ผมมาขอบคุณพี่ ๆ ทุกท่านครับ วันนี้พอร์ตผมทะลุแสนแล้ว

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
ภาพประจำตัวสมาชิก
โว้กว้าก
Verified User
โพสต์: 430
ผู้ติดตาม: 0

ผมมาขอบคุณพี่ ๆ ทุกท่านครับ วันนี้พอร์ตผมทะลุแสนแล้ว

โพสต์ที่ 91

โพสต์

มารอฟังท่าน นักธรรมตรี เด็กดีติดวัด ด้วยคนครับ
hutza
Verified User
โพสต์: 151
ผู้ติดตาม: 0

ผมมาขอบคุณพี่ ๆ ทุกท่านครับ วันนี้พอร์ตผมทะลุแสนแล้ว

โพสต์ที่ 92

โพสต์

เดี๋ยวผมจะตามไปครับ  :lol:  :lol:  :lol:
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
dome@perth
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4741
ผู้ติดตาม: 1

ผมมาขอบคุณพี่ ๆ ทุกท่านครับ วันนี้พอร์ตผมทะลุแสนแล้ว

โพสต์ที่ 93

โพสต์

por_jai เขียน:
dome@perth เขียน: อยากผ่านหินก้อนนี้ให้ได้ เพระอยากเจอ หิน ก้อน 9หลักครับ :lol: .
เอ้า...ตื่น...
มิน่าหละ เมื่อคืนฝันเห็น 9 หลัก
เพราะมีคนมาขุ้ยกระทู้ นี่เอง :lol:  :lol:

อยากฟังความคืบหน้า ความสำเร็จของ
คุณ นักธรรมตรี เหมือนกันครับ :D
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง
"
LA-Z-BOY
Verified User
โพสต์: 571
ผู้ติดตาม: 0

ผมมาขอบคุณพี่ ๆ ทุกท่านครับ วันนี้พอร์ตผมทะลุแสนแล้ว

โพสต์ที่ 94

โพสต์

นักธรรมตรี เด็กดีติดวัด เขียน:..มีเงินอีก 1 แสนบาทซึ่งพ่อผมให้มาตอนเรียนจบ พ่อบอกว่าจะเอาไปทำอะไรก็ได้ แต่ผมตั้งใจว่าจะเป็นจะตายหัวเด็ดตีนขาดยังไงก็จะไม่ใช่เด็ดขาด พ่อเป็นหนี้ส่งผมเรียน ผมเอาไปใช้ที่ไหนไม่ได้หรอก เลยจะให้พ่อกลับตอนพ่อเกษียณพร้อมดอกเบี้ยด้วย..
ขอคารวะความกตัญญูของคุณ'นักธรรมตรี เด็กดีติดวัด' และขอขอบคุณศิษย์พี่ทุกท่านที่เอ็นดูน้องๆ แวะเข้ามาให้แง่คิดไว้ใช้เตือนสติตัวเองครับ
nut776
Verified User
โพสต์: 3350
ผู้ติดตาม: 0

ผมมาขอบคุณพี่ ๆ ทุกท่านครับ วันนี้พอร์ตผมทะลุแสนแล้ว

โพสต์ที่ 95

โพสต์

อย่าคิดมากคับผมชอบอ่าน ฟัง ประวัติคน
ผ่านดี ผ่านร้ายอะไรมา
เคยเล่นหุ้นตัวไหน คิดอย่างไร
ได้ราคาเท่าไร่ ขายราคาเท่าไหร่ ผมชอบคับ
มันเหมือนได้ดูแผนที่ชีวิตคนคนนั้น

ขอบคุณคับ
show me money.
ภาพประจำตัวสมาชิก
mulcomp
Verified User
โพสต์: 47
ผู้ติดตาม: 0

ผมมาขอบคุณพี่ ๆ ทุกท่านครับ วันนี้พอร์ตผมทะลุแสนแล้ว

โพสต์ที่ 96

โพสต์

ยินดีด้วยเช่นกันครับ ผมเองก็เพิ่งทะลุแสนไปเมื่อวันที่ 20 พ.ค. ที่ผ่านมานี่เองเหมือนกัน
( มี capture รูปเอาไว้ด้วย :lol: ) ก็ใช้วิธีเก็บหอมรอมริบใส่เพิ่มมาตลอด หาอะไรทำเพิ่ม
ใช้จ่ายน้อยลง เล่นมาได้ครึ่งปีเองครับ แล้วก็อ่าน thaivi มาตลอด ก่อนเข้าตลาดก็ศึกษามาก่อนหน้้านี้
กว่า 2-3 ปี พอเข้าตลาดก็ยิ่งศึกษาหนักกว่าเก่าอีก นอนดึกทุกวัน ยิ่งเมื่อวันเสาร์-อาทิตย์ที่แล้ว
เพิ่งตรัสรู้จากการค้นคว้าอ่านหนังสือว่าเราเหมาะกับการลงทุนแบบไหน ยิ่งรู้สึกฮึกเหิมมากขึ้นไปอีก


"ไม่ต้องทำผลตอบแทนให้หวือหวา แต่ความมั่นคงสำคัญกว่า"  :)

เป็นกำลังใจให้เช่นกันครับ  :wink:
อาจารย์ผม ชื่อนาย "ประสบการณ์"

รูปภาพ
nut776
Verified User
โพสต์: 3350
ผู้ติดตาม: 0

ผมมาขอบคุณพี่ ๆ ทุกท่านครับ วันนี้พอร์ตผมทะลุแสนแล้ว

โพสต์ที่ 97

โพสต์

por_jai เขียน:
dome@perth เขียน: อยากผ่านหินก้อนนี้ให้ได้ เพระอยากเจอ หิน ก้อน 9หลักครับ :lol: .
เอ้า...ตื่น...

แอบฮา ชอบพี่พอใจตอนดูคลิปสัมภาษณ์
ในบอร์ดแอบฮาได้อีก
show me money.
ภาพประจำตัวสมาชิก
โอบาน่า
Verified User
โพสต์: 257
ผู้ติดตาม: 0

ผมมาขอบคุณพี่ ๆ ทุกท่านครับ วันนี้พอร์ตผมทะลุแสนแล้ว

โพสต์ที่ 98

โพสต์

ขอบคุณ ท่านที่ขุดกระทู้นี้ขึ้นมาครับ อ่านแล้วได้ข้อคิดอะไรมากมาย
*
*
*
จะรวยต้อง เก่ง+เฮง ที่สำคัญต้องมีเมียดี
ภาพประจำตัวสมาชิก
Handyman
Verified User
โพสต์: 99
ผู้ติดตาม: 0

ผมมาขอบคุณพี่ ๆ ทุกท่านครับ วันนี้พอร์ตผมทะลุแสนแล้ว

โพสต์ที่ 99

โพสต์

ยินดีด้วยคับ :D
"หาบริษัทที่กำลังเติบโตและอดทนรวยไปด้วยกัน"
chotipat
Verified User
โพสต์: 625
ผู้ติดตาม: 0

ผมมาขอบคุณพี่ ๆ ทุกท่านครับ วันนี้พอร์ตผมทะลุแสนแล้ว

โพสต์ที่ 100

โพสต์

ยินดีด้วยครับ  :P
pracha_n
Verified User
โพสต์: 184
ผู้ติดตาม: 0

ผมมาขอบคุณพี่ ๆ ทุกท่านครับ วันนี้พอร์ตผมทะลุแสนแล้ว

โพสต์ที่ 101

โพสต์

ออกมาเตือนครับ ว่า
- เงินได้มาง่ายๆ ไม่มี
- ตอนนี้ใครๆก็ได้กำไร
- ตลาดกระทิงยักษ์นี้ นับเป็นครั้งที่ 4 เท่านั้น จาก 35 ปี ที่เปิดตลาด
- โชคดี ที่เศรษฐกิจต้นปี 52 ไม่ดิ่งลงอีก เพราะอเมริกากล้าพิมพ์เงินและกดดอกเบี้ยให้ต่ำ ในขณะที่ห้ามไม่ให้คนอื่นทำตอนปี 2540
- บังเอิญที่ บ.ในตลาดมีหนี้น้อย (และปันผลสูง) เพราะเข็ดจากช่วงปี 2538-40
และห่วงเรื่องการเมือง จึงไม่กล้าทุ่มลงทุนมากนัก
- ตลาดนับจากนี้ถึงปี 54-55 น่าจะอยู่ในช่วงสร้าง "ดอย" ให้ผู้ที่ไม่รู้จัก "ความเสี่ยง" และ ไม่รู้จัก "ตัวเอง" เมื่ออยู่สูงจึงอาจขาดอาหาร น้ำ จนถึงอากาศ แล้วก็ต้องล้มหายตายจากไปในที่สุด แต่ VI น่าจะเป็นผู้ที่จะอยู่รอดได้

พอร์ตผม ปลายปี 51 มี 6 หลัก ขาดทุนหนัก ปี 52 เพิ่มเป็น 7 หลัก (จากการใส่เงินเพิ่มมากด้วย) ตอนนี้ปี 53 เป็น 8 หลัก (เพิ่มเงินไม่มาก) ผมยังรู้สึกว่าเกิดจากฝึมือไม่เกิน 30% นอกนั้น "ฟลุ๊ค"

อยากให้อ่านบทความของอ.นิเวศน์นี้อีกที

Monday, 27 October 2008
Moment Of Truth

ตลาดหุ้นในช่วงนี้ถ้าใช้ภาษาอังกฤษมาบรรยายถึงความรู้สึกของนักลงทุนหลายคนก็คงต้องใช้คำว่า Moment Of Truth  มันเป็นวิกฤติกาล  เป็นเวลาที่จะต้องนั่งคิดคำนึงว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรต่อไป   อนาคตอันสดใสที่เคยวาดหวังไว้อาจจะต้องเปลี่ยนแปลงไปมาก   หลายคนอาจจะต้องตัดหุ้นออกจากสาระบบของเครื่องมือที่จะนำพาไปสู่ความมั่งคั่งทางการเงิน   หุ้นอาจจะไม่ใช่หนทางสู่อิสรภาพทางการเงินอย่างรวดเร็วตามที่ฝันไว้อีกต่อไป  ลองมาดูความจริงที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์หุ้นรอบนี้ที่ดัชนีตกลงมาจาก 858 จุดในตอนต้นปีเหลือเพียงประมาณ 433 จุดในช่วงนี้ดูว่านักลงทุนที่อยู่ในตลาด   โดยเฉพาะ  Value Investor หรือนักลงทุนระยะยาวที่เข้าตลาดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาดู

ข้อเท็จจริงข้อแรกก็คือ  ในช่วง 5 ปีนับจากปี 2547 เป็นต้นมา    มีนักลงทุนหน้าใหม่ซึ่งรวมถึง  Value Investor เข้ามาลงทุนในตลาดเป็นจำนวนมาก   เหตุผลก็คือ  ในปี 2546 นั้น  ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวขึ้นถึง  117%   ซึ่งเป็นปีที่ตลาดหุ้นบูมมากที่สุดปีหนึ่งในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นไทย   ข่าวของความร่ำรวยของเศรษฐีหุ้นกระจายไปทั่ว  มูลค่าของหุ้นในตลาดเพิ่มขึ้นนับเป็นล้าน ๆ  บาท  คนคิดว่าการแสวงหาความร่ำรวยในตลาดนั้นทำได้ง่าย ๆ    สิ่งนี้ประกอบกับการสนับสนุนและส่งเสริมจากรัฐบาลผ่านมาตรการทางภาษีหลากหลายและการเผยแพร่ความรู้ของหน่วยงานเกี่ยวกับตลาดทุนทำให้ตลาดหุ้นนั้นคึกคักยิ่งกว่ายุคใด ๆ  และตลาดหุ้นไม่ใช่สถานที่เฉพาะของนักเก็งกำไรและคนที่ไม่มีความรู้อีกต่อไป   และ  Value Investor  กลายเป็นความคิดและกลุ่มบุคคลที่เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง

โดยเฉลี่ยแล้ว   หลังจากปี 2546 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์อยู่ที่ประมาณ 740 จุดก่อนที่จะตกลงมาอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่เดือนนี้   นั่นแปลว่าโดยเฉลี่ยแล้วนักลงทุนที่อยู่ในตลาดหุ้นตลอดเวลาจะขาดทุนประมาณ 41%    และถ้าจะกลับไปเท่าทุนได้นั้น  ดัชนีจะต้องเพิ่มขึ้นประมาณ 71%  ซึ่งถ้าหากว่าตลาดหุ้นนับจากวันนี้สามารถปรับตัวขึ้นได้ปีละประมาณ 10% ซึ่งเป็นผลตอบแทนปกติในระยะยาวของตลาดแล้ว    จะต้องใช้เวลาถึงประมาณ  5.6 ปี ดัชนีถึงจะกลับมาอยู่ที่เดิมที่นักลงทุนเข้ามาลงทุนในวันแรก    ดังนั้น   ถ้านักลงทุนเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงต้นปี 2547  ก็หมายความว่า  เขาลงทุนในตลาดมาแล้ว  5  ปี โดยที่ยังขาดทุนอยู่ 41%  และกว่าเขาจะได้ทุนคืน   เขาอาจจะต้องรอไปอีกกว่า 5 ปี  สรุปแล้ว  เขาอาจจะเจอกับ  10 ปีแห่งความว่างเปล่าของการลงทุน  

นักลงทุนบางคนนั้น    นับจากวันลงทุนครั้งแรกเมื่อ 4-5 ปีก่อนจนถึงก่อนวิกฤติตลาดหุ้นรอบนี้อาจจะประสบความสำเร็จสูง   หลายคนอาจจะเป็น  ดารา   ผลตอบแทนสูงลิ่วและเม็ดเงินลงทุนสูงขึ้นมากจนอาจจะใกล้ความเป็น อิสรภาพทางการเงิน  แต่แล้วเม็ดเงินก็กลับทรุดฮวบลงอย่างน่าตกใจ   พอร์ตหุ้นหรือผลตอบแทนที่ติดลบลงมาเกือบครึ่งหนึ่งหรือ 50% นั้น   ถ้าเอามาเฉลี่ยกับผลตอบแทนเป็นหลายสิบเปอร์เซ็นต์ต่อปีเป็นเวลา 4-5 ปีนั้นอาจจะคิดว่าไม่น่าจะมาก    แต่ข้อเท็จจริงก็คือ    บางที   ตอนที่ได้ผลตอบแทนมากนั้น  เป็นช่วงที่เขาใช้เม็ดเงินลงทุนน้อย   แต่ในช่วงที่หุ้นตก 50%  นั้นอาจจะเป็นช่วงที่เขามีเม็ดเงินลงทุนเพิ่มเติมเข้ามามาก   ดังนั้น  ผลรวมก็คือ  เขาอาจจะเหลือกำไรน้อยมากหรืออาจจะขาดทุนเลยก็ได้ทั้ง ๆ  ที่คำนวณผลตอบแทนระยะยาวแล้ว   ตัวเลขก็ยังเป็นบวกค่อนข้างมาก    สถานการณ์แบบนี้  ผมอยากจะเปรียบเทียบกับเรื่องของสงครามที่มักจะมีคำพูดที่ว่า   ชนะศึกจำนวนมาก  แต่แพ้สงคราม   เหตุผลก็คือ  ศึกที่ชนะนั้นเป็นศึกเล็ก ๆ  แต่ศึกที่แพ้กลับเป็นศึกใหญ่ที่กำหนดผลลัพธ์ของสงคราม

วิกฤติตลาดหุ้นนั้น   น่าจะเหมือนกับสึนามิ  นั่นคือ  มันสามารถเปลี่ยนแปลงแผนภูมิความมั่งคั่งของบริษัทต่าง ๆ  เช่นเดียวกับเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นของมัน  หุ้นหลายตัวหรือหลายกลุ่มอาจจะมีมูลค่าลดลงมากและมันอาจจะไม่กลับขึ้นมาอีกเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว   ตรงกันข้าม   หุ้นหลายตัวหรือหลายกลุ่มอาจจะมีมูลค่าลดลงเช่นกันในยามที่เกิดวิกฤติแต่อาจจะลดลงไม่มาก   แต่เมื่อภาวะวิกฤติหมดไป   มันอาจจะฟื้นตัว   มูลค่าหุ้นกลับมาที่เดิมและเติบโตขึ้นไปอีก   ผลก็คือ  เราได้บริษัทที่ยิ่งใหญ่ตัวใหม่หรือกลุ่มใหม่ปรากฏขึ้น   ถ้ายังไม่เห็นภาพก็ลองนึกถึงบริษัทที่ยิ่งใหญ่มีมูลค่าตลาดสูงลิ่วและเป็นที่สนใจของนักลงทุนในช่วงก่อนวิกฤติตลาดหุ้นปี 2540 ก็จะพบว่า  มันแตกต่างจากภาพในวันนี้แค่ไหน   ลองคิดถึงหุ้นไฟแน้นซ์   หุ้นที่ดินยักษ์ใหญ่  ที่เป็นพระเอกในสมัยนั้นดู!  

วิกฤตินั้นมักจะช่วยบอกให้เรารู้ว่ากลยุทธ์หรือแนวทางการลงทุนที่เราใช้อยู่นั้น  มันมีข้อดีข้อด้อยตรงไหน   สิ่งที่เราใช้อยู่นั้น  มันถูกต้องจริงหรือไม่    ผลสำเร็จของเราเป็นเรื่องบังเอิญหรือเป็นเรื่องของฝีมือ   จุดอ่อนของ  Value Investor ในเมืองไทยนั้น  นอกจากเรื่องต่าง  ๆ  เช่นการที่มีบริษัทจดทะเบียนจำนวนน้อยที่มีคุณภาพดีแล้ว   ก็คือ  Value Investor ส่วนใหญ่ไม่เคยประสบกับภาวะตลาดหุ้นตกรุนแรงหรือภาวะวิกฤติอย่างที่เป็นอยู่   ดังนั้น  พวกเขาจึงมักจะให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของการลงทุนหรือกำหนด  Margin Of Safety น้อย   พวกเขาเพียงแต่  คิด ว่า   เขาได้เผื่อ  Margin Of Safety  สูงแล้ว  หลายคนชอบลงทุนในกิจการที่ไม่มีความแน่นอนแต่มี   โมเมนตัม ของกำไรหรือผลการดำเนินงานของบริษัทที่จะทำให้หุ้นวิ่งขึ้นไปได้มาก   คำว่าช้า ๆ  แต่ชัวร์นั้นพวกเขาอาจจะคิดว่าเหมาะกับ  Value Investor กลุ่มอื่นและคนที่สูงอายุมากกว่า  ดังนั้น  เมื่อเกิดวิกฤติขึ้น  หุ้นจึงมักจะไม่สามารถต้านทานการตกลงมาได้

ทั้งหมดนั้นก็คือ  Moment Of Truth ที่ผมพอจะนึกได้   นักลงทุนทุกคน   ไม่ว่าจะเป็นคนที่  เจ็บหนัก    หรือคนที่ยัง  พอประคองตัวเอง  ได้  จะต้องคิดคำนึงถึงบทเรียนสำคัญในครั้งนี้   เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ในวิกฤตินั้น   ยังมีโอกาสเสมอ  การท้อถอยเลิกลงทุนคือการพ่ายแพ้     ในตอนนี้   หลาย ๆ คนที่  ฝันสลาย   จะต้องทำใจให้ได้ว่า   นั่นคือความฝันจริง ๆ  เป็นเรื่องที่เราจินตนาการไปเอง    ณ. ขณะนี้   มันคือความจริงที่เราจะต้องเดินหน้าต่อไป  ด้วยความคาดหวังที่สมจริง    ผมเองเตือนอยู่เสมอว่า   การลงทุนในตลาดหุ้น  ในระยะยาวแล้วอย่าคาดหวังที่จะได้ผลตอบแทนเกินปีละ 10-15 %  ไม่ว่าเราจะคิดว่าเราแน่แค่ไหน  ขอให้โชคดีกับการเดินทางต่อไปครับ
ตลาดหุ้นใช้ราคาเป็นเหยื่อล่อความโลภ มองหุ้นเหมือนการทำธุรกิจ ไม่โลภจะค่อยๆรวยเอง
ภาพประจำตัวสมาชิก
iluckyhappy
Verified User
โพสต์: 72
ผู้ติดตาม: 1

ผมมาขอบคุณพี่ ๆ ทุกท่านครับ วันนี้พอร์ตผมทะลุแสนแล้ว

โพสต์ที่ 102

โพสต์

ยินดีด้วยครับ

ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ เช่นกัน ครับ  บนโลกแห่งความจริง ทุกอย่างก็ไม่ได้มาง่าย อย่างที่เราคิด เหมือนอย่างที่คนส่วนใหญ่ ชอบพูดกัน "ของฟรีไม่มีในโลก"... บางครั้งการที่เรา ได้อยู่ ถูกที่ ถูกเวลา ทำให้ได้ ผลตอบแทนที่สูงกว่า ปกติ ... แต่บางครั้งมันก็ได้เป็นอย่างนั่นตลอดไป ... เพราะ การลงทุนมีความเสี่ยงสูง  เสมอ ...  อย่างกรณี ผม เริ่ม ลงทุนใน ตลาดหลักทรัพย์ มา 3 ปี กว่า ๆ ตั้งแต่ ปลายปี 2549 (ก่อน วิกฤตซับไพร์ม) ... ปี 50 ไม่ขอพูดถึง เพราะ น่าจะเจ็บหนัก กันพอสมควร ... เพราะ ผมอาจจะอยู่ ผิดที่ ผิดเวลา .. และประมาท กับการลงทุน คิดว่า ทุกอย่างมันง่าย ๆ แต่ความเป็นจริง มันตรงกันข้าม  หลังจากนั่น หลบไปศึกษาหาความรู้ และ ต้องถอย ออกจากตลาดไป ประมาณ 6-7 เดือนกว่า เพื่อมีเวลาได้มานังย้อนคิด ... และกลับเข้ามาตลาดอีกครั้ง ช่วงกลางปี 51 และเริ่มวางแผนการลงทุน ใหม่ อีกครั้ง และ เปลี่ยนความคิดใหม่ ว่า เราต้องการสร้างผลตอบแทน ที่มากกว่าเงินฝาก เน้นเชิง passive มากขึ้น .. และ ปัจจุบัน ปี 53 port ก็เริ่มเติบโต พอสมควร แต่มาพอมาคิด ผลตอบแทนย้อนหลัง เฉลี่ย ตั้งแต่ 2549-2553  ซึ่งได้ ผลตอบแทน เฉลี่ย อยู่ที่ 13% ต่อ ปี เท่านั้น ซึ่ง ถ้าถามผม ... ผมค่อนข้างพอใจกับผลตอบแทน ที่ได้ ซึ่งถือว่า ดีกว่า เงินฝาก หลายเท่า ...

ท้ายนี้ ผมก็ยังเดิน หน้าหาประสบการณ์ต่อไป และ สัญญา กับตัวเองไว้ว่า เราจะต้อง ชนะตัวเอง ... เราต้องเป็นนักลงทุน ที่เป้นนักลงทุน ... และ พยายามศึกษา แนวทาง VI หรือ แนวทางอื่น ๆ เพิ่มเติม ... ไม่หยุดที่จะเรียนรู้ และพยายามรักษามีวินัย การลงทุน ... เดินตามความฝัน สร้างผลตอบแทน อย่างยั่งยืน และ มั่นคง ...

โชคดีครับ และ ขอบคุณครับที่อ่าน จนจบ
-------------------------------------------------------------------

การลงทุนมีความเสี่ยงสูง โปรดศึกษาและใช้วิจารณญาณ และตัดสินใจด้วยตัวท่านเอง ... :D
ภาพประจำตัวสมาชิก
surachet70
Verified User
โพสต์: 35
ผู้ติดตาม: 0

Re: ผมมาขอบคุณพี่ ๆ ทุกท่านครับ วันนี้พอร์ตผมทะลุแสนแล้ว

โพสต์ที่ 103

โพสต์

ซึ้ง....
Imagination is more important than knowledge....
imerlot
Verified User
โพสต์: 2690
ผู้ติดตาม: 0

Re: ผมมาขอบคุณพี่ ๆ ทุกท่านครับ วันนี้พอร์ตผมทะลุแสนแล้ว

โพสต์ที่ 104

โพสต์

มาให้กำลังใจ
ถ้าคุณ ทำผลตอบแทน เฉลี่ย35% แบบทบต้น
ใน10ปี เงิน 1 แสน จะเป็น ดังรูป ประมาณ 32x
รูปภาพ


http://www.mathsisfun.com/money/compoun ... lator.html

หรือ 72/35 = 2x ทุกๆ 2ปี
10ปี = 2x 5 ครั้ง
เท่ากับ
ปีที 1 2 4 6 8 10
x 1x 2x 4x 8x 16x 32x
khaolad
Verified User
โพสต์: 46
ผู้ติดตาม: 0

Re: ผมมาขอบคุณพี่ ๆ ทุกท่านครับ วันนี้พอร์ตผมทะลุแสนแล้ว

โพสต์ที่ 105

โพสต์

ขอบคุณมากครับ
.
.
.
.
.