Value way
มนตรี นิพิฐวิทยา : [email protected]
ยุทธศาสตร์การลงทุน ที่ 8 : ทำการบ้าน หรือหาที่ปรึกษาไว้คอยให้คำแนะนำ
ขนาดเซอร์ จอห์น เทมเพอร์ตัน ที่มีประสบการลงทุนจนถึงขั้นระดับปรมาจารย์ยังต้องให้ความสำคัญกับข้อมูลรายละเอียดเป็นอย่างมาก ท่านกล่าวไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า
“หลายท่านคงเคยได้รับคำแนะนำให้พิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อนที่จะลงทุนในหุ้นบริษัทใดบริษัทหนึ่ง จงฟังเอาไว้ และกลับไปศึกษาให้ละเอียดถี่ถ้วนว่ามีปัจจัยใดที่ทำให้บริษัทนั้นๆประสบความสำเร็จได้”
การลงทุนนั้นจัดเป็นงานที่หนักเอาการทีเดียว หลายท่านอาจจะเห็นว่ามันไม่เท่าไรนัก ก็แค่ซื้อหุ้นตัวที่น่าจะขึ้น ขายมันตอนที่น่าจะลง ถ้าสงสัยก็ถามนักวิเคราะห์ ในช่วงที่ตลาดขาขึ้นนั้นทำอย่างนี้ไมค่อย่อันตรายเท่าไรนัก และมักจะได้มากกว่าเสีย แต่การลงทุนนั้นมันไม่สามารถรู้ได้ล่วงหน้าเสมอไปว่าตลาดจะมีทิศทางอย่างไร และมักจะจบลงด้วยการขาดทุนอยู่เป็นประจำ
ตามที่เคยกล่าวไว้แล้วว่า ในภาวะที่ตลาดหุ้นดีๆอาจมีหุ้นที่ไม่ดี ในทางตรงกันข้ามในภาวะที่ตลาดหุ้นไม่ดีแต่ก็มีหุ้นที่ดีอยู่เสมอ การจะค้นหาหุ้นที่มีมูลค่าสูงกว่าราคาและสามารถลงทุนอยู่กับมันได้เป็นเวลานาน ผลตอบแทนสูงนับว่าเป็นการใช้เวลากับมันอย่างคุ้มค่าทีเดียว
ในการนี้ เซอร์ จอห์น เทมเพอร์ตันตั้งประเด็นในการพิจารณาหุ้นไว้กว้างๆสองประเด็นว่า
“โดยปกติแล้ว เวลาเราจะซื้อหุ้นบริษัทใดๆนั้น เราซื้อด้วยปัจจัยสองประการคือ กำไร และ/หรือ สินทรัพย์ของบริษัทนั้นๆ”
สำหรับกิจการทั่วโลก กำไรและสินทรัพย์ของกิจการนั้นมีอิทธิพลต่อราคาหุ้นเป็นสำคัญ ราคาต่อกำไรของกิจการ (Price / Earning, P/E) นั้นแกว่งไกวขึ้นลงอยู่รอบๆมูลค่าทดแทนทางบัญชี (Replacement book Value) ของกิจการอยู่ตลอดเวลามูลค่าทดแทนทางบัญชีที่ว่านี้คือจำนวนเงินที่ต้องใช้หากต้องสร้างเครื่องจักรอุปกรณ์ทั้งหมดทั้งสิ้นของกิจการ แต่ไม่ได้รวมความสามารถของพนักงานผู้บริหาร ตลอดไปถึงห่วงโซ่ของวัตถุดิบและสินค้าของกิจการนั้นๆ ซึ่งในบางครั้งบางคราว เจ้ามูลค่าทดแทนทางบัญชีนี้มันสูงกว่าราคาที่ซื้อขายกันในปัจจุบันอย่างมาก หากเราไม่ละเอียดถี่ถ้วนคงไม่สามารถพบเห็นหุ้นประเภทนี้ได้ทันเวลา หรือก่อนคนอื่นๆ และหากมีคนเห็นหรือแม้แต่ตามแห่มาไล่ซื้อหุ้นดังกล่าว ราคาหุ้นคงไม่มีส่วนต่างผลตอบแทนให้เราอีกต่อไป
ท่านกล่าวไว้ให้เป็นข้อสังเกตุว่า หากเราคาดว่าบริษัทที่เราสนใจอยู่นั้นกำลังจะเติบโตและใหญ่โตขึ้นในอนาคตแล้วนั้น คุณกำลังซื้อหุ้นบริษัทนั้นเพราะกำไรที่กำลังจะเติบโตในอนาคต และโดยปกติแล้วมูลค่าหุ้นนั้นผันแปรไปตามกำไรของกิจการ ถ้าคุณคาดว่ากำไรบริษัทจะเพิ่มขึ้น คุณก็คาดหมายได้ว่าราคาหุ้นนั้นก็จะขึ้นด้วยเช่นกัน ในกรณีนี้ให้พิจารณาที่อัตราส่วนราคาต่อกำไรในอนาคต (Forward P/E)
แต่ถ้าเราคาดว่าบริษัทที่เราสนใจอยู่นั้นอาจจะจะถูกซื้อเพื่อควบรวมกิจการ หรือแม้แต่กระทั่งไม่มีการซื้อเพื่อควบรวมกิจการก็ตาม แต่ราคาหุ้นนั้นต่ำมากเมื่อเทียบกับราคาของสินทรัพย์ทางบัญชีทั้งหมดของกิจการ ก็จงเอาใจใส่ค้นหาข้อมูลรายละเอียดให้จงดี เพราะแม้แต่ราคาปัจจุบันที่ซื้อขายกันอยู่นั้นยังตำ่กว่ามูลค่าทดแทนทางบัญชีซึ่งยังไม่ได้รวมปัจจัยที่ประกอบกันเป็นกิจการ เช่นความสามารถของพนักงานผู้บริหาร ตลอดไปถึงห่วงโซ่ของวัตถุดิบและสินค้าแล้วนั้น ย่อมเป็นที่น่าสนใจและคุ้มค่าที่จะเสียเวลากับมันเป็นอย่างมาก แต่ต้องขอบอกท่านทั้งหลายว่า หุ้นแบบนี้มีให้เห็นนานๆครั้ง และถ้าเป็นเช่นดังที่กล่าวมาแล้วนั้น เรากำลังพิจารณามูลค่าจากสินทรัพย์ที่กิจการมีอยู่ (Price / Book value, PB)
รายละเอียดในการวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้มีมากมาย และต้องให้พื้นฐานความรู้ ประสบการณ์ที่ค่อนข้างมากทีเดียว นักลงทุนทั่วไปอาจไม่มีเวลาที่จะหาความรู้ ค้นคว้าได้มากเพียงพอที่จะใช้ตัดสินใจลงทุนได้ การใช้ที่ปรึกษาการลงทุนซึ่งในต่างประเทศมีแพร่หลายมากมาเป็นผู้ที่คอยให้คำปรึกษาแนะนำจึงเป็นทางเลือกที่ดี หรือแม้แต่การเลือกใช้บริการกองทุนรวมซึ่งมีผู้จัดการกองทุนเป็นผู้คัดสรรหุ้นมาลงทุน รวมไปถึงการสับเปลี่ยนและการปรับสัดส่วนการลงทุนอยู่ตลอดเวลาก็เป็นทางเลือกที่ดีอีกทางหนึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการจะลงทุนในระยะยาว โดยไม่ต้องรบกวนเวลาในการทำงานและเวลาใช้ชีวิตกับครอบครัว
การลงทุนคือชีวิต ไม่มีไม่ได้ครับ เฉพาะรายได้จากการทำงานนั้น ไม่เพียงพอต่อการใช้ชีวิตในปั้นปลายสำหรับบางท่านแน่นอน
ทำการบ้านหรือหาที่ปรึกษาคอยแนะนำ:ValueWay
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 795
- ผู้ติดตาม: 0
ทำการบ้านหรือหาที่ปรึกษาคอยแนะนำ:ValueWay
โพสต์ที่ 1
Miracle Happens Everyday !
"ปาฎิหารย์คือการเดินบนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว"
"ปาฎิหารย์คือการเดินบนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว"