ทำไมเงินเฟ้อแล้วหุ้นต้องตก

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
blueplanet
Verified User
โพสต์: 1155
ผู้ติดตาม: 0

Re: ทำไมเงินเฟ้อแล้วหุ้นต้องตก

โพสต์ที่ 61

โพสต์

เงินเเฟ้อมากกว่าประเทศอื่น
export มากขึ้น Import น้อยลง
ผลิตมากขึ้น เพราะ export มากขึ้น และ Import น้อยลง
ความเป็นอยู่แย่ลง
ค่าแรงต่ำลง (เมื่อหักเงินเฟ้อออก)
ผมว่าน่าจะเป็นแบบที่ผมเขียน
Blueplanet
nut776
Verified User
โพสต์: 3350
ผู้ติดตาม: 0

Re: ทำไมเงินเฟ้อแล้วหุ้นต้องตก

โพสต์ที่ 62

โพสต์

Friday, 8 February 2008
0045: Amusement Park
« 0044: สิ่งที่กระตุ้นการใช้อารมณ์ได้มากที่สุด | Main | 0046: Holistic Judgment »



ตลาด หุ้นจะว่าไปแล้วก็เหมือน สวนสนุก สิ่งที่ทุกคนมีเหมือนกันคือเวลาและคูปองที่อยู่ในมือ ที่ต่างกันคือ แล้วแต่แต่ละคนจะเลือกใช้เวลาและคูปองส่วนใหญ่ไปกับเครื่องเล่นอะไรดี บางคนเล่นเครื่องเล่นให้ครบหลายๆ เครื่อง บางคนเลือกเล่นเครื่องเล่นอย่างที่ชอบที่สุดแค่อย่างเดียวซ้ำไปซ้ำมา เครื่องเล่นในตลาดหุ้นนั้นมีให้เลือกอยู่หลายอย่าง

1. ซื้อหุ้นเพื่อรอรับเงินปันผล ข้อดีของวิธีนี้คือ ไม่ต้องใช้ความรู้อะไรเลย แค่เลือกหุ้นที่ถือว่าเป็นชื่อสามัญประจำบ้านของไทย และมีประวัติการจ่ายปันผลที่สม่ำเสมอ ถือกินปันผลไปเรื่อยๆ แต่ต้องระวังอย่าเลือกหุ้นโดยดูแต่อัตราเงินปันผลสูงๆ อย่างเดียว วิธี นี้เหมาะกับคนที่มีเงินทองเหลือกินเหลือใช้แล้ว ให้ผลตอบแทนคาดหวังแค่ 5% ต่อปี ว่าไปแล้วเปรียบได้กับเครื่องเล่น "ม้าหมุน" ในสวนสนุก เพราะไม่เน้นตื่นเต้น

2. นักลงทุนผู้เป็นแบบอย่าง พวกนี้ศึกษาพื้นฐานของกิจการอย่างลึกซึ้ง เมื่อพบธุรกิจที่ยอดเยี่ยม ราคาเหมาะสม ก็เข้าไปถืออย่างจริงๆ จังๆ พร้อมร่วมทุกข์ร่วมสุขกับบริษัทเพราะไม่รู้สึกหวั่นไหวต่อปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ของธุรกิจ คนที่จะลงทุนแบบนี้ได้ต้องเป็นคนที่มีความลึกซึ้งเรื่องการลงทุน มีความสามารถในการจับประเด็นที่สำคัญในการมองธุรกิจแต่ละอย่างเพื่อให้ วิเคราะห์ได้ง่ายขึ้น คนที่ลงทุนแนวนี้นับว่ามีอยู่น้อยที่สุดในตลาด ผลตอบแทนคาดหวังจะเท่ากับอัตราการเติบโตของกำไรในระยะยาวของบริษัทที่ลงทุน บวกส่วนเพิ่มอีกนิดหน่อยจากการซื้อหุ้นนั้นมาได้ในราคาถูก (รวมแล้ว 10-15%) อาจเทียบได้กับ เครื่องเล่นชิงช้าสวรรค์

3. แนวเก็งกำไรผลประกอบการ กลุ่ม นี้คอยจ้องหาหุ้นที่ EPS กำลังจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงๆ (เช่น 100%) หรือหุ้นที่กำลังจะมีข่าวดีมากๆ เมื่อพบจะรีบอัดเงินเข้าไปทันที (บางคนจะเบิกมาร์จิ้นมาอัดเพิ่มด้วย) จากนั้นก็รอลุ้นผลประกอบการ หรือรอให้ราคาหุ้นรับข่าว ก็จะรีบขายทำกำไร เพื่อเอาเงินไปเล่นตัวอื่นต่อ เพื่อเร่งทำรอบ วิธีนี้คาดหวังผลตอบแทน 50-100% ต่อปี แต่คนที่จะประสบความสำเร็จในแนวนี้ได้จะต้องอุทิศชีวิตให้กับการเสาะหาข้อมูลเท่านั้น การเข้าถึงข้อมูลคือปัจจัยความสำเร็จของการลงทุนแนวนี้ การวิเคราะห์เป็นเรื่องรอง ปัจจุบันเริ่มมีคนเล่นหุ้นแนวนี้กันมากขึ้น เรื่อยๆ เพราะกระแสเรื่องอิสรภาพทางการเงินมาแรง คนที่เรียกตัวเองว่า "นักลงทุน" ในประเทศไทยส่วนใหญ่แล้วจะลงทุนด้วยวิธีนี้มากที่สุด เปรียบได้กับเครื่อง เล่นประเภท "ล่องแก่ง"

4. แนวเล่นรอบกับต่างชาติ แนวนี้พยายามทำกำไรจากการขึ้นๆ ลงๆ ของ SET Index เป็นรอบๆ ซึ่งในหนึ่งปีจะมีให้เล่นได้ 4-5 รอบ เน้นซื้อหุ้นบลูชิพเป็นหลัก เพราะเป็นหุ้นที่พวกฝรั่งใช้เล่นรอบ นักลงทุนแนวนี้มักจะติดตามเรื่อง Fund Flow และอาศัยสัญญาณเทคนิคเป็นเครื่องมือหาจังหวะ คนที่จะประสบความสำเร็จในแนวนี้ต้องเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ได้ดี มีวินัยของนักเก็งกำไรที่ดีเยี่ยม ถ้าต้องการเร่งผลตอบแทนอาจใช้มาร์จิ้นหรือ TFEX เข้าช่วย เปรียบได้กับ เครื่องเล่นรถไฟเหาะ

5. เล่นหุ้นปั่น หากำไรจากการขึ้นๆ ลงๆ อย่างรุนแรงของหุ้นตัวเล็กๆ ที่เป็นที่รู้กันว่ามีเจ้า ส่วนใหญ่มักเป็นธุรกิจที่ขาดทุน มีวอร์แรนต์ และมักปรากฏตัวใน Top Gainer/Top Loser List ของทุกปี คาดหวังผลตอบแทน 100-1000% แต่โอกาสขาดทุนสูงมาก ส่วนใหญ่คนที่เล่นแนวนี้จะต้องถือคติว่า แม้ขาดทุนสิบครั้ง แต่ได้หนักๆ ครั้งเดียวก็รวยแล้ว คนที่จะประสบความสำเร็จจากวิธีนี้ต้องเป็นคนที่มีดวง ที่เฮงสุดๆ แต่วิธีที่ง่ายกว่านั้นคือ การผันตัวมาเป็นเจ้ามือเองให้ได้ เพราะเจ้ามือคือผู้จุดพลุสร้างข่าวเชียร์ เองกับมือย่อมควบคุมสถานการณ์ได้ ไม่ต้องพึ่งพาดวง แนวนี้เปรียบได้กับ เครื่องเล่นรถไฟเหาะตีลังกา

ในสวนสนุกแห่งนี้ที่ชื่อว่า ตลาดหุ้น ทุกคนมีอิสระที่จะเลือกเล่นเครื่องเล่นแบบไหนก็ได้ตามความถนัดและเป้าหมายของตัวเอง....



เครดิต คุณสุมาอี้ คับ พอดีไปอ่านเจอในบลอกเขา
อย่างที่บอกคือให้ฟันธง ผมว่ามันขึ้นได้ ลงได้ บอกไม่ได้เพราะสมัยนี้
อะไรมันเกินตำราไปแล้ว จากที่คุณสุมาอี้เขียนแม้ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงแต่อาจจะ
พอได้ไอเีดีย หรือนำไปอธิบาย ปรากฏการณ์ได้ ถ้ากรณีเงินเฟ้อแล้วหุ้นลง
แต่จริงๆเป็นยังไง ผมก็คงไม่รู้หรอก
show me money.
nut776
Verified User
โพสต์: 3350
ผู้ติดตาม: 0

Re: ทำไมเงินเฟ้อแล้วหุ้นต้องตก

โพสต์ที่ 63

โพสต์

กำ ขอโทษคับ ลงผิด อันนี้ของจริง ตะกี๊ก๊อปมาผิด
ประมาณ ว่า ถ้าความสัมพันธ์ของ ของ ดอกเบี้ย อัตตราเงินเฟ้อ และ


ถ้า จะเอาแนวคิดเรื่อง Smart Money มาใช้มองตลาดหุ้นบ้านเรา นักลงทุนกลุ่มที่เป็นพวก SM คงหนีไม่พ้นนักลงทุนต่างประเทศ นักลงทุนต่างประเทศนั้นมีหลายแบบ แบบที่ลงทุนระยะยาวนั้นมีอยู่ไม่น้อย แต่พวกที่เป็น SM คือ นักลงทุนต่างประเทศที่เทรดหุ้นในระยะสั้นๆ เท่านั้น พวกนี้มีอยู่ไม่น้อยเลยที่เป็นพวก Hedge Fund พวกเขาคือผู้ที่กำหนดทิศทางในตลาดหุ้นไทย

ทุกวันนี้ต้องยอมรับความจริงว่า SET Index จะสร้างทิศทางแบบมีนัยสำคัญได้จะอาศัยเงินทุนต่างประเทศเท่านั้น ลำพังนัก ลงทุนสถาบันกับนักลงทุนรายย่อยเองยังไม่มีพลังมากพอที่จะชี้นำตลาดได้ เวลานักลงทุนต่างประเทศไหลเข้ามาซื้อหุ้นไทยทีก็เหมือนมีเงินตกลงมาจากฟาก ฟ้าทำเอานักลงทุนรายย่อยหน้าบานไปตามๆ กัน แต่เวลาเงินไหลออกทีก็ทำเอาบรรยากาศในห้องค้าอึมครึมไปได้เลย

ใน ต่างประเทศมีกองทุนประเภท Hedge Fund อยู่เป็นจำนวนมากและ Hedge Fund แบบหนึ่งที่ได้รับความนิยมก็คือ กองทุน Emerging Market พวกนี้นี่แหละคือพวกที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นแถบเอเชีย พวกนี้ใช้คำว่าตลาดเกิดใหม่เป็นจุดขายเพราะให้ความรู้สึกว่ามีความเสี่ยงสูง (ในความคิดของคนอเมริกันต่อให้เป็นหุ้นบูลชิพแต่ถ้าเป็นตะวันออกไกลก็ถือว่า เสี่ยงสูง) จึงน่าจะให้ผลตอบแทนที่สูงมากได้ (high risk high return) เมื่อโฆษณาไปอย่างนั้นก็ต้องพยายามทำผลตอบแทนในระยะสั้นให้ได้สูงๆ พวกนี้ จึงต้องลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียแบบระยะสั้นไปโดยปริยาย

ตลาด หุ้นบ้านเรานั้นมีขนาดเล็กมากเมื่อเทียบกับเม็ดเงินของกองทุนต่างประเทศ มูลค่าตลาดรวมของหุ้นไทยทั้งตลาดนั้นอยู่ที่ประมาณ 5 ล้านล้านบาทซึ่งเล็กกว่ามูลค่าตลาดของหุ้นของบริษัทไมโครซอฟต์ตัวเดียวที่มี มูลค่าตลาดประมาณ 9 ล้านล้านบาท ($266 bil.) เสียอีก สภาพคล่องของหุ้นจึงเป็นอุปสรรคที่สำคัญสำหรับนักลงทุนต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในบ้านเรา ดังนั้น แค่ กองทุนต่างชาติเหล่านี้ตัดสินใจเพิ่มหรือลดสัดส่วนการลงทุนในตลาดบ้านเรา เพียงแค่นิดๆ หน่อยๆ ก็ส่งผลกระทบกับ SET Index ได้อย่างมีนัยสำคัญ เพราะหุ้นไทยทั้งตลาดใหญ่ยังเล็กกว่าหุ้นในอเมริกาบางตัว

คุณ อาจสงสัยว่าแล้วพวกนี้สนใจปัจจัยพื้นฐานจริงหรือ เพราะดูเหมือนจะเข้าๆ ออกๆ กันแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยขนาดบ้านเราเศรษฐกิจซบเซาขนาดนี้ก็ยังซื้อเอาซื้อ เอาแล้วอย่างนี้จะเรียกว่าเป็นพวก SM ได้อย่างไร? คำตอบก็คือว่า พวกนี้สนใจปัจจัยพื้นฐานที่ไม่เหมือนกับพวกเรา กล่าวคือพวกเราอาจสนใจจีดีพีหรือข่าวสำคัญของหุ้นเป็นตัวๆ เพราะเราลงทุนอยู่แค่ประเทศไทยที่เดียว ในขณะที่นักลงทุนต่างประเทศจะมองการ ลงทุนเป็นประเทศ พวกเขาจะสนใจว่าในชั่วขณะหนึ่งการพักเงินไว้ในประเทศใดจะ ให้ผลตอบแทนในระยะสั้นที่สูงที่สุด (โดยมากจะใช้การเปรียบเทียบส่วนต่างดอกเบี้ยที่แท้จริงของประเทศต่างๆ เป็นหลัก) เมื่อพบโอกาสที่น่าสนใจก็จะรีบเอาเงินเข้าประเทศนั้นโดยที่ไม่ได้คิดจะรอรับ ดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนนั้นจริงๆ พวกเขาเพียงแค่ต้องการให้มีเหตุผลในการลาก หุ้นจะได้มีคนซื้อตามก็พอแล้ว เมื่อราคาเพิ่มสูงขึ้นจนสะท้อน yield ที่ควรจะสูงขึ้นแล้วก็จะเทขายทำกำไรจากส่วนต่างของราคาเลย

นัก ลงทุนต่างชาติเหล่านี้ลงทุนได้แต่เฉพาะหุ้นตัวใหญ่ๆ เท่านั้น (ไม่งั้นตอนขายทิ้งจะออกไม่ได้ เพราะหุ้นไม่มีสภาพคล่อง) ทุกครั้งที่ต้องการเอาเงินเข้าไทยจึงต้องซื้อหุ้น พลังงานและหุ้นแบงค์ทุกทีไปเพราะหุ้นเหล่านี้เท่านั้นที่มีขนาดใหญ่พอที่พวก เขาจะลงทุนได้ แม้บางครั้งหุ้นพลังงานหรือหุ้นแบงก์อาจจะกำลังมีข่าวไม่ดี พวกเขาก็จำเป็นต้องซื้อเพราะไม่มีทางเลือก เราก็เลยเข้าใจผิดกันคิดว่าพวกนี้ลากหุ้นแบบมั่วๆ ไม่สนใจพื้นฐานแต่ที่จริงแล้วไม่ใช่

นอก จากนี้ ตลาดหุ้นบ้านเรายังมีความเชื่อปรำปราอีกอย่างหนึ่งว่า พวกนักลงทุนต่างชาติ มักแอบรวมหัวกันทุบหรือลาก SET Index อยู่เสมอ ที่จริงแล้ว การรวมหัวกันของนักลงทุนจำนวนมากในตลาดหุ้นนั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไป ได้เลยเพราะทุกคนย่อมอยากได้เงินของคนอื่น ทุกคนจึงมี conflict of interest ทำให้ฮั้วกันไม่ได้ ที่จริงแล้ว สาเหตุที่นักลงทุนต่างประเทศมักซื้อหรือขายหุ้นไปในทิศทางเดียวกันบ่อยๆ เป็นเพราะ พวกเขามองเห็นสัญญาญเกี่ยวกับดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน และเงินเฟ้อแบบเดียวกัน จึงทำให้ตัดสินใจคล้ายๆ กัน พวกเราต่างหากที่ไม่ได้สนใจข้อมูลเหล่านั้นเพราะมัวแต่ไปสนใจประเด็นอื่นๆ แทน อันที่จริง ใครที่ต้องการหากินด้วยการเล่นรอบเป็นหลัก ผมว่าน่าจะเปลี่ยนมาสนใจเรื่องแนวโน้มอัตราแลกเปลี่ยน อัตราเงินเฟ้อ และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของประเทศต่างๆ เป็นหลัก เพราะข้อมูลเหล่านี้คือสิ่งที่นักลงทุนต่างประเทศเหล่านี้สนใจจึงเหมาะที่จะ ใช้คาดการณ์พฤติกรรมของนักลงทุนต่างประเทศ ส่วนประเด็นอื่นๆ นั้น ถ้าไม่ใช่เรื่องที่ร้อนแรงมากๆ ในช่วงนั้น ส่วนใหญ่แล้ว นักลงทุนต่างชาติมักไม่ค่อยได้ให้ความสนใจเหมือนอย่างที่พวก เราให้ความสนใจกัน

ตลาดหุ้นที่มี hedge funds เข้ามาลงทุนมากๆ ความผันผวนจะสูงเนื่อง จาก hedge funds ส่วนมากจะใช้ leveraged สูงๆ (กู้เงินมาลงทุนมากๆ) ถ้าลงทุนแล้วขาดทุนจะต้องรีบ cut loss ทันที มิฉะนั้นอาจถึงขั้นล้มละลายได้ถ้าไม่มีเงินจ่ายหนี้ ดังนั้นในช่วงที่ตลาดผันผวนมากกว่าปกติเนื่องจากมีข่าวร้ายเข้ามากระทบตลาด พวก hedge funds จะต้องขายซ้ำเลยยิ่งทำให้ตลาดผันผวนหนักขึ้นไปอีก ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็เมื่อเร็วๆ นี้ที่มีข่าวซับไพรม์ในอเมริกา แต่กลายเป็นว่าตลาดหุ้นเอเชียและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ผันผวนหนักกว่าตลาดหุ้น สหรัฐฯ เพราะตลาดเหล่านี้เป็นที่อยู่ของพวก hedge funds

เห็นอย่างนี้แล้วใครที่อยากเป็นนักลงทุนระยะยาวก็อย่าเพิ่งท้อใจ ไว้มาคุยกันต่อว่านักลงทุนระยะยาวควรทำตัวอย่างไรในตลาดหุ้นที่ตกอยู่ในสภาพแบบนี้ จริงหรือที่เขาบอกว่า ถ้าทุกคนในตลาดเป็นนักเก็งกำไรกันหมดแล้วเราจะต้องเป็นนักเก็งกำไรด้วย
show me money.
kab256
Verified User
โพสต์: 77
ผู้ติดตาม: 0

Re: ทำไมเงินเฟ้อแล้วหุ้นต้องตก

โพสต์ที่ 64

โพสต์

ผมคิดว่าเงินเฟ้อโดยตัวมันเองไม่ได้เป็น +/- ที่ชัดเจนกับตลาดหุ้นครับ
แต่ผลมันจะส่งผ่านที่ที่นโยบายการเงิย

โดยในช่วงที่เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นมักจะมาพร้อมกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ตรงนี้ดอกเบี้ยนโยบายอาจจะนิ่งหรือไม่ก็จะเพิ่งเริ่มปรับขึ้น
ดังนั้นในช่วงแรงเงินเฟ้อจะดีกับหุ้น เพราะดอกเบี้ยที่เพิ่มเป็นการยืนยันว่าเศรษฐกิจฟื้นแล้ว

เมื่อเวลาผ่านไป เศรษฐกิจโตไปขึ้นเรื่อยๆ หากนโยบายการเงินตอบสนองกับอัตราเงินเฟ้อได้ดี ช่วงที่เศรษฐกิจโต+มีเงินเฟ้อเล็กน้อย ก็จะยาวนาน

แต่เงินเฟ้อจะเป็นผลเสียหากเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นและเร่งตัวเรื่อยๆ เป็นการสื่อว่าธนาคารกลางเอาเศรษฐกิจ(เงินเฟ้อ)ไม่อยู่ ผลที่ตามมาคือการขึ้นดอกเบี้ยอย่างรุนแรง
ถึงตรงนี้เงินเฟ้อก็จะส่งผลเสียกับตลาดหุ้นแล้วละครับ
miracle
Verified User
โพสต์: 18364
ผู้ติดตาม: 1

Re: ทำไมเงินเฟ้อแล้วหุ้นต้องตก

โพสต์ที่ 65

โพสต์

ในแง่ของเงินเฟ้ออันนี้
ต้องดูในเรื่องของเศรษฐศาสตร์มหภาค
ในส่่วนของบทบาทของธนาคารกลางที่ควบคุมเงินเฟ้ออย่างไง
ถ้าหากมองในประเทศไทยเป็นหลัก
ธนาคารแห่งประเทศไทยได้กำหนดเป้าหมายคือ เป้าหมายของเงินเฟ้อ

นั้นคือธนาคารแห่งประเทศไทยดูว่าเงินเฟ้อขึ้นก็ควบคุม
ลดลงก็มีมีวิธิีการในการจัดการเหมือนกัน

ถ้าหากดูในภาพของนักการเมือง
ก็ต้องการให้ประชาชนมีงานทำและรายได้มากๆ ซึ่งขัดกับภาพของธนาคารแห่งประเทศไทย
ถ้าเป็นปัญหานี้แล้วมันจะไปด้วยกันอย่างไงล่ะ
:)
:)