คัดหุ้นเด่น เฟ้นหุ้นดี ปีกระต่าย

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
thaloengsak
Verified User
โพสต์: 2716
ผู้ติดตาม: 1

คัดหุ้นเด่น เฟ้นหุ้นดี ปีกระต่าย

โพสต์ที่ 1

โพสต์

คัดหุ้นเด่น เฟ้นหุ้นดี ปีกระต่าย

Posted on Friday, February 04, 2011
แม้นักวิเคราะห์หลักทรัพย์และผู้จัดการกองทุน จะมั่นใจว่า ตลาดหุ้นไทยปีกระต่ายจะสดใสต่อเนื่องจากปีเสือ แต่แค่เปิดทำการเดือนแรกเท่านั้น สถานการณ์กลับพลิกผัน เพราะตลาดหุ้นแกว่งตัวไร้ทิศทาง 3 วันดี 4 วันไข้ บางวันมูลค่าการซื้อขายหุ้นก็หดหาย บางสัปดาห์ตลาดย่ำฐานในกรอบแคบๆ ทำเอานักลงทุนหลายคนสั่นหัว เพราะไม่รู้จะลงทุนหุ้นอะไรดี บางคนก็ชะลอลงทุนเพื่อรอจังหวะซื้อ แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจับจังหวะลงทุนอย่างไร

เพื่อตอบข้อสงสัยเหล่านี้ กองบรรณาธิการ M&W จึงจัดสัมมนาหัวข้อ “ คัดหุ้นเด่น เฟ้นหุ้นดี ปีกระต่าย” โดยเชิญ 2 นักกลยุทธ์ฝีมือดีฝ่ายหญิง ได้แก่ คุณวราภรณ์ วิบูลคณารักษ์ หรือ “คุณจอย” จาก บล.เคทีซีมิโก้ (KTZMICO) กับคุณมยุรี โชวิกรานต์ หรือ “คุณเบน” จาก บล.กิมเอ็ง (KEST) ขึ้นเวทีแลกเปลี่ยนความเห็น พร้อมกับระดมความคิดเพื่อหาเคล็ดลับการลงทุนหุ้นปีนี้ ร่วมกับ 2 นักกลยุทธ์ฝีมือดีฝ่ายชาย อย่างคุณกวี ชูกิจเกษม หรือ “คุณวี” จาก บล.กสิกรไทย (KS) และคุณสุกิจ อุดมศิริกุล หรือ “คุณป๋อง” จาก บล.ไทยพาณิชย์ (SCBS) หวังจุดประกายความคิดให้นักลงทุนรายย่อยทุกคน

งานสัมมนาวันนั้นเปิดฉากแบบโดนใจนักลงทุนทุกคน เมื่อคุณเนาวรัตน์ เจริญประพิณ ซึ่งรับหน้าที่ผู้ดำเนินรายการ (เหมือนเคย) ขอให้นักกลยุทธ์อธิบายว่า แนวโน้มตลาดหุ้นจะยังสดใสจริงหรือเปล่า แล้วความผันผวนอย่างที่เกิดในเดือนมกราคม จะมีตลอดทั้งปีหรือไม่

หุ้นปีกระต่ายครึ่งแรก ยังเป็นปีทอง
แต่ครึ่งหลัง ต้องลุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ

นักกลยุทธ์จากทุกค่าย ยังมีความมั่นใจว่า หุ้นปีกระต่ายจะให้ผลตอบแทนจากการลงทุนได้ดีต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 แต่คงไม่สามารถคาดหวังอัตราผลตอบแทนในระดับ 40% อย่างที่เกิดในปีเสือได้ คงต้องทำใจกับเป้าหมายระดับ 20-30% แทน

ที่เป็นเช่นนี้เป็นผลจากกระแสเงินทุน (Fund-flow) ที่จะไหลเข้าตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มชะลอตัวลง และไม่ต่อเนื่องเหมือนปีก่อน เพราะดัชนีชี้นำทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลายตัวส่งสัญญาณดีกว่าคาด สวนทางยุโรปที่ยังมีวิกฤตหนี้สาธารณะคอยกดดัน หนุนให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ปรับแข็งค่าขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติบางกลุ่มหันมาขายทำกำไร เพื่อโยกเงินกลับไปลงทุนในสหรัฐฯ หรือเคลื่อนย้ายเงินจากตลาดหุ้นเข้าตลาดตราสารหนี้แทน เพราะดอกเบี้ยไทยปีนี้มีแนวโน้มจะปรับขึ้นได้ 1.00-1.25%

“หากเปรียบเทียบผลตอบแทนจากการลงทุนหุ้นในปีที่ผ่านมา จะพบว่า หุ้นฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และไทยเป็น 3 ตลาดที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า 40% เพราะฉะนั้น ตลาดหุ้นทั้ง 3 แห่งนี้จึงถูกขายทำกำไรค่อนข้างมากในเดือนมกราคมที่ผ่านมา เมื่อตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีเกินคาด แต่เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัวที่ชัดเจน ขณะที่เศรษฐกิจไทยยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง แนวโน้มกำไรของบริษัทจดทะเบียนเติบโตในระดับ 15-20% ใกล้เคียงกับตลาดหุ้นภูมิภาค เม็ดเงินจึงยังคงหมุนเวียนในตลาดหุ้นต่อไป แต่ปริมาณเงินอาจชะลอลงบ้าง เพราะเงินบางส่วนถูกโยกเข้าตลาดตราสารหนี้ ซึ่งผลตอบแทนมีแนวโน้มสูงขึ้นตามทิศทางดอกเบี้ยที่เร่งตัวขึ้น” คุณป๋อง ชี้แจงข้อเท็จจริง

ทั้งนี้ มีการคาดหมายด้วยว่า Fund-flow จะยังอยู่ในตลาดหุ้นอย่างน้อยครึ่งปีแรก ส่วนครึ่งปีหลังต้องรอดูแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ เพื่อประเมินสถานการณ์อีกครั้ง

“หุ้นครึ่งปีแรกยังมีแนวโน้มขาขึ้นอยู่ แต่การปรับตัวของดัชนีจะไม่เร็วและแรงเหมือนปีก่อน เพราะเม็ดเงินมีแนวโน้มชะลอตัวลง แต่ครึ่งปีหลัง ต้องจับตาเศรษฐกิจสหรัฐฯ เป็นพิเศษ โดยเฉพาะถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) กับตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ 2 ตัว คือ ตัวเลขการว่างงาน และราคาอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากข้อมูลเหล่านี้จะชี้ให้เห็นภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างชัดเจน ส่งผลต่อเนื่องถึงการกำหนดแนวนโยบายดอกเบี้ย รวมถึงแผนถอดถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (Exit Strategy) ของสหรัฐฯ ซึ่งจะมีผลต่อ Fund-flow ตามมาทันที หากตลาดเห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวชัดเจน แรงขายหุ้นเพื่อโยกเงินกลับสหรัฐฯ จะมีอย่างต่อเนื่อง เกิดการปรับฐานอย่างรุนแรง ในทางกลับกัน หากยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวชัดเจน Fund-flow จะยังไม่ไหลกลับไปสหรัฐฯ หนุนให้หุ้นไทยดีดตัวอย่างร้อนแรง แต่จะเป็นมุมไหนคงต้องรอความชัดเจนที่จะเกิดในช่วงกลางไตรมาส 2 หรือกลางปีนี้เป็นอย่างช้า” คุณจอย ฝากเช็คลิสต์ให้นักลงทุน

ถึงตรงนี้ วงสัมมนาหันมาพูดคุยกันถึงกลยุทธ์ลงทุนครึ่งปีแรก พร้อมกับเปิดโผหุ้นน่าสนใจในมุมมองของอดีตลูกหม้อโนมูระ พัฒนสิน (CNS) ทั้ง 3 คน ไล่จากสาวเบน หนุ่มวี และหนุ่มป๋อง


9 หุ้นเด่นในใจ KEST
AMATA BBL CK MAJOR PTTCH SCC STA TOP และ TUF

คุณเบน เลือกหุ้น 9 ตัว ได้แก่ AMATA BBL CK MAJOR PTTCH SCC STA TOP และ TUF พร้อมเผยกลยุทธ์ลงทุน 2 รูปแบบ คือ เล่นรอบ (Trading) หุ้นกลุ่ม commodity กับหุ้นขนาดกลางและเล็ก (Mid & Small Caps) อย่าง CK PTTCH STA และ TOP เพราะราคาหุ้นจะแกว่งตามทิศทางราคาสินค้าโภคภัณฑ์ หรือทิศทางตลาดโดยรวมมากกว่าปัจจัยพื้นฐาน

“เราเชื่อว่า ผลดำเนินงาน TOP จะเติบโตโดดเด่นอย่างต่อเนื่อง จากกำไรสต๊อกน้ำมันดิบ ค่าการกลั่นที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนส่วนต่างปิโตรเคมีที่ปรับเป็นขาขึ้น และยิ่งภาครัฐเตรียมปรับโครงสร้างราคาขาย LPG หน้าโรงกลั่นให้สอดคล้องกับราคาในตลาดโลก ทำให้ TOP ซึ่งเป็นโรงกลั่น LPG รายใหญ่สุดจะได้ประโยชน์ทั้งจากกำลังการผลิต และกำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น ผลักดันกำไรให้เติบโตอย่างน้อย 4 ไตรมาส นับจากไตรมาสสุดท้ายปีก่อนจนถึงไตรมาสสามปีนี้ ส่งผลให้ราคาเหมาะสมปรับขึ้นมาเป็น 87 บาท”

“ส่วน PTTCH นอกจากมีประเด็นเรื่องการควบรวมกิจการกับ PTTAR ซึ่งน่าจะได้ข้อสรุปภายในครึ่งแรกปีนี้แล้ว ธุรกิจยังมีแนวโน้มทำกำไรเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากยอดขายและราคาผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้น ด้วยการลดต้นทุนการผลิตโดยหันมาใช้ก๊าซเป็นวัตถุดิบแทนน้ำมันสูงถึง 85% และได้ประโยชน์ทางภาษีจาก BOI ในโครงการ PTTPE ช่วยผลักดันให้ผลดำเนินงานปีนี้ให้เติบโตโดดเด่นที่สุดในกลุ่มปิโตรเคมี คิดเป็นราคาเหมาะสมที่ 190 บาท”

“สำหรับ CK ผลดำเนินงานปีนี้มีแนวโน้มเติบโตแบบก้าวกระโดด จากการรับรู้รายได้จากโครงการขนาดใหญ่อย่าง ไซยะบุรี และการขายไฟฟ้าของเขื่อนน้ำงึม 2 หนุนให้ธุรกิจพลิกจากขาดทุนสุทธิ 201 ล้านบาทในปีก่อน มาเป็นกำไรสุทธิ 945 ล้านบาท คิดเป็นราคาเหมาะสมที่ 12.80 บาท หรือมี Upside กว่า 20% เทียบกับ STEC ซึ่งราคาเต็มมูลค่า แล้ว“ นักกลยุทธ์ค่าย KEST เปิดประเด็น

ส่วนหุ้นที่เหลือ ไม่ว่าจะเป็น AMATA BBL MAJOR SCC หรือ TUF สาวเบนแนะให้ซื้อลงทุนระยะกลางถึงยาว (Buy) เพราะราคาหุ้นจะเคลื่อนไหวตามปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
“ธุรกิจธนาคาร นอกจากจะได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้นหนุนให้ส่วนต่างดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นแล้ว ยังได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของสินเชื่อธุรกิจรายใหญ่ที่มีการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น และรายได้ค่าธรรมเนียมที่คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องด้วย แต่ที่โดดเด่นสุดจะเป็น BBL ซึ่งมีราคาเหมาะสมที่ 179 บาท ส่วนธุรกิจสื่อและบันเทิง กับธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมน่าจะสร้างผลตอบแทนได้ดีเช่นกัน เพราะได้ประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งในปีที่ผ่านมา ช่วยผลักดันกำไรให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมี MAJOR และ AMATA เป็น Top pick ของกลุ่ม ด้วยราคาเหมาะสม 17.40 บาท และ 20.50 บาท ตามลำดับ” เธอให้ข้อมูลเพิ่มเติม

“TUF จะเริ่มเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการซื้อกิจการ MW Brands ทั้งในแง่ยอดขายที่เพิ่มขึ้น สวนทางต้นทุนราคาวัตถุดิบ และค่าขนส่งที่ปรับลดลง อีกทั้งไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าไปตลาดยุโรป ซึ่งเป็นตลาดอาหารทะลที่ใหญ่ที่สุดในโลก จากการประเมินเบื้องต้น กำไรสุทธิของ TUF น่าจะเติบโตจากปีก่อน 37% เป็น 4,979 ล้านบาท ทำให้ราคาเหมาะสมปรับขึ้นมาเป็น 70 บาท”

“สำหรับ SCC ธุรกิจปิโตรเคมียังเป็น Key Growth Driver ปีนี้ เพราะมีการเพิ่มกำลังการผลิตในปีก่อนเกือบ 1 เท่าตัว รวมถึงได้ประโยชน์ทิศทางราคาปิโตรเคมีขาขึ้น ขณะที่ธุรกิจปูนซิเมนต์แม้จะถูกกดดันจากราคาถ่านหินที่สูงขึ้น แต่การเติบโตของความต้องการใช้ปูนซิเมนต์ในประเทศ และการเริ่มต้นโครงการ Waste Heat Generator ซึ่งสามารถลดต้นทุนการผลิตได้ 1.4 พันล้านบาท จะช่วยลดแรงกดดันจากต้นทุนถ่านหินได้เช่นกัน นอกจากนี้ SCC จะรับรู้กำไรในส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในโครงการต่างๆ ช่วยชดเชยส่วนแบ่งกำไรที่หายไปของ PTTCH ทำให้คาดว่ากำไรปกติปีนี้ จะเติบโต 20% เป็น 32,097 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้นๆ ละ 26.75 บาท และคาดการณ์เงินปันผลเพิ่มขึ้นเป็นหุ้นละ 15 บาท โดยมีราคาเหมาะสมอยู่ที่ 380 บาท” สาวเบนทิ้งท้าย


13 หุ้นคัดของ KS
AMATA BANPU BBL BGH CPALL KTB MINT PTT PTTCH STA STEC TOP และ TVO

ถึงคิวของคุณกวีบ้าง เขาเริ่มต้นด้วย Theme หุ้นที่น่าสนใจว่ามี 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเร่งตัวของเงินเฟ้อ (Inflationary) กับกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ (Domestic Plays) โดยกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเร่งตัวของเงินเฟ้อ ประกอบด้วยหุ้นธนาคารพาณิชย์ ปิโตรเคมี พลังงาน เกษตรและอาหาร เพราะการเร่งตัวของเงินเฟ้อจะมีผลให้ดอกเบี้ย และราคา Commodity ปรับตัวเป็นขาขึ้น ซึ่งเมื่อคัดเลือกหุ้นที่มีความโดดเด่นจะมี 8 ตัว คือ BANPU BBL KTB PTT PTTCH STA TOP และ TVO

“เราเลือก BBLกับ KTB เพราะมีพอร์ตสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ และราคาหุ้นซื้อขายในระดับที่ต่ำกว่าหุ้นธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่ ทำให้มี upside จากราคาเหมาะสมที่ 213 บาท และ 23 บาท ตามลำดับ กว่า 20% ส่วน BANPU PTTCH TOP STA กับ TVO ได้ประโยชน์จากยอดขายและราคาผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น ตามทิศทาง commodity ในตลาดโลกที่ปรับเป็นขาขี้น หนุนกำไรปีนี้ให้เติบโตอย่างโดดเด่น สำหรับ PTT ราคาหุ้นค่อนข้างถูก เมื่อพิจารณาจากแนวโน้มกำไรปีนี้ เปรียบเทียบกับหุ้นประเภทเดียวกันในภูมิภาค“ นักกลยุทธ์ค่าย KS อธิบายสั้นๆ

สำหรับกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ มี 5 ตัวที่ควรเก็บเข้าพอร์ต ได้แก่ AMATA BGH CPALL MINT และ STEC

“BGH และ MINT ต่างเป็นหมายเลขหนึ่งในธุรกิจที่ทำอยู่ โดย BGH เป็นผู้นำธุรกิจโรงพยาบาล ขณะที่ MINT เป็นผู้นำธุรกิจโรงแรมและอาหารในประเทศ ซึ่งตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกและวิกฤตการเมืองไทยกดดันกำไรให้ทรุดตัวอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ธุรกิจกลับมาพลิกฟื้นจากจุดต่ำสุดได้ตั้งแต่กลางปีที่แล้ว และมีแนวโน้มด้วยว่ากำไรปีนี้จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ”

“ส่วน CPALL เป็นผู้นำธุรกิจร้านสะดวกซื้อ ด้วยสาขามากกว่า 5,000 สาขา ซึ่งสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี ทำให้เชื่อมั่นได้ว่า บริษัทจะยังเติบโตต่อเนื่องในอีก 5 ปีข้างหน้า ขณะเดียวกัน ยังมีกระแสเงินสดมากเพียงพอสำหรับการลงทุนใหม่ๆ ตลอดจนการจ่ายปันผลเพิ่มขึ้นด้วย สำหรับ STEC โดดเด่นที่สุดในธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง จากทั้งฐานะทางการเงินที่เข้มแข็งที่สุด การมี Backlog ในมือถึง 40,000 ล้านบาท จากโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าขนาดใหญ่ 2 สาย และมีโอกาสได้งานจากโครงการใหม่ๆ ในอนาคต ช่วยหนุนรายได้เติบโตในระยะยาว เฉพาะปีนี้ น่าจะเห็นรายได้และกำไรเติบโตจากปีก่อนเกิน 50%” หนุ่มวี สรุปประเด็น

เขายังทิ้งท้ายด้วยว่า นักลงทุนอาจให้ความสนใจหุ้น Mid & Small Caps อย่าง KKC RS SMT และ THCOM เพิ่มเติม โดยคู่ของ KKC (ราคาเหมาะสม 10.40 บาท) กับ SMT (ราคาเหมาะสม 26.70 บาท) กำไรปีนี้มีแนวโน้มเติบโตโดดเด่นต่อเนื่อง จากยอดขายผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการยอมรับ สามารถบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ หนุนให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้น แม้จะถูกกดดันจากการแข็งค่าเงินบาท แต่ก็อยู่ในวงจำกัด

สำหรับคู่ RS กับ THCOM ธุรกิจสามารถพลิกฟื้นจากขาดทุนสุทธิมาเป็นกำไรสุทธิ ทำให้น่าจะจ่ายปันผลได้เป็นครั้งแรกในรอบหลายๆ ปี สวนทางราคาหุ้นที่ต่ำเกินไป แต่การลงทุนหุ้นเหล่านี้อาจต้องเล่นรอบมากกว่าซื้อลงทุนระยะยาว เพราะยังมีปัจจัยเสี่ยงกดดันให้นักลงทุนต้องติดตามสถานการณ์กันต่อไป


5 หุ้นเด็ดเฟ้นโดย SCBS
AMATA BANPU HANA HMPRO และ PTTCH

ขณะที่นักลงทุนรูปหล่อ ชี้แจงว่า จากการคัดเลือกหุ้นที่มีความโดดเด่นทั้งในแง่ปัจจัยพื้นฐาน ระดับราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าเหมาะสมประมาณ 20% ประกอบเข้ากับแนวโน้มตลาดหุ้นในครึ่งปีแรก จะพบว่า มีหุ้นที่ควรเก็บเข้าพอร์ต 5 ตัว ได้แก่ AMATA BANPU HANA HMPRO และ PTTCH

เขาสรุปประเด็นสั้นๆ ตามสไตล์ว่า AMATA น่าสนใจเพราะยอดขายมีแนวโน้มเติบโตตามการฟื้นตัวของการลงทุน ขณะเดียวกัน ยังมี Upside จาก 3 โครงการ คือ โครงการทวายในพม่า เวียดนามเฟส 2 และการร่วมลงทุนกับกลุ่ม Holly ช่วยหนุนกำไรให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง เฉพาะปีนี้ คาดว่า จะมีกำไรสุทธิต่อหุ้นเติบโตสูงกว่า 60% ขณะที่ราคาหุ้นยังมี upside จากราคาเหมาะสม ที่ 22.50 บาท ไม่น้อยกว่า 20%

ส่วน BANPU การซื้อหุ้น Centennial Coal เพิ่มในปีก่อน จะผลักดันให้กำไรเติบโตอย่างก้าวกระโดด จากยอดขายที่เพิ่มขึ้น และราคาถ่านหินซึ่งมีแนวโน้มจะปรับขึ้นตามทิศทางราคา Commodity นอกจากนี้ ธุรกิจยังมี upside เพิ่มอีก หากแผนควบรวมเชิงกลยุทธ์และเพิ่มมูลค่าแล้วเสร็จในเดือนเมษายนตามที่คาดหมายไว้ อย่างไรก็ดี เมื่อทำการประเมินราคาเหมาะสม ในเบื้องต้นจะได้ที่ 920 บาท

ขณะที่ HANA ถือเป็นหุ้นที่ Laggard ที่สุดในกลุ่มอิเล็คทรอนิกส์ ดูได้จากราคาหุ้นในปีที่ผ่านมาปรับขึ้น 26% ต่ำกว่าหุ้นทั้งกลุ่มที่ดีดตัวถึง 54% กว่า 1 เท่าตัว ทั้งที่บริษัทยังมีความสามารถทำกำไรอยู่อย่างต่อเนื่อง ทั้งจากยอดขาย MEMS ชิ้นส่วนโทรศัพท์มือถือ และ Tablets ที่เติบโตตามอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ยิ่งไปกว่านั้น การที่หุ้นกลุ่มนี้มีความสัมพันธ์กับเศรษฐกิจสหรัฐฯ สูงมาก ทำให้อาจเห็นการปรับเพิ่มประมาณการกำไรหุ้นกลุ่มนี้เกิดขึ้นในอนาคต แต่ในเบื้องต้น หุ้นยังมี Upside จากราคาเหมาะสมที่ 33 บาท ราวๆ 20%

สำหรับ HMPRO มีแนวโน้มเติบโตในระดับ 26% และ 20% ตลอด 2 ปีนี้ ทั้งจากยอดขายที่เติบโตตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ความต้องการปรับปรุงที่อยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้น รวมถึงยอดขายสินค้าเฮ้าส์แบรนด์ของตัวเอง และการมีอำนาจต่อรองกับซัพพลายเออร์มากขึ้น หนุนให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับขึ้นสูงกว่า 25% นอกจากนี้ บริษัทยังมีกระแสเงินสดมากเพียงพอสำหรับการลงทุนใหม่ๆ หรือจ่ายปันผลเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งเมื่อประเมินมูลค่าที่เหมาะสม จะได้ราคาประมาณ 11.50 บาท


8 หุ้นหลบภัย ที่ควรมีติดพอร์ต
BEC HANA LPN MAJOR MCOT PS SMT SPALI

เพื่อให้นักลงทุนได้ข้อมูลอย่างครบถ้วน คุณจอย ซึ่งมีอาวุโสสูงสุด ถูกมอบหมายให้คัดเลือกหุ้นที่ควรมีในพอร์ต ลดผลกระทบจากการไหลออกของ Fund-flow ที่อาจเกิดในกลางปีนี้ เพิ่มเติม

“หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวจริง จะทำให้เกิดการโยกเงินลงทุนกลับสหรัฐฯ ส่งผลให้หุ้นไทยปรับฐานรุนแรง หุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์จะได้ประโยชน์จากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดี และการอ่อนค่าของเงินบาทหนุนกำไรให้เติบโต โดยมี HANA กับ SMT เป็น Top pick ขณะที่หุ้นกลุ่ม Domestic Plays จะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นกลุ่มสื่อและบันเทิง กับอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งราคาซื้อขายต่ำกว่าตลาด” นักกลยุทธ์ค่าย KTZMICO ขมวดประเด็น

เธออธิบายต่อว่า หุ้นกลุ่มสื่อและบันเทิง ได้ปัจจัยบวกจากความต้องการโฆษณาที่ยังมีสูงอย่างต่อเนื่อง ดูได้จากอัตราการใช้เวลาโฆษณา และค่าโฆษณามีการปรับขึ้นทั้งคู่ ขณะเดียวกัน ยังได้แรงหนุนจากการเลือกตั้งใหม่ผลักดันให้ธุรกิจโฆษณาปีนี้มีแนวโน้มจะเติบโตได้ในอัตราสองหลัก ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบสื่อประเภทต่างๆ แล้ว ต้องยอมรับว่าสื่อโทรทัศน์ จะยังครองความนิยมเป็นอันดับหนึ่ง ส่งผลดีต่อหุ้น BEC กับ MCOT และยิ่งราคาหุ้นทั้ง 2 ตัว ในปีที่ผ่านมาปรับตัวน้อยกว่าตลาดกว่า 20% อีกทั้งมีส่วนต่างจากมูลค่าเหมาะสม (ที่ 47 บาทเท่ากัน) อยู่ 30% สำหรับ MAJOR นอกจากรายได้ในธุรกิจโฆษณาจะเติบโตแล้ว ยังได้ประโยชน์จากธุรกิจภาพยนต์ ซึ่งตลอดปีนี้จะมีภาพยนต์ฟอร์มใหญ่หลายเรื่องเข้าฉาย ช่วยหนุนให้รายได้ปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่า 15% ส่งผลให้มูลค่าเหมาะสมขยับขึ้นมาเป็น 16.50 บาท หรือมี Upside เกือบ 30%

ส่วนหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะกลุ่มที่พักอาศัย ถือเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มี Valuation จูงใจ ทั้งในแง่ราคาหุ้นที่ซื้อขายในระดับต่ำ และความสามารถในการจ่ายปันผล ที่สำคัญ การปรับฐานของราคาสะท้อนปัจจัยลบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น การไม่มีมาตรการลดหย่อนภาษีและค่าธรรมเนียม หรือภาวะอุปทานล้นในบางทำเล จนหมดแล้ว ส่งผลให้การปรับตัวของราคาจะแปรผันตามยอดขาย ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง สอดรับกับความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่สดใสขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ และยิ่งราคาที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มจะปรับขึ้นตามการดีดตัวของราคาวัสดุก่อสร้าง โดยเฉพาะเหล็ก และปูนซิเมนต์ รวมถึงทิศทางดอกเบี้ยในประเทศซึ่งน่าจะเร่งตัวในอัตรา 1.00-1.25% ทำให้มั่นใจได้ว่า กำลังซื้อจะไม่ลดลงแต่อย่างใด โดยมี PS เป็น Top pick ของกลุ่ม รองลงไปเป็น LPN และ SPALI ด้วย Upside ที่สูงกว่า 30% จากราคาเหมาะสมที่ 25.75 บาท 14.10 บาท และ 15.00 บาท ตามลำดับ


เคล็ดลับลงทุนหุ้นปีกระต่าย
อย่าหวังกำไรสูง เผื่อใจในการเล่นรอบ

แม้นักลงทุนจะได้แนวคิดและกลยุทธ์ลงทุนหุ้นปีกระต่ายแล้ว แต่นักกลยุทธ์ทั้ง 4 ค่าย ได้ฝากเคล็ดลับทิ้งท้ายไว้ว่า การที่ตลาดหุ้นปีกระต่ายมีแนวโน้มผันผวนมากขึ้น ทำให้โอกาสหาผลตอบแทนสูงๆ อย่างที่เกิดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทำได้ยากขึ้น เพราะฉะนั้น นักลงทุนอาจต้องปรับเปลี่ยนสไตล์ลงทุนบ้าง หากจะลงทุนหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ ควรทยอยซื้อสะสม เมื่อมีข่าวร้ายเข้ามากระทบตลาด หรือถ้ายังไม่มั่นใจ ให้ถือเงินสดเพื่อรอจังหวะลงทุน

แต่หากเป็นหุ้น Mid & Small Caps หรือหุ้นที่เกี่ยวข้องกับราคา Commodity อาจต้องเล่นรอบ (Trading) มากขึ้น เนื่องจาก Fund-flow จะมีผลต่อราคาหุ้นมากกว่าปัจจัยพื้นฐาน นอกเหนือจากนั้น นักลงทุนจะต้องมีวินัยในการลงทุนด้วยการกำหนดเป้าหมายในการขายทำกำไร (Take Profit) และเป้าหมายในการตัดขาดทุน (Cut Loss) ให้ชัดเจนอีกด้วย เพราะการแกว่งตัวของราคาจะมีรอบที่สั้นลง

จากคอลัมน์ SMART MONEY โดย วรนนท์ อัศวพิริยานนท์ นิตยสาร Money and Wealth กุมภาพันธ์ 2554
ลงทุนเพื่อชีวิต
ภาพประจำตัวสมาชิก
JUMP
Verified User
โพสต์: 176
ผู้ติดตาม: 0

Re: คัดหุ้นเด่น เฟ้นหุ้นดี ปีกระต่าย

โพสต์ที่ 2

โพสต์

เร็วดีจัง ขอบคุณมากๆครับ
จากคนไกลกรุงฯ
สติ รู้ตัว, ปัญญา รู้คิด.
นักดูดาว
Verified User
โพสต์: 2513
ผู้ติดตาม: 0

Re: คัดหุ้นเด่น เฟ้นหุ้นดี ปีกระต่าย

โพสต์ที่ 3

โพสต์

กิมเอ็งเอฟเฟค......
เสรีภาพก็เหมือนอากาศที่เราไม่อาจมองเห็นด้วยตา แต่จะรู้สึกได้ในทันทีหากมีมันอยู่เบาบางหรือขาดหายไป

-จีรนุช เปรมชัยพร
ภาพประจำตัวสมาชิก
thaloengsak
Verified User
โพสต์: 2716
ผู้ติดตาม: 1

Re: คัดหุ้นเด่น เฟ้นหุ้นดี ปีกระต่าย

โพสต์ที่ 4

โพสต์

นักดูดาว เขียน:กิมเอ็งเอฟเฟค......
:lol: :lol:
ลงทุนเพื่อชีวิต
โพสต์โพสต์