เบื่อมาม่า! มานั่งทบทวนแนวคิดของตัวเองดีกว่า
- BIG87
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 371
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เบื่อมาม่า! มานั่งทบทวนแนวคิดของตัวเองดีกว่า
โพสต์ที่ 62
อ่านหัวข้อแล้วนึกว่าท่านจะขายหุ้น TF
(จริงๆนะไม่ได้เล่นมุข )
เคยมีคนบอกว่าหุ้นที่ซื้อจะไม่มีวันถูกขาย!! ตราบใดที่เหตุผลในการซื้อตอนแรกนั้นยังไม่ผิด !!
ต่อให้หุ้นมัน over value จากที่คิดไปมากแล้วก็ตาม
เพราะเราไม่รู้หรอกว่าหากเราขายไปแล้วจะต้องกลับมาซื้อที่ราคาแพงกว่าเดิมหรือไม่ !!
และผมก็เชื่อเช่นนั้น !!
ปล.แต่ถ้า PE ซัก 100 หรือ 200 อาจจะขายก็ได้ครับ แฮะๆ
(จริงๆนะไม่ได้เล่นมุข )
เคยมีคนบอกว่าหุ้นที่ซื้อจะไม่มีวันถูกขาย!! ตราบใดที่เหตุผลในการซื้อตอนแรกนั้นยังไม่ผิด !!
ต่อให้หุ้นมัน over value จากที่คิดไปมากแล้วก็ตาม
เพราะเราไม่รู้หรอกว่าหากเราขายไปแล้วจะต้องกลับมาซื้อที่ราคาแพงกว่าเดิมหรือไม่ !!
และผมก็เชื่อเช่นนั้น !!
ปล.แต่ถ้า PE ซัก 100 หรือ 200 อาจจะขายก็ได้ครับ แฮะๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 1024
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เบื่อมาม่า! มานั่งทบทวนแนวคิดของตัวเองดีกว่า
โพสต์ที่ 63
ตามมาอ่าน ด้วยคนครับ
เรื่องจิตใจนี่เป็นปัญหาหลักของข้าน้อยเลยละครับท่าน
เรื่องจิตใจนี่เป็นปัญหาหลักของข้าน้อยเลยละครับท่าน
"เพราะเรียบง่าย จึงชนะ"
-
- Verified User
- โพสต์: 14
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เบื่อมาม่า! มานั่งทบทวนแนวคิดของตัวเองดีกว่า
โพสต์ที่ 65
เข้ามาขอบคุณสิ่งดีๆที่มาแบ่งปันครับ
ขอบคุณมากๆเลยครับ
ขอบคุณมากๆเลยครับ
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เบื่อมาม่า! มานั่งทบทวนแนวคิดของตัวเองดีกว่า
โพสต์ที่ 66
ผมว่ายังไม่ถึงขั้นนั้นหรอกมั้งครับพี่ ขอบคุณมากครับที่เข้ามาอ่านปรัชญา เขียน: เอ่อ อ่านแล้วโดน...
ทีมงานจะมีความเห็นแย้งไหมครับ
หากจะขอรบกวนยกมาม่าชามนี้ไปเสริฟไว้ที่ห้อง กระทู้การลงทุนเน้นคุณค่า
พี่เป็นอาจารย์คนนึงของผมเหมือนกันครับ
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เบื่อมาม่า! มานั่งทบทวนแนวคิดของตัวเองดีกว่า
โพสต์ที่ 67
ขอบคุณกำลังใจจากทุกคนครับ
ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จในการลงทุน
ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จในการลงทุน
- KGYF
- Verified User
- โพสต์: 399
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เบื่อมาม่า! มานั่งทบทวนแนวคิดของตัวเองดีกว่า
โพสต์ที่ 68
ขอบคุณมากครับพี่ เขียนได้ลึกซึ้งครับ
ทำให้ผม ต้องมานึกทบทวนตัวเองเหมือนกัน
หุ้นคนอื่น วิ่งเอา ๆ แต่ปีนี้ หุ้นผมนิ่ง ไม่ยอมไปไหนเลย บางตัวมีถอยหลัง
ทำให้ผม ต้องมานึกทบทวนตัวเองเหมือนกัน
หุ้นคนอื่น วิ่งเอา ๆ แต่ปีนี้ หุ้นผมนิ่ง ไม่ยอมไปไหนเลย บางตัวมีถอยหลัง
" สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ = การให้ธรรมะเป็นทาน ย่อมชนะการให้ทั้งปวง "
" ทุกข์มี เพราะยึด ทุกข์ยืด เพราะอยาก ทุกข์มาก เพราะพลอย ทุกข์น้อย เพราะหยุด ทุกข์หลุด เพราะปล่อย"
" ทุกข์มี เพราะยึด ทุกข์ยืด เพราะอยาก ทุกข์มาก เพราะพลอย ทุกข์น้อย เพราะหยุด ทุกข์หลุด เพราะปล่อย"
- หมักเตา
- Verified User
- โพสต์: 232
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เบื่อมาม่า! มานั่งทบทวนแนวคิดของตัวเองดีกว่า
โพสต์ที่ 69
ขอบคุณครับ อ่านแล้วได้แง่คิดเยอะเลย แถมฮาด้วย
สำรวจตัวผมเองแล้วยังไม่รู้ว่าเป็นสายไหนเพราะสะเปะสะปะเหลือเกิน
ขอยืนในมุมนักพนันต่อไปก่อนละกัน
สำรวจตัวผมเองแล้วยังไม่รู้ว่าเป็นสายไหนเพราะสะเปะสะปะเหลือเกิน
ขอยืนในมุมนักพนันต่อไปก่อนละกัน
เดือนช่วงดวงเด่นฟ้า ดาดาว
จรูญจรัสรัศมีพราว พร่างพร้อย
จรูญจรัสรัศมีพราว พร่างพร้อย
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10548
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เบื่อมาม่า! มานั่งทบทวนแนวคิดของตัวเองดีกว่า
โพสต์ที่ 70
ค่อยๆเปลี่ยนได้นะครับ จะได้ลงทุนแบบสบายๆครับหมักเตา เขียน:ขอบคุณครับ อ่านแล้วได้แง่คิดเยอะเลย แถมฮาด้วย
สำรวจตัวผมเองแล้วยังไม่รู้ว่าเป็นสายไหนเพราะสะเปะสะปะเหลือเกิน
ขอยืนในมุมนักพนันต่อไปก่อนละกัน
แต่ก็ตามสบายนะครับ
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เบื่อมาม่า! มานั่งทบทวนแนวคิดของตัวเองดีกว่า
โพสต์ที่ 71
ยืนมุมไหนก็ได้ ขอให้มีความสุขก็พอครับPaul VI เขียน:ค่อยๆเปลี่ยนได้นะครับ จะได้ลงทุนแบบสบายๆครับหมักเตา เขียน:ขอบคุณครับ อ่านแล้วได้แง่คิดเยอะเลย แถมฮาด้วย
สำรวจตัวผมเองแล้วยังไม่รู้ว่าเป็นสายไหนเพราะสะเปะสะปะเหลือเกิน
ขอยืนในมุมนักพนันต่อไปก่อนละกัน
แต่ก็ตามสบายนะครับ
แต่ถ้ามีความสุขแล้วมีตังด้วยจะดีที่สุด :lovl:
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เบื่อมาม่า! มานั่งทบทวนแนวคิดของตัวเองดีกว่า
โพสต์ที่ 72
ลอกการบ้านขั้นเทพ
ตั้งหัวข้อแบบนี้อาจดูล่อแหลมไปบ้าง แต่เจตนาดีนะครับ
ผมเองเป็นคนหนึ่งที่เคยลอกการบ้านเพื่อนมาก่อน
และผมมั่นใจว่าคนไทยเกือบ 100% เคยลอกการบ้านมาแล้วทั้งนั้น
หลายคนก็ลอกเร็วมาก หลายคนลอกช้าจนคนรอต่อคิวต้องมาเร่ง
การลอกการบ้านนั้นเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ ประจำระบบการศึกษาไทยไปแล้ว
ถ้าจะว่ากันตามจริง คนไทยถือว่าเป็นนักลอกระดับโลก รองจากคนจีนเลยทีเดียว
หรือเรียกได้ว่าการลอกอยู่ในสายเลือดของคนไทย
ในยุคที่อุตสาหกรรมเริ่มเข้ามาในประเทศไทย ตอนที่ผมยังเด็ก
ผมยังจำได้ดีเกี่ยวกับวีกรรมการลอกของคนไทย ที่ขึ้นชื่อว่าลอกได้ไม่แพ้ชาติใดในโลก
ทุกวันนี้ก็ยังมีให้เห็นจนเป็นเรื่องปกติ แม้จะไม่เด่นชัดเท่าสมัยก่อน
บริษัทที่ทำสินค้าเลียนแบบในไทยมีเยอะมาก มองไปทางไหนก็เจออยู่เสมอ
แต่บริษัทเหล่านั้นก็มักจะอยู่ได้ไม่นาน เมื่อโลกเปลี่ยนไป หรือมีนักลอกใหม่ๆเข้ามาแข่งขัน
บริษัทที่อยู่รอดมาได้มักจะเป็นบริษัทที่มีลักษณะของนักลอกขั้นเทพอยู่ นั่นก็คือการพัฒนาต่อยอด
นักลอกทั่วไปมักจะคิดว่าแค่ทำให้เหมือนๆกับต้นแบบก็น่าจะเพียงพอแล้ว
แต่หารู้ไม่ว่า การทำเช่นนั้นคือความเสี่ยง เหมือนระเบิดเวลาที่จะระเบิดได้ทันที เมื่อเจอการเปลี่ยนแปลง
เพราะในขณะที่สินค้ามีการผลิตมากขึ้นๆ สิ้นค้าต้นแบบก็อาจพัฒนารูปแบบไปแล้ว
ทำให้รุ่นเก่าขายไม่ออกและนักลอกก็จะเำหลือสต็อกจำนวนมาก
การลงทุนก็เช่นเดียว กันนักลงทุนที่ลอกหุ้นมักจะมีความั่นใจในหุ้นมากขึ้นๆ จนอาจซื้อเพิ่มในราคาแพง
เมื่อต้นตำหรับมีการปรับพอร์ทเพราะเห็นว่าหุ้นตัวเดิมมีความเสี่ยงสูงแล้ว นักลอกก็จะต้องเจ็บตัว
นักลอกขั้นเทพนั้นมักจะทำการลอกพร้อมทั้งศึกษาแนวคิดหรือหลักการของต้นแบบ
เพื่อนำมาต่อยอด มองหาจุดอ่อนเพื่อปรับปรุง และพัฒนาตนเองขึ้นมาเป็นผู้นำเช่นกัน
การลอกนั้นเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ร่นระยะเวลาในการศึกษาได้ดี แต่ก็มีความเสี่ยงสูง
นักลอกขั้นเทพจะรู้ถึงเรื่องนี้ดีและจะคิดอยู่ตลอดเวลาถึงความเสี่ยงนี้
และจะเร่งพัฒนาตนเองให้พึงพาตนเองได้ ก่อนที่ความเสี่ยงจะแสดงผลออกมา
ถ้าคิดจะลอก ต้องลอกให้เป็นนะครับ
ตั้งหัวข้อแบบนี้อาจดูล่อแหลมไปบ้าง แต่เจตนาดีนะครับ
ผมเองเป็นคนหนึ่งที่เคยลอกการบ้านเพื่อนมาก่อน
และผมมั่นใจว่าคนไทยเกือบ 100% เคยลอกการบ้านมาแล้วทั้งนั้น
หลายคนก็ลอกเร็วมาก หลายคนลอกช้าจนคนรอต่อคิวต้องมาเร่ง
การลอกการบ้านนั้นเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ ประจำระบบการศึกษาไทยไปแล้ว
ถ้าจะว่ากันตามจริง คนไทยถือว่าเป็นนักลอกระดับโลก รองจากคนจีนเลยทีเดียว
หรือเรียกได้ว่าการลอกอยู่ในสายเลือดของคนไทย
ในยุคที่อุตสาหกรรมเริ่มเข้ามาในประเทศไทย ตอนที่ผมยังเด็ก
ผมยังจำได้ดีเกี่ยวกับวีกรรมการลอกของคนไทย ที่ขึ้นชื่อว่าลอกได้ไม่แพ้ชาติใดในโลก
ทุกวันนี้ก็ยังมีให้เห็นจนเป็นเรื่องปกติ แม้จะไม่เด่นชัดเท่าสมัยก่อน
บริษัทที่ทำสินค้าเลียนแบบในไทยมีเยอะมาก มองไปทางไหนก็เจออยู่เสมอ
แต่บริษัทเหล่านั้นก็มักจะอยู่ได้ไม่นาน เมื่อโลกเปลี่ยนไป หรือมีนักลอกใหม่ๆเข้ามาแข่งขัน
บริษัทที่อยู่รอดมาได้มักจะเป็นบริษัทที่มีลักษณะของนักลอกขั้นเทพอยู่ นั่นก็คือการพัฒนาต่อยอด
นักลอกทั่วไปมักจะคิดว่าแค่ทำให้เหมือนๆกับต้นแบบก็น่าจะเพียงพอแล้ว
แต่หารู้ไม่ว่า การทำเช่นนั้นคือความเสี่ยง เหมือนระเบิดเวลาที่จะระเบิดได้ทันที เมื่อเจอการเปลี่ยนแปลง
เพราะในขณะที่สินค้ามีการผลิตมากขึ้นๆ สิ้นค้าต้นแบบก็อาจพัฒนารูปแบบไปแล้ว
ทำให้รุ่นเก่าขายไม่ออกและนักลอกก็จะเำหลือสต็อกจำนวนมาก
การลงทุนก็เช่นเดียว กันนักลงทุนที่ลอกหุ้นมักจะมีความั่นใจในหุ้นมากขึ้นๆ จนอาจซื้อเพิ่มในราคาแพง
เมื่อต้นตำหรับมีการปรับพอร์ทเพราะเห็นว่าหุ้นตัวเดิมมีความเสี่ยงสูงแล้ว นักลอกก็จะต้องเจ็บตัว
นักลอกขั้นเทพนั้นมักจะทำการลอกพร้อมทั้งศึกษาแนวคิดหรือหลักการของต้นแบบ
เพื่อนำมาต่อยอด มองหาจุดอ่อนเพื่อปรับปรุง และพัฒนาตนเองขึ้นมาเป็นผู้นำเช่นกัน
การลอกนั้นเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ร่นระยะเวลาในการศึกษาได้ดี แต่ก็มีความเสี่ยงสูง
นักลอกขั้นเทพจะรู้ถึงเรื่องนี้ดีและจะคิดอยู่ตลอดเวลาถึงความเสี่ยงนี้
และจะเร่งพัฒนาตนเองให้พึงพาตนเองได้ ก่อนที่ความเสี่ยงจะแสดงผลออกมา
ถ้าคิดจะลอก ต้องลอกให้เป็นนะครับ
- Totojeed
- Verified User
- โพสต์: 61
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เบื่อมาม่า! มานั่งทบทวนแนวคิดของตัวเองดีกว่า
โพสต์ที่ 74
อูยยยยยยยยยยแทงใจดำ เมื่อก่อนจริงจิ๊งกล้วยไม้ขาว เขียน:ลอกการบ้านขั้นเทพ
นักลอกขั้นเทพนั้นมักจะทำการลอกพร้อมทั้งศึกษาแนวคิดหรือหลักการของต้นแบบ
เพื่อนำมาต่อยอด มองหาจุดอ่อนเพื่อปรับปรุง และพัฒนาตนเองขึ้นมาเป็นผู้นำเช่นกัน
การลอกนั้นเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ร่นระยะเวลาในการศึกษาได้ดี แต่ก็มีความเสี่ยงสูง
นักลอกขั้นเทพจะรู้ถึงเรื่องนี้ดีและจะคิดอยู่ตลอดเวลาถึงความเสี่ยงนี้
และจะเร่งพัฒนาตนเองให้พึงพาตนเองได้ ก่อนที่ความเสี่ยงจะแสดงผลออกมา
ถ้าคิดจะลอก ต้องลอกให้เป็นนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 181
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เบื่อมาม่า! มานั่งทบทวนแนวคิดของตัวเองดีกว่า
โพสต์ที่ 75
นานๆ จะได้เห็นความคิดดีๆ.... แบบนี้ ความเพียรเพื่อที่จะเข้าใจอะไรบางอย่าง บอกเลยครับว่า 3 ปีถือว่าน้อยกับการตกผลึกความคิดได้แบบนี้
ยินดีด้วยครับ Cheer !!!!
ยินดีด้วยครับ Cheer !!!!
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เบื่อมาม่า! มานั่งทบทวนแนวคิดของตัวเองดีกว่า
โพสต์ที่ 76
[quote="petro-expert"]นานๆ จะได้เห็นความคิดดีๆ.... แบบนี้ ความเพียรเพื่อที่จะเข้าใจอะไรบางอย่าง บอกเลยครับว่า 3 ปีถือว่าน้อยกับการตกผลึกความคิดได้แบบนี้
ยินดีด้วยครับ Cheer !!!![/quote]
ขอบคุณครับพี่
ผมยังมีอะไรต้องเรียนรู้อีกเยอะครับ เรียนรู้ตลอดชีวิต ^^
ยินดีด้วยครับ Cheer !!!![/quote]
ขอบคุณครับพี่
ผมยังมีอะไรต้องเรียนรู้อีกเยอะครับ เรียนรู้ตลอดชีวิต ^^
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เบื่อมาม่า! มานั่งทบทวนแนวคิดของตัวเองดีกว่า
โพสต์ที่ 77
สก็อตไบรท์ 3M
วันนี้ผมจะลองเอาหลักการลงทุนของนักลงทุนสไตร์อื่นมาทำการวิเคราะห์
เนื่องจากผมเห็นว่าที่จริงแล้วหลักการเดียวกันนี้ก็มีอยู่ในการลงทุนแบบ VI ด้วย
แต่มักถูกละเลย หรือละไว้ในฐานที่น่าจะเข้าใจอยู่ก่อนแล้ว
ทำให้นักลงทุนหน้าใหม่ไฟท่วมหัว พลาดง่ายๆ มานักต่อนัก
หลักของสก็อตไบรท์นั้นประกอบด้วย M 3ตัวด้วยกันคือ
1 Method
2 Money Management
3 Mind
แปลกันตรงๆแบบกูเกิลทรานสเลทก็คือ วิธีการ, การบริหารเงิน และความคิด
ผมเชื่อว่าผู้คิดหลักการนี้ไม่ได้คิดเพื่อใช้กับหลักการลงทุนแบบใดแบบหนึ่ง
และมันน่า่จะใช้ได้ดีกับทุกๆหลักการ ในการที่จะอยู่รอดในระยะยาว
M แรก Method
นั้นสำหรับชาว VI แล้วก็คือวิธีการในการค้นหาหุ้น วิธีการวิเคราะห์ วิธีการตัดสินใจ
อันนี้ไม่ขอพูดถึงเพราะเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่สนใจหาความรู้กันเองอยู่แล้ว
M ที่สอง Money Management
การบริหารเงินสำหรับการลงทุนนั้นเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งที่หลายคนมักมองข้าม
การที่คนๆหนึ่งจะได้ผลตอบแทนมากน้อยหรือขาดทุนมากน้อย การบริหารเงินเป็นปัจจัยสำคัญ
หลักการบริหารเงินแบบ VI นั้นคือหลักการเดียวกับกลยุทธ์ตีแตก
นั่นคือการบริหารพอร์ทให้เหมาะสมกับความมั่นใจ ผลตอบแทน และโอกาสขาดทุน
โดยเราจะเลือกลงทุนเป็นสัดส่วนกี่เปอร์เซ็นต์ของพอร์ทในหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง
หลักการที่นิยมใช้คือ Kelly Formula นั่นเองแต่ผมขี้เกียจอธิบายเดี๋ยวจะยาว เอาเป็นว่าตามไปอ่านในนี้ละกันครับ ^^
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... ly+Formula
นอกจากนี้แล้วยังมีจุดสำคัญอีกจุดหนึ่งคือการบริหารเงินสด
นักลงทุนหลายคนมักทนไม่ได้ที่จะถือเงินสด และโดยเฉพาะนักลงทุนมือใหม่
ที่มักจะเห็นเซียนๆโพสบอกว่าถือหุ้นเต็มพอร์ทตลอดเวลา ทำให้คิดว่าการถือเช่นนั้นเป็นวิธีการที่ถูกต้อง
แต่นั่นอาจจะเป็นการเห็นช้างขี้ขี้ตามช้างได้ เพราะขอบเขตความรู้ความสามารถมันต่างกัน
วอแร้นต์ บุพเฟต์ กล่าวไว้ว่าให้ลงทุนเหมือนตลอดชีวิตคุณซื้อหุ้นได้แค่ 20 ครั้ง
นั่นเพื่อเตือนให้เห็นถึงความเสี่ยงจากการลงทุนในสิ่งที่นอกเหนือขอบเขตของความรู้
การถือเงินสดนั้นไม่ผิดถ้าเรารู้ตัวว่าเรายังไม่มีความรู้มากพอ และพยายามเพิ่มความรู้อยู่เสมอ
เพื่อรอที่จะลงทุนในกิจการที่เรารู้จักดี
M สุดท้าย Mind
สิ่งนี้จริงๆแล้วสำคัญที่สุด แต่สอนกันไม่ได้ เพราะเป็นอจินไตย
เอาเป็นว่าหมั่นตามเช็ค ตามพิจารณาความคิด ความรู้สึกของตัวเองบ่อยๆ
พิจารณา ปรับปรุงแก้ไข พัฒนาการลงทุนของตนเองให้ดีขึ้นๆ จนเป็นที่พอใจของตนเองครับ
ปอลิง ห้องนี้ disable bb code แล้วเขียนไม่ค่อยได้อารมณ์เลยฮิ
วันนี้ผมจะลองเอาหลักการลงทุนของนักลงทุนสไตร์อื่นมาทำการวิเคราะห์
เนื่องจากผมเห็นว่าที่จริงแล้วหลักการเดียวกันนี้ก็มีอยู่ในการลงทุนแบบ VI ด้วย
แต่มักถูกละเลย หรือละไว้ในฐานที่น่าจะเข้าใจอยู่ก่อนแล้ว
ทำให้นักลงทุนหน้าใหม่ไฟท่วมหัว พลาดง่ายๆ มานักต่อนัก
หลักของสก็อตไบรท์นั้นประกอบด้วย M 3ตัวด้วยกันคือ
1 Method
2 Money Management
3 Mind
แปลกันตรงๆแบบกูเกิลทรานสเลทก็คือ วิธีการ, การบริหารเงิน และความคิด
ผมเชื่อว่าผู้คิดหลักการนี้ไม่ได้คิดเพื่อใช้กับหลักการลงทุนแบบใดแบบหนึ่ง
และมันน่า่จะใช้ได้ดีกับทุกๆหลักการ ในการที่จะอยู่รอดในระยะยาว
M แรก Method
นั้นสำหรับชาว VI แล้วก็คือวิธีการในการค้นหาหุ้น วิธีการวิเคราะห์ วิธีการตัดสินใจ
อันนี้ไม่ขอพูดถึงเพราะเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่สนใจหาความรู้กันเองอยู่แล้ว
M ที่สอง Money Management
การบริหารเงินสำหรับการลงทุนนั้นเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งที่หลายคนมักมองข้าม
การที่คนๆหนึ่งจะได้ผลตอบแทนมากน้อยหรือขาดทุนมากน้อย การบริหารเงินเป็นปัจจัยสำคัญ
หลักการบริหารเงินแบบ VI นั้นคือหลักการเดียวกับกลยุทธ์ตีแตก
นั่นคือการบริหารพอร์ทให้เหมาะสมกับความมั่นใจ ผลตอบแทน และโอกาสขาดทุน
โดยเราจะเลือกลงทุนเป็นสัดส่วนกี่เปอร์เซ็นต์ของพอร์ทในหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง
หลักการที่นิยมใช้คือ Kelly Formula นั่นเองแต่ผมขี้เกียจอธิบายเดี๋ยวจะยาว เอาเป็นว่าตามไปอ่านในนี้ละกันครับ ^^
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... ly+Formula
นอกจากนี้แล้วยังมีจุดสำคัญอีกจุดหนึ่งคือการบริหารเงินสด
นักลงทุนหลายคนมักทนไม่ได้ที่จะถือเงินสด และโดยเฉพาะนักลงทุนมือใหม่
ที่มักจะเห็นเซียนๆโพสบอกว่าถือหุ้นเต็มพอร์ทตลอดเวลา ทำให้คิดว่าการถือเช่นนั้นเป็นวิธีการที่ถูกต้อง
แต่นั่นอาจจะเป็นการเห็นช้างขี้ขี้ตามช้างได้ เพราะขอบเขตความรู้ความสามารถมันต่างกัน
วอแร้นต์ บุพเฟต์ กล่าวไว้ว่าให้ลงทุนเหมือนตลอดชีวิตคุณซื้อหุ้นได้แค่ 20 ครั้ง
นั่นเพื่อเตือนให้เห็นถึงความเสี่ยงจากการลงทุนในสิ่งที่นอกเหนือขอบเขตของความรู้
การถือเงินสดนั้นไม่ผิดถ้าเรารู้ตัวว่าเรายังไม่มีความรู้มากพอ และพยายามเพิ่มความรู้อยู่เสมอ
เพื่อรอที่จะลงทุนในกิจการที่เรารู้จักดี
M สุดท้าย Mind
สิ่งนี้จริงๆแล้วสำคัญที่สุด แต่สอนกันไม่ได้ เพราะเป็นอจินไตย
เอาเป็นว่าหมั่นตามเช็ค ตามพิจารณาความคิด ความรู้สึกของตัวเองบ่อยๆ
พิจารณา ปรับปรุงแก้ไข พัฒนาการลงทุนของตนเองให้ดีขึ้นๆ จนเป็นที่พอใจของตนเองครับ
ปอลิง ห้องนี้ disable bb code แล้วเขียนไม่ค่อยได้อารมณ์เลยฮิ
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เบื่อมาม่า! มานั่งทบทวนแนวคิดของตัวเองดีกว่า
โพสต์ที่ 78
Cut Lost!
######
บางครั้งที่เราตัดสินใจผิด หรือตัดสินใจบนข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน ทำให้การขาดทุนเกิดขึ้น
ก็จำเป็นที่เราจะต้องตัดขาดทุน เพื่อรักษาสถานะของพอร์ทโดยรวมไว้
การ Cut Lost จัดเป็นกลยุทธ์ที่ใช้เพื่อประโยชน์ในการลงทุนระยะยาว
เช่นเดียวกับการป้องกันไฟที่กำลังใหม้ ลามไปยังส่วนที่สำคัญกว่าที่อาจทำให้บ้านทั้งหลังพังทลาย
วิธีการ Cut Lost นั้นก็เช่นเดียวกับกลยุทธอื่นๆ ที่ตั้งอยู่บนจุดมุ่งหมายในการลงทุน
ถ้าเราลงทุนเพื่อการเป็นหุ้นส่วนกิจการที่ดี
การ Cut Lost จะเกิดขึ้นเมื่อมีเหตุที่ทำให้การคาดการณ์ต่ออนาคตของกิจการเปลี่ยนแปลงไป
ทำให้ราคาที่ซื้อไปแล้วนั้นสูงกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นในอนาคต
ถ้าเราลงทุนเพื่อหวังกำไรจากการขายเป็นหลัก
การเข้าซื้อนั้นเราคาดหวังผลกำไรจากราคาหุ้นที่สูงขึ้น
ดังนั้นเมื่อราคาหุ้นลดลงเราควรจะมีจุดตัดสินใจ ที่จะขายหุ้นเพื่อรักษาเงินต้นไว้
เนื่องจากราคาหุ้นไม่ได้สูงขึ้นตามที่เราคาดหวัง แต่กลับลดลง
กลยุทธ์ Cut Lost นี้จะใช้ได้ดีกับการลงทุนที่คาดหวังผลตอบแทนในระดับสูงกว่า 10% ต่อปี
ยิ่งสูงยิ่งดี เนื่องจากจะเป็นการป้องกันความเสี่ยงที่จะขาดทุนในระยะยาว
เช่นการขาดทุนแต่ละครั้งเท่ากับ 2% ดังนั้นเราจะมีโอกาสที่จะผิดพลาด 5 ครั้ง
ก่อนที่เราจะพบหุ้นที่ตรงตามต้องการของเรา
######
บางครั้งที่เราตัดสินใจผิด หรือตัดสินใจบนข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน ทำให้การขาดทุนเกิดขึ้น
ก็จำเป็นที่เราจะต้องตัดขาดทุน เพื่อรักษาสถานะของพอร์ทโดยรวมไว้
การ Cut Lost จัดเป็นกลยุทธ์ที่ใช้เพื่อประโยชน์ในการลงทุนระยะยาว
เช่นเดียวกับการป้องกันไฟที่กำลังใหม้ ลามไปยังส่วนที่สำคัญกว่าที่อาจทำให้บ้านทั้งหลังพังทลาย
วิธีการ Cut Lost นั้นก็เช่นเดียวกับกลยุทธอื่นๆ ที่ตั้งอยู่บนจุดมุ่งหมายในการลงทุน
ถ้าเราลงทุนเพื่อการเป็นหุ้นส่วนกิจการที่ดี
การ Cut Lost จะเกิดขึ้นเมื่อมีเหตุที่ทำให้การคาดการณ์ต่ออนาคตของกิจการเปลี่ยนแปลงไป
ทำให้ราคาที่ซื้อไปแล้วนั้นสูงกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นในอนาคต
ถ้าเราลงทุนเพื่อหวังกำไรจากการขายเป็นหลัก
การเข้าซื้อนั้นเราคาดหวังผลกำไรจากราคาหุ้นที่สูงขึ้น
ดังนั้นเมื่อราคาหุ้นลดลงเราควรจะมีจุดตัดสินใจ ที่จะขายหุ้นเพื่อรักษาเงินต้นไว้
เนื่องจากราคาหุ้นไม่ได้สูงขึ้นตามที่เราคาดหวัง แต่กลับลดลง
กลยุทธ์ Cut Lost นี้จะใช้ได้ดีกับการลงทุนที่คาดหวังผลตอบแทนในระดับสูงกว่า 10% ต่อปี
ยิ่งสูงยิ่งดี เนื่องจากจะเป็นการป้องกันความเสี่ยงที่จะขาดทุนในระยะยาว
เช่นการขาดทุนแต่ละครั้งเท่ากับ 2% ดังนั้นเราจะมีโอกาสที่จะผิดพลาด 5 ครั้ง
ก่อนที่เราจะพบหุ้นที่ตรงตามต้องการของเรา
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4741
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เบื่อมาม่า! มานั่งทบทวนแนวคิดของตัวเองดีกว่า
โพสต์ที่ 79
วันก่อนคุนกันกับเพื่อน เรื่อง "มาม่า"
มันภาษาเด็กวัยรุ่น รุ่นแก่ๆอย่างพวกเราตามไม่ทัน.....ฮ่า
มันภาษาเด็กวัยรุ่น รุ่นแก่ๆอย่างพวกเราตามไม่ทัน.....ฮ่า
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เบื่อมาม่า! มานั่งทบทวนแนวคิดของตัวเองดีกว่า
โพสต์ที่ 80
[quote="dome@perth"]วันก่อนคุนกันกับเพื่อน เรื่อง "มาม่า"
มันภาษาเด็กวัยรุ่น รุ่นแก่ๆอย่างพวกเราตามไม่ทัน.....ฮ่า[/quote]
ผมเอามาจากพันทิำพย์ครับ เว็บนั้นดราม่าเยอะ
หลายๆคนเข้ามาเสพกันดึกๆดื่นๆ เพราะเป็นเวลาว่างจากงาน
เลยทำให้นึกถึงมาม่าที่เรามักจะกินกันตอนดึกๆ
ทั้งๆที่รู้ว่ากินก่อนนอนจะอ้วน แต่คนมันหิวนี่นา
ที่มาของศัพท์ "มาม่า" ก็ประมาณนี้หล่ะครับ
มันภาษาเด็กวัยรุ่น รุ่นแก่ๆอย่างพวกเราตามไม่ทัน.....ฮ่า[/quote]
ผมเอามาจากพันทิำพย์ครับ เว็บนั้นดราม่าเยอะ
หลายๆคนเข้ามาเสพกันดึกๆดื่นๆ เพราะเป็นเวลาว่างจากงาน
เลยทำให้นึกถึงมาม่าที่เรามักจะกินกันตอนดึกๆ
ทั้งๆที่รู้ว่ากินก่อนนอนจะอ้วน แต่คนมันหิวนี่นา
ที่มาของศัพท์ "มาม่า" ก็ประมาณนี้หล่ะครับ