกิดภาวะฟองสบู่  หากแต่มีความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกคือ เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและยุโรป ที่ยังชะลอตัว  และการทยอยดำเนินมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือ QE2 ของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ขณะที่เศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคเอเชียส่วนใหญ่ ยังมีแนวโน้มเติบโตในระดับที่ค่อนข้างดี แม้จะชะลอตัวลงบ้างก็ตาม ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะจูงใจให้มีเงินลงทุนไหลเข้าในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งอาจจะดันให้ตลาดหุ้นเสี่ยงต่อการเกิดภาวะฟองสบู่ได้
  นายยิ่งยง  นิลเสนา รองเลขาธิการ กลุ่มงานบริหารเงินกองทุน กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ(กบข.)กล่าวว่า ปี 2554  คาดว่ากระแสเงินลงทุนยังคงไหลเข้าภูมิภาคเอเชีย ดังนั้นกบข.ยังคงให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทย และตลาดหุ้นเกิดใหม่หรืออีเมอร์จิ้งมาร์เก็ต ที่ระดับ "มากกว่าตลาด" อย่างไรก็ตามยอมรับว่า ปี 2554 การลงทุนในตลาดหุ้นไทยจะยากขึ้น  เนื่องจากหุ้นที่กบข.ลงทุน 40-50 ตัวนั้น ราคาเริ่มใกล้เต็มมูลค่าแล้ว  
***ระวัง!สภาพคล่องล้น
         นายแอนดรูว์ เยทส์
หัวหน้าฝ่ายขายหุ้นระหว่างประเทศ บล. เอเซีย พลัสฯ กล่าวว่า ในปีหน้าจะเห็นปัจจัยบวกหลายประการ แต่ปัจจัย สำคัญจะขึ้นอยู่กับตลาดต่างประเทศ รวมทั้งขนาดของมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ และภาวะฟองสบู่ด้านสภาพคล่อง
          ขณะที่คาดว่าปีหน้าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ จะขึ้นไปแตะ 1,200  จุด และอาจจะพุ่งขึ้นเหนือระดับดังกล่าวได้อย่างง่ายดาย ด้วยแรงหนุนจากสภาพคล่อง อย่างไรก็ดี ถ้าหากเกิดภาวะฟองสบู่ ปีหน้าก็จะจบลงอย่างเลวร้าย และดัชนีก็อาจจะดิ่งลงอย่างรุนแรงได้โดยง่ายก่อนสิ้นปี
*** ดัชนี 1,160 จุด เข้าเขตเสี่ยง          
            นายสุกิจ  อุดมศิริกุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนลูกค้าบุคคล บล.ไทยพาณิชย์ฯ กล่าวว่า สำหรับปัจจัยที่เร่งการเกิดความเสี่ยงให้เกิดภาวะฟองสบู่ในตลาดหุ้นไทยปีหน้าที่สำคัญคือ กระแสเงินลงทุนของต่างชาติ ที่ไหลเข้าภูมิภาคเอเชีย จากมาตรการอัดฉีดเงินของ สหรัฐอเมริกา  สำหรับปีนี้ยอมรับว่า ราคาหุ้น ณ ระดับดัชนีที่ 1,000-1,040 จุด เข้าใกล้ระดับเต็มมูลค่าแล้ว
       อย่างไรก็ตามหากฟันด์โฟลว์ยังไหลเข้าหุ้นไทยต่อเนื่อง จนทำให้ระดับราคาหุ้นสูงขึ้นเกินปัจจัยพื้นฐาน หรือพี/อี เกิน 14 เท่าในปี 2554  ถือว่าเป็นความเสี่ยง ซึ่งอิงจากการเติบโตของกำไรสุทธิบริษัทจดทะเบียน(บจ.) ปี 2554  ที่อัตรา 15 % หรือดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯที่ระดับ 1,160 จุด
            ขณะที่หากประเมินกระแสเงินลงทุนต่างชาติ ที่จะไหลเข้าตลาดหุ้นไทยในปี 2554  ประมาณกว่า 80,000 ล้านบาท เชื่อว่าจะไม่ร้อนแรงเท่าปีนี้  ทั้งนี้เพราะปัจจุบันราคาหุ้นไทยถือว่าปรับขึ้นไปมากแล้ว ประกอบกับค่าเงินบาทยังคงแข็งค่าต่อเนื่อง  ดังนั้น แรงจูงใจการลงทุนของต่างชาติเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาค คงไม่โดดเด่นมากนัก เมื่อเทียบตลาดหุ้นจีน เกาหลีใต้ ที่ปีนี้ยังปรับขึ้นไม่มาก
             ด้านสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เผยผลสำรวจนักวิเคราะห์ล่าสุด โดยคาดการณ์ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯในปี 2554 ปิดที่ระดับ 1,133 จุด  ประเมินดัชนีสูงสุดที่ 1,201 จุด และต่ำสุดที่ 907 จุด  ขณะที่ประมาณการอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิบจ. ปีหน้าที่ 15 %
         สำหรับผลประกอบการบจ.งวด 9 เดือนปี 2553  บล.เอเซีย พลัสฯ รายงานว่า บจ.จำนวน 441 บริษัทจากทั้งหมด 549 บริษัท มีกำไรสุทธิรวม 427,617.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 979,83.5 ล้านบาท คิดเป็น 29.72 % จากช่วงเดียวกันของปี 2552 ที่มีกำไรสุทธิ 329,634 ล้านบาท
*** "ปีหน้าธปท.ต้องสกัดเงินไหลเข้า
        ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ
กรรมการผู้จัดการ และประธานสายงานวิจัย  บล.ภัทรฯ กล่าวว่า แนวโน้มระยะยาวเงินบาทน่าจะแข็งค่าต่อเนื่อง เพราะค่าเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มอ่อนค่าลง แม้ช่วงสั้นจะเห็นการอ่อนค่าของเงินบาทมาอยู่ที่ 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ก็ตาม ซึ่งเป็นมาตั้งแต่ข่าวการออกมาตรการคิวอี 2 ของสหรัฐฯ รวมทั้งปัญหาหนี้สาธารณะของประเทศยุโรป และความเสี่ยงของไอซ์แลนด์ ที่เริ่มก่อตัวจนส่งผลถึงกรีซและประเทศอื่น ๆ ด้วย
           อย่างไรก็ตาม หากสหรัฐฯ ยังยืนยันออกมาตรการผ่อนคลายทางการเงินต่อ นั่นหมายถึงจะมีการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบต่อเนื่อง จะส่งผลให้เงินทุนยังไหลเข้าภูมิภาคเอเชีย รวมถึงไทยเช่นเดิม เพราะมีพื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ดังนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย( ธปท.) คงจะต้องมีการออกมาตรการควบคุมเงินไหลเข้า
        "ไตรมาส 3 ปีนี้ เม็ดเงินต่างชาติได้ไหลเข้ามาในไทยมากถึง 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ บวกกับการเกินดุลบัญชีเกินสะพัด 9,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สะท้อนให้เห็นว่า บาทจะยังคงแข็งค่าขึ้น ถ้าสหรัฐฯ อัดฉีดเงินเข้ามาอีก และจีนยังไม่ยอมร่วมมือ ในการปล่อยให้ค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้นบ้าง และถ้าไทยไม่ยอมก็ต้องไหลเข้าสู่สินค้าโภคภัณฑ์ไปเรื่อย ๆ สุดท้ายไทยก็ต้องรับภาระ และเอกชนน่าจะลำบากในการปรับตัว" ดร.ศุภวุฒิ กล่าว

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,584 18-20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
http://www.thannews.th.com/index.php?op ... Itemid=417
naijan
Verified User
โพสต์: 5011
ผู้ติดตาม: 0

set index 2554

โพสต์ที่ 4

โพสต์

กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ  
: บมจ.หลักทรัพย์เอเชียพลัส  
   19 พ.ย.  53    
          กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ กฎหมายองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ ปัจจัยบวกที่แฝงอุปสรรค  
คำแนะนำการลงทุนเท่ากับตลาด
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopi ... &start=120

กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (ETRON): "น้อยกว่าตลาด"
- บล.เอเซียพลัส
กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (ETRON) - น้อยกว่าตลาดดัชนีหมวด  
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopi ... 1&start=60


กลุ่มปิโตรเคมี: "มากกว่าตลาด" - บล.เอเซีย พลัส
(Th)   Thursday, November 18, 2010    
กลุ่มปิโตรเคมี - มากกว่าตลาดดัชนีกลุ่มฯ : 975.83 จุดมูลค่าตลาด: 404,120 ล้านบาทSpread PVC สูงสุดในรอบ 9 เดือน...กลุ่ม PVC โดดเด่นทั้ง TPC, VNT      ราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรฯ ยังแข็งแกร่ง โดยเฉพาะกลุ่ม PVC, HDPE และ PE
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopi ... &start=300
naijan
Verified User
โพสต์: 5011
ผู้ติดตาม: 0

ขอบคุณ

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ขอบคุณทีมงาน mod  ครับ
:lol:  :lol:  :lol:  :lol:  :lol:
naijan
Verified User
โพสต์: 5011
ผู้ติดตาม: 0

set index 2554

โพสต์ที่ 6

โพสต์

**** เลขาสมาคมวิเคราะห์หลักทรัพย์แนะสูตรปรับสัดส่วนลงทุนในพอร์ต

นายสมบัติ  นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า สำหรับตลาดหุ้นปัจจัยที่จะส่งผลตามหลักแล้วมีอยู่ 2 อย่าง คือเรื่องการเมืองและเศรษฐกิจ ซึ่งในปีหน้าปัจจัยที่จะเป็นบวกก็คือสภาพเศรษฐกิจที่ยังโตได้ 4-5% หากมองสถิติย้อนหลังจะเห็นว่าหากปีไหนจีดีพีโตได้เกิน 3% ธุรกิจต่างๆก็จะมีผลประกอบการที่ดี ขณะที่ปัจจัยที่เป็นโอกาสและอาจจะสร้างปัญหาได้ก็คือเงินทุนที่จะไหลเข้ามาเ ซึ่งถ้าไหลเข้ามามากๆ แล้วเกิดมีเหตุที่ไปกระทบกับความเชื่อมั่นของนักลงทุนเข้าก็อาจจะทำให้ต่างชาติถอนเงินเหล่านี้ออกไปอย่างรวดเร็วได้ และจะส่งผลต่อตลาดหุ้นและอัตราแลกเปลี่ยนอย่างมาก

ส่วนปัจจัยในด้านลบยังมองว่าปัญหาเศรษฐกิจของชาติในยุโรปและสหรัฐฯ ยังคงสร้างความผันผวนให้กับตลาดอยู่ นอกจากนั้นมาตรการที่ออกมาเพื่อสกัดเงินร้อนของประเทศต่างๆ ก็เริ่มมีมากขึ้นอย่างเช่นเมืองไทยที่มีการออกมาตรการเพื่อเข้าควบคุมอสังหาฯก็เป็นการส่งสัญญาณว่าจากนี้จะเริ่มมีมาตรการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เริ่มสร้างความกังวลให้กับนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น ส่วนปัจจัยลบสุดท้ายก็คือเรื่องการเมืองที่จะมีการเลือกตั้งกันในปีหน้า หากเกิดความไม่เรียบร้อยก็จะส่งผลต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นแน่นอน

ส่วนดัชนีหุ้นในปีหน้า เท่าที่สำนักวิจัยฯประเมินไว้ คาดว่าในช่วงร้อนแรงที่สุดดัชนีอาจจะปรับถึง 1,200 จุด ขณะที่วันที่แย่ที่สุดก็อาจจะตกลงมาที่ 907 จุดได้ โดยหากปรับถึง 1,200 จุดแล้ว P/E ปรับขึ้นไปถึง 16 เท่าก็ถือว่าสูงมากแล้วควรจะระมัดระวัง เพราะมองว่าผลประกอบการของบริษัทยังรองรับไม่ทัน การจะดึงรายรับจาก 5 ปีข้างหน้ามาใช้ประเมินด้วยถือว่าเร็วเกินไป

ส่วนกลยุทธ์ในการลงทุนนั้นถ้าหากดัชนีอยู่ที่ราวๆ1,000จุด ก็แนะนำให้ลงทุนในหุ้น 20% ทองคำ 20% แต่ถ้าหุ้นปรับลงไปเหลือ 900 กว่าจุด ก็อาจจะเพิ่มสัดส่วนหุ้นเป็น 25% ได้ ส่วนหุ้นที่น่าสนใจคือกลุ่มพลังงานและน้ำมันที่คิดว่ายังมี upside เพิ่มได้อีก กลุ่มนี้น่าจะมีสัดส่วนซัก 20% ของหุ้น นอกจากนั้นกองทุนอสังหาริมทรัพย์ก็ถือว่าน่าสนใจอาจจะลงทุนในส่วนนี้ได้ 20-30% ของพอร์ตการลงทุน และถ้าไม่ชอบความเสี่ยงมากก็ยังมีกองทุนตราสารหนี้ที่น่าจะมีไว้
http://www.thannews.th.com/index.php?op ... Itemid=524
naijan
Verified User
โพสต์: 5011
ผู้ติดตาม: 0

อสังหา

โพสต์ที่ 7

โพสต์

**** ซีอีโอพฤกษาประเมินตลาดอสังหาฯปีหน้าโต 10% ยันไม่มีฟองสบู่

นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์  ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน)
ในภาพรวมของธุรกิจอสังหาฯตลอดปีนี้ในเขตกรุงเทพและปริมณฑล น่าจะมีปริมาณบ้านที่อยู่อาศัยราวๆ 85,000 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 250,000 ล้านบาท ส่วนปีหน้าน่าจะขยายตัวได้ 10% เป็นประมาณ 90,000 95,000 ยูนิต ถึงแม้ว่าจีดีพีจะโตลดลงเหลือ 4-5% ก็ตาม โดยคอนโดจะมีสัดส่วน 45% ทาวน์เฮ้าส์และบ้านเดี่ยวอย่างละประมาณ 25% สำหรับสาเหตุที่คาดว่าจะมีการขยายตัวนั้น เนื่องจากในภาคที่อยู่อาศัยมีความต้องการสูงขึ้น ขณะที่ผู้ประกอบการก็พัฒนาผลิตภัณฑ์มาตอบรับได้และมีการปรับตัวที่ดีเช่นกัน นอกจากนั้นปัจจัยทางการเมืองก็ยังมีแนวโน้มไปในทางที่ดีรวมถึงการมีการเลือกตั้งในปีหน้าด้วย

ส่วนเรื่องการเกิดวิกฤติฟองสบู่ตนมองว่ายังไม่เกิด มาตรการที่ออกมาจากทางธนาคารแห่งประเทศไทยก็เพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อนเท่านั้น สำหรับเรื่องการเก็งกำไรในบ้านหรือทาวน์เฮ้าส์ก็ไม่พบ ส่วนในคอนโดก็มีสัดส่วนอยู่บ้างคือ 1.ซื้ออยู่อาศัยจริง 70%
2.ซื้อเพื่อลงทุนปล่อยเช่า 15%
3.ซื้อขายใบจองหรือทำการเก็งกำไร 15% แต่มองว่าคนที่ซื้อเก็งกำไรนั้นสุดท้ายก็ตกไปอยู่กับผู้ต้องการบ้านที่แท้จริง โดยการเก็งกำไรก็มีบ้างแต่ภาพรวมคิดว่าอุปสงค์และอุปทานยังเท่ากัน ส่วนมาตรการที่ออกมาก็จะมีผลกับบ้านประเภทที่สร้างเสร็จพร้อมอาศัย เพราะผู้ซื้อต้องใช้เงินเพิ่มขึ้นในการดาวน์และก็ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆเช่นเฟอร์นิเจอร์ ค่าโอน ค่าธรรมเนียม อย่างคอนโดก็จะทำให้ผู้ซื้อมีต้องใช้เงิน 12-13% ส่วนบ้านหรือทาวน์เฮ้าส์ต้องจ่าย 7-8% แต่ในส่วนที่ยังสร้างและผ่อนไปเรื่อยๆก็ไม่มีผลกระทบมากนักเนื่องจากมีเวลา
http://www.thannews.th.com/index.php?op ... Itemid=524
ภาพประจำตัวสมาชิก
กล้วยไม้ขาว
Verified User
โพสต์: 1074
ผู้ติดตาม: 1

Re: set index 2554

โพสต์ที่ 8

โพสต์

น่าจะขึ้น
หรือไม่ก็ลงครับ :mrgreen:

เข้ามาป่วน :mrgreen:

ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ ยังอ่านไม่จบเลย :mrgreen:
โพสต์โพสต์