สรุปงานสัมนา 18 ธันวาคม 2553 ครับ
- champ_st
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 533
- ผู้ติดตาม: 0
สรุปงานสัมนา 18 ธันวาคม 2553 ครับ
โพสต์ที่ 1
หลังจากห่างหายไปนานนะครับ อิอิ
สรุปงานสัมนาลงทุนสิ้นปีให้ดีที่สุด
โดย บลจ AYF
ในปี 2553 ที่กำลังจะผ่านไปถือเป้นปีที่ดีอีกปีของตลาดหุ้น ถ้าแทงถูกหลายๆท่านก็คงได้กำไรแต่ถ้าแทงผิดหลายท่านก็คงเสียงเงิน ในกองทุนรวมเองก็เช่นเดียวกันในปีที่ผ่านมามีกองที่ให้ผลตอบแทนประมาณ 60-80%ค่อนข้างมาก แต่บางกองก็มีผลขาดทุนอยู่ประมาณ 20-30% เช่นเดียวกันไม่มีใครที่จะได้กำไรทั้งหมด แต่รวมๆแล้วถือว่าดีมากเพราะหุ้นทั้งกระดานขึ้นมา 40% บวกปันผลอีก 5-10% เลยทีเดียว
เมือ่เที่ยวผลงานตลาดหุ้นทั่วโลก ประเทศที่ให้ผลตอบแทนดีสุดคือ บังคลาเทศได้ผลตอบแทนประมาณ 100% ไทยอยู่ในอันดับที่ 5 ประมาณ 40% ในขณะที่จีนติดลบ 10% ส่วนในการลงทุนอื่นๆเช่น ทองคำได้ผลตอบแทนประมาณ 10% ตราสารหนี้ในปรเทศอยู่ที่ 1-2% ตราสารหนี้ต่างประเทศอยู่ที่ 5-8% แต่หลายกองก็ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นประมาณ 10% โดยเฉพาะกองทุนพวกคอมโมดิตี้
สิ่งสำคัญในการลงทุนคือระยะเวลาในการลงทุน ถ้าเราสามารถลงทุนในหุ้นหรือกองทุนได้ในระยะเวลาที่ยาวๆ เจะได้ผลตอยแทนเฉลี่ยเท่ากับค่าเฉลี่ยของสินทรัพยืประเภทนั้นๆ การที่เราจะมองซื้อจุดต่ำสุดแล้วขายที่จุดสูงสุดเป้นสิ่งที่ทุกคนฝันถึงแต่ในความเป็นจริงทำได้ยากมาก และการเลือกกองทุนไม่ควรที่จะดุแต่ผลตอบแทนด้านกำไรเพียงอย่างเดียว แต่เราต้องพิจารณาความสามารถในการป้องกันการขาดทุนด้วยเช่นกัน เช่นกองทุนปีแรก -50% ปีต่อมาบวก 50% กับกองทุนที่ปีแรก -40% ปีต่อมาบวก 40% และกองทุนที่ปีแรก -30% ปีต่อมาบวก30% จะพบว่ายิ่งกองทุนขาดทุนในปีแรกน้อยเท่าไหรก็จะกำไรมากขึ้นเท่านั้น จุดนี้จึงควรพิจารณาให้ละเอียดว่ากองทุนที่เราจะลงทุนไอ้ช่วงเวลาที่มันขาดทุนมันหลักกว่ากองอื่นๆหรือไม่
แผนการลงทุนในปี 54 ก็คิดว่าน่าจะเป็นปีทองของหุ้นได้อีก 1 ปี เนื่องจากทางบลจ AYF คาดการว่า ศกไทยจะโตประมาณ 5% อัตราการจ้างงานน่าจะดีขึ้น คนจบมามีงานทำ ปัจจัยกดดันด้านเงินเฟ้อไม่สูงมาก บริษัทในตลาดหลัทรัพย์ก็น่าจะทำกำไรได้ต่อเนื่อง PE ของตลาดจากช่วงวิกฤติที่ขาดความเชือ่มันอยู่ที่ 8-9เท่า แต่ตอนนี้ขยับมาที่ 13 เท่า ซึ่งที่น่าสนใจคือตัวเลข PE ขณะนี่ทั้ง ไทย ยุโรบ จีน เมกาอยุ่ใก้เคียงกันทั้งหมด ถ้าประเทศไหนมีผลประกอบการที่ดีก็มีอาสที่ PE จะปรบสูงขึ้นได้ ประเด็ที่น่าสนใจในประเทศก็ได้แก่
1 การปรัโครงสร้างภาษีครั้งใหญ่ในประเทศไทย ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพการแข่งขันของบริษัทไทยมีมากขึ้น คือ ลดภาษีทั้งระบบ แล้วขยายฐานการจัดเก็บภีให้กว้างขึ้น
2 รถไฟความเร็วสูง ซึ่งลาวจะเกิดขึ้นในอีก 4 ปีข้างหน้าเป้นตัวกดดันไทยที่จะต้องตามให้ทัน โดยคาดการว่าไทยน่าจะตอกเสาเข้มได้ในปี 55 ไตรมาสแรก ซึ่งเราจะได้ยินโครงการเมกะโปรแจคขึ้นมามากอีกครั้ โดยหุ้นจะกลับไปคึกคักเหือนในสมัยชาติชาย ซึ่งส่งเสริมการลงทุนในไทย
สรุปงานสัมนาลงทุนสิ้นปีให้ดีที่สุด
โดย บลจ AYF
ในปี 2553 ที่กำลังจะผ่านไปถือเป้นปีที่ดีอีกปีของตลาดหุ้น ถ้าแทงถูกหลายๆท่านก็คงได้กำไรแต่ถ้าแทงผิดหลายท่านก็คงเสียงเงิน ในกองทุนรวมเองก็เช่นเดียวกันในปีที่ผ่านมามีกองที่ให้ผลตอบแทนประมาณ 60-80%ค่อนข้างมาก แต่บางกองก็มีผลขาดทุนอยู่ประมาณ 20-30% เช่นเดียวกันไม่มีใครที่จะได้กำไรทั้งหมด แต่รวมๆแล้วถือว่าดีมากเพราะหุ้นทั้งกระดานขึ้นมา 40% บวกปันผลอีก 5-10% เลยทีเดียว
เมือ่เที่ยวผลงานตลาดหุ้นทั่วโลก ประเทศที่ให้ผลตอบแทนดีสุดคือ บังคลาเทศได้ผลตอบแทนประมาณ 100% ไทยอยู่ในอันดับที่ 5 ประมาณ 40% ในขณะที่จีนติดลบ 10% ส่วนในการลงทุนอื่นๆเช่น ทองคำได้ผลตอบแทนประมาณ 10% ตราสารหนี้ในปรเทศอยู่ที่ 1-2% ตราสารหนี้ต่างประเทศอยู่ที่ 5-8% แต่หลายกองก็ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นประมาณ 10% โดยเฉพาะกองทุนพวกคอมโมดิตี้
สิ่งสำคัญในการลงทุนคือระยะเวลาในการลงทุน ถ้าเราสามารถลงทุนในหุ้นหรือกองทุนได้ในระยะเวลาที่ยาวๆ เจะได้ผลตอยแทนเฉลี่ยเท่ากับค่าเฉลี่ยของสินทรัพยืประเภทนั้นๆ การที่เราจะมองซื้อจุดต่ำสุดแล้วขายที่จุดสูงสุดเป้นสิ่งที่ทุกคนฝันถึงแต่ในความเป็นจริงทำได้ยากมาก และการเลือกกองทุนไม่ควรที่จะดุแต่ผลตอบแทนด้านกำไรเพียงอย่างเดียว แต่เราต้องพิจารณาความสามารถในการป้องกันการขาดทุนด้วยเช่นกัน เช่นกองทุนปีแรก -50% ปีต่อมาบวก 50% กับกองทุนที่ปีแรก -40% ปีต่อมาบวก 40% และกองทุนที่ปีแรก -30% ปีต่อมาบวก30% จะพบว่ายิ่งกองทุนขาดทุนในปีแรกน้อยเท่าไหรก็จะกำไรมากขึ้นเท่านั้น จุดนี้จึงควรพิจารณาให้ละเอียดว่ากองทุนที่เราจะลงทุนไอ้ช่วงเวลาที่มันขาดทุนมันหลักกว่ากองอื่นๆหรือไม่
แผนการลงทุนในปี 54 ก็คิดว่าน่าจะเป็นปีทองของหุ้นได้อีก 1 ปี เนื่องจากทางบลจ AYF คาดการว่า ศกไทยจะโตประมาณ 5% อัตราการจ้างงานน่าจะดีขึ้น คนจบมามีงานทำ ปัจจัยกดดันด้านเงินเฟ้อไม่สูงมาก บริษัทในตลาดหลัทรัพย์ก็น่าจะทำกำไรได้ต่อเนื่อง PE ของตลาดจากช่วงวิกฤติที่ขาดความเชือ่มันอยู่ที่ 8-9เท่า แต่ตอนนี้ขยับมาที่ 13 เท่า ซึ่งที่น่าสนใจคือตัวเลข PE ขณะนี่ทั้ง ไทย ยุโรบ จีน เมกาอยุ่ใก้เคียงกันทั้งหมด ถ้าประเทศไหนมีผลประกอบการที่ดีก็มีอาสที่ PE จะปรบสูงขึ้นได้ ประเด็ที่น่าสนใจในประเทศก็ได้แก่
1 การปรัโครงสร้างภาษีครั้งใหญ่ในประเทศไทย ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพการแข่งขันของบริษัทไทยมีมากขึ้น คือ ลดภาษีทั้งระบบ แล้วขยายฐานการจัดเก็บภีให้กว้างขึ้น
2 รถไฟความเร็วสูง ซึ่งลาวจะเกิดขึ้นในอีก 4 ปีข้างหน้าเป้นตัวกดดันไทยที่จะต้องตามให้ทัน โดยคาดการว่าไทยน่าจะตอกเสาเข้มได้ในปี 55 ไตรมาสแรก ซึ่งเราจะได้ยินโครงการเมกะโปรแจคขึ้นมามากอีกครั้ โดยหุ้นจะกลับไปคึกคักเหือนในสมัยชาติชาย ซึ่งส่งเสริมการลงทุนในไทย
"สิ่งที่ถูกต้องก็คือถูกต้อง แม้ไม่มีใครทำสิ่งนั้น สิ่งที่ผิดก็คือผิด แม้ทุกคนจะทำสิ่งนั้น" ศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย
- champ_st
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 533
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปงานสัมนา 18 ธันวาคม 2553 ครับ
โพสต์ที่ 2
ยุทธศาสตร์การลงทุนเน้นคุณค่าปี 2554
คุณวชิราลักษณ์ : มองว่าในปี 2554 โอกาสที่หุ้นไทยจะขยับในกรอบ 1150-1400 จุดเป็นไปได้แต่ อาจต้องเผชิญความผันผวนที่รุนแรงมากกว่าในปี 53 โดยปัจจัยที่มองเช่นนี่ส่วนหนึ่งเห้นว่า ฟันโฟลจากต่างชาติยังมีโอกาสที่จะไหลเข้าไทยอย่างต่อเนื่องจากปีนี้ กองทุนกิมจิบอนที่หมดอายุลงส่วนหนึ่งนักลงทุนอาจเลือกที่จะเข้ามาลงทุนในหุ้นเช่นเดียวกัน เพราะตลาดไทยถือว่า ฟอร์มดีเป้น 1-4 ของโลก ปัยหาอัตราดอกเบี้ยแท้จริงก็ยังคงเป็นลบทำให้นักลงทุนไม่มีทางเลือกมากนักในการลงทุนการลงทุนเพื่อรับปันผลในหุ้นจึงเปนทางเลือกที่น่าสนใจ และผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในปี 53 โตที่ประมาณ 23% และคาดว่าในปี 54 ก็จคงเติโตต่อเนื่องที่ 19-20% ซึ่งจะเป็นตัวผลักดัน แต่ทั้งนี้ก็ต้องเลือกการลงทุนเลือกหุ้นให้ถุกต้อง และดูว่าเรารับความเสี่ยงได้ขนาดไหน
คุณณสุ: มองหุ้นไทยยังไปได้ต่อจากปี 53 เราขึ้นมามากค่าเงินบาทเราก็แข็ง ในปี 54 ก็มีทิสทางนี้ต่อเนื่อง อัตราการเจริญเติบโตของเราค่อนข้างดี แต่ความเสี่ยงคือปัยหาอียู กับฟองสบูในจีน และเงินเฟ้อ ซึ่งอะไรที่มันอยู่สูงๆถ้าตกมันก็เจ็บ ต้องจับตาค่าเงินบาทเป้นพิเศษถ้าเงินบาทเริ่มอ่อนฝรั่งก็คงจะรีบออกของ
คุณวิบูลย์ : ถ้าถาตลาดปี 54 ก็บอกไม่รู้ ในมุมมองของนักลงทุนเน้นคุณค่า เราไม่คาดเดาตลาด โอกาสเดาถุกผิดมัน 50-50 ถ้าเราเดาว่าจะขึ้นก็กดหุ้นเต็มพอตตลาดเกิดลงเราก็ขาดทุนหนัก ถ้าเดาว่าจะลงเราล้างพอตตลาดเกิดขึ้นเรากเสียโอกาส ดังนั้นเลยไม่เดา เราต้องกลับไปเน้นหุ้น กิจการที่เราลงทุนว่าในอีก 2-3 ปีหน้านี้จะไปได้ไหมถ้ามันยังไปได้เติบโตต่อได้ตลาดจะขึ้นจะลงก็ไม่ต้องไปคิดมาก
ดร.นิเวศน์ : ไม่เดา ปีที่แล้ว 52 มันขึ้นมา 60% ก็เดาว่าปีนี้ 53 มันน่าจะลง มันก้ยังขึ้นต่ออีก 40% ถ้าจะเอาก็คิดว่าปี 54 มันก็ต้องลงบ้างแระ เดาว่าลงเรื่อยๆเดี่ยวมันก้ถูก เพระอะไรที่มันขึ้นยาวนานไม่มี แบบ 2-3ขึ้นต่อเรื่องไม่ค่อยเจอ อะไรที่ขึ้นมาแรงเดี่ยวมันก้ปรับตัว แล้วตอนนี้อะไรๆก็ไม่ถุก pe 14-15 เท่าไม่เหมือนในอดีต โอกาสขึ้นต่อเลยมองว่ามีไม่มาก โอกาสขาดทุนมีสูง ถ้าไปต่อก็ถือเป้นดบนัสแต่การลงทุนปีหน้าเน้นคอนเซอเวทีฟ
คุณวชิราลักษณ์ : ในฐานะนักวิเคราะหืเห้นว่า Q1 ยังโอเค เม็ดเงินจาก LTF ที่ซื้อในช่วงปลายปีก็น่าจะทยอยขายออกมาบ้างแต่ก็แอบหวัง แจนยัวรี่เอฟเฟกซึ่งเราไม่เห็นมาหลายปีแล้ว กับกลายเป้นว่า Q2 หลายปีที่ผ่านมากลับเป้นปีที่ดีแทนโดยเฉพาะช่วงเมษาที่วันหยุดเยอะๆหุ้นขึ้นตลอดใครที่ทำงานช่วงนี้ก็ได้โบนัสไปตามๆกันแล้วก็จะเริ่มซึ่งลงตั้งแต่ กันยาลงไป
ในปี 53 หุ้นไม่ได้ขึ้นพร้อมกันทุกกลุ่ม ผลัดๆกันดันเซต ปีหน้าก็หวังกลุ่มธนาคารท่จะขึ้นแรงๆบ้างเพราะถือว่าสกดี ธนาคารก็น่าจะมาได้ โดยหากรามองว่า set จะยืนเหนือ 1000 จุดได้ ธนาคารต้องมาพร้อมพลังงาน เราคงไม่หวังกลุ่ม ict แล้วเพราะปัญหาต่างๆเยอะเหลือเกินพวกสื่อสาร
คุณณสุ : ในมุมมการเมืองปี 54 ก็น่าจะมีการเลือกตั้ง ซึ่งตรงนี้ต่างชาติค่อนข้างจับตามากวั่ฐบาลใหม่ที่เข้ามาจะบริหารได้หรือไม่ แต่สำหรับส่วนตัว เราไม่ต้องไปหมกมุ่นมาก ให้กลับมาดูหุ้นที่เราถือดีกว่าว่า ปัญจัยภายนอกที่กระทบมันกระทบกับหุ้นที่เราเลือกลงทุนไหม ถ้าไม่กระทบหรือเล้กน้อยมา ถือไว้ก็สบายใจ
คุณวิบูลย์ : ปี 52-53 เห้น วีไอหลายคนผลตอบแทนสูงมาก แต่ในมุมมมองส่วนตัวใครๆมันก้เล่นได้กำไรหมด แต่ที่น่าสนใจคือ บัพเฟตไม่เคยกำรถึง 100% เลยเฉลี่ยๆปีละ 20% ทั่น้น แต่ที่สำคัยคือผลตอบแทนมีความต่อเรื่องไม่ขาดทุน ไอ้ที่ว่าได้ 100-200% เราก็เอาไว้คุยก็มันอาจเป็นแค่โชคดี นิโลลัสนาซิมทาเล็บ ก้บอกไว้ว่า อยู่ในวงกร 10-20ปีกำไรเยอะๆเจอวิกฤติทีเดียวมันอาจหายไปหมด
คุณวชิราลักษณ์ : มองว่าในปี 2554 โอกาสที่หุ้นไทยจะขยับในกรอบ 1150-1400 จุดเป็นไปได้แต่ อาจต้องเผชิญความผันผวนที่รุนแรงมากกว่าในปี 53 โดยปัจจัยที่มองเช่นนี่ส่วนหนึ่งเห้นว่า ฟันโฟลจากต่างชาติยังมีโอกาสที่จะไหลเข้าไทยอย่างต่อเนื่องจากปีนี้ กองทุนกิมจิบอนที่หมดอายุลงส่วนหนึ่งนักลงทุนอาจเลือกที่จะเข้ามาลงทุนในหุ้นเช่นเดียวกัน เพราะตลาดไทยถือว่า ฟอร์มดีเป้น 1-4 ของโลก ปัยหาอัตราดอกเบี้ยแท้จริงก็ยังคงเป็นลบทำให้นักลงทุนไม่มีทางเลือกมากนักในการลงทุนการลงทุนเพื่อรับปันผลในหุ้นจึงเปนทางเลือกที่น่าสนใจ และผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในปี 53 โตที่ประมาณ 23% และคาดว่าในปี 54 ก็จคงเติโตต่อเนื่องที่ 19-20% ซึ่งจะเป็นตัวผลักดัน แต่ทั้งนี้ก็ต้องเลือกการลงทุนเลือกหุ้นให้ถุกต้อง และดูว่าเรารับความเสี่ยงได้ขนาดไหน
คุณณสุ: มองหุ้นไทยยังไปได้ต่อจากปี 53 เราขึ้นมามากค่าเงินบาทเราก็แข็ง ในปี 54 ก็มีทิสทางนี้ต่อเนื่อง อัตราการเจริญเติบโตของเราค่อนข้างดี แต่ความเสี่ยงคือปัยหาอียู กับฟองสบูในจีน และเงินเฟ้อ ซึ่งอะไรที่มันอยู่สูงๆถ้าตกมันก็เจ็บ ต้องจับตาค่าเงินบาทเป้นพิเศษถ้าเงินบาทเริ่มอ่อนฝรั่งก็คงจะรีบออกของ
คุณวิบูลย์ : ถ้าถาตลาดปี 54 ก็บอกไม่รู้ ในมุมมองของนักลงทุนเน้นคุณค่า เราไม่คาดเดาตลาด โอกาสเดาถุกผิดมัน 50-50 ถ้าเราเดาว่าจะขึ้นก็กดหุ้นเต็มพอตตลาดเกิดลงเราก็ขาดทุนหนัก ถ้าเดาว่าจะลงเราล้างพอตตลาดเกิดขึ้นเรากเสียโอกาส ดังนั้นเลยไม่เดา เราต้องกลับไปเน้นหุ้น กิจการที่เราลงทุนว่าในอีก 2-3 ปีหน้านี้จะไปได้ไหมถ้ามันยังไปได้เติบโตต่อได้ตลาดจะขึ้นจะลงก็ไม่ต้องไปคิดมาก
ดร.นิเวศน์ : ไม่เดา ปีที่แล้ว 52 มันขึ้นมา 60% ก็เดาว่าปีนี้ 53 มันน่าจะลง มันก้ยังขึ้นต่ออีก 40% ถ้าจะเอาก็คิดว่าปี 54 มันก็ต้องลงบ้างแระ เดาว่าลงเรื่อยๆเดี่ยวมันก้ถูก เพระอะไรที่มันขึ้นยาวนานไม่มี แบบ 2-3ขึ้นต่อเรื่องไม่ค่อยเจอ อะไรที่ขึ้นมาแรงเดี่ยวมันก้ปรับตัว แล้วตอนนี้อะไรๆก็ไม่ถุก pe 14-15 เท่าไม่เหมือนในอดีต โอกาสขึ้นต่อเลยมองว่ามีไม่มาก โอกาสขาดทุนมีสูง ถ้าไปต่อก็ถือเป้นดบนัสแต่การลงทุนปีหน้าเน้นคอนเซอเวทีฟ
คุณวชิราลักษณ์ : ในฐานะนักวิเคราะหืเห้นว่า Q1 ยังโอเค เม็ดเงินจาก LTF ที่ซื้อในช่วงปลายปีก็น่าจะทยอยขายออกมาบ้างแต่ก็แอบหวัง แจนยัวรี่เอฟเฟกซึ่งเราไม่เห็นมาหลายปีแล้ว กับกลายเป้นว่า Q2 หลายปีที่ผ่านมากลับเป้นปีที่ดีแทนโดยเฉพาะช่วงเมษาที่วันหยุดเยอะๆหุ้นขึ้นตลอดใครที่ทำงานช่วงนี้ก็ได้โบนัสไปตามๆกันแล้วก็จะเริ่มซึ่งลงตั้งแต่ กันยาลงไป
ในปี 53 หุ้นไม่ได้ขึ้นพร้อมกันทุกกลุ่ม ผลัดๆกันดันเซต ปีหน้าก็หวังกลุ่มธนาคารท่จะขึ้นแรงๆบ้างเพราะถือว่าสกดี ธนาคารก็น่าจะมาได้ โดยหากรามองว่า set จะยืนเหนือ 1000 จุดได้ ธนาคารต้องมาพร้อมพลังงาน เราคงไม่หวังกลุ่ม ict แล้วเพราะปัญหาต่างๆเยอะเหลือเกินพวกสื่อสาร
คุณณสุ : ในมุมมการเมืองปี 54 ก็น่าจะมีการเลือกตั้ง ซึ่งตรงนี้ต่างชาติค่อนข้างจับตามากวั่ฐบาลใหม่ที่เข้ามาจะบริหารได้หรือไม่ แต่สำหรับส่วนตัว เราไม่ต้องไปหมกมุ่นมาก ให้กลับมาดูหุ้นที่เราถือดีกว่าว่า ปัญจัยภายนอกที่กระทบมันกระทบกับหุ้นที่เราเลือกลงทุนไหม ถ้าไม่กระทบหรือเล้กน้อยมา ถือไว้ก็สบายใจ
คุณวิบูลย์ : ปี 52-53 เห้น วีไอหลายคนผลตอบแทนสูงมาก แต่ในมุมมมองส่วนตัวใครๆมันก้เล่นได้กำไรหมด แต่ที่น่าสนใจคือ บัพเฟตไม่เคยกำรถึง 100% เลยเฉลี่ยๆปีละ 20% ทั่น้น แต่ที่สำคัยคือผลตอบแทนมีความต่อเรื่องไม่ขาดทุน ไอ้ที่ว่าได้ 100-200% เราก็เอาไว้คุยก็มันอาจเป็นแค่โชคดี นิโลลัสนาซิมทาเล็บ ก้บอกไว้ว่า อยู่ในวงกร 10-20ปีกำไรเยอะๆเจอวิกฤติทีเดียวมันอาจหายไปหมด
"สิ่งที่ถูกต้องก็คือถูกต้อง แม้ไม่มีใครทำสิ่งนั้น สิ่งที่ผิดก็คือผิด แม้ทุกคนจะทำสิ่งนั้น" ศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย
- champ_st
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 533
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปงานสัมนา 18 ธันวาคม 2553 ครับ
โพสต์ที่ 3
ดร.นิเวศน์เสริม : พวกกองทุน ฟันที่เก้งกำไรระดับโลก ที่ว่าเก่งๆ สุดท้ายก็หมดตัวมามากต่อมากแล้ว ต้องระวังหายยะที่อาจเกิดขึ้นมันจะมากินทุนจนหมดคนที่ได้กำไร 100% เยอะๆส่วนใหย่เป้นการเก็งกำไรแผงอยู่เสมอไม่น่าจะใช่การลงทุนแท้ๆ เช่นมาจิน บรรยากาศเป็นใจ เราเลือกถูกตัว โอกาสผิดน้อยมาก แต่ถ้าบ่อยๆเกิดโดนไป1/100 ที่ผิดมันก็หมดได้ วอเลนบัพเฟต ทำมา 50ปีไม่เคยถึง 100%ซักปีเพราะเขาลงทุนจริงๆตัดการเก็งกำไรออกไป เน้นป้องกันความเสี่ยงก่อน กระจายความเสี่ยงให้เหมาะสม นักลงุนเน้นคุณค่าที่สำคัยคือเน้นดูขาลงเป็นหลักว่าจะรอดได้ไหม เพราะถ้าไม่ขาดทุนเท่ากับเราได้กำไรแล้ว
คุณวชิราลักษณ์ : ปีหน้าต้องระวัง 1 การเมืองซึ่งเป้นปัจจัยลบซึมลึกลงไปแล้ว เทียบกับตอนปี 2003 เรากับอินโดก็พอพอกัน จนตอนนี้อินโดไป 3000 เราพึ่ง 1000 คิดแล้วก็น่าเสียดาย 2 คือความหวันไหวของนักลงทุนเอง นิสัยอย่างหนึ่งคือ เห็นอะไรดีดีก็แห่กันไปทำแล้วไม่มีการควบคุมเดี่ยวปัญหาตามก็ก็ค่อยมาแก้กัน เช่นคอนโด เห็นว่าดีก็สร้างกันใหญ่ไม่ควบคุมอะไรให้ดี สุดท้ายก็เริ่มมีมาตราการป้องกัน แบบจีนที่เริ่มมีมาตราการ ก้ทำให้จิตใจนักลงทุนหวั่นไหวได้แต่ถ้าไม่เอามาตราการมาแก้ ก็อาจบานปลายเป้นปัญหาได้เช่นกัน แต่ที่น่าสนใจคือ ตอนนี้เมกาไม่ดี ถ้าเกิดเมกาฟื้น เงินอาจไหลกลับไปได้ อะไรที่เป้นความเฟื่องฟุของเราอาจไหลกลับไปหมด
คุณณสุ : ตอนนี้ให้เรามองปัจจัยภายนอกเป้นปัจจัยเยงของหุ้นไทยมากกว่าปัจจัยภายใน ซึ่งเราก็ควบคุมอะไรไม่ได้ ที่ทำได้คือเลือกบริษัทที่เติบโตได้เรือยๆ รายได้ชัดเจนไม่หวั่นไหวไปตา ศก เช่นพวกมีสัญญาต่างๆไว้ล่งหน้า อย่างไฟฟ้า น้ำ น่าจะปลอดภัยในระดับหนึ่งไม่หวือหวานตาม ศก อีกกลุ่มคือสินค้าที่ต้องกินต้องใช้ในชีวิตประจำวันเพราะมันจับต้องได้ทุกวัน
แต่ปีหน้าถ้าจะเลอกหุ้นไทยก็ต้องดูให้ดีว่าราคาตอนนี้มันเกินไปไหม เทียบกับตลาดต่างประเทศ อย่างสื่อสารกระแสเงินสดก็ดี ปันผลดี กำไรดี แต่มันเข้าใจยากว่าหมดปี 2015ที่สัมปะทานหมดมันจะไปต่ออย่างไรถ้าเราไม่เข้าใจลงทุนไปก็เลียงเพราะเราไม่รู้ ยิ่งในปัจจุบันหุ้นเล้กๆขึ้นมาแรงไปหมดถ้าคิดวาปีหน้าจะไปต่อยังไงก็ต้องเป้นหุ้นใหญ่ๆที่เปนตัวขับ
คุณวิบูลย์ : ยุทธ์ศาสตร์ปี 54 สำหรับคนที่ไม่มีหุ้นเลยต้องทำการบ้านเยอะๆหาหุ้นที่ตำกว่ามูลค่าพื้นฐานแล้วซื้อ ซึ่งมันยังมี ถ้าไม่อยากทำการบ้านก็ซื้อกองทุนรวม สำหรับคนที่มีหุ้นอยู่แล้ว ก็ดูว่าไอ้ที่ถือกิจการมันจะไปต่อได้ไหม ในอีก 3-5ปีจะเป้นอย่างไรถ้ามองแล้วแพงก็ขายออกไปก็ไม่เสียหายอะไร
ดร.นิเวศน์ : กลยุทธ์ ซุปเปอรืคอนเซอเวทีฟ เพราะพอไปดูหุ้นต่างประเทศมากๆก็รู้สึกว่าหุ้นเค้าดีมาก งบอะไรต่ออะไรก็ดี เที่ยบกับบ้านเราแล้วบ้านเราสู้ไมได้ จะเอาความถูกมาสู้แบบเมื่อก่อนหุ้นเรามันก็ไม่ถูกอีกแล้ว ทำให้คิดว่าหวังฝรั่งะมาซื้อห้นไทยมากไม่ได้ คนไทยนี่แระที่ซื้อๆขายๆกันเอง เพราะกำลังซื้อในประเทศก็เข้ามามีบทบาทมากขึ้นซื้อหุ้นแพงหน่อย กินปันผลเข้าไป คนเล่นก่อนได้กำไรก่อนมาทีหลังก็กำไรน้อยหน่อยแบบนี้ไปเรื่อยๆ
คุณณสุ : เสริม อาจารญ์นิเวศน์คือตลาดต่างประเทศเค้ามีหุ้นให้เลือกจำนวนมาก แต่ความเสี่ยงคือการเข้าถึงข้อมูลไม่เหลือหุ้นไทย เราเห็นงบดีดี พอเราซื้องบอาจแย่ ทีนี้เวลาไปด่าก่ากันคนละภาษาไม่เจ็บ ส่วนใหญ่ถ้าจะซือ้หุ้นต่างประเทศนี่เร้าองเริ่มจากเป้นคู่ค้าหรือรู้จักกันมาก่อนจริงๆ อ่านบทวิเคราะหืแล้วไปซือ้ไม่แนะนำเลย
คุณวชิราลักษณ์ : กลยุทธ์ปี 54 ก็เลือกพกหุ้นที่มีรายไดสม่ำเสมอ เช่นกลุ่มไฟฟ้า ที่ตอนนี้อาจสู้พวกพลังงานอย่างน้ำมันไม่ได้ ดยสนใจ Glow เนื่องจากมีโรงไฟฟ้าเข้าใหม่ม่ทัน ทำให้ราคาที่สูงๆอยู่ร่วงลงมาถ้าทุกอย่างเข้าทางตามแผนที่วงไว้มันก็อาจกลับขึ้นมาได้ ปันผลก็มีนโยบายที่เพิ่มขึ้นทุกปีปีละ 5% องที่จ่ายอยุ่ ถ้าตกแรงๆก็น่าสนใจที่จะซือ้ไว้รับปันผล
นอกจากนั้นก็มองกลุ่ม อาหาร โรงบาล ภัณจุภัณที่ติดไปกับอาหาร โดยเลือก CPF ซึ่งพยายามเซตธุระกิจจนประสบความสำเร็จตั้งหลักได้แล้ว แล้วก็นำโมเดิลนี้ไปปรับใช้ในตุรกี อินเดีย เป้าหมายที่ 33.5 ซึ่งมีความน่าสนใจในการเปเนผู้นำธุระกิจอาหารเบอร์ต้นๆของโลก
BGH ล่าสุดที่ไปซื้อโรงบาลเปาโลกับพญาไท กำให้มีอัตรากำไรขึ้นต้นที่ดีขึ้น โดยโรงบาลกรุงเทพพยายามทำตัวเป้ฯศุนย์การแพทย์เฉพาทางที่ต้องลงทุนมากจนตอนนี้สำเร้จแล้วการที่ได้โรงบาล 2 แห่งนี้มาเป้นการขยายฐานคนไข้ออกไป มีการส่งตัวมารักษาระหว่างกันทำให้ตัวเลขทางการเงินในอนาคตดีขึ้นและเข้ากับเทรินในอนาคตที่คนอายุยืนยาวและไปโรงบาลมากขึ้น
BCP-DR1เนื่องจากราคาตำกว่ามูลค่ามากเมื่อเทียบกับกลุ่มอย่าง top irpc pttar ทัง้ในแง่ของ PE หรือราคาบุค แล้วตัวนี้หากเกิวิกฤติ ก็ยังมีการันตีที่ 13 บาท ซึ่งกระทรวงการคลังทำไว้แต่จะยกเลิกเมือ ราคาหุ้นแม่บางจากยืนที่ 22 บาทได้ 20วัน
ดร.นิเวศน์ : ถ้าเลือกพลังงานก็สนใจ BCP-dr1 เพราะปลอดภัย สตอรี่ก็พอมีเรื่องพลังงานทดแทนแต่คนก็ไม่สนใจกันเอง คนชอบเล่นหุ้นที่กำลังวิ่ง วิ่งปุ๊บสตอรี่ก้มาเต็มไปหมด Glow ก็น่าสนใจในแง่ของรายได้แน่นอน ปันผลก็ดีกว่าเงินฝากเห็นๆ โตก็พอได้แต่ถ้าจะเอาขอดูดครงการต่างๆให้ชัดๆก่อน แต่ไอ้ 4 ตัวที่แนะนำมาไม่เห็นสปอนเวอร์ หรือคนปั่น คนเชียร์ หุ้นมันก้เลยไม่ค่อยไป BGH ก็ดีมองระยะยาวโตมากดีเรื่อยๆแต่ราคานี้ก็ไม่ถูก
คุณวิบูลย์ : เงินของเราเราต้อรับผิดชอบเอง ถ้าไม่มีความรู้ก็ซื้อกองทุน ถ้าลงทุนแบบเน้นคุณค่าต้องหาซื้อทรัพย์สินอะไรก็ตามที่ตำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป้นให้ได้ มีความรู้เรื่องไหนก็ลงทุนเรื่องนั้น ไม่จำเป็นต้องลงทุนในหุ้น 100% หรือล้างพอต แต่เน้นอนุรักษณืนิยมไว้เยอะๆปีหน้า
คุณณสุ : ให้ลงไปเปิดดู Investment clock ซึ่งเป้นนาฬิกาที่คำนวนพวกรุปแบบการลงทุนต่างๆดูอยุ่ในเน็ทพิมหาใน google เข็มนาฬิกาชี้ไปที่คอมโมหน่อยๆแสดงว่าพอเล่นได้ แล้วมันจะตามด้วยการขึ้นดอกเบี้ย ก็ลองไปศึกษาดู ฟันใหญ่ๆก็ใช้การลงทุนแบบนี้ แต่ก็ที่ฝากไว้คือ อนุรักษณ์นิยมไว้มากๆ ยิ่งสูงยิ่งหนาว
คุณวชิราลักษณ์ : ปีหน้าต้องระวัง 1 การเมืองซึ่งเป้นปัจจัยลบซึมลึกลงไปแล้ว เทียบกับตอนปี 2003 เรากับอินโดก็พอพอกัน จนตอนนี้อินโดไป 3000 เราพึ่ง 1000 คิดแล้วก็น่าเสียดาย 2 คือความหวันไหวของนักลงทุนเอง นิสัยอย่างหนึ่งคือ เห็นอะไรดีดีก็แห่กันไปทำแล้วไม่มีการควบคุมเดี่ยวปัญหาตามก็ก็ค่อยมาแก้กัน เช่นคอนโด เห็นว่าดีก็สร้างกันใหญ่ไม่ควบคุมอะไรให้ดี สุดท้ายก็เริ่มมีมาตราการป้องกัน แบบจีนที่เริ่มมีมาตราการ ก้ทำให้จิตใจนักลงทุนหวั่นไหวได้แต่ถ้าไม่เอามาตราการมาแก้ ก็อาจบานปลายเป้นปัญหาได้เช่นกัน แต่ที่น่าสนใจคือ ตอนนี้เมกาไม่ดี ถ้าเกิดเมกาฟื้น เงินอาจไหลกลับไปได้ อะไรที่เป้นความเฟื่องฟุของเราอาจไหลกลับไปหมด
คุณณสุ : ตอนนี้ให้เรามองปัจจัยภายนอกเป้นปัจจัยเยงของหุ้นไทยมากกว่าปัจจัยภายใน ซึ่งเราก็ควบคุมอะไรไม่ได้ ที่ทำได้คือเลือกบริษัทที่เติบโตได้เรือยๆ รายได้ชัดเจนไม่หวั่นไหวไปตา ศก เช่นพวกมีสัญญาต่างๆไว้ล่งหน้า อย่างไฟฟ้า น้ำ น่าจะปลอดภัยในระดับหนึ่งไม่หวือหวานตาม ศก อีกกลุ่มคือสินค้าที่ต้องกินต้องใช้ในชีวิตประจำวันเพราะมันจับต้องได้ทุกวัน
แต่ปีหน้าถ้าจะเลอกหุ้นไทยก็ต้องดูให้ดีว่าราคาตอนนี้มันเกินไปไหม เทียบกับตลาดต่างประเทศ อย่างสื่อสารกระแสเงินสดก็ดี ปันผลดี กำไรดี แต่มันเข้าใจยากว่าหมดปี 2015ที่สัมปะทานหมดมันจะไปต่ออย่างไรถ้าเราไม่เข้าใจลงทุนไปก็เลียงเพราะเราไม่รู้ ยิ่งในปัจจุบันหุ้นเล้กๆขึ้นมาแรงไปหมดถ้าคิดวาปีหน้าจะไปต่อยังไงก็ต้องเป้นหุ้นใหญ่ๆที่เปนตัวขับ
คุณวิบูลย์ : ยุทธ์ศาสตร์ปี 54 สำหรับคนที่ไม่มีหุ้นเลยต้องทำการบ้านเยอะๆหาหุ้นที่ตำกว่ามูลค่าพื้นฐานแล้วซื้อ ซึ่งมันยังมี ถ้าไม่อยากทำการบ้านก็ซื้อกองทุนรวม สำหรับคนที่มีหุ้นอยู่แล้ว ก็ดูว่าไอ้ที่ถือกิจการมันจะไปต่อได้ไหม ในอีก 3-5ปีจะเป้นอย่างไรถ้ามองแล้วแพงก็ขายออกไปก็ไม่เสียหายอะไร
ดร.นิเวศน์ : กลยุทธ์ ซุปเปอรืคอนเซอเวทีฟ เพราะพอไปดูหุ้นต่างประเทศมากๆก็รู้สึกว่าหุ้นเค้าดีมาก งบอะไรต่ออะไรก็ดี เที่ยบกับบ้านเราแล้วบ้านเราสู้ไมได้ จะเอาความถูกมาสู้แบบเมื่อก่อนหุ้นเรามันก็ไม่ถูกอีกแล้ว ทำให้คิดว่าหวังฝรั่งะมาซื้อห้นไทยมากไม่ได้ คนไทยนี่แระที่ซื้อๆขายๆกันเอง เพราะกำลังซื้อในประเทศก็เข้ามามีบทบาทมากขึ้นซื้อหุ้นแพงหน่อย กินปันผลเข้าไป คนเล่นก่อนได้กำไรก่อนมาทีหลังก็กำไรน้อยหน่อยแบบนี้ไปเรื่อยๆ
คุณณสุ : เสริม อาจารญ์นิเวศน์คือตลาดต่างประเทศเค้ามีหุ้นให้เลือกจำนวนมาก แต่ความเสี่ยงคือการเข้าถึงข้อมูลไม่เหลือหุ้นไทย เราเห็นงบดีดี พอเราซื้องบอาจแย่ ทีนี้เวลาไปด่าก่ากันคนละภาษาไม่เจ็บ ส่วนใหญ่ถ้าจะซือ้หุ้นต่างประเทศนี่เร้าองเริ่มจากเป้นคู่ค้าหรือรู้จักกันมาก่อนจริงๆ อ่านบทวิเคราะหืแล้วไปซือ้ไม่แนะนำเลย
คุณวชิราลักษณ์ : กลยุทธ์ปี 54 ก็เลือกพกหุ้นที่มีรายไดสม่ำเสมอ เช่นกลุ่มไฟฟ้า ที่ตอนนี้อาจสู้พวกพลังงานอย่างน้ำมันไม่ได้ ดยสนใจ Glow เนื่องจากมีโรงไฟฟ้าเข้าใหม่ม่ทัน ทำให้ราคาที่สูงๆอยู่ร่วงลงมาถ้าทุกอย่างเข้าทางตามแผนที่วงไว้มันก็อาจกลับขึ้นมาได้ ปันผลก็มีนโยบายที่เพิ่มขึ้นทุกปีปีละ 5% องที่จ่ายอยุ่ ถ้าตกแรงๆก็น่าสนใจที่จะซือ้ไว้รับปันผล
นอกจากนั้นก็มองกลุ่ม อาหาร โรงบาล ภัณจุภัณที่ติดไปกับอาหาร โดยเลือก CPF ซึ่งพยายามเซตธุระกิจจนประสบความสำเร็จตั้งหลักได้แล้ว แล้วก็นำโมเดิลนี้ไปปรับใช้ในตุรกี อินเดีย เป้าหมายที่ 33.5 ซึ่งมีความน่าสนใจในการเปเนผู้นำธุระกิจอาหารเบอร์ต้นๆของโลก
BGH ล่าสุดที่ไปซื้อโรงบาลเปาโลกับพญาไท กำให้มีอัตรากำไรขึ้นต้นที่ดีขึ้น โดยโรงบาลกรุงเทพพยายามทำตัวเป้ฯศุนย์การแพทย์เฉพาทางที่ต้องลงทุนมากจนตอนนี้สำเร้จแล้วการที่ได้โรงบาล 2 แห่งนี้มาเป้นการขยายฐานคนไข้ออกไป มีการส่งตัวมารักษาระหว่างกันทำให้ตัวเลขทางการเงินในอนาคตดีขึ้นและเข้ากับเทรินในอนาคตที่คนอายุยืนยาวและไปโรงบาลมากขึ้น
BCP-DR1เนื่องจากราคาตำกว่ามูลค่ามากเมื่อเทียบกับกลุ่มอย่าง top irpc pttar ทัง้ในแง่ของ PE หรือราคาบุค แล้วตัวนี้หากเกิวิกฤติ ก็ยังมีการันตีที่ 13 บาท ซึ่งกระทรวงการคลังทำไว้แต่จะยกเลิกเมือ ราคาหุ้นแม่บางจากยืนที่ 22 บาทได้ 20วัน
ดร.นิเวศน์ : ถ้าเลือกพลังงานก็สนใจ BCP-dr1 เพราะปลอดภัย สตอรี่ก็พอมีเรื่องพลังงานทดแทนแต่คนก็ไม่สนใจกันเอง คนชอบเล่นหุ้นที่กำลังวิ่ง วิ่งปุ๊บสตอรี่ก้มาเต็มไปหมด Glow ก็น่าสนใจในแง่ของรายได้แน่นอน ปันผลก็ดีกว่าเงินฝากเห็นๆ โตก็พอได้แต่ถ้าจะเอาขอดูดครงการต่างๆให้ชัดๆก่อน แต่ไอ้ 4 ตัวที่แนะนำมาไม่เห็นสปอนเวอร์ หรือคนปั่น คนเชียร์ หุ้นมันก้เลยไม่ค่อยไป BGH ก็ดีมองระยะยาวโตมากดีเรื่อยๆแต่ราคานี้ก็ไม่ถูก
คุณวิบูลย์ : เงินของเราเราต้อรับผิดชอบเอง ถ้าไม่มีความรู้ก็ซื้อกองทุน ถ้าลงทุนแบบเน้นคุณค่าต้องหาซื้อทรัพย์สินอะไรก็ตามที่ตำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป้นให้ได้ มีความรู้เรื่องไหนก็ลงทุนเรื่องนั้น ไม่จำเป็นต้องลงทุนในหุ้น 100% หรือล้างพอต แต่เน้นอนุรักษณืนิยมไว้เยอะๆปีหน้า
คุณณสุ : ให้ลงไปเปิดดู Investment clock ซึ่งเป้นนาฬิกาที่คำนวนพวกรุปแบบการลงทุนต่างๆดูอยุ่ในเน็ทพิมหาใน google เข็มนาฬิกาชี้ไปที่คอมโมหน่อยๆแสดงว่าพอเล่นได้ แล้วมันจะตามด้วยการขึ้นดอกเบี้ย ก็ลองไปศึกษาดู ฟันใหญ่ๆก็ใช้การลงทุนแบบนี้ แต่ก็ที่ฝากไว้คือ อนุรักษณ์นิยมไว้มากๆ ยิ่งสูงยิ่งหนาว
"สิ่งที่ถูกต้องก็คือถูกต้อง แม้ไม่มีใครทำสิ่งนั้น สิ่งที่ผิดก็คือผิด แม้ทุกคนจะทำสิ่งนั้น" ศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย
-
- Verified User
- โพสต์: 18
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปงานสัมนา 18 ธันวาคม 2553 ครับ
โพสต์ที่ 4
ขอบคุณครับพี่แชมป์
-
- Verified User
- โพสต์: 1155
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปงานสัมนา 18 ธันวาคม 2553 ครับ
โพสต์ที่ 5
Blueplanet
-
- Verified User
- โพสต์: 358
- ผู้ติดตาม: 1
Re: สรุปงานสัมนา 18 ธันวาคม 2553 ครับ
โพสต์ที่ 8
ขอบคุณครับ ที่รวบรวม ได้ข้อเตือนใจอีกแล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 1601
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปงานสัมนา 18 ธันวาคม 2553 ครับ
โพสต์ที่ 9
ขอบคุณพี่แชมป์ครับ
- kabu
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2149
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปงานสัมนา 18 ธันวาคม 2553 ครับ
โพสต์ที่ 12
ขอบคุณมากครับ คุณแชมป์
ผมก็มองว่า ปีหน้าน่าจะเน้นกองกลางกับกองหลังเยอะหน่อยเหมือนกัน
ส่วนกองหน้าฝีเท้าดี ผมว่าทิ้งไว้เป็นตัวเป้าซักหนึ่งตัวน่าจะโอเค
ผมก็มองว่า ปีหน้าน่าจะเน้นกองกลางกับกองหลังเยอะหน่อยเหมือนกัน
ส่วนกองหน้าฝีเท้าดี ผมว่าทิ้งไว้เป็นตัวเป้าซักหนึ่งตัวน่าจะโอเค
"หนทางเดียวที่จะก้าวพ้นขอบเขตของความเป็นไปได้ คือก้าวเข้าสู่ความเป็นไปไม่ได้", Arthur C. Clarke
สมุดบันทึก: http://kabuvi.wordpress.com/
สมุดบันทึก: http://kabuvi.wordpress.com/
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1741
- ผู้ติดตาม: 1
Re: สรุปงานสัมนา 18 ธันวาคม 2553 ครับ
โพสต์ที่ 18
ขอบคุณสำหรับเนื้อหาดีๆน่ะครับ
แลกเปลี่ยนมุมมองการลงทุนได้ครับ
https://www.facebook.com/%E0%B8%84%E0%B ... you_manage
https://www.facebook.com/%E0%B8%84%E0%B ... you_manage
- murder_doll
- Verified User
- โพสต์: 1644
- ผู้ติดตาม: 1
Re: สรุปงานสัมนา 18 ธันวาคม 2553 ครับ
โพสต์ที่ 19
ขอบคุณครับ
เงินทองเป็นของมายา
ข้าวปลาคือของจริง
ข้าวปลาคือของจริง
- SunShine@Night
- Verified User
- โพสต์: 2196
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปงานสัมนา 18 ธันวาคม 2553 ครับ
โพสต์ที่ 20
ขอบคุณมากครับ
VI ฝึกหัด สำนักปีเตอร์ ลินช์
หวังผลต่อแทนทบต้นมากกว่า 15% ต่อปี
หวังผลต่อแทนทบต้นมากกว่า 15% ต่อปี
- LittleChicky
- Verified User
- โพสต์: 277
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปงานสัมนา 18 ธันวาคม 2553 ครับ
โพสต์ที่ 24
ขอบคุณครับ
นักลงทุนผู้ชาญฉลาดไม่ควรซื้อหุ้นสามัญเพียงเพราะว่ามันมีราคาถูก แต่ควรซื้อเฉพาะว่ามันสัญญาว่าจะทำกำไรงดงามให้กับเขา...ฟิลลิป เอ พิชเชอร์
- sir.prince
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 287
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปงานสัมนา 18 ธันวาคม 2553 ครับ
โพสต์ที่ 25
ขอบคุณมากๆครับผม
SKY Line
FBเพจอ่านมาแชร์และลงทุน
FBเพจอ่านมาแชร์และลงทุน
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2603
- ผู้ติดตาม: 1
Re: สรุปงานสัมนา 18 ธันวาคม 2553 ครับ
โพสต์ที่ 28
ขอบคุณมากๆครับ
คนเราจะมีความสุข มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีเท่าไร เเต่ขึ้นกับว่า เราพอเมื่อไร
~หลวงพ่อชา สุภัทโท~
o
~หลวงพ่อชา สุภัทโท~
o