ลงทุนเรียนโทด้วยเงิน3แสน VS อ่านเอง+ลงทุนในหุ้นแทน รบกวนคับ

[PANMAN]

อยากจะทราบความเห็นพี่ๆ เพื่อนๆ ผู้มีประสบการณ์หน่อยครับ

เรื่องมีอยู่ว่า...
ถ้าผมอยากจะ มีความรู้ในเรื่องหุ้น ดูงบอย่างละเอียดเป็น ประสบความสำเร็จในเรื่องการลงทุน
จำเป็นขนาดไหน กับการที่ต้องไปเรียนโท MBA เอก ทางด้านการเงิน ซึ่งต้องใช้เงิน อย่างน้อย 3 แสน
ซึ่งก็คงไม่ใช่แค่ เรื่องเงินอย่างเดียว แต่เราก็ต้องลงทุนในเรื่องเวลาด้วย และ ก็คงต้องเรียนเรื่องอื่นที่อาจจะไม่ได้ใช้
ในการลงทุนในอนาคตได้ ผมเห็นพี่เก่งๆ หลายๆคน ต่างก็จบ โท ทั้งนั้น แต่ไม่รู้ว่า ความรู้ในนั้น เราสามารถ อ่านเองได้มากขนาดไหน

กับการที่ เราเลือกที่จะ อ่านเอง ศึกษาเอง ใช้เวลาอ่านสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนเต็มๆ จาก web board ต่างๆ
รวมถึง ความรู้ต่างๆในเวปนี้ด้วย, การสัมมนา, หนังสือต่างๆ หรือ จากพี่ๆที่เก่งๆ ทางด้านการลงทุน การอ่านงบอย่างละเอียด
และ เราก็เอาเงิน 3 แสนนี้ มาลงทุนในหุ้นแทน ซึ่งจะย่อเวลา การเป็นอิสระทางการเงินให้เร็วขึ้น

โดยความตั้งใจ สำหรับชีวิตในอนาคต ไม่ได้คิดจะ เปิด บริษัท เป็นของตัวเองแต่อย่างใด
และ ไม่มีธุรกิจที่เป็นของทางบ้านแต่อย่างใด
แต่ตั้งใจจะเป็นนักลงทุนที่ ประสบความสำเร็จคนนึง ในอนาคตครับ

ผมคิดหนักมาหลายวันแล้วหนะครับ เพราะการเรียนโทนั้นไม่ได้ถูกๆเหมือนกัน + เวลาที่ที่หายไปไม่น้อยเลย

ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ

[PANMAN]

ถ้าผม post ผิดห้อง ก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ ย้ายไปอยู่ในห้องที่ควรจะอยู่ได้เลยครับ
ไม่รู้เหมือนกันว่า มันควรจะอยู่ห้องไหน ขอบคุณทุกคำแนะนำครับ

[densin]

เรียนเองก็จะเลือกเรียนได้เฉพาะเจาะจงกว่า เวลาสั้นกว่า
แต่ยากที่จะเรียนได้ครบ เพราะไม่มีหลักสูตรบังคับ
ไม่มีครูอาจารย์ หนังสือตำรามาง่ายๆ
แต่เรียนแล้วได้ของจริงๆ

ส่วนใหญ่การเรียนเต็มรูปแบบในระบบ
จะเรียนกว้างๆเพราะหลักสูตรไม่ได้เฉพาะเจาะจงให้ออกมาเป็นนักลงทุน
จะต้องเรียนวิชาสำหรับทำงานด้านอื่นไปด้วย
แม้จะได้มุมมองด้านอื่นๆ แต่หลายอย่างก็ไม่ได้มีโอกาสใช้เลย

แต่ใครจะรู้สิ่งที่คิดว่าไม่ได้ใช้ อาจจะได้ใช้สักวัน
นึกถึงตอนเด็กๆเรียนโปรเจคไตล์ ก็ไม่รู้เอาไปทำอะไรจนกระทั่งเจอ angry-bird

[jojolorsud]

ถ้าผมเป็นคุณผมคิดว่าจะไปเรียนต่อนะครับ
เพราะการเรียนต่อมันก็คือการลงทุนอย่างนึง อย่างน้อยวุฒิเรามันก็เพิ่มขึ้น

เรียน+กับการลงทุนไป มันก้ไม่เห็นจะเสียเวลามากเลยนะครับ
เรียนเสร้จกลับมาบ้านก็ศึกษาหาข้อมูลไปด้วย รุ่งเช้าก็ไปเรียนใหม่
เรื่องความรู้ในการดูงบ ชื้อหนังสือมาอ่านไม่กี่เดือนก็เป็นแล้วครับ ให้ดูคลิบหมอคนหมอหุ้น(เคยเห็นโพสไว้)
หมอเค้าก็อ่านงบไม่เป็นแต่ชื้อหนังสือมาอ่านไม่กี่เดือนเค้าก็เก่งแล้วครับ

ตลาดหุ้นมันก็ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างนะครับ เงินเหลือจากการใช้ชีวิตที่สุขสบายแล้วมาฝากไว้กับตลาดน่าจะดีกว่ามั้ย ^^(อันนี้หลักของผมอ่ะน่ะ)
ดร.นิเวศเคยบอกครับว่าการลงทุนที่ดีที่สุดคือลงทุนกับความรู้ เค้าเลยส่งลูกเค้าเรียนสูงๆถึงเมืองนอกเมืองนา เพราะระยะยาวจะส่งผลตอบแทนดีกว่าเม็ดเงินเป็นไหนๆ

ไม่คิดจะเปิดบริษัทเอง แล้วก็ไม่ทำธุรกิจเอง แบบนี้แสดงว่าจะทำงานในบริษัทหรือป่าวครับ...มนุษย์เงินเดือน? (เห็นเขียนไว้แบบนี้)

ความเห็นส่วนตัวก็คงจะเลือกเรียนต่อน่ะครับ แล้วก็ลงทุนไปด้วย
แต่ถ้าเอาเงินมา 3แสนลงทุนเลย แล้วไม่ได้เรียนต่อ คงเสียดายโอกาสแย่ >_<

[PANMAN]

ไม่คิดจะเปิดบริษัทเอง แล้วก็ไม่ทำธุรกิจเอง แบบนี้แสดงว่าจะทำงานในบริษัทหรือป่าวครับ...มนุษย์เงินเดือน? (เห็นเขียนไว้แบบนี้)

ขอบคุณสำหรับทุกคำแนะนำครับ
ผมเป็นแค่ มนุษย์เงินเดือนคนนึงครับ ทยอยเก็บหุ้น เป็นช่วงๆไปเรื่อยๆครับ
หวังว่า พอมีเงินเยอะพอ ก็จะออกมา จากมนุษย์เงินเดือน แล้วมาเป็นนักลงทุนเต็มตัว หวังปันผลเลี้ยงชีพ แทนครับ

[Viscabarcelona]

เรียนโทครับ

ควรตั้งอยู่บนพิ้นฐานที่มีความแน่นอนก่อนครับ

[ลูกอิสาน]

ผมเคยต้องเลือกเรียนปอโทกับการหาเงินลงทุน
สุดท้ายผมเลือกอันหลัง
มันเหมือนมีสองเส้นทาง
ทางแรกเป็นเส้นทางอ้อม เราเรียน เพื่อให้ได้งานดีๆ และเราเชื่อว่างานดีๆจะได้เงินดีๆ
ทางที่สองเป็นเส้นทางตรง ถ้าเราลงทุนได้ดี เราจะได้เงินดีๆ เห็นไหมครับว่ามันสั้นกว่ามาก

แต่แน่นอนว่าถึงเราจะเรียนดี ใช่ว่าเราจะได้เงินดี ยังมีปัจจัยอื่นที่มีผลต่อเงินเดือน และถ้าเราลงทุนไม่ดี แทนที่จะได้เราจะเสียเงินครับ

[Warantact]

ตอนนี้ผมเรียนโททางการเงินอยู่

บอกท่านไว้เลยว่า สิ่งที่สอนในมหาลัยในวิชาการลงทุนนั้น จะพัดพาท่านให้ไกลจากความสำเร็จมากๆ
วิชาinvestment ในมหาลัย เป็นหนึ่งในวิชาที่ควรลืมให้เร็วที่สุดหลังสอบเสร็จครับ

ไม่งั้นมันอาจเป็นผลเสียกับการลงทุนได้

[aramis]

ต่อเนื่องจากที่ยกตัวอย่างกรณีของผมครับ
ที่ตัดสินใจไปเรียน MBA คงไม่ใช่เพื่อเอามาดูหุ้นหรือลงทุนอย่างเดียวครับ
การเรียนเพิ่มเติมในสิ่งที่เราไม่คุ้น เพื่อเปิดหูเปิดตาด้วยครับ
ได้รู้จักเพื่อนกลุ่มใหม่ๆ นำเอาความรู้มาต่อยอด
MBA ไม่ได้สอน การเงินการลงทุนอย่างเดียว
ผมเลือกเรียนที่มี Marketing, Finance และ วิชาอื่นๆ เช่น กฏหมาย ด้วยครับ
วิชาทั้งหมดนั้น จริงๆแล้ว ก็หาอ่านได้เองครับ ถ้าบังคับตัวเองได้ จัดเวลาได้
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่มีหมดเวลาครับ ขึ้นอยู่กับว่าจะเริ่มเมื่อไหร่
ใจเย็นๆ เงินอยู่กับเรา การจัดสรรเงินก็เป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนครับ
ตั้งใจทำงานประจำไปด้วยให้ดี มีรายได้เข้ามาทุกเดือน ก็เป็นกำไรมากแล้วครับ
คุณมีเงินสามแสน แล้วคิดเอามาลงทุน เก่งแล้วครับ ดีกว่าเอาไปสิ้นเปลืองอย่างอื่น

ผมเชื่อมั่นว่า การทำงานประจำด้วยความรู้ความสามารถของเรา ให้กำไรมากกว่าหุ้นทุกตัวครับ
ให้การลงทุนเป็นการออม ทำให้ผลของการทำงานของเรา งอกเงยขึ้นมากกว่าฝากธนาคาร
มีไม่กี่ท่านที่สามารถให้การลงทุนเป็นการทำงาน 100% แล้วได้ผลตอบแทนมากกว่างานประจำ
ถึงตอนนั้นก็คงจะเรียกได้ว่าเป็นอิสระจากงานประจำ ก็เป็นนายตัวเอง
แต่ถึงตอนนั้น ก็คงต้องถามตัวเองว่า จะเลือกทางไหนอีกครั้งครับ

[TBJTBT]

ตอนนี้ผมเรียนโททางการเงินอยู่

บอกท่านไว้เลยว่า สิ่งที่สอนในมหาลัยในวิชาการลงทุนนั้น จะพัดพาท่านให้ไกลจากความสำเร็จมากๆ
วิชาinvestment ในมหาลัย เป็นหนึ่งในวิชาที่ควรลืมให้เร็วที่สุดหลังสอบเสร็จครับ

ไม่งั้นมันอาจเป็นผลเสียกับการลงทุนได้

ขอทราบรายละเอียดเพิ่มเติมได้ไหมครับ
ว่าทำไมมันจึงทำให้ห่างไกลจากความสำเร็จ
และวิชา investment จึงต้องลืมให้เร็วที่สุดหลังสอบ

[Warantact]

เป็นเพราะเนื้อหาของวิชาใช้ไม่ได้ในชีวิตจริงครับ
เป็นวิชาที่ทำขึ้นมาสนองตัณหาของนักวิชาการเฉยๆ

อ่านเทียบกับเบนเกรแฮมแล้วเข้าใจกระจ่ายเลย ว่าพวกที่เขียนนั้น รายได้ไม่ได้มาจากการลงทุน
หรือไม่ก็ต้องไม่ทำตามที่ตัวเองเขียน

วิชาลงทุนในมหาลัยนั้นผมเดาเอาว่า 90% ของจำนวนมหาลัย จะสอน modern theory
ซึ่งมันห่วยมาก เนื้อหาในนั้นผมคงเอามาเขียนที่นี่ทั้งหมดไม่ได้
การคำนวนนั้นยุ่งยากเกินไป และสมมติฐานชุ่ยเกินไป อิงราคาและปริมาณในอดีตมากเกินไป
เทคนิคัลมากเกินไป

ทั้งหมดไม่ใช่จะมีแต่ข้อเสีย ไหนๆเขียนแล้วก็เขียนให้หมดเลยละกัน

สายการลงทุนในโลกนั้น ถ้าแบ่งกว้างๆก็พอจะแบ่งได้สามสำนัก

คือ คลาสสิค พวกเบนเกรแฮม ฟิชเชอ บัฟเฟต และ ผู้จัดการเจ๋งๆทั้งหลาย

โมเดิน คือ พวกนักวิชาการทั้งหลาย

และสายเฮดจฟันด์ คือ โซรอส นักเก็งกำไรที่มีฝีมือและพวกเฮดจฟันด์ทั้งหลาย


สามสำนักนี้ต่างกันเรียกว่าสุดโต่ง ทั้งปรัชญาและแนวคิด ผมพอจะสรุปข้อดีข้อเสียมันได้ดังนี้คือ
สำนักคลาสสิค จะเน้นไปที่การลงทุนกิจการที่คุณรู้จักดี ทะลุปรุโปร่ง มีผู้บริหารดี
และมีราคายุติธรรม และลงทุนในสิ่งที่ตัวเองถนัด ข้อเสียของสำนักนี้คือ ต้องทำการบ้านหนัก
และใจรัก ต้องมองลึกลงไปในตัวเลขทางการเงินทั้งหลาย และมีความรอบรู้ในสิ่งที่ตัวเองทำพอควร
ข้อดีคือ ยิ่งนาน ยิ่งรวย ยิ่งเก่ง

สำนักโมเดิน จะเน้นไปที่การสาดแหลก ลงทุนซื้อมันทุกอย่าง ถ้ามีดัชนีโลกมันคงซื้อดัชนีโลก
สำนักนี้ในระดับสูงสุดจะเน้นการโยกเงินไปในทรัพย์สินต่างๆ แล้วก็ค่อยๆใส่เงินเข้าไปตามสัดส่วนก็พอ
จะไม่มีการทำการบ้านใดๆเลยก็ได้ นี่คือข้อดี
ข้อเสียของมันคือ ไม่ได้ทำให้ผู้ลงทุนฉลาดขึ้น บางที่ก็ไปลงทุนในสิ่งที่ไม่รู้จัก แล้วก็เป็นสายที่
ผลตอบแทนจากการลงทุนน้อยที่สุด คือได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยลงไป

ส่วนสายเฮดจฟันด์นั้น เป็นสายที่รวยได้อย่างรวดเร็วที่สุดในบรรดาสามสาย แต่ต้องใช้ความรู้และ
มุมมองทางการเงินที่เหนือชั้นมาก ชั้นเชิงการเอาตัวรอดต้องสูง ไม่งั้นถึงกับสิ้นเนื้อประดาตัว
แต่ผลตอบแทนนั้นงดงามมาก


สุดท้ายแล้วสายทั้งสามนี้มันก็เหมาะกับบุคคลเป็นคนๆไป คนที่ขี้เกียจอ่านรายงานประจำปี
สายที่ดีสุดสำหรับพวกเขาแน่นอนคงเป็นสายโมเดิน แต่สำหรับคนที่ยินดีทุ่มเทเวลากับมัน
เพื่อผลตอบแทนที่เหนือกว่า สายคลาสสิคกับสายเฮดจฟันด์คงเหมาะกว่า

ซึ่งสองสายนี้ มหาลัยไม่มีสอน เพราะส่วนมากอาจารย์ไม่เก่งพอ

[shesha]

ผมจบโทการเงิน ทำงานด้านการลงทุน และกำลังลงทุนอยู่ครับ
อยากจะแชร์ความเห็นนะครับ

1. การเรียนปริญญาโทด้านการเงินมีประโยชน์แน่นอนครับ เพราะเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะเข้าใจการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นทฤษฎีการเงินด้านอะไร เรียนรู้ไว้จะช่วยพัฒนาแนวทางการลงทุนของตัวเองได้ครับ ไม่เกี่ยงว่าจะเป็นการลงทุนแบบ VI, เก็งกำไร หรืออะไรก็ตาม ทุกทฤษฎีไม่ว่าจะเป็น modern, VI หรืออะไรก็ตามมีประโยชน์ครับ

2. นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จไม่จำเป็นต้องจบปริญญาโทการเงินครับ มีตัวอย่างมากมายครับ แต่ผมมั่นใจว่านักลงทุนที่ประสบความสำเร็จที่ไม่จบการเงินมีความรู้ด้านการลงทุนไม่แพ้คนที่จบปริญญาเช่นกัน

3. แนะนำแบบนี้ละกันครับ ถ้าไม่จำเป็นที่จะต้องเรียนเพื่อเอาปริญญา่มาทำงานหาเงิน อย่างเช่นเป็นเจ้าของกิจการส่วนตัว การเรียนปริญญาโทอาจมีความจำเป็นน้อยลงครับ เพราะปริญญาโทเป็นแค่ความรู้ส่วนนึงของการลงทุน (ซึ่งอาจไม่เพียงพอสำหรับการลงทุนอย่างจริงจังโดยที่ไม่หาความรู้เพิ่มเติมครับ) แต่ก็ยังคงเป็นความรู้ที่มีประโยชน์ครับ แต่จะคุ้มค่าเงินหรือป่าวอยู่ที่ตัวคุณเองครับ และอยู่ที่ว่าคุณจะเอาปริญญาไปใช้ทำอะไร

4. อย่างไรก็ตาม ถ้าต้องการจะเป็นนักลงทุนเต็มตัวโดยไม่ทำงานอะไรอื่นอีก การอ่านหนังสือเองก็อาจจะเพียงพอครับ แต่เงิน 3 แสนอาจจะไม่พอครับ 555 (-ขอให้ประสบความสำเร็จครับ-)

[naijan]

ในประเทศไทยน่าจะมีหลักสูตร value investing เหมือนที่สอนในมหาวิทยาลัยโคลัมเบียบ้าง น่าจะดี ใครสนิทๆกับ ดร.ไพบูลย์ ช่วยยุยงส่งเสริมให้อาจารย์เปิดครอสหน่อยสิครับ เป็นคล้ายๆหลักสูตร มินิเอ็มบีเอ ก็ยังดี ผมจะหอบสังขารจาก ตจว.ไปเรียนครับ
:lol: :lol: :lol: :lol: :lol:

[onlyuna]

แนะนำให้เรียนโท และก็ต้องเรียนกับอาจารย์ไพบูลย์ด้วยครับ อาจารย์เองไม่ค่อยสอนเนื้อหาจะให้ผู้ช่วยสอน ส่วนอาจารย์จะเล่าเรื่อง เล่าประสบการณ์มากมาย ทำให้ได้ความรู้เรื่องการลงทุนเยอะมาก เวลา 3 ชม.แต่ละครั้งผ่านไปอย่างรวดเร็วเลยครับ

[quote="naijan"]ในประเทศไทยน่าจะมีหลักสูตร value investing เหมือนที่สอนในมหาวิทยาลัยโคลัมเบียบ้าง น่าจะดี ใครสนิทๆกับ ดร.ไพบูลย์ ช่วยยุยงส่งเสริมให้อาจารย์เปิดครอสหน่อยสิครับ เป็นคล้ายๆหลักสูตร มินิเอ็มบีเอ ก็ยังดี ผมจะหอบสังขารจาก ตจว.ไปเรียนครับ
:lol: :lol: :lol: :lol: :lol:[/quote]

อยากให้มีเหมือนกัน จะขอไปเรียนด้วยเลยครับ

[Warantact]

อ่าว แล้วที่สอนอยู่ที่นิด้าไม่ใช่VIหรอกเรอะ 5555 หลงนึกว่ามีสอนที่เดียวในประเทศ
เพราะที่อื่นเขาก็สอนเหมือนๆกัน

[TBJTBT]

ขอบคุณ คุณ Warantact ครับ
อธิบายเสียละเอียดเลย

[todsapon]

เล่นหุ้น IQ ส่วนหนึ่งแค่ 30% ที่เหลือ EQบวกกับความมั่นใจในตนเอง 70% เรียนโทเขาไม่ได้สอนให้คุณเล่นหุ้นเสียหน่อย ใช่เขาให้สอนให้คุณลงทุนแต่น่าจะเป็นแนวทางให้คุณบริหารกิจการทำธุรกิจส่วนตัวเป็นครับ

[todsapon]

http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=20&t=46389
ชีวิตเป็นของคุณเอง ถ้าต้องการลงทุนในหุ้นจริง ๆ ผมว่าไม่จำเป็นต้องเรียนโทหรอก แต่เรียนไปมันก็จะดีด้านอื่นโดยภาพรวมมากกว่า ลองอ่านLinkข้างต้นก่อนก็แล้วกัน

[wasan_yu]

ขอบคุณเจ้าของกระทู้ตอนนี้ผมมีปัญหาเดียวกับคุณพอดี แต่พอมาอ่านคำตอบของพี่ลูกอีสานผมใด้คำตอบแล้วครับ

[PANMAN]

ขอบคุณมากเลยครับ ผมว่าผมได้คำตอบแล้วนะครับ

ป.ล. ไม่คิดว่า พี่โจ ลูกอิสาน ก็มาให้คำแนะนำด้วย
เป็นพี่คนแรกที่ประทับใจ ตอนไป จ.ตรัง เมื่อปีที่แล้ว ได้ความรู้จากพี่มาก

[PANMAN]

ขอบคุณมากเลยครับ ผมว่าผมได้คำตอบแล้วนะครับ

ป.ล. ไม่คิดว่า พี่โจ ลูกอิสาน ก็มาให้คำแนะนำด้วย
เป็นพี่คนแรกที่ประทับใจ ตอนไป จ.ตรัง เมื่อปีที่แล้ว ได้ความรู้จากพี่มาก

โทษที จำผิด ไป หาดใหญ่ สงขลา ครับ มะใช่ตรัง

[miracle]

ผมว่า การศึกษาเป็นการลงทุนให้กับตัวเอง
พอดีผมมีพื้นอยู่บ้างแล้วในเรื่องการอ่านหนังสือทางด้านการเงิน
พอเข้าไปเรียนนั้น เพื่อนที่มาจากสายการเงิน มองผมแบบอึ้งกิมกี่เลยว่า
ผมมาจากสายคอมพิวเตอร์แต่ทำไมรู้เรื่องพวกนี้มากกว่าคนในสายการเงินเสียอีก
แต่บ้างเรื่องผมก็ยอมรับว่าพวกเขาก็เหนือกว่าผมอยู่เหมือนกัน

แต่อย่างไงก็ตาม เรื่องสายการเงินนั้นพื้นฐานของคณิตศาสตร์ต้องมี
ไม่ฉะนั้นปวดหัวครับ

สามแสนสำหรับผมในการศึกษาระดับป.โท นั้นแพงมาก ลองมองที่อื่นๆดู นอกจาก จุฬา มธ เกษตร
ยังมีตัวเลือกเช่น นิด้า หรือรามคำแหง ที่น่าสนใจอยู่ละครับ

ระดับป.โท คอนแน็คชั่นก็สำคัญด้วยละครับ
เพราะเราได้รู้จักคนจากหลากหลายอาชีพ แต่ในเรื่องของการเงินนั้น ต้องหา Class ที่เป็นสายการเงินมากหน่อย
จะได้พยุงเราไปด้วยกัน ไม่งั้นเดี้ยงยาวแน่นอนครับ

ส่งท้ายให้คนอื่นมองเราต่ำไว้ก่อน แล้วค่อยไต่ระดับ ดีกว่ามองสูงแล้วไปไม่ถึง

[boat37564]

ข้อดีของการศึกษา่ต่อนอกจากได้ความรู้แล้วคือคุณจะได้วุฒิที่สูงขึ้น สามารถหางานที่มั่นคงและมีรายได้ดีกว่าเดิม
ส่วนการลงทุน ก็จะทำให้คุณไปสู่อิสระภาพทางการเงินได้เร็วขึ้นแต่ความเสี่ยงก็มากตามไปด้วย
คงต้องคิดดูให้ดีๆครับ ถ้าจะลงทุนแล้วคุณยอมรับความเสี่ยงได้หรือเปล่า แต่ถ้าจะเอาชัวๆก็เรียนโทแล้วหางานที่มั่นคงแ้วค่อยๆก็บลงทุนไปเรื่อย แต่ถ้าคุณ PANMAN มีความรู้ความมั่นใจในด้านอยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องเรียนหรอกครับ

[picklife]

โจทย์เดียวกับตอนที่ผมเจอเลยครับ ผมเลือกไม่เรียนต่อครับ!!!

เพราะมานั้งประเมินข้อดี
1.ได้ใบปริญญาภูมิใจ(ผมไม่ยิดติด เฉยๆกับใบปริญญา)
2.Profileของเราดีขึ้น(ผมคงทำงานไม่นาน ไม่วอรีเรื่องProfileนักและวิศวะได้ปริญญาการเงินคงไม่เสริมในสายงานมากนัก)
3.ได้สังคม(ผมเล่นหุ้นได้สังคมมากกว่าเรียนโทมากๆครับ แถมเป็นสังคมที่มีเป้าหมายเดียวกันสนใจเหมือนกันด้วย)
4.ความรู้มากขึ้น(ผมมองว่า ถ้าเราอ่านหนังสือทุกเล่นที่ป.โทอ่านและมีวินัยความรู้คงไม่ต่าง และความรู้ที่จำเป็นจริงๆกับการลงทุนน่าจะประมาณ20%จากที่เรียนดังนั้นอ่านเองแล้วโฟกัสเลยน่าจะตรงจุดมากกว่า)

มานั่งประเมินข้อเสีย
1.เวลาหายไปเพราะต้องเดินทาง เรียนและอ่านวิชาที่ไม่ได้สนใจมากนัก

2.อันนี้สำคัญสุดๆๆๆ เงินหายไป3แสน!!!
เงิน3แสนหายไปแบบทะยอยหาย ดังนั้นแปลงง่ายๆเป็นจ่ายเลยก็1.5แสน

1.5แสน10ปี1.5ล้าน ผมจึงมองว่าอีก5ปีหรือ10ค่อยเรียนน่าจะดีกว่า

และพอร์ทตอนนั้นผม3แสน ผมมุติผมเรียนผมหายไป1.5แสนคิดที่Returnที่26%
เท่ากับตอนพอร์ท3แสนผมเรียนควรต้องทำให้ผมได้Returnเพิ่มขึ้น13%ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ก็เลยไม่เรียนครับ

และพอร์ทตอนนี้ผม1.9ล้าน ผมมุติผมเรียนผมหายไป1.5แสนคิดที่Returnที่26%
เท่ากับตอนพอร์ท3แสนผมเรียนควรต้องทำให้ผมได้Returnเพิ่มขึ้น2%ซึ่งอาจจะเป็นไปได้
ดังนั้นจุดนี้การเรียนอาจจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจครับ^^

[Paul Octopus]

ตอบแบบฟันธงเลยน้อง
ไปเรียน ถ้าทำได้
การศีกษาเองมันทำได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว และ การไปเรียนเป็น Sub Set ของการศึกษาตลอดเวลา
ผมจบ ตรี Engineer โท MBA มาเป็นเวลา 20 กว่าปีแล้วยังต้องอ่านและศึกษาตลอดเวลา จนวินาทีนี้เลยครับ
และ อีกอย่าง การลงทุนมันยากมากกว่า ศีกษาเอง หรือ MBA + ศึกษาเองมากนัก แม้กระทั้งมิติของเวลา Buffet อายุขนาดนี้แล้วยังต้องศีกษาอยู่เลย และ ก็ยังผิดพลาดอย่างร้ายแรง ในการลงทุน (4 ปีที่แล้วเสียหายไม่น้อยจากการลงทุนในหุ้นพลังงานในอเมริกา แต่กลับมาทำกำไรได้มหาศาลจากหุ้น พลังงานของจีน)
เรียน ไปเลย และ เข้ามาอ่านในนี้เยอะๆครับ

[สามแก้ว]

ดีครับพี่ PANMAN...

ความคิดผม ต้องการอะไรก็เดินเข้าไปเอาตรงๆ เลย ต้องการเป็นนักลงทุนก็ไปเรียนรู้กับผู้เป็นนักลงทุนจริงๆ อยากเก่งเรื่องอ่านงบการเงินก็ไปเรียนเรื่องอ่านงบทางบัญชี...เรียนคอร์สสั้นๆ ที่เปิดให้เรียนอยู่เยอะแยะ ก็เสียเวลาไม่เยอะ อาจจะไม่มีดีกรีต่อท้าย แต่เราในสิ่งที่เราต้องการจะใช้จริงๆ การเรียน MBA ก็อาจจะได้อะไรหลายๆ อย่างแต่ก็สิ่งที่ตามมาจะอาจจะเสียโฟกัสไปหลายๆ อย่างทั้งงานที่ทำงาน งานที่ต้องส่งอาจารย์ เวลาที่จะพักผ่อน เวลา...อีกเยอะแยะ

สู้ๆ นะครับ...

[PANMAN]

มีแต่ แนวคิดและ ข้อมูลที่มีประโยชน์ ขอบคุณมากๆครับ

[วินวิน]

อยากเป็นจอมกระบี่แต่ไม่ฝึกรำกระบี่และท่องโลกกว้าง แต่กลับมานั่งคิดจะหัดตี่กระบี่

ความคิดส่วนตัวนะคับ ขอพูดตรงๆ จะโกรธ อย่าทำร้ายร่างกายและกันนะ อิอิ

ผมไม่อยากรู้หรอกว่า กระบี่นั้นทำมาจากเหล็กอะไร สิ่งที่ผมอยากรู้คือ ผมจะใช้กระบี่อย่างไงให้เป็นประโยชน์ที่สุด

คำแนะนำผมคือ เอา วิชาที่พี่่อยากเรียนและเอามาใช้ประโยชน์ได้กับการลงทุนของพี่ จะเรียนที่ไหนก้อได้ เราเอาวิชา ไม่ได้เอาวุฒิ

นี่คือถ้าพี่เป็นคนรักเรียน

ถ้าพี่ไม่ชอบเข้าเรียน พี่ก้อไม่ต้องไปเรียน อ่านเอง เลือกเอง ศึกษาเอง ผมว่าคนที่เข้าที่ thaivi เป็นคนที่รู้จักหาข้อมูลด้วยเอง รู้จักขวนขวายเอง ผมว่าเป็นข้อดี ของพวกเราคับ

ตรงๆคือ เป็นคนชอบเรียนพี่ก้อเรียน ไม่ชอบเรียนก้ออ่านเอง เอาแบบเรียนมาทำความเข้าใจเอง แต่ต้องมุ่งมั่นตั้งใจจริงๆ บังคับตัวเองให้ได้

เพราะผมเชื่อว่า คนจะรวย ไม่ได้ฟลุ๊ก นะคับ เพราะเค้าเป็นคนที่มีความสามารถจริงๆ ไม่นับพวกขี้โกงนะคับ





เรียนแนวทาง เพื่อค้นหาแนวทางของตนเอง

เรียนให้หมด แล้วลืมมันให้หมด เพราะคุณค่าที่แท้จริงนั้น ไม่ใช่ความถูกผิดในวิชาการ แตคุณค่าที่แท้จริงนั้น คือการได้นำความรู้นั้น นำไปให้เกิดประโยชน์กับตัวเอง ครอบครัว คนรอบข้าง และสังคม(อันนี้สำคัญมาก ย้ำ!)

ทำตัวเราให้เหมือนชาที่ไม่เต็มถ้วย ก้อจะเรียนรู้อะไรได้ตลอดหล่ะคับ

ความรู้ไม่ได้อยู่แต่ในห้องเรียน

อ่านหนังสือพันเล่ม ไม่เท่าการเดินทางพันลี้



ขอบคุณที่อ่านนะคับ หวังจะเป็นประโยชน์บ้างคับ

[ลูกแห่งการหนุนน้ำใจ]

เห็นกระทู้นี้ อดไม่อ่านไม่ได้ เพราะผมก็เคยคิดแบบคุณ panman
และผมเลือกที่จะ ศึกษาเอง เพราะพี่คนนึงใน ThaiVI นี่แหละครับ
อาจารย์ คนแรกของผม ทำให้ ผมรู้จัก แนวทาง VI
Port ผมเติบโตทุกปี นับจากวันนั้น และ ปีที่ผ่านมา เติบโต 100+%
ผมว่า ทุกอย่างเริ่มต้นจากความคิดนะครับ มีอาจารย์ดี แนวทางถูก มีชัยไปกว่าครึ่งครับ
ถ้าตอนนั้นผมเลือกผิด ไม่ได้ปรึกษา พี่ๆใน ThaiVI นี้ คงไม่มีวันนี้ครับ
เป็นกำลังใจให้นะครับ

อยากเป็นจอมกระบี่แต่ไม่ฝึกรำกระบี่และท่องโลกกว้าง แต่กลับมานั่งคิดจะหัดตี่กระบี่
ความคิดส่วนตัวนะคับ ขอพูดตรงๆ จะโกรธ อย่าทำร้ายร่างกายและกันนะ อิอิ
ผมไม่อยากรู้หรอกว่า กระบี่นั้นทำมาจากเหล็กอะไร สิ่งที่ผมอยากรู้คือ ผมจะใช้กระบี่อย่างไงให้เป็นประโยชน์ที่สุด
คำแนะนำผมคือ เอา วิชาที่พี่่อยากเรียนและเอามาใช้ประโยชน์ได้กับการลงทุนของพี่ จะเรียนที่ไหนก้อได้ เราเอาวิชา ไม่ได้เอาวุฒิ...

ผมคิดว่า เครื่องมือและอาจารย์ ที่นำมาซึ่งสุดยอดเคล็ดลับวิชา ก็สำคัญนะครับ
ถ้าคุณ วินวิน ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังใช้กระบี่ไม้อยู่ สิบปีก็คงไม่ได้เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ หรอกนะครับ
ตรงไปหน่อยนะครับ อย่าโกรธนะครับ อิอิ

[KGYF]

ผมเคยต้องเลือกเรียนปอโทกับการหาเงินลงทุน
สุดท้ายผมเลือกอันหลัง
มันเหมือนมีสองเส้นทาง
ทางแรกเป็นเส้นทางอ้อม เราเรียน เพื่อให้ได้งานดีๆ และเราเชื่อว่างานดีๆจะได้เงินดีๆ
ทางที่สองเป็นเส้นทางตรง ถ้าเราลงทุนได้ดี เราจะได้เงินดีๆ เห็นไหมครับว่ามันสั้นกว่ามาก

แต่แน่นอนว่าถึงเราจะเรียนดี ใช่ว่าเราจะได้เงินดี ยังมีปัจจัยอื่นที่มีผลต่อเงินเดือน และถ้าเราลงทุนไม่ดี แทนที่จะได้เราจะเสียเงินครับ

+1