ch_army เขียน:ทำงานได้เงินเดือน 28000 แน่ะ ทำอะไรที่ไหยครับ ผมก็วฺสวะเหมือนกัน เผื่อจะตามไปสมัครด้วย
ปัจจุบันทำงานที่ บล แห่งหนึ่งครับ
ไม่ขอเอ่ยว่าที่ไหนครับ
แ่ต่กว่าจะมาถึงตรงนี้ได้ ต้องขยันนะครับ
เพราะอย่างที่บอกว่าผมเริ่มจาก 15k เช่นกัน
ch_army เขียน:ทำงานได้เงินเดือน 28000 แน่ะ ทำอะไรที่ไหยครับ ผมก็วฺสวะเหมือนกัน เผื่อจะตามไปสมัครด้วย
ถ้าจบโทฯก็ไม่แปลกนะครับ เพื่อนผมจบใหม่ยังได้ 35000 เลย น่าอิจฉา(แต่งานหนักสุดๆ)ทำงานได้เงินเดือน 28000 แน่ะ ทำอะไรที่ไหยครับ ผมก็วฺสวะเหมือนกัน เผื่อจะตามไปสมัครด้วย
สุมาอี้ เขียน:เงินเก็บก้อนแรกของทุกคน ใช้เหงื่อเป็นวัตถุดิบล้วนๆ ครับ เก็บนานมาก ๆ ฐานเงินเดือนที่ยังต่ำอยู่ทำให้ disposable income มันน้อยมากครับ (disposable income = salary-necessary expense) พอเงินเดือนเริ่มมากขึ้น ค่าใช้จ่ายจะขึ้นช้ากว่า (แต่บางคนก็ไม่นะครับ แหะๆ)
ภาระอีกอย่างที่ถ่วงก็คือคนที่ต้องผ่อนรถเอง ความไม่เป็นหนี้เป็นลาภอันประเสริฐครับ ช่วงแรกๆ ซื้อรถมือสอง หรือว่าขึ้นรถเมล์ได้ก็จะดี
พอเก็บได้ถึงจุดหนึ่งแล้ว คราวนี้วัตถุดิบจะเริ่มเปลี่ยนจากเหงื่อเป็นเงินมากขึ้น แบบที่เขาพูดว่า "ให้เงินทำงาน" นั่นแหละครับ interest income กับ dividend income จะช่วยผ่อนแรงเราไปได้เยอะทีเดียว ถึงจุดนี้แล้วมันจะเพิ่มขึ้นเร็วมากเลยครับ
เก็บก้อนแรกให้ได้ครับ มีเฮแน่นอน
เหมือนที่เขาบอกว่า 1 ล้านแรกหายากกว่าล้านถัดไปchillkun เขียน: เหมือน
ผมทำงานมาสองปีแล้วคับ รู้สึกว่าข้อความนี้โดนใจผมมากเลยคับ
ขอน้อมรับคำพี่chatchaiไปปฏิบัติในชีวิตครับคนที่ทำงานทำด้วยความเข้าใจมีปัญญารุ้ความมุ่งหมายที่แท้จริง มีจิตใจร่วมมืออย่างนี้ ผลก็ดำเนินไปได้ดี
แต่ถ้ามนุษย์เกิดความแปลกแยกขึ้นมา ก็จะมองด้านเดียว แคบๆ สั้นๆ ไม่ทะลุ ไม่ตลอดวงจร
จะเอาแต่ในแง่ว่าฉันทำงานแพทย์ก็คือจะได้เงินมาก ได้ผลตอบแทนสูง ไม่คำนึงถึงผลโดยตรงของงาน นึกแต่ว่าทำอย่างไรจะให้ได้เงินมากที่สุด เราได้เงินหรือยัง
เมื่อแปลกแยกแล้ว ปัญหาก็เกิดขึ้น ปัญหาแรกก็คือ ปัญหากับชีวิตของตัวเอง ที่ไม่ตั้งใจทำงานเพื่อผลโดยตรงของงานนั้น คือเพื่อความดีงานประโยชน์สุขของชีวิตและสังคม
เห็นด้วยครับ 100000 ต่อเดือน ถ้าทำงานบริษัท กินเงินเดือนก็ไม่ธรรมดาแล้วละครับ เป็น VS ที่เก่ง อื่นๆก็น่าจะเก่ง อย่างนี้น่าจะต้องมีบ้าน มีรถแล้วนะครับ การบริหารชีวิตให้มีความสุขตามอัตภาพ ก็เป็นสิ่งจำเป็นนะครับJeng เขียน:100000 ต่อเดือนยังนั่งรถเมล์ อืม
ทรมานตัวเองเกินไปแล้วมั๊งครับ
เดี๋ยวจะกลายเป็น คนแก่ที่มาคอยเตือนหนุ่มๆว่า ใช้ชีวิตไปเถิด อย่าเอาอย่างผม มีเงินไม่เคยใช้เลย
กล้วยทอดว่าออกกำลังกายดีออกนะJeng เขียน:100000 ต่อเดือนยังนั่งรถเมล์ อืม
ทรมานตัวเองเกินไปแล้วมั๊งครับ
เดี๋ยวจะกลายเป็น คนแก่ที่มาคอยเตือนหนุ่มๆว่า ใช้ชีวิตไปเถิด อย่าเอาอย่างผม มีเงินไม่เคยใช้เลย
กล้วยทอด เขียน: กล้วยทอดว่าออกกำลังกายดีออกนะ
ยิ่งรายรับสูง เวลาว่างเริ่มน้อย
ออกกำลัง ก็น่าจะน้อยลงด้วย
คุณเจ้าของกระทู้เก็บเงินได้ ไม่แปลกค่ะ
แต่ชื่นชมที่ใช้สตางค์เป็น ตั้งแต่วัยยังน้อยค่ะ
รุ่นเดียวกันเลยครับMr. Big เขียน:จริงๆ ผมก็รุ่นๆ เดียวกับหลายๆ ท่าน (27) ตอนนี้ขออ่านเป็นข้อเตือนใจก็แล้วกันครับ ตอนนี้ถือว่าโชคดีมากๆ ที่ประเภทงานบางอย่าง เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ถนัดก็เลยทำได้ด้วยดีครับ ตอนนี้เงินเดือนก็รับเป็น cash flow ต่อเดือน แต่มีรายได้พิเศษเข้ามาช่วย แต่ผมใช้จ่ายไม่เกินเงินเดือนที่ได้รับต่อเดือน (ข้อแม้ตัวเองครับ) เหมือนกันครับ
พี่ฉัตรชัยเขียนได้โดนจริงๆ พอคิดถึงตัวเองแล้วก็รู้สึก... รายได้จากการทำงานบริษัทก็มากอยู่ แต่ไม่รู้สึกว่าสิ่งที่ทำมันจะตรงกับที่ใจรัก (เหมือน VI โดนบังคับให้ซื้อหุ้นโดยดูกราฟแนวรับแนวต้าน) แต่ถ้าจะให้ออกไปทำงานในสิ่งที่รักตอนนี้ ก็เหมือนต้องไปเริ่มใหม่เงินเดือนน่าจะน้อยไปครึ่งหนึ่งchatchai เขียน:ในการทำงานนี่ ด้านหนึ่งคือผลโดยตรงจากการทำ จะเห็นว่างานทุกอย่างมีจุดหมายเพื่อแก้ปัญหาชีวิตและสร้างสรรค์สังคมอย่างใดอย่างหนึ่ง
เช่น งานแพทย์ ที่เรียกเป็นอาชีพ แต่โดยตรงที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยกันแท้ๆ ก็คือ ทำให้คนไข้หายโรคมีสุขภาพแข็งแรง นี่คือความหมายที่ตรงกับผลตามกฏะรรมชาติ
แต่พร้อมกันนั้น เมื่อเราทำงานก็มีระบบจัดตั้งของมนุษย์ซ้อนกันขึ้นมาว่า ด้วยการทำงานนี้ นอกจากให้เกิดผลของตัวงานต่อชีวิตและสังคมแล้ว
ก็เป็นเหตุให้เราได้เงินมีค่าตอบแทนด้วย และผลตอบแทนที่ได้มานั้นก็เพื่อเป็นเครื่องเกื้อหนุนให้เราไม่ต้องห่วงกังวลต่อการเลี้ยงชีพ เพราะว่าคนเราต้องกินต้องอยู่
คนที่ทำงานทำด้วยความเข้าใจมีปัญญารุ้ความมุ่งหมายที่แท้จริง มีจิตใจร่วมมืออย่างนี้ ผลก็ดำเนินไปได้ดี
แต่ถ้ามนุษย์เกิดความแปลกแยกขึ้นมา ก็จะมองด้านเดียว แคบๆ สั้นๆ ไม่ทะลุ ไม่ตลอดวงจร
จะเอาแต่ในแง่ว่าฉันทำงานแพทย์ก็คือจะได้เงินมาก ได้ผลตอบแทนสูง ไม่คำนึงถึงผลโดยตรงของงาน นึกแต่ว่าทำอย่างไรจะให้ได้เงินมากที่สุด เราได้เงินหรือยัง
เมื่อแปลกแยกแล้ว ปัญหาก็เกิดขึ้น ปัญหาแรกก็คือ ปัญหากับชีวิตของตัวเอง ที่ไม่ตั้งใจทำงานเพื่อผลโดยตรงของงานนั้น คือเพื่อความดีงานประโยชน์สุขของชีวิตและสังคม
แต่มุ่งจะเอาเงินผลตอบแทนอย่างเดียว ก็เข้าสู่ระบบของความโลภ เริ่มด้วยชักจะไม่ซื่อตรงต่อหน้าที่การงาน
คนทำสวนไม่ได้คิดถึงผลตามกฏธรรมชาติที่ว่าจะให้ต้นไม้เจริญงอกงาม เขาไม่ได้ต้องการผลที่แท้จริงตามกฏธรรมชาติ
เขาต้องการอย่างเดียวคืออยากได้เงินที่เป็นผลตามกฏสมมติของมนุษย์ เขาก็ทำงานเพื่อได้เงินอย่างเดียว จะเอาแต่เงิน ก็ไม่เต็มใจทำสวน
1. ทำงานไม่ได้ผลดี
2. จิตใจไม่มีความสุข จำใจทำไป ก็หาทางเลี่ยงไป
ถ้าเจ้านายไม่มาดูก็นั่งนอนอยู่เฉยๆ พอเจ้านานยมาดูทีก็ลุกขึ้นไปทำที เพราะใจไม่เอา