รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity

โพสต์ที่ 31

โพสต์

นักลงทุนกอดโลก : ถ้าไม่มีเป้าหมาย ความรู้สึกผิดหวังที่ทำไมได้ก็จะไม่มี ประเด็นของการมีเป้าหมายไม่ได้หมายถึงว่าให้เราทำให้ได้ แต่มันบอกว่า เราทำไมได้เพราะอะไร แล้วให้เราปรับปรุงตัว หรือ มองข้อด้อยของตัวเอง แล้วพยายามฝึกฝนตัวเองให้ถึงมีคุณสมบัติบางอย่างที่ทำให้เราไปไม่ถึงเป้าหมายนั้น

นักลงทุนจ้องโลก : โห อินเวสเฟิสมีความหมายขนาดนี้เลยหรือครับ

นักลงทุนขวางโลก : อย่างไรก้ต้องบันทึกว่าความคิดและอารมณ์มีผลต่อการการตัดสินใจอย่างไร มีแต่วิธีนี้เท่านั้น ไม่อย่างนั้น เขาจะไม่มีความมั่นใจ และจะติดนิสัย second guess เมื่อทุกอย่างเกิดขึ้นแล้ว

นักลงทุนจ้องโลก : ทักษะสำคัญที่สุดที่ต้องใช้อินเวสเฟิส

นักลงทุนกอดโลก : การตะหนักรู้ในตนเอง

นักลงทุนแบกโลก : มีวินัย

นักลงทุนขวางโลก : ความมุ่งมั่น

นักลงทุนจ้องโลก : หรือว่าบางที อนาคตเดาไม่ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีหลักการลงทุนไหนที่ใช้ได้ทุกสถานการณ์ ไม่ทราบว่า สถติของท่านกอดโลกเป็นอย่างไร

นักลงทุนกอดโลก ;
Return on average GMV 25 %
Average Capital Usage 36%
Average Gross Margin Value 27 mb
Oveall Buying Power 7o mb
Sharp ration 4.5
P/ L ration 60 %

นักลงทุนแบกโลก : Sharp สูงมากเลยครับ ทำอย่างไร
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity

โพสต์ที่ 32

โพสต์

นักลงทุนจ้องโลก : ได้ยินว่า กำไร 80 % ของท่านกอดโลก มาจากการจำนวนการเทรดแค่ 3 เปอร์เซ็นต์ ทำอย่างไรครับนี่

นักลงทุนกอดโลก : ผมแค่ตัดตัวที่ขาดทุนออก ตัวไหนกำไรผมลงทุนมากขึ้น และ ถือนานขึ้น

นักลงทุนขวางโลก : สมัยก่อนสถิติของเขาไม่ดีขนาดนี้นะ ตั้งแต่เขาเริ่มบันทึก Investing Diary ตามที่ผมแนะนำ ทุกอย่างเปลี่ยนไป

นักลงทุนแบกโลก : เขาเห็นรูปแบบ pattern ในพฤติกรรมตัวเอง

นักลงทุนกอดโลก ; เดิมทีผมกลัวที่จะเสียง พอเริ่มจดอารมณ์ตัวเองที่เกิดขึ้น ผมเริ่มเข้าใจว่า การป้องกันความเสี่ยงที่ดีที่สุดคือการอยู๋ร่วมกับความเสี่ยงนั่นเอง ในขณะเดียวกันเราก็ต้องจัดการกับความเครียดที่เกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างสรรค์

นักลงทุนจ้องโลก : ความเครียดเชิงสร้างสรรค์ ฟังแล้วดูดีนะครับ บางทีเรียกใหม่อย่างนี้ก็ไม่เลวทีเดียว The psychology of investing first investigate later

นักลงทุนขวางโลก : Investigate ตรวจสอบในที่นี้หมายถึงตรวจสอบว่าอารมณ์ตัวเองมีผลต่อการตัดสินใจอย่างไร เฝ้าดูอารมร์ตัวเองที่เกิดขึ้นระหว่างเทรด นั่นละการบริหารความเสี่ยงของผม

นักลงทุนกอดโลก : ผมเรียกว่า อานาปานสติ

นักลงทุนขวางโลก ; ผมว่าเราไปวัดกันเถอะครับ

นักลงทุนแบกโลก ; ผมไปด้วย ผมจะไปทำสังฆทาน

นักลงทุนกอดโลก ; ผมจะไปปล่อยนก

นักงทุนจ้องโลก : ไปรถผมกันนะครับ จะได้ไม่เปลืองน้ำมัน

จบ
.......................................
ผมก็ต้องไปวัดกับเขาด้วยเหมือนกันครับละครับ
สวัสดีครับ...........ขอบคุณครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
murder_doll
Verified User
โพสต์: 1644
ผู้ติดตาม: 1

Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity

โพสต์ที่ 33

โพสต์

:shock: ไม่ได้เข้ามาวันเดียวมัวไปดู Revolver อยู่มีบทความมาอีกแล้วขออนุญาตอ่านและพยายามทำความเข้าใจต่อไปนะครับ
เงินทองเป็นของมายา
ข้าวปลาคือของจริง
ภาพประจำตัวสมาชิก
murder_doll
Verified User
โพสต์: 1644
ผู้ติดตาม: 1

Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity

โพสต์ที่ 34

โพสต์

กล้วยไม้ขาว เขียน:
Reflexivity ผมเข้าใจว่าไม่ใช่การสะท้อนไปมาของทุกๆอย่างนะครับ
แต่เป็นการสะท้อนไปมาระหว่างความสุดโต่งสองข้าง อันเกิดจากช่องว่าง(ทุกข์)
ระหว่างความจริง(ธรรม) กับสิ่งที่ผู้มีส่วนร่วมคิดหรือเข้าใจ(อคติ) เนื่องมาจากความไม่รู้ (อวิชา)

ถ้าความคิดเห็นส่วนใหญ่ของผู้มีส่วนร่วม เห็นไปในทางที่ดีกว่าความเป็นจริง จะเกิด bubble
ถ้าความคิดเห็นส่วนใหญ่ของผู้มีส่วนร่วม เห็นไปในทางที่แย่กว่าความเป็นจริง จะเกิด panic
ถ้าความคิดเห็นส่วนใหญ่ของผู้มีส่วนร่วม เห็นไปในทางที่ตรงความเป็นจริง จะเกิดดุลย์ภาพ

ตรงตามพระพุทธเจ้าสอนเลยครับ ให้มองตามจริงจึงจะพ้นทุกข์
คิดว่าพอจะเริ่มเห็นเค้าโครง ขอบคุณมากครับ :D
เงินทองเป็นของมายา
ข้าวปลาคือของจริง
ภาพประจำตัวสมาชิก
murder_doll
Verified User
โพสต์: 1644
ผู้ติดตาม: 1

Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity

โพสต์ที่ 35

โพสต์

humdrum เขียน:คุณกล้วยไม้เข้าใจมากว่าผมอีก
อย่างที่คุณกล้วยบอกไว้ เรื่องหนังสือที่คุณไฮถามก็อาจไม่จำเป็นแล้ว
มีลมหายใจเข้า ก็มีลมหายใจออก
ความสุขมีรากเหง้ามากจากความทุกข์
ถามท่านกล้วยไม้ไปก่อนนะครับ
ขอบคุณที่ถามครับ ขอบคุณทุกท่านครับ
ขอบคุณท่าน murdur ที่เป็นคนตั้งกระทู้
ขอบคุณทุกท่านในการแบ่งปันและในมุมมองแง่คิดเช่นกันครับ
เงินทองเป็นของมายา
ข้าวปลาคือของจริง
ภาพประจำตัวสมาชิก
^^
Verified User
โพสต์: 519
ผู้ติดตาม: 1

Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity

โพสต์ที่ 36

โพสต์

สงสัยผมต้องอ่านหลายๆรอบซะแล้ว รู้สึกอวิชชา
นักลงทุนทั้งหลายต่างพูดมีสาระ แม้ว่าจะเรื่องอาบอบนวดกับModก็ตาม
หรือคิดมากไป คิดซ้อนคิดไปอีก ทั้งๆที่ไม่มีอะไร
Invertความคิดตัวเองมากไปป่าวไม่รู้ ไอ้นี่น่าจะเป็นนัยยะ หรือไอ้นี่น่าจะไม่เป็น ทั้งๆที่มองอีกทีก็เป็นสิ่งเดียวกัน

กลัวหลงประเด็น และไปยึดติดใส่ใจเฉพาะตัวละครนักลงทุนที่พูดเรื่องมีสาระเท่านั้นจัง
คงต้องRepeat

แต่พอได้ประเด็นครับ
หุ้นมันอยู่รอบๆตัวเราเสมอ
ภาพประจำตัวสมาชิก
กล้วยไม้ขาว
Verified User
โพสต์: 1074
ผู้ติดตาม: 1

Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity

โพสต์ที่ 37

โพสต์

humdrum เขียน:คุณกล้วยไม้เข้าใจมากว่าผมอีก
อย่างที่คุณกล้วยบอกไว้ เรื่องหนังสือที่คุณไฮถามก็อาจไม่จำเป็นแล้ว
มีลมหายใจเข้า ก็มีลมหายใจออก
ความสุขมีรากเหง้ามากจากความทุกข์
ถามท่านกล้วยไม้ไปก่อนนะครับ
ขอบคุณที่ถามครับ ขอบคุณทุกท่านครับ
ขอบคุณท่าน murdur ที่เป็นคนตั้งกระทู้
อะจ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก พี่โหน่งคร้าบ ผมจะเข้าใจมากกว่าพี่ได้ไงคร้าบ
ผมแค่สรุปหลักการแบบกว้างๆ ตามที่ผมเข้าใจ
เพื่อบางคนอ่านรายละเอียดเยอะๆแล้ว จะนึกภาพรวมไม่ออกเท่านั้นเองครับ
เรื่องรายละเอียดพี่โหน่งรู้ลึกกว่าผมอยู่แล้วววววว :oops:
hmunoi
Verified User
โพสต์: 82
ผู้ติดตาม: 0

Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity

โพสต์ที่ 38

โพสต์

ขอบคุณท่านปุจฉา และท่านวิสัชนา ด้วยครับ
เป็นกระทู้ที่ได้ความรู้มากครับ
Smile Now. Cry Later.
peedcheee
Verified User
โพสต์: 78
ผู้ติดตาม: 0

Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity

โพสต์ที่ 39

โพสต์

อ่านแล้ววคิดตามไปด้วย สนุกดีครับ
ขอบคุณผู้รู้ที่แลกเปลี่ยนกันในกระทู้นี้ครับ :B
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity

โพสต์ที่ 40

โพสต์

Highway_Star เขียน:ขอสอบถามท่านพี่ humdrum หน่อยครับ ว่ามีหนังสือเกี่ยวกับ Soros เล่มไหนบ้างที่น่าสนใจ หรือแสดงแนวคิดของเขาแบบละเอียดๆ ได้บ้าง เพราะผมซื้อ The Soros lecture มาอ่านแล้ว รู้สึกไม่ถูกจริต ถึงกับทำใจอ่านต่อไม่ได้ แกมผิดหวังเล็กๆ เลยยังอ่านไม่จบมาจนปัจจุับัน ทั้งๆ ที่หนังสือมันเล่มเล็กมาก
ตอบคุณ Highway ครับ

ไม่ทราบว่า หน้าไหนไม่เข้าใจ หรือ ประโยคไหนไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร ลองเอาประโยคหรือเนื้อหามาถามผมดู ผมอาจตอบได้ หรือ บางทีผมอาจไม่รู้อะไรเลย หรือ บางทีท่านอาจมีมุมมองที่ผมไม่เคยเข้าใจมาก่อน ผมก็ไม่รู้อีกมากมายจริง ๆ ครับ อย่างที่แรบไบโซรอสบอกว่า I’am always wrong, and I try to correct my mistakes. ผมก็ได้ทบทวนกรอบการรับรู้ของตัวเองด้วย ลองดูครับ ท่านไหนมี Lecture ไม่เข้าใจลองมาถามดูครับ ดีกว่าให้ฝุ่นจับปล่าวๆ ถ้าผมว่างวันไหน จะเข้ามาตอบให้นะครับ อย่างไร ก็ต้องชื่นชมคนแปลว่าแปลได้ดีมาก แม้คนแปลไม่คุ้นกับเนื้อหามาก่อน แต่แปลได้ขนาดนี้ถือว่าสุดยอดแล้วครับ

สำหรับหนังสือ ผมคิดก่อนนะครับ............

ผมไม่รู้จริง ๆ เพราะมันอ่านมาเยอะจริงๆ เล่มแรกที่ผมอ่านเป้น Alchemy of Finance เดียวนี้ Webster University เอาไปเป็น Textbook แจมไปอีกเล่มด้วย แต่ไมได้เป็นเล่มหลักนะครับ ผมไม่รู้จริงๆ ครับ หนังสือเขาอ่านยากทุกเล่มเลย ผมรู้ละ ขอยืมที่ท่านพุทธทาสพูดไว้นะครับ สำหรับคนที่ไม่เข้าใจธรรมะ ต้องวิ่งหาธรรมะ สำหรับคนที่มีธรรมะ ธรรมะจะวิ่งหาเขาเอง

ตอนนี้อ่านหนังสืออะไร หรือ ทำอะไร มันก็เป้นเรื่อง reflexivity ไปหมด ผมคงติงต้องไปแว ต้องขอโทษจริงๆ นะครับ ถ้าถามผมหนังสือเล่มไหน ผมคงบอกว่า อ่านตัวเองละครับ ดีที่สุด ทำอะไรแล้วไม่ถูกใจ เกิดอารมณ์ขึ้นมา ก็จดเอาไว้ มองตัวเอง จากที่เราขอบสังเกตคนอื่น ก็กลายเป้นเราถูกสังเกตซะเอง ตามนั้นครับ ทางลัดแล้ว ลองไม่ลองเท่านั้นเอง

ถ้ายังละตัวเองยาก ก้ต้องใช้อีกทาง ง่ายกว่า แต่ต้องอ้อมโลกเหมือนที่ผมเคยทำมาก่อนครับ

มีสองเหตุผลที่ทำให้หนังสือเขาอ่านยากครับ....

ข้อแรก มันอ่านยากเพราะว่ามันเกี่ยวกับ perception หรือ การรับรู้ ของคน ในขณะที่เราอ่านหนังสือ เราก็ใช้ perception ของเราอ่าน แต่สิ่งที่เขาพูด มันไม่ใช่เนื้อหาที่จะใช้ perception ของเราในการทำความเข้าใจได้ เพราะเขากำลังอธิบายกระบวนการว่า perception มันมีขั้นตอนเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะอะไร อคติอะไรที่เป็นปัจจัยในการทำให้เราตัดสินใจอย่างนั้น แล้วเราจะเข้าใจได้อย่างไร ในเมื่อเรากำลังใช้ perception ของเราถอดรหัสความหมาย perception ที่เขากำลังอธิบาย นอกจากว่าเราแยกตัวเองออกมามองตัวเอง เครื่องถอดรหัสมันถอดรหัสตัวเองไม่ได้ มองให้เห็นภาพชัด เหมือนมีดมันตัดอะไรก็ได้ แต่มันไม่มีทางตัดตัวเองได้ ใครคุ้นเคยกับปรัชญาพุทธคงเข้าใจได้ดีครับ เราไม่มีทางมองจิตของตัวเองในปัจจุบันได้ เรามีได้แต่มองจิตของเราในอดีตแล้วเท่านั้น การอ่านหนังสือของโซรอสต้องใช้ skill ที่เหมือนกับทักษะความรู้ที่เราใช้ในการนั่งสมาธิ คนไทยได้เปรียบฝรั่งอย่างมากเพราะเราอยู๋ในประเทศที่ทั้งมีหนังสืออธิบายเรื่องนี้เป็นภาษาไทยอยู่มากทีเดียว ในขณะที่เรื่อง reflexivity นั้นหาศัพท์ภาษาอังกฤษมาอธิบายตัวมันเองยากกว่า หรือ มีศัพท์ไม่พอที่จะอธิบายตัวมันนั่นเองครับ

ข้อสอง เขาเป้นนักปฏิบัติมากกว่าที่จะเป็นนักทฤษฎีครับ เขาไม่ใช่นักวิชาการที่เขียนทฤษฎีบางอย่างออกมาให้คนเข้าใจเหมือน Keynes ได้ พลังแห่งการปฏิบัติของเขาสูงมาก ดูได้จากหลักการที่เขาสอนอย่าง invest first investigate ผมคิดว่าการโยนก้อนหินถามทางเป้น skill ที่ลองปฏิบัติในสนามจริงมากกว่าจะมานั่งอ่านหนังสือแล้วทำความเข้าใจได้ เหมือนการนั่งสมาธิก็เป็นในทางปฏิบัติถึงจะเข้าใจได้ การฝึกสมาธิทำให้ผมเข้าใจ reflexivity อย่างมากมายจริงๆ ครับ เพราะอะไรหรือครับ การฝึกสมาธิสำหรับผม คือ การทรมานตัวเองนั่นเองครับ การทรมานตัวเอง ก็คือ การนั่งมองอารมณ์ตัวเอง หรือ การละตัวตนนั่นเอง ใครไม่เคยนั่งสมาธิ เราต้องฝึกนั่งเป็นชัวโมงสลับเดินจงกรม ฝึกวันละ 14-15 ชัวโมงต่อวัน อดข้าวหลังเที่ยง ตื่นตีสามครึ่ง เฝ้ามองอารมณ์ตัวเองตลอดวัน เรื่องอย่างนี่เป็นเรื่องรู้ได้เฉพาะตนจริง ๆครับ ไปพูดให้ใครฟังก็เข้าใจยาก ถึงเข้าใจ มันก็ไม่แน่หรอก ว่าจะปฏิบัติเหมือนกันได้ไหม ถึงพูดไป เอาไปทำแล้ว มันก็ไม่ได้ดั่งเป็นตามคาดหวัง ด้วยเพราะกฎของ โลกนี้ที่เป็นอนิจจัง ที่แม้แต่โซรอสเองยังย้ำสอนเราในหนังสือของเขา

ในทางปฏิบัติ สิ่งที่เราเห็นได้ชัด คือ เคล็ดลับที่เขาก็บอกเอาไว้หลายครั้ง แต่บอกสั้นมากครับ "ผมผิดตลอด และผมหาทางแก้ไข" นั่นไม่ใช่คำตอบของนักวิชาเลย เขามองหาโอกาสลงทุนตลอด แล้วคิดหา risk management ป้องกัน ผมว่าเขาเก่งเรื่อง risk management มาก เขาผิดตลอด เขาแกล้งโง่ต่างหากครับ เพื่อหาทางพัฒนาตนเอง มองหาความท้าทายใหม่ๆ ตลอด ผมว่าเขาไม่ชอบกำจัดตัวเองอยู๋ในกรอบบางอย่าง ประสบการณ์ตอนสงครามสอนเขาอย่างนั้น ยกตัวอย่างเราเป้นอย่างนี้หรือไม่ครับ

1. ไม่ลงทุน หรือ ไม่ทำอะไร ที่เราไ.ม่รู้
2. ............................ ที่คลุมเครือ
3. ..............................ที่ไร้ประสบการณ์
4. .............................. ที่อาจล้มเหลว
5. ........................... ที่คิดว่าไม่คุ้ม
6. ............................. ที่ยึดเยื้อน่าเบื่อ
7. ............................ที่ไม่ได้หน้า
8. ............................ ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน
9 ............................... ที่เราไม่ชอบ

ส่วนใหญ่เห็นอย่างนั้นแล้ว ไม่เข้าไปลงทุน แต่อาจารย์โซรอสเข้าไปทุกสถานการณ์ โอกาสเขามากกว่าคนอื่น แต่ประเด็นที่สำคัญไมได้อยู๋ตรงนั้น มันอยู๋ที่ Risk Management ที่เขาหาทางป้องกันยังมากกว่าคนอื่นแบบคูณสองอีกด้วย ถ้าเขาผิด เขาได้ประสบการณ์แบบคูณสองเลย แบบไหนผิด แบบไหนถูก แบบไหนที่ควรทำ แบบไหนที่ไม่ควรทำ ประสบการณ์ของเขาทบต้น ไม่เหมือนของเราที่เป็นเส้นตรง แต่ประสบการณ์ของโซรอสเป็นวงกลม เพราะเขามองทุกอย่างเป็นระบบที่ทุกอย่างในโลกล้วนเชื่อมต่อกันเหมือนลัทธิเต๋า ดั่งเช่น การขาดทุนเป็นรากเหง้าของกำไร

การลงทุนน้อย ๆ หลัก inverst นั้น อาจไม่เหมาะกับทุกคนที่การผิดนั้นเป็นเรื่องที่ทรมานจิตใจอย่างมาก แต่มันก็สอนเราถึงสองทางนะครับ แบบไหนที่ทำแล้วได้กำไร กับ แบบไหนที่ทำแล้วขาด นั้นเรียนรู้ได้เร็วมากกว่าคนอื่นสองเท่าเสมอ หลัก Invest first สอนให้เรา ละตัวกรู ทุกอย่างที่เราคิดเกิดจากกรอบการรับรู้ของเราทั้งนั้น ซึ่งเขาบอกว่า กรอบการรับรู้ของเขาผิดตลอด แล้วเข้าไปลุยดู ถ้าผิดก็ออกมา ถ้าถูกเขาเดินหน้าเต็มที่ ตามทฎษฎี มันง่ายอย่างนั้นจริงๆ ครับ เขาบอกให้ละตัวกรู แต่มันยากในทางปฏิบัติเท่านั้นเองครับ

สวัสดีครับ.....ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรงครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
murder_doll
Verified User
โพสต์: 1644
ผู้ติดตาม: 1

Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity

โพสต์ที่ 41

โพสต์

ขอบคุณอีกครั้งครับ เชื่อว่ายากจริงการละ คำว่า ตัว กรู เนี่ย :8)
เงินทองเป็นของมายา
ข้าวปลาคือของจริง
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity

โพสต์ที่ 42

โพสต์

ผมเคยจดเอาไว้ เผื่อไว้เป็นประโยชน์นะครับ

ตัวกรูคืออะไร ทำอย่างไรถึงเข้าใจตัวเองได้ละ
ลองจับตัวกรูออกมาเป็นภาษาที่เข้าใจง่ายที่สุด

สิ่งเร้า ====> ตัวกรู ====> การตอบสนอง

ตอนแรกเราเริ่มจากทดลองและวิเคราะห์ตัวเองว่า สิ่งเร้าอะไรจะเร้าตัวกรูขนาดไหน มองดูว่าตัวเรามีการการตอบสนองเป็นพฤติกรรมได้อย่างไร ในการศึกษาพฤติกรรมของตัวเองนั้นในชีวิตประจำวันนั้น ให้เราพยายามวิเคราะห์ตัวเองว่า เราได้รับการเร้าอย่างไรบ้าง แบบไหนบ้าง โดยอะไร ถึงได้แสดงการตอบสนองออกมาเช่นนี้ ฝึกคิดแบบนี้ แล้วจดสิ่งต่างๆ งในสมุดบันทึก พอทำคล่องแล้ว ก็ไปสังเกตุสิ่งเร้าที่ใส่ลงไปใน นักลงทุนในตลาด แล้วดูว่าจะตอบสนองอย่างไร

ผมยกตัวอย่างนะครับ เช่น เรากำลังวิ่งไปที่รถ เป็นพฤติกรรมที่ทำหลังจากได้ยินเสียงฟ้าร้อง ลองเจาะลึกลงไปถึงระดับเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องวิ่ง กลังเปียก ทำไมถึงกลัวเปียก เปียกแล้วเป็นอย่างไร กลัวไม่สบาย ไม่สบายแล้วเป้นอย่างไร แท้จริงเรากลัวอะไรกันแน่ หรือ ตอนเด็กเปียกฝนแล้วโดนแม่ว่าทุกครั้ง เรามีประสบการณ์กับฝนอย่างไร บางคนชอบเปียกฝน เพราะมีประสบการณ์เล่นเตะบอลกลางฝนตอนเด็ก แล้วพอเป้นผู้ใหญ่แล้ว ไม่มีโอกาสทำอย่างนั้น เรากลัวฟ้าร้องเพราะว่าเราเคยได้ยินว่าคนข้างบ้านถูกฟ้าผ่า

อย่าสับสนระหว่าง พฤติกรรม กับ ประสบการณ์ นะครับ ประสบการณ์นั้นเป้นพฤติกรรมที่มีเรื่องระยะเวลาและสภานการณ์มาเกี่ยวข้องด้วย การจะทำความเข้าใจกับพฤติกรรมของตนเองนั้น เราต้องมีความเข้าใจเรื่องกระบวนการทำงานของประสบการณ์ก่อน ซึ่งก็คือ การรับรู้ละครับ ผมจะอธิบายให้ฟังทีหลังครับ ผมมีข้อแนะนำสำหรับคนที่ไม่เคยฝึกสมาธิมาก่อนนะครับ เคล้ดลับในการมองดูพฤติกรรมตัวเอง รวมถึงการเฝ้ามองด้านความคิดและความรู้สึกของตัวเรานั้น อยู๋ที่ตรง....

ก่อนที่เราจะรู้สึกว่าทำไมเราจึงคิดและรู้สึกหรือมีพฤติกรรมเช่นนั้น เราต้องคิดและรู้สึกหรือกระทำเช่นนั้นเสียก่อน

ไม่ยากใช่ไหมครับ

ยิ่งเราเข้าใจประสบการณ์ของตัวเองมากขึ้นเท่าไร เราก็ยิ่งเข้าใจอธิบายและทำนายพฤติกรรมของของตัวเองได้มากเท่านั้น เราอาจจะขยายประสบการณ์และปรับปรุงพฤติกรรมของเราเอาไปใช้ในการลงทุนในภายหลังได้ ซึ่งการจดบันทึกจิตวิทยาของตนเองในชีวิตประจำวันนั้นก็เป็นการสร้างถนนที่สำคัญอย่างมากที่ต่อไปจะพาเรามุ่งตรงไปสู่เป้าหมายของการเฝ้าดูตัวเองในตัดสินใจในการลงทุนในที่สุดครับ

การรู้การทำงานของระบบประสาทแต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้ช่วยให้เราอธิบายพฤติกรรมทั้งหมดของคนได้

ผมเอาบันทึกผมมาลงให้ดูครับ....

พฤติกรรมทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเราต้องมีสาเหตุบางอย่างแน่ๆ ทำไมเราต้องแสดงการตอบสนองเป็นพฤติกรรมอะไรออกมาอย่างนั้น วันนี้เห็นผู้หญิงใส่กระโปรงสั้นผมรถไฟฟ้า เธอนั่งตรงข้ามเรา เรามองขาของเธอโดยไม่รู้ตัวเลย พอรู้ตัว เลยถามตัวเองว่า มีความต้องการทางเพศไหม เรามีเว้ยเฮ้ย นี่เป็นสิ่งเร้าที่มามากระตุ้นเราในวันนี้ สิ่งเร้าอันอื่นละ บางอย่างที่อาจมากระตุ้นและทำให้เราเกิดแรงจูงใจที่จะแสดงออกในบางอย่าง ซึ่งอาจจะเห็นได้ชัดมาก โดยเราสึกตัวทันทีหรือผู้อื่นอาจสังเกตุอาการของเราได้ง่าย หรือบางทีคนอื่นอาจจะมองเห็นไม่ชัดเจนเท่าใดนัก เหมือนตอนที่เรามองไปผูชายผมยาวคนนั้น เขาก็ไม่รู้สึกตัวว่ากำลังมองขาของเธออยู๋ เขาจ้องนานมากทีเดียว เราทำอย่างนี้เพราะแรงจูงใจอะไร ขาที่ขาว หรือ ว่า กระโปรงที่สั้น หรือว่าเป้าหมายอย่างอื่น เราจะสืบหาสาเหตุต้นตอกับพฤติกรรมตัวเองในวันนี้ได้ยากไหม ปัญหาของการค้นหาสาเหตุของการกระทำของตัวเราเอง ก็อยู่ตรงที่ว่าเราไม่รู้ว่าอะไรเป็นแรงจูงใจให้เราแสดงพฤติกรรมนั้น ๆ

ตรงนั้นละที่เป็นปัญหาละ

หลังจากเราไปอ่านบันทึกอารมณ์ต่างๆ ที่เราได้จดมา และ แบ่งมันออกเป้นหมวดหมู่แล้ว เราพบว่า แรงจูงใจที่มีอิทธิพลกับตัวเรามี 2 แบบ แบบแรก คือ แรงจูงใจที่เป็นสิ่งเร้าที่สามารถทำให้ตัวเราแสดงพฤติกรรมออกมาได้ว่าทันที เช่น เวลาหิวข้าวเราก็เดินไปเปิดตู้เย็น ส่วนอีกประเภทหนึ่งคือแรงจูงใจที่ค่อยๆ เกิดขึ้นทีละน้อยแบบสะสมไปเรื่อยๆ มันเป็นแรงจูงใจที่ไม่ได้ทำให้ตัวเราแสดงพฤติกรรมออกมาทันที แต่ได้เก็บสะสมเอาใว้นานทีเดียว ในบางครั้ง การแสดงพฤติกรรมของเราในครั้งหนึ่ง ๆ นั้น นอกจากจะมีแรงจูงใจทันทีแล้วซึ่งอธิบายได้ง่ายกว่า แต่บางทีพฤติกรรมของเราที่เกิดจากแรงจูงใจสะสมนี่ เป็นการกระทำอะไรที่ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย ซึ่งบางครั้งต้องนั่งถามตัวเองอยู๋นาน ก็อธิบายไมได้เช่นกันว่าทำไมสิ่งเร้าบางอย่างถึงทำให้เราทำอย่างนั้นได้

อย่างเช่น การนอนกอดหมอนข้างนี่ เขาไม่ได้เลย ถ้าไม่มีก็จะนอนไมได้ เพราะอะไรกันนะ ถ้าไปลงทุนแล้ว จะมีสิ่งเร้าอะไรบ้างที่เปรียบเช่นหมอนข้างสำหรับเรา พฤติกรรมที่สะสมกันมานานจนเป็นนิสัยของเราอย่างนี้ ถ้าจะทำการเปลี่ยนแปลงลักษณะนิสัยเหล่านี้ต้องใช้เวลานานแค่ไหน หรือคำตอบคือ ก็เท่ากับระยะเวลาของการสะสมนิสัยนั้น นิสัยบางอย่างของเรานั้น ก่อตัวมายาวนานมาก ก็ย่อมต้องการช่วงระยะแห่งการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นด้วย รู้อย่างนี้แล้ว ต้องถามตัวเองว่า นิสัยการลงทุนของเราอะไรบ้างที่เราไม่ควรสะสมเลยดีกว่า

เอาไปคิดดู อย่าลืมสมุดจดบันทึกอันใหม่ไปด้วย วันก่อนลืมไว้ที่หลังคารถตอนไปออกบูธที่แฟชั่น
ดีนะที่มีเพียนงไม่กี่หน้า ไม่อย่างนั้นคงเสียดายมาก ควจใช้กระดาษจดดีกว่า อะไรก้ได้ ถ้าหายแล้วเราจะได้ไม่เสียหายมาก นั่นถือว่าเป้น risk management อย่างหนึ่งเหมือนกัน
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity

โพสต์ที่ 43

โพสต์

การรับรู้ ประเด็นหลักนะครับของเรื่อง reflexivity
ลองมาดูครับ มันเป้นเครื่องมือในการแปลความหมายในชีวิตของเรา
เรารู้จักมันมากแค่ไหน ถ้ามันเสียแล้ว เราซ่อมมันเองเป็นไหม
เทรดเดอร์ระดับโลกยังต้องมีไปหานักจิตวิทยาการลงทุน
ของเราไม่ต้อง เก่งกว่า นั่งเฝ้ามองตัวเองครับ

การรับรู้คืออะไรกันแน่.....

เวลาเรามองหน้าจอเห้นภาพของราคาต่างๆ เห็นการไล่ซื้อราคา โห ซื้อดีกว่า คนอื่นเขาซื้อกันหมดเลย เมื่อเรามองดูเห็นภาพที่เกิดขึ้นข้างหน้าเรานั้น เราเรียกว่า สัมผัส ครับ แต่ถ้าเราให้ความหมายกับสิ่งที่เราเห็นเมื่อไหร่ละก็ อย่างตัวอย่างเห้นว่า ควรซื้อดีกว่า นั่นเราถึงเรียกว่า เกิดการรับรู้ กับตัวเราแล้วครับ

เวลาเรานั่งเฝ้าหน้าจอ มีสิ่งเร้าจำนวนมากมายรอบตัว เสียงเปิดทีวี คนงานเย็บผ้า เสียงแอร์ มีเสียงแม่ยายบ่นเรื่องน้ำพริกที่ซื้อตอนเช้าไม่อร่อย เสียงข้างบ้านคุยกัน ทำไมเราไม่ได้ยินเสียงอื่นๆเลยนอกจากเสียงคลิกที่เกิดจากการซื้อขายอยู๋ตรงหน้า ตัวเรานั้นเลือกการรับรู้นี่ว่า เรามีความจำกัดของอวัยวะรับสัมผัสของเราที่ไม่อาจรับสิ่งเร้าทุกๆอย่างในเวลาเดียวกันได้ ถึงว่าโซรอสเตื่อนเสมอว่า เขาผิดตลอดเวลา เพราะว่าอย่างนี้นี่เอง

เราไปอ่านสมุดบันทึกย้อนหลัง เวลาเรารับรู้สิ่งรอบตัวที่เกิดขึ้น เราไม่ได้รับรู้อย่างกระจัดกระจาย เลยนี่ว่า ตัวเราพยายามจัดหมวดหมู่การรับรู้ต่างๆ ของเราให้มันมีความสัมพันธ์กัน อย่างวันนั้น เห้คนใส่เสือแดงที่ห้างโลตัส ระยะไกล ๆ แล้วเราคิดว่าเป็นเพื่อนเรา มันเหมือนไอ้มิตรมากเลยนะ ท่เดินนี่ใช่เลย หนวดก็คล้ายมาก แว่นตาอีกละ การรับรู้ของเรามันตีความหมายเป็นหมวดหมู่ไปเลยว่า ไอ้นั่นมันเพื่อนเราที่ชื่มิตรนี่ว่า เราจำผิดพลาดด้วยเพราะการรับรู้ของตัวเองเป้นแบบจัดหมวดหมู๋เอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว คำถามคือ เวลาเราลงทุน การรับรู้ที่ผิดพลาดลักษณะนี้คืออะไรบ้าง เราจะแก้ไขอย่างไรนะ

ถ้าเราเราอ่านประโยคว่า "การลงทุนเน้......เกิดขึ้นในประเทศสห........" เราจะตอบว่าอย่างไร
เรารู้เลยว่าประโยคจริงๆจะต้องเป็นอะไร แต่มันอาจเป้นอย่างอื่นก็ได้
ผมบันทึกวิธีแก้การรับรู้ที่ผิดพลาดอย่างนี้ครับ

Guidlines for better daily reflexivity thinking มีอะไรบ้างนะ

วันนี้ได้อ่านอ่านในคัมภีร์วัชรสูตร คนไทยไม่ค่อยพูดถึงเลย แต่ทางเซนพูดเยอะมาก
ซึ่งเป็นการสนทนาระหว่างพระพุทธเจ้ากับพระสุภูติ ถ้า trader ที่มีความคิดฝังหัวว่าเหตุการณ์ A คือ A จะอ่านไม่ได้เลยครับ ก่อนอื่นต้องบังคับตัวเองให้คิดแบบแรบไบ SOROS ก่อนว่า สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลกนี้เป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น คือ A ไม่ใช่ A เป้นไปได้จริงหรือครับ

ตรงกับในคัมภีร์เลยครับ
การเกิดของ A ประกอบไปด้วย B C D E F…..
A ไม่อาจอยู่ได้โดยลำพังของมันเอง
ถ้าเราตั้งคำถามไป “วิปัสสนา” ไปที่ A อย่างจริงจัง
เราจะเห็นว่า B C D E F และสิ่งอื่นๆ ที่อยู๋ในนั้นด้วยครับ
เมือเราเห็นว่า A ไม่ใช่เป้นแค่ A ก็เท่ากับว่าเราเข้าใจธรรมชาติที่แท้จริงของเหตุการณ์ A เมื่อเราถึงระดับนี้ เราถึงบอกได้ว่า A เป้น A หรือ A ไม่ใช่ A
แต่ก่อนถึงขั้นนี้ A ที่เราเห็นเป็นเพียงภาพหลวงตาของ A เท่านั้น
ถ้า trader เห้น A ได้ลึกซึ้งจนเห้นว่า A ไม่ใช่ A จนยอมรับว่าทุกอย่างที่เห็นอาจไม่ใช่ A เสมอไป

ลองสังเกตภาษาบาลีดู เรียนเลยดีกว่า สอนตัวเองไปเลยนะ หรือว่า ภาษาบาลีฝึกใช้ทักษะจินตนาการมองสถานการณ์ที่คลุมเครือได้อย่างดี พระพุทธเจ้าท่านพูดภาษาอะไรนะ

…. วิปริณามธมฺมํ กลฺลํ นุ ตํ สมนุปสฺสิตุ เอตํ มม เอโสหมสฺมิ เอโส เม อตฺตาติ ?

ไม่จำเป้นค้องมีสระ ยิ่งน้อยเท่าไร ยิ่งมากเท่านั้น หรือว่า ภาษากับลักษณะของคนในชนชาติแยกกันไม่ออก trader เก่งๆ ของโลก ล้วนเป้นคนยิวทั้งนั้น ในภาษาฮิบรูที่ชาวยิวใช้ เขาเขียนไม่มีสระ เป็นการละไว้ด้วยความเข้าใจ เหมือนภาษาบาลีอย่างมาก บังเอิญจริงๆ

เคล็ดลับในการเทรดที่เรากำลังมองหาอยู่นั้นอยู๋ในภาษาและวัฒนธรรมของคนยิวทั้งนั้นเลย

ตัวอย่างที่ 1
กร ฝกบบ คดยอนกลบ วล เขยน มนฝกสมอง ดด ตรยม พรอม น กร ลงทน สำหรบ นว rflxvty ดปน อยงด
เฉลย : การ ฝีกแบบ คิดย้อนกลับ เวลา เขียน มันฝีกสมอง ได้ดี เตรียม พร้อม ใน การ ลงทุน สำหรับ แนว reflexivity ได้เป็น อย่างดี

หลังๆ ผมแก้โดยอ่านบทความของดร.เวศน์ แล้วตัดสระออกหมด เช่น ลองเอางานที่เขียนเก่าๆ ของท่านเอง มาตัดสระ ตัดวรรณยุกต์ออก แล้วอ่านอีกครั้ง มันต้องเดา เวลาอ่าน ความเข้าใจมันไประดับอีกขั้นที่เราไม่เคยเข้าใจ มันสนุกที่ต้องคิดล่วงหน้าว่าคำนี้หมายถึงอะไร ผมรับรองท่านจะเข้าใจในสิ่งต่างๆ ในระดับความสามรถของท่านที่ท่านไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันซ่อนในตัวท่านมานานแล้ว

ท่านจะได้ทักษะเพิ่ม ผมรับประกันได้ ลองจากคำง่ายๆ ไปยาก แล้วฝึก “เขียน” จากขวาไปซ้าย ข้_สังเก_ประเด้นการเขีย_จากขว_ไปซ้า_เป้นแบบทดสอบ ลองไป 3 ชม.ทุกวัน เมื่อเดาปร_โยคถูกคำม_กขึ้น มนจ_กล_ยเป็นทักษ_ไปเอง แล้วท่านเอาไปใช้ในการซื้_หุ้นถูกตัว ถูกจังวะ ถูกเวลา หลายๆ ครั้ง ความมั่นใจมันมาเอง ฝึกเขียนจากขวามาซ้าย เวลาเขียน จะบังคับให้เราต้อง invert คำนั้_ก่อนเราจะเขียน ตัวอย่าง…

ผมกำลังเขียนจากซ้ายไปขวา
ซ้ายไปขวาจากเขียนกำลังผม
…งผม

ลองดูครับ ของอย่างนี้สอนกันไม่ได้ ต้องทำดูเอง
ภาษาไทยพัฒนาตัวอักษรมาให้เขียนจากซ้ายมาขวา บางคำเราต้องปรับหน่อยเท่านั้นเองครับ
เวลาเขียนลงกระดาษ ถ้าไม่คิดแบบ invert ในคำที่เขียน มันทำให้เราต้องเผื่อที่ว่างเอาไว้เสมอ เป้นฝึกการคิดแบบ margin of safety ไปในตัวครับ
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity

โพสต์ที่ 44

โพสต์

สุดท้ายแล้วครับ
แล้วคงได้มีโอกาสมาแจมใหม่ครับ
ผมหวังว่าคงช่วยให้บางท่านได้เริ่มต้นที่จะมองอารมณ์ตัวเองได้ดีขึ้นครับ

ความคาดหวังคืออะไรกันแน่

ความควาดหวังนี้มีอิทธิพลต่อการรับรู้ของเราอย่างมากเลย อย่างน้อยมันมีอิทธิพลขนาดว่าเราจะเลือกการรับรู้สิ่งเร้าอันใหน จำที่อ่านบทความเกี่ยวกับกระทู้ต่างๆ ได้ไหม อันไหน เราไมได้คาดหวังว่าจะช่วยเราได้ในการลงทุน เราไม่เคยเปิดเข้าไปเลย
จริงแฮะ อีกอย่าง ความคาดหวังมันมีอิทธิพลขนาดว่า ทำให้เราตีความหมายของสิ่งเร้าที่เข้ามานั้นไปผิดเพี้ยนไปอย่างไรบ้าง ลองดู อเราไปเอามาจากเนต
ตอนนี้เราเป้นผู้ถูกทดลองอยู่ โอเค ปล่อยสิ่งเร้าเข้ามาเลย

dack sael whare

ตอนแรก เราบอกว่า คำที่เห้นเกี่ยวกับสัตว์ เฮ้..... มันน่าจะเป็น

duck seal whale

ขออีกครั้ง มาดูวันหลัง หลังจากไปอ่านหนังสือเกี่ยวกับการผจญภัยในทะเลของ Robinson Crozo เรากลับเห็นเป็นคำที่เกี่ยวกับการเดินเรือซะอยางนั้น
deck sail wharf

ทั้งๆที่เราได้มองเห็นสิ่งเร้าอันเดียวกัน แต่ตัวเราเองกลับมองออกมาได้แตกต่างกัน ด้วยเพราะความคาดหวังที่แตกต่างกันนั่นเอง ต้องระวังให้ดี ไอ้ตัว คาดหวังนี่ละที่มีในตลาดหุ้น ถ้าไม่ทำความเข้าใจกับมันละก็ ถูกมันหลอกแน่

ตัวเราจะเห็นโลกอย่างไรขึ้นอยู่กับเราใคร่จะได้เห็นมันแบบไหน

เพราะอะไร ความต้องการภายในของเราเอง ความปรารถนาอะไรของเราที่มีอิทธิพลต่อการรับรู้ถ้าสิ่งเร้ามีความสำคัญเท่าๆกันละ ตัวที่จะตัดสินว่าจะทำให้รับรู้ได้ก็คือสิ่งเร้าอันที่จะตอบสนองความต้องการของเรามากว่าหรือไม่ โอเค เราหิว เราตอนนี้เป้นอย่างไรบ้าง สังเกตว่า เรามองหาแต่ของกินนะ หนังสือที่วางข้างขนมเค๊ก เรากลับไม่สนใจเลย

วันนี้สังเกตว่า คนที่เดินไปในร้าน 7- 11 แต่ละคนเหมือนพยายามมองหาของตามที่ตนเองสนใจอยู่แล้ว พฤติกรรมบางอย่างในตอนนั้น เราจะได้เห็นสิ่งที่เราอยากเห็นและสิ่งที่เรามองหาแสวงหามากกว่า คงไม่มีใครคาดหวังว่าจะเห้นปลากัดขายใน 7 -11 นะ ถ้ามันมีจริง คงเรียกความสนใจของตัวเราไม่น้อย แต้ถ้าคาดหวังไว้ ความเข้มข้นของความแปลกใจจะน้อยลงอย่างมาก

ความต้องการนี้ อาจจะเป็นความต้องการทางด้านสรีระหรือทางด้านจิตใจก็ได้ ได้มีการทดลองเรื่องแรงจูงใจพื้นฐานคือความหิว โดยทดลองให้คนอดข้าวเป็นเวลานานๆแล้วฉายภาพคำไปบนฉาก ๒ ชุด คำหนึ่งเกี่ยวข้องกับอาหาร อีกคำหนึ่งไม่เกี่ยวข้อง คนที่หิวจะรับรู้คำที่เกี่ยวข้องกับอาหารได้เร็วกว่าและมากกว่า หรือถ้าเอาภาพที่คลุมเครือให้คนที่กำลังหิวดูแล้วถามว่าเขาเห็นเป็นภาพอะไร คนที่หิวจะรายงานว่าเป็นภาพเกี่ยวกับอาหาร ปรากฏการณ์นี้จะเกิดขึ้นเสมอในชีวิตประจำวัน เมื่อเรายืนมองดูรถเมล์ เราจะมองเห็นว่ารถสายที่วิ่งมาแต่ไกลๆเป็นรถสายที่เราต้องการจะขึ้น คนไข้ที่มานอนโรงพยาบาลก็จะรับรู้ความสามารถของหมอสูงกว่าปกติเพราะเขามีความต้องการที่จะหาย

ระวังความคาดหวังอย่างนี้ในตลาดหุ้นให้ดี ในอีกด้านหนึ่งก็คือบิดเบือนการรับรู้ที่โซรอสพุดเสมอ และที่สำคัญเวลาตีความนั่นเอง หรือว่าไม่จริงละ
เรามองเมียเราสวยที่สุดในโลกเลย
เรามักมองเห็นคนที่เรารักสวยกว่าคนอื่นๆ ที่มองไม่เห็นเสมอ

เวลาลงทุนระวังเรื่องความสวยของหุ้นให้ดีนะครับ

.....................
ขอบคุณพี่มน กับ พี่โจ ที่ให้ชีวิตใหม่
ขอบคุณ Thaivi ที่ให้โอกาสเขียน
ขอบคุณเจ้าของกระทู้ ท่าน murdur
ขอขอบคุณทุกท่านครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
liverBO
Verified User
โพสต์: 18
ผู้ติดตาม: 0

Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity

โพสต์ที่ 45

โพสต์

อ่านแล้วสนุกดี กำลังพยายามทำความเข้าใจอยู่

ขอบคุณค่ะ :D
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity

โพสต์ที่ 46

โพสต์

เรื่องอธิบายออกมาเป็นตัวหนังสือให้คนอื่นเข้าใจ
ผมมีทักษะแย่จริงๆ ครับ ต้องขอโทษด้วยนะครับ
เอาอย่างนีครับ หลักสำคัญที่สุดของโซรอสมี 2 อย่าง
ด้วยความช่วยเหลือจากคนที่พัฒนาเว็บที่คิดค้นวิธีการโพส youtube ได้
ต้องขอบคุณฝ่ายเทคนิคของ thaivi ด้วยนะครับ

อย่างแรก ถ้าย่อ "การเฝ้ามองตัวเอง" ออกมาเป็นภาพเคลื่อนไหวได้นะครับ
เรื่องนี้คงใกล้เคียงมากที่สุด ดูพระเอกเรื่อง Revlve เอาชนะ ตัวกรู ครับ
เรื่องนี้ฝรั่งโวตกันให้เป็นหนังที่เข้าใจยากที่สุด 10 ลำดับแรก
ผมไม่แปลกใจว่าทำไม Hedge Manager จึงต้องแนะนำให้ดูเรื่องนี่กันครับ
การตะหนักรู้ในตนเองนั้นเป็นทักษะที่โซรอสให้ความสำคัญมากที่สุดครับ




อย่างสอง ถ้าย่อเรื่อง "หลักการลงทุนแบบโซรอส" ออกมาเป้นภาพเคลื่อนไหวได้นะครับ
เรื่องนี้ใกล้เคียงมากที่สุดเรื่องหนึ่งครับ
ดูเชอร์อค โฮม ใช้เทคนิค visualization ที่โซรอสอนเรื่องการมองภาพสิ่งต่าง ๆ ก่อนที่จะตัดสินใจ
การมองไปข้างหน้า แล้วหาทางป้องกันเป็นทักษะ risk managment ที่โซรอสให้ความสำคัญมากๆเช่นเดียวกันครับ



ผมไปส่งของละครับ.....โชคดีทุกท่านครับ
pat4310
Verified User
โพสต์: 732
ผู้ติดตาม: 0

Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity

โพสต์ที่ 47

โพสต์

ในความเป็นจริงราคาหุ้นก็ไม่มีตัวกรูอยูแล้ว เคลื่อนไหวไปตามเหตุปัจจัย แต่ที่คิดว่ามีตัวกรูเพราะมีอวิชชามาบังทำให้ไม่เห็นความจริง ไปยึดว่าราคาหุ้นต้องไปตามสั่ง

พระพุทธเจ้าสอนให้เป็นผู้รู้ผู้ดูด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง เห็นความจริงบ่อยๆ เห็นไปเรื่อยๆ จะเกิดปัญญารวบยอดมาได้ ไม่มีตัวเราอยู่ในราคาหุ้นมีแต่กระแสแห่งเหตุปัจจัย :ohno:

เช่น
หุ้น ก. มี P/E=10 เท่า
P=10*E --->กำไรเป็นเหตุปัจจัยของราคาหุ้น

กำไรก็ขึ้นอยู่กับ รายได้ รายจ่าย

รายได้ขึ้นกับ ราคาขายและปริมาณขาย

ราคาขายและปริมาณขาย ขึ้นกับการแข่งขัน คู่แข่ง ต้นทุนการผลิต จำนวนสาขา ฝีมือของเซล กลยุทธของผู้บริหาร ฯลฯ

รายจ่ายก็ขึ้นกับ อัตราดอกเบี้ย ค่าเสื่อมราคา ประสิทธิภาพการบริหารงาน ราคาน้ำมัน อัตราำภาษี เงินใต้โต๊ะ ค่านายหน้า ค่าขนส่ง ค่าบรรจุภัณฑ์ ฯลฯ
ลงทุนหุ้นดี มีสตอรี่ ราคาไม่แพง เดี๋ยวก็รวย
หนังสือเล่มสองผมครับ เจาะหุ้นร้อน สแกนหุ้นเด้ง การแคะหุ้นจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
^^
Verified User
โพสต์: 519
ผู้ติดตาม: 1

Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity

โพสต์ที่ 48

โพสต์

"เรากำลังใช้ perception ของเราถอดรหัสความหมาย perception ที่เขากำลังอธิบาย"

ใช่เลยครับคำนี้ เหมือนเราไม่รู้ตัวว่าจะอธิบายสิ่งที่เกิดกับผมยังไง เมื่ออ่านนิทานคุณHumdrum

คุณHumdrumกลับเห็นชัดและเข้าเป้าประเด็นมาก ที่ผมไม่เข้าใจ

เพราะผมชอบตั้งคำถามว่าจะจริงหรือหลอกให้คิด
นิทานคือการเล่า A คือ A
หรือ A ไม่ใช่ Aนั่นแหละครับ

และไม่อยากไปจับความรู้และยึดเป็นสรณะทันที เพราะไม่งั้นเราอาจไม่รู้จริงแล้วเราพลาดได้

ที่เราคิดว่าถูกมานานอาจไม่ถูกก็ได้
เลยทำให้เป็นคนเข้าใจอะไรยากอยู่พอสมควร

แล้วยิ่งถ้าเราไปถ่ายทอดคนอื่น มันยิ่งเป็นการทำร้ายคนๆนั้น มากกว่าจะช่วยเหลือ
แม้เราจะหวังดีกับเขาก็ตาม

หรือที่รู้ไปทำให้ต่อยอดความรู้ใหม่ผิดหมด

ผมเคยสังเกตเห็นพฤติกรรมที่สะสมมานานเหมือนกัน แต่เป็นของคุณแม่
องุ่นช้ำเล็กน้อย ท่านบอกไม่กิน ผมเลยคิดว่าถ้าไม่กินทำไมไม่ทิ้งตั้งแต่เดี๋ยวนี้
เพราะต่อไปจะช้ำมากกว่านี้ตามธรรมชาติของการทิ้งไว้แน่นอน และมันก็อยู่ในตะกร้าและเสียอยู่ตรงนั้นจริงๆ

ขอบคุณ คุณHumdrumครับสำหรับความรู้

ปล.แวะมาให้ความรู้เรื่องโซรอสกับจิตวิทยาการลงทุนอีกนะครับ
หุ้นมันอยู่รอบๆตัวเราเสมอ
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity

โพสต์ที่ 49

โพสต์

บทความนี้เก่าแล้วครับ
แม่คือพระอรหันต์ในบ้านครับ

....................................

Reflexivity case study : วันแม่

สวัสดีวันแม่ครับ…..

ผมพูดซึ้งไม่เป็น ผมเข้าไปกอดแม่ หอมแม่ แล้วขอโทษในปีที่ผ่านมาว่าผมทำอะไรให้แม่เสียใจบ้าง ผมทำอย่างนี้ทุกปี เรื่องของแม่เป็นความรักที่ละเอียดอ่อนอย่างมาก

ผมมีความพยายามจะทำความเข้าใจกับทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้ามันไม่ตรงกับสิ่งที่ผมคิด
แล้วผมจะคิดไปอีกทางในด้านตรงข้ามทันที ผมจะถามว่า
มันไม่ชอบมาพากลแล้ว มันผิดตรงไหน
การทำเข้าใจกับปัญหา "สิ่งรอบตัว" ต้องได้รับความสนใจ
แต่การทำความเข้าใจกับ ตัวเอง หรือ "กรอบการรับรู้ของตนเอง" เป็นปัญหาที่สำคัญกว่า ที่จำเป็นต้องได้รับความสนใจก่อนสิ่งใด ๆ ทั้งสิ้น
เพราะยิ่งเราตีความหมายในเชิงนามธรรมกับตัวเองมากเท่าไร เราก็จะเอาไปใช้ในการตีความเชิงรุปธรรมกับโลกภายนอกได้ดีมากเท่านั้น

วันแม่วันนี้ ผมอธิษฐานพระเจ้าให้แม่กับลูกทุกคุนมีความเข้าใจที่ดีต่อกัน
การทำความเข้าใจทฤษฎีความเป็นแม่อาจเริ่มต้นที่การรับรู้ของแม่ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร
ในวัยเด็ก แม่ถูกเลี้ยงมาอย่างไร เริ่มด้วยการเข้าใจชีวิตของแม่และสังคมที่แม่โตขึ้นมา

ชีวิตแม่คืออะไร?
เพียงถามแค่นี้ แม่ก็จำเป็นที่มองตัวเองในเชิงผูกพันธ์กับลูก
ปัญหาก็คือแม่มีทัศนะที่ไม่สามารถแยกตัวเองออกจากลูกได้เลย
นั่นเป็นสิ่งที่ค่อนข้างมหัศจรรย์

โดยพื้นฐานแล้ว ทัศนะเกี่ยวกับลูกของแม่คนใดคนหนึ่งอาจเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องและบิดเบือน
ผมจำได้ว่า มีชายคนหนึ่งสั่งฆ่าคน ถูกจับเข้าคุก
ศาลตัดสินประหารชีวิต แต่เมื่อนักข่าวไปถามแม่ของเขา
แม่บอกว่า เป้นไปไมได้ ลุกของเขาเป็นคนดี จะทำอย่างนั้นได้อย่างไร

จุดที่ผมสนใจคือ ความบิดเบือนดังกล่าวจะมีผลต่อสถานการณ์ในอนาคตอย่างไร
หลังจากที่ทำความเข้าใจเรื่องแม่อย่างกว้างๆ คราวนี้ถึงเวลาที่จะพิจารณาตลาดหุ้นบ้าง
ปัญหาคือคนส่วนใหญ่ประเมิณความเป็นไปของราคาหุ้นด้วยตรรกะ
นักลงทุนมีความรู้เกี่ยวกับหุ้นที่ลงทุนเป็นอย่างดี
ราคาหุ้นได้รับการกำหนดมูลค่าอย่างถูกต้อง
ราคาหุ้นยังคงมีเหตุผลเมือ่เทียบกับกับการคิดลดรายได้ในอนาคต
นั่นคือสมมุติฐานที่ทรงพลังอย่างมาก

สมมุติฐานที่เชื่อว่าโลกใบนี้มีเหตุผลอย่างสมบูรณ์แบบ
ราคาจะสะท้อนให้เห้นถึงข้อมูลทั้งหมดในเวลาที่สมควร

ผมไม่ถนัดมองด้านนั้น ผมถัดมองในด้านที่ราคาตั้งอยู๋บนพื้นฐานของความคาดหวัง
เหมือนลูกที่ตั้งอยู่บนความคาดหวังของแม่
ไม่ใช่ตั้งอยู่บนความคาดหวังของตนเอง
ความบิดเบื่อนอยู๋ตรงนั้น และมันจะมีผลอย่างไรเป็นสิ่งที่ต้องพิจรณาเช่นกัน
การหยั่งรู้เรื่องต่างๆ เราตั้งคำถามว่าเหตุการณ์หนึ่งๆ มีอคติมาเกี่ยวข้องเสมอ
และบทบาทของอคติที่ทำให้โลกนี้ไม่สมบูรณืไปเสียทุกอย่างมีอิทธิพลต่อสิ่งใดอย่างไรบ้าง
วันแม่เป็นวันแห่งการพิจรณาอคติเหล่านั้น
อคติของแม่อาจส่งผลกับลูกคนหนึ่งไปตลอดทั้งชีวิตของเขาอย่างไรบ้าง
ความรักในครอบครัวอาจไร้ดุลยภาพมาตั้งนานแล้ว
วันนี้เป็นวันดีที่จะทำความเข้าใจกับกระบวนการที่ไร้ดุลยภาพอย่างนั้น

ความรักแม่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ ความรักแม่เป้นสังคมศาสตร์
ตลาดหุ้นก็ไม่ใช่วิทยาศาสตร์เช่นกัน
หากตลาดเป็นวิทยาศาสตร์ มันไม่ควรมีความผันผวนมากขนาดนั้น
เพราะคนเป้นหัวใจสำคัญทั้งหมดของตลาด
การคิดเรื่องอนาคตของตลาดเป็นสิ่งที่มีอคติและไม่เป็นกลาง
สิ่งที่ความเชื่อทำคือ การเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริง

จำวันเด็กได้ไหมครับ..

อภิสิทธิ์ มาร์ค อภิสิทธิ์ ครูเคยคิดใฝ่ฝัน อย่างมั่นเหมาะ
อยากได้ศิษย์เช่นเธอ เพ้อเฉพาะ เกินจักเสาะสืบหา กลับมาพบ
เธอมีแววแพรวเพริศ บรรเจิดจ้า คมความคิดแกล้วกล้า มาบรรจบ
กับปัญญาเข้มข้น ครันครบ ครูคงพบคนดี ศรีอยุธย์
ชาติต้องการผู้นำ มีอำนาจ ผู้เก่งกาจเกรียงไกร ใสพิสุทธิ์
ผู้ชนะกิเลสร้าย ลายมนุษย์ เพื่อช่วยฉุดชาติพ้น คนคิดร้าย
ครูจะหวังมากไป หรือไม่หนอ เพราะเธอก็ยังเยาว์ เกินเข้าข่าย
ขอเพียงจิตคิดระบุ วางอุบาย เริ่มมั่นหมายมุ่งตรง คงเป็นจริง..

กลอนที่ครูชม ดช.มาร์ค
เด็กชาย มาร์ค ถือคำชมครู เป็นกำลังใจในการดำเนินชีวิต และกลายเป็นสิ่งที่ครูชมในที่สุด
กลอนคือราคาที่ครูหามูลค่าให้ ดช.มาร์ค เพราะเห้น fundamental ของเด้กคนนี้คั้งแต่แรก
แต่บางที….คำกลอนอาจเป็นตัวกำหนดพื้นฐาน fundamental ของ ดช.มาร์ค ในอนาคต
สองสิ่งนี้….มีอยู่ทุกแห่งรอบตัวเรา และมันอยู่ในตลาดหุ้นด้วย
ราคาหุ้นไม่ใช่สิ่งถูกต้องเสมอไป หากเป็นสิ่งที่มีอคติ

ผมคิดว่าวันนี้เรื่องของความรักของแม่ บางทีมีอคติอย่างนั้นเช่นกัน
แต่การบิดเบือนไปได้สองทิศทาง
ถ้าไปในด้านดีก็ดีไป ถ้าไปในด้านไม่ดีมันก็ไม่ดี
คนในครอบครัวไม่เพียงปฎิบัติอย่างมีอคติเท่านั้น แต่อคติของพวกเขายังมีอิทธิพลต่อวิถีทางของ
เด็กคนหนึ่งอีกด้วย ซึ่งอาจก่อให้เกิดความประทับใจที่ผิด ๆว่า
สถานการณ์พัฒนาของลูกเป็นไปอย่างถูกต้อง ซึ่งความจริงต้องมองอีกทีว่า.
มันไม่ใช่ความหวังปัจจุบันที่สอดคล้องกับอนาคต
แต่เหตุการณ์อนาคตอาจถุกกำหนดโดยความคาดหวังของแม่ในปัจจุบันหมดแล้ว

การรับรู้ในครอบครัว บางทีเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง
ลุกฝืนใจตัวเองทำสิ่งที่แม่ชอบโดยที่แม่อาจไม่รู้เลยว่าลุกคิดอย่างไร
การรับรู้ที่ผิดพลาดและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงส่งผลให้ขาดการสอดประสานอย่างถูกต้องตามความเป้นจริง ความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกแบบสองทางนี้คือ…

“Reflexivity”

วันแม่วันนี้…

ผมพูดซึ้งไม่เป็น ผมเข้าไปกอดแม่ หอมแม่ แล้วขอโทษในปีที่ผ่านมาว่าผมทำอะไรให้แม่เสียใจบ้าง ผมทำอย่างนี้ทุกปี เรื่องของแม่เป็นความรักที่ละเอียดอ่อนอย่างมาก
ผมอธิษฐานพระเจ้าให้แม่กับลูกทุกคุนมีความเข้าใจที่ดีต่อกันครับ

สวัสดีครับ….shalom
ภาพประจำตัวสมาชิก
หมักเตา
Verified User
โพสต์: 232
ผู้ติดตาม: 0

Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity

โพสต์ที่ 50

โพสต์

สวัสดีพี่โหน่งครับ ไม่ได้แวะมาคุยกับพี่ซะนาน แต่ยังตามอ่านบทความสม่ำเสมอครับ

เร็วๆนี้ เดินไปสะดุดราคาประมูลภาพเขียนศิลปินดังครับ เลยเอามาฝากให้ดูกันเล่นๆ
http://en.wikipedia.org/wiki/List_of_mo ... _paintings

งานสาดสีอันยุ่งเหยิงของนายแจ็คสัน พอลล็อค รั้งตำแหน่งภาพเขียนราคาประมูลสูงสุดอยู่ที่...... หนึ่งร้อยสี่สิบล้านเหรียญสหรัฐ
เอากราฟ... เอ๊ย... ภาพมาแปะให้ดูด้วยครับ
No. 5, 1948 --- by Jackson Pollock
No. 5, 1948 --- by Jackson Pollock
นี่ถ้าพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ นึกอุตริเอาโมนาลิซ่าออกประมูล คงได้ตะลึงตาค้างกันอีกขนานใหญ่
ดูหลายภาพจากแกลเลอรี่ท้ายเว็บเพจ ก็สวยไม่หยอกทั้งนั้น แต่สงสัยจริงๆ ว่าคนประมูลเค้าเห็นอะไร

ให้พีอีสิบก็ได้เอิร์นนิ่งสิบสี่ล้านเหรียญ อูยยย... ไม่เอาดีกว่า แบบนี้มันต้องให้พีอีเติบโตซักยี่ฉิบ เหลือเอิร์นนิ่งซักเจ็ดล้านเหรียญ ค่อยดูดีมีเหตุผลขี้นมาหน่อยมั๊ย
ลองทำดีซีเอฟประกอบบ้าง ว่าแต่หาไงล่ะเนี่ย คงต้องไปถามคนที่ซื้อไปพิงฝาบ้าน จุดธูปเทียนบูชาเช้าเย็น ว่ามันพ่นกระแสเงินสดอิสระให้เค้าแค่ไหนกัน
หรือจะโมเดลปันผล ก็ไม่รู้อีกว่าปันเงินสดเท่าไหร่ ถ้าปันผลเป็นภาพเขียนตามสมัยนิยมหกต่อหนึ่ง จะรีบไปสะสมให้ครบหกภาพ ไม่งั้นเด๋วได้เศษภาพมาต่อจิ๊กซอว์เล่น
คอสท์รีเพลสเม้นท์ อันนี้ง่ายหน่อย ไปถามศิลปินแถวหน้าพระลานดูคงพอได้ ว่าแต่จะก็อปได้เหมือนเร้อ
พีบีก็ยากอีก ค่าผ้าใบ ค่าแปรง ค่าสี อีกทั้งค่าสุราเสริมสร้างแรงบันดาลใจ แถมไม่รู้ว่าซื้ออุปกรณ์ปีไหน จะได้เอามาคิดบวกเงินเฟ้อเป็นฟิวเจอร์วาลูได้ถูก

สรุปว่าประเมินไม่ออกครับ น่าเศร้าที่ศิลปินส่วนใหญ่ลาโลกไปแล้ว ถ้ายังมีชีวิตอยู่และเผอิญร่ำรวย อาจได้เห็นเหล่าศิลปินออกมากว้านซื้อสะสมภาพเขียนตัวเอง ไม่เกี่ยงราคาและไม่บันยะบันยัง ให้ได้ดูพอเป็นเรฟเฟอเร้นซ์บ้าง

สงสัยอีกว่าโลกนี้จะมีกองทุนดัชนีภาพเขียนรึเปล่า แบบว่าซื้อขายตามอันดับศิลปิน ใครเข้าทำเนียบก็ซื้อผลงาน ใครหลุดทำเนียบก็ขายทิ้ง
ถ้ามีก็คงดีนะครับ เผื่อจะได้มาอุดหนุนห้าสิบหรือร้อยศิลปินดังประเทศสารขัณฑ์บ้าง อาจเจียดเงินกองทุนมาเล็กน้อยซักไม่กี่เปอร์เซ็นต์ เอามาซื้อแบบเหวี่ยงแห ไม่ต้องประเมินมูลค่าอะไรให้วุ่นวายหรอกเนาะ เพราะกำไรหรือขาดทุนก็คงไม่มีนัยยะมากมาย ขออย่างเดียว ช่วยถือให้นานอีกหน่อยนึง ไม่ใช่เวลาได้กำไรพอสมควรแล้ว ก็เล่นเททิ้งหนีออกดื้อๆ

พล่ามมาตั้งนาน ไม่เกี่ยวกับ Reflexivity ตามหัวข้อกระทู้เลย ขออภัยครับที่ทำกระทู้รก
กำลังพยายามทำความเข้าใจอยู่ เลยขอเว้นที่ว่างไว้เป็นมาร์จิ้นออฟเซฟตี้ เผื่อมีใครสนใจจะมาช่วยดันกระทู้และสนทนากันในแบบสภากาแฟครับ

ว่าไปแล้ว โชคดีนะครับ ที่วงการหุ้นไม่มีอะไรเหมือนวงการภาพเขียนแม้สักนิดเดียว
ขอบคุณพี่โหน่งและคุณอี้ที่ช่วยเปิดโลกทัศน์ครับผม
ภาพประจำตัวสมาชิก
densin
Verified User
โพสต์: 1073
ผู้ติดตาม: 0

Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity

โพสต์ที่ 51

โพสต์

หมักเตา เขียน: สงสัยอีกว่าโลกนี้จะมีกองทุนดัชนีภาพเขียนรึเปล่า แบบว่าซื้อขายตามอันดับศิลปิน ใครเข้าทำเนียบก็ซื้อผลงาน ใครหลุดทำเนียบก็ขายทิ้ง
ถ้ามีก็คงดีนะครับ เผื่อจะได้มาอุดหนุนห้าสิบหรือร้อยศิลปินดังประเทศสารขัณฑ์บ้าง อาจเจียดเงินกองทุนมาเล็กน้อยซักไม่กี่เปอร์เซ็นต์ เอามาซื้อแบบเหวี่ยงแห ไม่ต้องประเมินมูลค่าอะไรให้วุ่นวายหรอกเนาะ เพราะกำไรหรือขาดทุนก็คงไม่มีนัยยะมากมาย ขออย่างเดียว ช่วยถือให้นานอีกหน่อยนึง ไม่ใช่เวลาได้กำไรพอสมควรแล้ว ก็เล่นเททิ้งหนีออกดื้อๆ
เคยฟังmoney channel ว่าเมืองไทยมีกองทุนลงทุนในสินค้าหรูหรา
ไม่ว่าประมูลรูปภาพมาขายต่อ ซื้อขายของเก่าสะสม เช่นนาฬิกา
บางทีก็ซื้อจากประเทศหนึ่งไปขายประเทศหนึ่ง
ถ้าจำไม่ผิดคือเป็นกองของ asset-plus
VI สายมืด = VI หน้ามืดซื้อตัวฮอทๆอย่าไม่ลืมหูลืมตา
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity

โพสต์ที่ 52

โพสต์

สวัสดีครับท่านหมักเตา
ได้มุมมองแปลกดีครับ
พูดถึง Asset Plus
คิดถึงหนังสือชื่อ Zurich Axioms ที่ ดร. ก้องเกียรติแปลครับ
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity

โพสต์ที่ 53

โพสต์

คุยกันเรื่อง Japan ไหมครับ
เรื่องที่น่าสนใจใน reflexivity มากที่สุด แล้วแต่มุมมองครับ
กระบี่อยู่ที่ใจแล้ว เรื่องไหนก็ดูเกี่ยวข้องไปหมด
ผมสนใจติดตามเรื่อง critical mass มากที่สุด
บันทึกการเหยียบกันตายในเขมร
เหยียบกันตายในพีธีฮัจที่ซาอุ
รวมถึง jasmin revolution ลามต่อไปถึง ลีเบีย ในขณะนี้
ขอแสดงความเสียใจต่อผู้เสียชีวิตทุกคนครับ เรื่องแบบนี้อย่าประมาทครับ
ผมเคยเห็นเหตุการณ์แบบนี้กำลังจะเกิดหลายครั้งที่สถานีรถใต้ดินตรงทางขึ้นศูนย์สิริกิตย์
เวลาที่มีงานใหญ่ๆ และเจ้าหน้าที่ทั้งของศูนยฯ และของรถใต้ดินก็มัวแต่กั้นๆ และกั้น
โดยไม่ดูว่าคนทะยอยมาแค่ไหน ระบายยังไง ต้องมีแผนป้องกัน margin of safety เรื่องนี้ให้ดีด้วยนะครับ
โชคดีว่า ต้นเหตุของ critical mass ไม่เกิดขึ้น
ถ้ามีการให้กันที่ให้คนบางท่านที่มี อภิสิทธิ์ มากกว่า ได้เข้าไปก่อน
อย่างนี้ ก็เตรียมตัวได้ครับ
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity

โพสต์ที่ 54

โพสต์

ผู้เขียนรู้จักเกี่ยวกับ critical mass ครั้งแรกได้อย่างไร?

ตอนเรียนมหาลัย อ่านประวัติศาสตร์การปฎิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองทางการเมืองที่สำคัยของโลก โดยเฉพาะในฝรั่งเศส เศรษศาสตร์ที่มหาลัยบังคับให้เรียนปรัวัติศาสตร์และปรัชญา ประวัติศาสตร์และปรัชญาคือทะเล วิชาเศรษศาสตร์เหมือนปลาที่ว่ายอาศัยอยู๋ แยกออกจากปรัวัติศาสตร์และปรัชญา เศรษศาสตร์ก็กลายเป็นปลาที่ตายเพราะขาดน้ำ ดูเหมือนตอนนั้นเอามาใช้ในชีวิตจริงไม่ได้เลย เป็นวิชาที่ไม่ชอบที่สุด แต่ปัจจุบัน ผู้เขียนกลับเอาความรู้เหล่านั้นใส่ลงไปในการลงทุนทั้งหมด ความรู้เหล่านั้นย้อนกลับมาใหม่หมดเลย
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity

โพสต์ที่ 55

โพสต์

คิดว่าจากฟิสิกส์?

ผมอ่าน Quamtum physics ไม่เข้าใจ อ่านประวัติศาสตร์เข้าใจง่ายกว่า

ประวัติศาสตร์สอนอะไรเกี่ยวกับ critical mass?

เมื่อใดก็ตามที่คนส่วนใหญ่ซึ่งคุณค่าความเป็นคนถูกลดถอนลงไป เมื่อเทียบเทียบกับคนส่วนน้อยทีได้รับการส่งเสริมคุณค่าความเป้นคนให้มาก ขึ้นยิ่งขึ้นไปอีกอย่างเห็นได้ชัด เมื่อนั้นช่องว่างความไม่เท่าเทียม ความหไม่ยุติธรรมขยายวงมากขึ้นมากขึ้น ผลที่เกิดตามมาจึงรุนแรง ความไม่พอใจจนเกิดความครุ่นเครืองเครีนดแค้นของคน ล้วนมีสาเหตุมาจากสภาวะของคนกลุ่มหนึ่งในสังคมที่มีความความมั่งคั่งใน ทรัพย์สินที่มากขึ้น แต่อีกกลุ่มหนึ่งกลับยากจนลง เมื่อรวมกับความกดดันที่เกิดขึ้นภายในจิตใจเข้าไปผสมด้วย จึงไม่น่าแปลกที่ความกดดันลักษณะนี้มักจบลงด้วยการแห่ตามกันของฝูงชน
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity

โพสต์ที่ 56

โพสต์

critcal mass ในการเมืองไทยจะเกิดไหม?
อะไรก็เกิดขึ้นได้ แต่ผมยังไม่เห็นเหตุการณ์อย่างนั้น

ผู้เขียนมองหา critical mass ในตลาดหุ้นได้อย่างไร?

คุณหมายถึงการจูงใจนักลงทุนให้ซื้อหุ้นตาม เมือมีการติดต่อสัมพันกับสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ อย่างหนึ่งที่ต้องเตรียมใจไว้คือเราอาจไมได้ติดต่อกับสิ่งที่มีชีวิตที่มี เหตุผลตลอดเวลา เรากำลังติดต่อสัมพันกับสิ่งมีชีวิตที่มีอารมร์และเต็มเปียมไปด้วยอคติ ต่างๆ สิ่งที่ต้องสนใจคอืการมีอคติเหล่านั้นมีผลต่อเหตุการณ์ที่จะกเดขึ้นอย่างไร บ้าง ถ้าช่องว่างของการรับรู้ขยายออกไปมากจนนักลงทุนตามไม่ทัน critcal mass อาจเกิดขึ้นได้ แต่มันเกิดในใจพวกเขาก่อนเสมอ
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity

โพสต์ที่ 57

โพสต์

ในใจพวกเขา ยังไม่เข้าใจ?

Critical mass เกิดในใจก่อนทั้งนั้น เหมือนการยิ่งปรารถนาการยอมรับจากสังคมมากเท่าไร เรายิ่งกลัวการตำหนืมากเท่านั้น ช่องว่างสองขั้วนี้มีอยู่เสมอในตัวเราทุกคน ความคิดเห็นที่เป็นมติเอกฉันท์คือความหายนะเหมือน critical mass ถ้าคุณชอบความคิดอะไรมากๆ ลองไปถามคนที่เกลียดคุณ เขาจะมองต่างไปจากคุณ เขาจะมีแต่ข้อเสียของคุณ ซึ่งนั่นเปนสิ่งที่ดีและคุณต้องการมันมากที่สุด เมื่อคุณมีความคิดที่ซือ้หุ้นลองคุยกับคนที่มีความขัดแย้งกับคุณ คุณจะได้มุมมองที่คุณคิดไม่ถึงแล้ว critical mass จะไม่เกิดง่ายๆ

แล้วถ้าเกิดหาคนที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกับเราไมได้?
นั่นคือเหตุผลที่คุณต้อง invert ความคิดตัวเอง……
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity

โพสต์ที่ 58

โพสต์

ผมขอแสดงความเสียใจกับทาง Japan ด้วยนะครับ
ผมชื่นชมการรักษาความสมดุลทางอารมณ์ของประชาชน Japanese อย่างมากครับ
ผมงงอย่างมากสำหรับคนที่สนใจเรื่อง critical mass
ที่ผมไม่เห็น critical mass ใน Japan เลย
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity

โพสต์ที่ 59

โพสต์




เรื่อง paycheck อธิบายประโยคที่ท่าน mudley เคยพูดไว้เรื่อง " เรียนรู้ระบบของผู้สร้าง"

"เทรนเนอร์ผมบอกว่า คนเราเนี่ยจะโจมตีแนวคิดของคนอื่นได้แบบมีเหตุมีผลเนี่ย แสดงว่าคนนั้นต้องพยามศึกษาแนวคิดของคนที่ตัวเองมาไม่ชอบแล้วอย่างดี จนกระทั่งพบจุดบกพร่องบางอย่างของระบบนั้นๆ ดังนั้นเวลายูมองโลกเพื่อให้เห็นความเป็นจริงว่าเค้ากำลังทำอะไรอยู่เนี่ย ให้มองด้วยผลจากการกระทำของผู้คน ทำไมคนชนชั้นนายทุนพยามไม่ให้หนังสือเศรษฐศาสตร์ของมาร์กเผยแพร่หล่ะ เค้ากลัวอะไรอยู่ เวลาเรามองคนต้องมองให้ลึก เปรียบตัวอย่าง ศาสนจักรกลัวว่าตนเองจะเสื่อมอำนาจลงก็จับนักวิทยาศาสตร์ช่วงนั้นไปเผา เพราะกลัวว่าผู้คนจะเรียนรู้ความจริงแล้วตัวเองมาสร้างศรัทธาจากความกลัวของผู้คนในยุคนั้นไม่ได้เป็นต้น อำนาจของกลุ่มตัวเองก็ลดน้อยถอยลง เนี่ยหล่ะผู้คนยูจำเอาไว้เลย คนไม่เคยเปลี่ยน ทำอะไรเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองและกลุ่มเสมอ) ดังนั้นเมื่อผมศึกษาหนังสือของคาร์ลมาร์กซ์ผมก็พบว่าทุนนิยมนั้นมีจุดอ่อน โดยเฉพาะการเชื่อมตัวของมูลค่าตัวสินค้า นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ราคาสินค้านั้นแปรเปลี่ยนได้ง่าย และจุดอ่อนเหล่านั้นหลายผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันชั้นแนวหน้าพยามบอกให้เราแก้ไขปรับปรุงอยุ่เสมอ แต่เพราะอะไรกันคนผู้มีอำนาจถึงยังเพิกเฉยกันอยู่ล่ะ ก็เพราะทุกครั้งที่เราเปลี่ยนรูปแบบหรือกฎกติกาขั้วอำนาจก็จะแปรเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน ดังนั้นผู้ที่มีอำนาจจึงพยามรักษาสเถียรภาพของตัวเองไว้ให้นานที่สุด"

หนังเรื่อง Paycheck อธิบายประโยคที่อาจารย์โซรอสพูดไว้นี้ได้ดีครับ

"อนาคตเป็นสิ่งที่ทำนายไม่ได้ ความคิดใด ๆ ที่เกี่ยวกับอนาคตเป็นสิ่งที่มีอคติ ผมไม่ได้หมายความว่าความเชื่อและความจริงมีอยู่อย่างอิสระ ในทางตรงกันข้าม สิ่งที่ผมได้บอกไว้ในทฤษฎีการสะท้อนกลับ คือ สิ่งที่ความเชื่อทำ คือ การเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริง แต่การบิดเบือนสามารถแยกออกในสองทิศทาง ผู้มีส่วนร่วมไม่เพียงปฏิบัติอย่างมีอคติเท่านั้น แต่อคติของพวกเขายังมีอิทธิพลต่อวิถีทางของเหตุการณ์ด้วย ซึ่งอาจก่อให้เกิดความประทับใจว่าพวกเขาสามารถคาดการณ์พัฒนาการในอนาคตได้อย่างถูกต้อง ซึ่งในความจริง ไม่ใช่ความคาดหวังในปัจจุบันที่ไปสอดคล้องกับสิ่งที่คาดหวังในอนาคต แต่เหตุการณ์ในอนาคตถูกกำหนดให้เกิดขึ้นไว้แล้วโดยความคาดหวังในปัจจุบัน"

นี่เป้นเรื่องความเสี่ยงที่เกิดจากการรับรู้ที่บกพร่อง เมื่อไหร่ที่เราคิดว่าระบบการลงทุนหรือหลักความคิดการลงทุนที่เราใช้นั้นได้ผลจนเราสามารถพอร์ตบริหารพอร์ตของเราให้โตไปได้ขนาดนั้น จนเราเชื่อมั่นกลยุทธ์ของตัวเราเต็มที่แล้ว ด้วยกระบวนการนี้เอง การสะท้อนกลับกำลังก่อร่างขึ้นอย่างช้าๆ กลยุทธ์ที่เราเชื่อมั่นกลับจะเป็นตัวทำลายพอร์ตของเราเสียเอง นี่เป้นสาเหตุการจบลงของคนที่มีความเชื่อมั่นหรือยึดติดในสิ่งหนึ่งมากเกินไป ความยึดติดนี้คือสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้กเดกระบวนการสะท้อนกลับ เพราะเราใช้กลยุทธ์การลงทุนที่ทำให้เราประสบความสำเร็จขนาดนั้น เป้นการยากที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เราทำอยู๋ทุกวัน การเปลี่ยนแปลงทำให้เกิดความไม่แน่นอน แต่ความแน่นอนไม่ใช่ประเด็นหลักของเรื่อง reflexivity ความไม่แน่นอนต่างหากที่เป็นประเด็นหลัก เรื่อง reflexivity ถึงไม่ค่อยเป้นที่สนใจนัก ยกเว้นคนที่เป้นนักล่าอนานิคมทางการเงินในตลาดหุ้นที่เขาทราบดีว่า reflexivity เป็นบ่อเกิดของความไม่มีระเบียบในตลาดเงิน

สิ่งนี้คือพื้นฐานที่สำคัญที่คนที่สนใจเรื่อง reflexivity ควรจะฝึกฝนไว้บ้างครับเพื่อจะได้ไม่ตกเป็นผู้ถูกล่านะครับ ประเภทของ reflexivity อยู่ที่ว่าเราจะเอามาประยุกต์ใช้อย่างไร

1.รูปภาพ

2. รูปภาพ

3. รูปภาพ

4. รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
murder_doll
Verified User
โพสต์: 1644
ผู้ติดตาม: 1

Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity

โพสต์ที่ 60

โพสต์

ขอบคุณครับ แต่อยากให้ช่วยขยายความรูปทั้ง4 รูปทีได้ไหมครับ มันยังฉงนนิดหน่อยครับ :oops:
เงินทองเป็นของมายา
ข้าวปลาคือของจริง