ข้อคิดสุดยอดของบัฟเฟตต์/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
- little wing
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 187
- ผู้ติดตาม: 0
ข้อคิดสุดยอดของบัฟเฟตต์/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 1
โลกในมุมมองของ Value Investor 23 เมษายน 54
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
วอเร็น บัฟเฟตต์ ไม่เคยเขียนหนังสือการลงทุน แต่แนวคิดเกี่ยวกับการลงทุนของเขานั้น ส่วนใหญ่น่าจะมาจาก รายงานประจำปีที่เสนอต่อผู้ถือหุ้นบริษัทเบิร์กไชร์ แฮทธาเวย์ ที่เขาเป็นประธานอยู่ และอีกจำนวนไม่น้อยมาจากการพูดหรือแสดงความคิดเห็นในที่ต่างๆ หลังจากนั้นก็มีคนหลายคนที่ศึกษาและรวบรวมความคิดของเขาออกมาเป็นหมวดหมู่เป็นระบบ และกลายเป็นหนังสือแนวทางหรือกลยุทธ์การลงทุน “แบบบัฟเฟตต์” ซึ่งแน่นอน มีหลายเวอร์ชั่น แล้วแต่ว่าใครจะมองอย่างไร อย่างไรก็ตาม ถ้าตัดเรื่องของการเขียนเป็นรูปเล่มที่ต้องมีการพรรณนาเรืองราวต่างๆ ที่ยืดยาวออกไป เราก็พอจะหาแนวคิดที่เป็น “แก่น” จริงๆ ของบัฟเฟตต์ได้จากคำกล่าวหรือข้อคิดสำคัญๆ ของบัฟเฟตต์ที่พูดไว้ในที่ต่างๆ ได้ และต่อไปนี้คือข้อคิดดีๆ ที่เป็น “สุดยอด” ของบัฟเฟตต์
คำกล่าวที่หนึ่ง ก็คือ “สำหรับเรื่องของการลงทุนแล้ว กฎข้อที่หนึ่งก็คือ อย่าขาดทุน และกฎข้อที่สองก็คือ ให้กลับไปดูกฎข้อที่หนึ่ง” นั่นก็คือ สำหรับบัฟเฟตต์แล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการลงทุนก็คือ คุณต้องพยายามอย่าให้ขาดทุน บัฟเฟตต์นั้นไม่เคยพูดถึงว่าเวลาลงทุนเขาคาดว่าจะกำไรเท่าไร กำไรกี่เปอร์เซ็นต์ ซื้อหุ้นแล้วมีโอกาสที่จะหุ้นจะปรับตัวขึ้นไปมากน้อยแค่ไหน พูดง่ายๆ เขาดูความเสี่ยงที่เป็น Down Side หรือขาลง มากกว่าโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนสูงในด้านขาขึ้นหรือ Up Side เหตุผลสำคัญผมคิดว่าน่าจะอยู่ที่การลงทุนของบัฟเฟตต์ที่เน้นการลงทุนถือหุ้นระยะยาวมาก ดังนั้น หุ้นจะขึ้นหรือเปล่าในเดือนหน้าหรือปีหน้าเขาไม่สนใจ เขาสนใจแต่ว่าในระยะยาวแล้ว หุ้นที่เขาซื้อจะไม่ลดลงอย่างถาวรเนื่องจากผลการดำเนินงานแย่ลง
คำกล่าวที่สอง “เป็นเรื่องที่ดีกว่าที่เราจะซื้อธุรกิจที่ดีสุดยอดในราคาปานกลาง แทนที่จะซื้อธุรกิจปานกลางในราคาที่ดีสุดยอด” ความหมายก็คือ บัฟเฟตต์นั้นไม่เน้นซื้อของถูกหรือซื้อได้ในราคาที่ “ดีสุดยอด” เขาคิดว่าธุรกิจที่ดีสุดยอดนั้น ในระยะยาวแล้วมูลค่าของกิจการก็จะเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ ดังนั้น ถ้าเราสามารถซื้อได้ในราคาที่เหมาะสม ไม่แพง ราคาหุ้นก็จะปรับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามผลประกอบการของมัน ยิ่งถือนานก็ยิ่งดี ตรงกันข้าม หุ้นของกิจการปานกลางนั้น ผลประกอบการก็มักจะไม่ดีขึ้นเป็นเรื่องเป็นราว ทำให้มูลค่าของกิจการไม่ใคร่เพิ่มขึ้น จริงอยู่ ในวันแรกเราอาจจะซื้อได้ในราคาที่ถูกมาก และก็มีโอกาสที่ราคาของมันจะปรับเพิ่มขึ้นไปเข้าหามูลค่าที่เหมาะสมหรือเข้าหา Intrinsic Value แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน นอกจากนั้น หลังจากที่มันปรับตัวขึ้นไปครั้งเดียวแล้ว ราคาของมันก็อาจจะนิ่งไม่ไปไหนอยู่นานเพราะกิจการไม่ได้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ดังนั้น ยิ่งถือนาน ผลตอบแทนก็จะลดลง ซึ่งนำไปสู่ คำกล่าวที่สาม
คำกล่าวที่สาม “เวลาเป็นเพื่อนของธุรกิจที่มหัศจรรย์ แต่เป็นศัตรูของธุรกิจพื้นๆ” นั่นก็คือ ถ้าเราถือหุ้นของ “ธุรกิจมหัศจรรย์” หรือธุรกิจที่ดีสุดยอด คุณจะอยากถือไว้นานที่สุด ให้เวลากับการลงทุน เพราะยิ่งเวลาผ่านไป กำไรของบริษัทก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในอัตราที่สูงต่อเนื่อง ตรงกันข้าม ธุรกิจพื้นๆ นั้น ในบางช่วงเช่นช่วงแรกๆ ราคาอาจจะปรับตัวขึ้นด้วยสาเหตุอะไรบางอย่างซึ่งอาจจะรวมถึงการที่มีคนเห็นว่ามันเป็นหุ้นที่ถูกและเข้ามาซื้อทำให้หุ้นปรับตัวขึ้น แต่เมื่อถือหุ้นนานขึ้นเรื่อยๆ แต่กำไรของบริษัทและราคาหุ้นกลับไม่ปรับตัวขึ้น ผลก็คือ เมื่อเวลาผ่านไป ผลตอบแทนต่อปีก็จะลดลงเรื่อยๆ ยิ่งถือนานก็ยิ่งแย่
คำกล่าวที่สี่ “แนวทางของเราก็คือ กำไรจากการไม่มีการเปลี่ยนแปลงแทนที่จะเปลี่ยนแปลง อย่างหมากฝรั่ง Wrigley มันเป็นเรื่องของการไม่เปลี่ยนแปลงที่ดึงดูดใจผม ผมไม่คิดว่ามันจะถูกเปลี่ยนโดยอินเตอร์เน็ต นั่นคือธุรกิจที่ผมชอบ” นั่นก็คือ บัฟเฟตต์ นั้น มองว่าธุรกิจที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปง่ายด้วยปัจจัยอื่นโดยเฉพาะทางด้านของเท็คโนโลยี จะถือว่าเป็นธุรกิจที่สามารถคาดการณ์ผลประกอบการได้ในระยะยาว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญมากสำหรับเขาที่ต้องการลงทุนระยะยาวมากหรือตลอดไป ดังนั้น ถ้าอะไรที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปได้ง่าย เขาก็มักจะหลีกเลี่ยงไม่ลงทุนแม้ว่าการเปลี่ยนแปลงบางทีอาจจะทำให้บริษัทหนึ่งมีผลประกอบการที่ก้าวกระโดดและทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นได้มหาศาลอย่างหุ้นอินเตอร์เน็ตทั้งหลาย อย่างไรก็ตาม กิจการที่เปลี่ยนแปลงได้ง่ายก็มีความเสี่ยงสูงเกินกว่าที่บัฟเฟตต์จะรับได้
คำกล่าวที่ห้า “สิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นกับเราก็คือ บริษัทที่ยิ่งใหญ่ ประสบกับปัญหาชั่วคราว เราต้องการซื้อมันเมื่อมันอยู่บนโต๊ะผ่าตัด” นี่เป็น “โอกาสทอง” ที่บัฟเฟตต์แสวงหาตลอดมา จากอดีตจะเห็นว่าเขาเคยทำเงินมหาศาลอย่างรวดเร็วจากการซื้อหุ้นของกิจการที่ดีสุดยอดแต่ประสบปัญหาชั่วคราวที่สามารถแก้ไขได้ อาทิเช่นหุ้นของอเมริกันเอ็กซเพรส หุ้นโค๊ก และหุ้นอีกหลายตัวในช่วงที่เกิดวิกฤติซับไพร์มในอเมริกา
คำกล่าวที่หก “นานมาแล้ว เซอร์ไอแซ็คนิวตันให้กฎ 3 ข้อของการเคลื่อนที่ของวัตถุซึ่งเป็นผลงานที่เป็นอัจฉริยะ แต่ความสามารถของนิวตันไม่คลุมไปถึงเรื่องการลงทุน เขาขาดทุนมากมายในวิกฤติการณ์ฟองสบู่เซ้าท์ซี เขากล่าวภายหลังว่า ‘ผมสามารถคำนวณการเคลื่อนไหวของดวงดาวได้ แต่ผมไม่สามารถคำนวณความบ้าคลั่งของคน’ ถ้าเขาไม่ถูกทรมานจากการขาดทุนในครั้งนั้นมากเกินไป เขาคงได้ค้นพบกฎข้อที่สี่ของการเคลื่อนไหว นั่นคือ ‘สำหรับนักลงทุนโดยรวม ผลตอบแทนลดลงเมื่อมีการเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้น’ ” ความหมายของคำกล่าวนี้ก็คือ บัฟเฟตต์มองว่า ยิ่งเราซื้อขายหุ้นมากขึ้น เราก็จะต้องเสียต้นทุนค่าคอมมิชชั่นเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับส่วนต่างราคาซื้อราคาขาย และอาจจะเกิดความผิดพลาดในด้านของจังหวะการซื้อขาย ทั้งหมดนั้นทำให้ยิ่งเทรดหุ้นมาก ผลตอบแทนก็ยิ่งลดลง
คำกล่าวสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ บัฟเฟตต์บอกว่า “เหนือสิ่งอื่นใด คุณจะพบว่าใครว่ายน้ำล่อนจ้อนก็ต่อเมื่อกระแสน้ำลดลง” ความหมายก็คือ การที่จะดูว่าใครมีฝีมือในการลงทุนจริงๆ หรือหลักการลงทุนแบบไหนได้ผลในระยะยาวจริงๆ นั้น เราจะต้องดูตอนที่ตลาดหลักทรัพย์ตกต่ำหรือซบเซาลงมากๆ เพราะนั่นคือเวลาที่จะพิสูจน์ว่ากลยุทธ์การลงทุนใช้ได้ผลจริง เพราะในยามที่ตลาดดีหรือช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นโดดเด่นเป็นกระทิงนั้น กลยุทธ์หลายๆ แบบอาจให้ผลดีหรือแม้แต่ดีกว่ากลยุทธ์ที่กูรูระดับโลกใช้กัน แต่ในยามที่ตลาดตกต่ำ กลยุทธ์นั้นอาจจะทำให้ขาดทุนมหาศาลและทำให้ผลตอบแทนโดยรวมระยะยาวกลับแย่ลงหรือไม่ดีอย่างที่คิด
ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงบางส่วนของ “อัจฉริยะ” ของบัฟเฟตต์ ที่ได้ผ่านการทดสอบมาต่อเนื่องยาวนานคิดแล้วน่าจะถึงห้าสิบปีที่เขาลงทุนมา อย่างไรก็ตาม เขาบอกว่า “คนชอบอ้างอิงความคิดของเรา แต่น้อยคนที่จะปฏิบัติตามแนวทางการลงทุนที่เราทำ” และนี่ก็คงเป็นเรื่องธรรมชาติของคน หลักการลงทุนแบบบัฟเฟตต์นั้น มันฝืนความรู้สึกของคนที่มักจะชอบ “ทำอะไรบางอย่าง” การซื้อแล้วถือหุ้นไว้เฉยๆ แบบบัฟเฟตต์นั้น ไม่ใช่เรื่องทำได้ง่าย
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
วอเร็น บัฟเฟตต์ ไม่เคยเขียนหนังสือการลงทุน แต่แนวคิดเกี่ยวกับการลงทุนของเขานั้น ส่วนใหญ่น่าจะมาจาก รายงานประจำปีที่เสนอต่อผู้ถือหุ้นบริษัทเบิร์กไชร์ แฮทธาเวย์ ที่เขาเป็นประธานอยู่ และอีกจำนวนไม่น้อยมาจากการพูดหรือแสดงความคิดเห็นในที่ต่างๆ หลังจากนั้นก็มีคนหลายคนที่ศึกษาและรวบรวมความคิดของเขาออกมาเป็นหมวดหมู่เป็นระบบ และกลายเป็นหนังสือแนวทางหรือกลยุทธ์การลงทุน “แบบบัฟเฟตต์” ซึ่งแน่นอน มีหลายเวอร์ชั่น แล้วแต่ว่าใครจะมองอย่างไร อย่างไรก็ตาม ถ้าตัดเรื่องของการเขียนเป็นรูปเล่มที่ต้องมีการพรรณนาเรืองราวต่างๆ ที่ยืดยาวออกไป เราก็พอจะหาแนวคิดที่เป็น “แก่น” จริงๆ ของบัฟเฟตต์ได้จากคำกล่าวหรือข้อคิดสำคัญๆ ของบัฟเฟตต์ที่พูดไว้ในที่ต่างๆ ได้ และต่อไปนี้คือข้อคิดดีๆ ที่เป็น “สุดยอด” ของบัฟเฟตต์
คำกล่าวที่หนึ่ง ก็คือ “สำหรับเรื่องของการลงทุนแล้ว กฎข้อที่หนึ่งก็คือ อย่าขาดทุน และกฎข้อที่สองก็คือ ให้กลับไปดูกฎข้อที่หนึ่ง” นั่นก็คือ สำหรับบัฟเฟตต์แล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการลงทุนก็คือ คุณต้องพยายามอย่าให้ขาดทุน บัฟเฟตต์นั้นไม่เคยพูดถึงว่าเวลาลงทุนเขาคาดว่าจะกำไรเท่าไร กำไรกี่เปอร์เซ็นต์ ซื้อหุ้นแล้วมีโอกาสที่จะหุ้นจะปรับตัวขึ้นไปมากน้อยแค่ไหน พูดง่ายๆ เขาดูความเสี่ยงที่เป็น Down Side หรือขาลง มากกว่าโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนสูงในด้านขาขึ้นหรือ Up Side เหตุผลสำคัญผมคิดว่าน่าจะอยู่ที่การลงทุนของบัฟเฟตต์ที่เน้นการลงทุนถือหุ้นระยะยาวมาก ดังนั้น หุ้นจะขึ้นหรือเปล่าในเดือนหน้าหรือปีหน้าเขาไม่สนใจ เขาสนใจแต่ว่าในระยะยาวแล้ว หุ้นที่เขาซื้อจะไม่ลดลงอย่างถาวรเนื่องจากผลการดำเนินงานแย่ลง
คำกล่าวที่สอง “เป็นเรื่องที่ดีกว่าที่เราจะซื้อธุรกิจที่ดีสุดยอดในราคาปานกลาง แทนที่จะซื้อธุรกิจปานกลางในราคาที่ดีสุดยอด” ความหมายก็คือ บัฟเฟตต์นั้นไม่เน้นซื้อของถูกหรือซื้อได้ในราคาที่ “ดีสุดยอด” เขาคิดว่าธุรกิจที่ดีสุดยอดนั้น ในระยะยาวแล้วมูลค่าของกิจการก็จะเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ ดังนั้น ถ้าเราสามารถซื้อได้ในราคาที่เหมาะสม ไม่แพง ราคาหุ้นก็จะปรับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามผลประกอบการของมัน ยิ่งถือนานก็ยิ่งดี ตรงกันข้าม หุ้นของกิจการปานกลางนั้น ผลประกอบการก็มักจะไม่ดีขึ้นเป็นเรื่องเป็นราว ทำให้มูลค่าของกิจการไม่ใคร่เพิ่มขึ้น จริงอยู่ ในวันแรกเราอาจจะซื้อได้ในราคาที่ถูกมาก และก็มีโอกาสที่ราคาของมันจะปรับเพิ่มขึ้นไปเข้าหามูลค่าที่เหมาะสมหรือเข้าหา Intrinsic Value แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน นอกจากนั้น หลังจากที่มันปรับตัวขึ้นไปครั้งเดียวแล้ว ราคาของมันก็อาจจะนิ่งไม่ไปไหนอยู่นานเพราะกิจการไม่ได้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ดังนั้น ยิ่งถือนาน ผลตอบแทนก็จะลดลง ซึ่งนำไปสู่ คำกล่าวที่สาม
คำกล่าวที่สาม “เวลาเป็นเพื่อนของธุรกิจที่มหัศจรรย์ แต่เป็นศัตรูของธุรกิจพื้นๆ” นั่นก็คือ ถ้าเราถือหุ้นของ “ธุรกิจมหัศจรรย์” หรือธุรกิจที่ดีสุดยอด คุณจะอยากถือไว้นานที่สุด ให้เวลากับการลงทุน เพราะยิ่งเวลาผ่านไป กำไรของบริษัทก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในอัตราที่สูงต่อเนื่อง ตรงกันข้าม ธุรกิจพื้นๆ นั้น ในบางช่วงเช่นช่วงแรกๆ ราคาอาจจะปรับตัวขึ้นด้วยสาเหตุอะไรบางอย่างซึ่งอาจจะรวมถึงการที่มีคนเห็นว่ามันเป็นหุ้นที่ถูกและเข้ามาซื้อทำให้หุ้นปรับตัวขึ้น แต่เมื่อถือหุ้นนานขึ้นเรื่อยๆ แต่กำไรของบริษัทและราคาหุ้นกลับไม่ปรับตัวขึ้น ผลก็คือ เมื่อเวลาผ่านไป ผลตอบแทนต่อปีก็จะลดลงเรื่อยๆ ยิ่งถือนานก็ยิ่งแย่
คำกล่าวที่สี่ “แนวทางของเราก็คือ กำไรจากการไม่มีการเปลี่ยนแปลงแทนที่จะเปลี่ยนแปลง อย่างหมากฝรั่ง Wrigley มันเป็นเรื่องของการไม่เปลี่ยนแปลงที่ดึงดูดใจผม ผมไม่คิดว่ามันจะถูกเปลี่ยนโดยอินเตอร์เน็ต นั่นคือธุรกิจที่ผมชอบ” นั่นก็คือ บัฟเฟตต์ นั้น มองว่าธุรกิจที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปง่ายด้วยปัจจัยอื่นโดยเฉพาะทางด้านของเท็คโนโลยี จะถือว่าเป็นธุรกิจที่สามารถคาดการณ์ผลประกอบการได้ในระยะยาว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญมากสำหรับเขาที่ต้องการลงทุนระยะยาวมากหรือตลอดไป ดังนั้น ถ้าอะไรที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปได้ง่าย เขาก็มักจะหลีกเลี่ยงไม่ลงทุนแม้ว่าการเปลี่ยนแปลงบางทีอาจจะทำให้บริษัทหนึ่งมีผลประกอบการที่ก้าวกระโดดและทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นได้มหาศาลอย่างหุ้นอินเตอร์เน็ตทั้งหลาย อย่างไรก็ตาม กิจการที่เปลี่ยนแปลงได้ง่ายก็มีความเสี่ยงสูงเกินกว่าที่บัฟเฟตต์จะรับได้
คำกล่าวที่ห้า “สิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นกับเราก็คือ บริษัทที่ยิ่งใหญ่ ประสบกับปัญหาชั่วคราว เราต้องการซื้อมันเมื่อมันอยู่บนโต๊ะผ่าตัด” นี่เป็น “โอกาสทอง” ที่บัฟเฟตต์แสวงหาตลอดมา จากอดีตจะเห็นว่าเขาเคยทำเงินมหาศาลอย่างรวดเร็วจากการซื้อหุ้นของกิจการที่ดีสุดยอดแต่ประสบปัญหาชั่วคราวที่สามารถแก้ไขได้ อาทิเช่นหุ้นของอเมริกันเอ็กซเพรส หุ้นโค๊ก และหุ้นอีกหลายตัวในช่วงที่เกิดวิกฤติซับไพร์มในอเมริกา
คำกล่าวที่หก “นานมาแล้ว เซอร์ไอแซ็คนิวตันให้กฎ 3 ข้อของการเคลื่อนที่ของวัตถุซึ่งเป็นผลงานที่เป็นอัจฉริยะ แต่ความสามารถของนิวตันไม่คลุมไปถึงเรื่องการลงทุน เขาขาดทุนมากมายในวิกฤติการณ์ฟองสบู่เซ้าท์ซี เขากล่าวภายหลังว่า ‘ผมสามารถคำนวณการเคลื่อนไหวของดวงดาวได้ แต่ผมไม่สามารถคำนวณความบ้าคลั่งของคน’ ถ้าเขาไม่ถูกทรมานจากการขาดทุนในครั้งนั้นมากเกินไป เขาคงได้ค้นพบกฎข้อที่สี่ของการเคลื่อนไหว นั่นคือ ‘สำหรับนักลงทุนโดยรวม ผลตอบแทนลดลงเมื่อมีการเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้น’ ” ความหมายของคำกล่าวนี้ก็คือ บัฟเฟตต์มองว่า ยิ่งเราซื้อขายหุ้นมากขึ้น เราก็จะต้องเสียต้นทุนค่าคอมมิชชั่นเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับส่วนต่างราคาซื้อราคาขาย และอาจจะเกิดความผิดพลาดในด้านของจังหวะการซื้อขาย ทั้งหมดนั้นทำให้ยิ่งเทรดหุ้นมาก ผลตอบแทนก็ยิ่งลดลง
คำกล่าวสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ บัฟเฟตต์บอกว่า “เหนือสิ่งอื่นใด คุณจะพบว่าใครว่ายน้ำล่อนจ้อนก็ต่อเมื่อกระแสน้ำลดลง” ความหมายก็คือ การที่จะดูว่าใครมีฝีมือในการลงทุนจริงๆ หรือหลักการลงทุนแบบไหนได้ผลในระยะยาวจริงๆ นั้น เราจะต้องดูตอนที่ตลาดหลักทรัพย์ตกต่ำหรือซบเซาลงมากๆ เพราะนั่นคือเวลาที่จะพิสูจน์ว่ากลยุทธ์การลงทุนใช้ได้ผลจริง เพราะในยามที่ตลาดดีหรือช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นโดดเด่นเป็นกระทิงนั้น กลยุทธ์หลายๆ แบบอาจให้ผลดีหรือแม้แต่ดีกว่ากลยุทธ์ที่กูรูระดับโลกใช้กัน แต่ในยามที่ตลาดตกต่ำ กลยุทธ์นั้นอาจจะทำให้ขาดทุนมหาศาลและทำให้ผลตอบแทนโดยรวมระยะยาวกลับแย่ลงหรือไม่ดีอย่างที่คิด
ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงบางส่วนของ “อัจฉริยะ” ของบัฟเฟตต์ ที่ได้ผ่านการทดสอบมาต่อเนื่องยาวนานคิดแล้วน่าจะถึงห้าสิบปีที่เขาลงทุนมา อย่างไรก็ตาม เขาบอกว่า “คนชอบอ้างอิงความคิดของเรา แต่น้อยคนที่จะปฏิบัติตามแนวทางการลงทุนที่เราทำ” และนี่ก็คงเป็นเรื่องธรรมชาติของคน หลักการลงทุนแบบบัฟเฟตต์นั้น มันฝืนความรู้สึกของคนที่มักจะชอบ “ทำอะไรบางอย่าง” การซื้อแล้วถือหุ้นไว้เฉยๆ แบบบัฟเฟตต์นั้น ไม่ใช่เรื่องทำได้ง่าย
- KGYF
- Verified User
- โพสต์: 399
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ข้อคิดสุดยอดของบัฟเฟตต์/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 3
ขอบคุณมากครับ
" สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ = การให้ธรรมะเป็นทาน ย่อมชนะการให้ทั้งปวง "
" ทุกข์มี เพราะยึด ทุกข์ยืด เพราะอยาก ทุกข์มาก เพราะพลอย ทุกข์น้อย เพราะหยุด ทุกข์หลุด เพราะปล่อย"
" ทุกข์มี เพราะยึด ทุกข์ยืด เพราะอยาก ทุกข์มาก เพราะพลอย ทุกข์น้อย เพราะหยุด ทุกข์หลุด เพราะปล่อย"
-
- Verified User
- โพสต์: 2690
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ข้อคิดสุดยอดของบัฟเฟตต์/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 5
ขอบคุณ..
http://www.marketfolly.com/2009/09/top- ... uotes.html
(1)คำกล่าวที่หนึ่ง"Rule No.1: Never lose money. Rule No.2: Never forget rule No.1"
(2)คำกล่าวที่สอง"It's far better to buy a wonderful company at a fair price than a fair company at a wonderful price."
(3)Time is the friend of the wonderful company, the enemy of the mediocre.
http://www.brainyquote.com/quotes/autho ... ffett.html
(6)“Long ago, Sir Isaac Newton gave us three laws of motion, which were the work of genius. But Sir Isaac’s talents didn’t extend to investing: He lost a bundle in the South Sea Bubble, explaining later, ‘I can calculate the movement of the stars, but not the madness of men.’ If he had not been traumatized by this loss, Sir Isaac might well have gone on to discover the Fourth Law of Motion: For investors as a whole, returns decrease as motion increases.”
Berkshire Hathaway 2005 Chairman’s Letter
http://www.25iq.com/quatations-warren-buffett/
(7)คำกล่าวสุดท้าย“You only find out who is swimming naked when the tide goes out.”
http://www.marketfolly.com/2009/09/top- ... uotes.html
(1)คำกล่าวที่หนึ่ง"Rule No.1: Never lose money. Rule No.2: Never forget rule No.1"
(2)คำกล่าวที่สอง"It's far better to buy a wonderful company at a fair price than a fair company at a wonderful price."
(3)Time is the friend of the wonderful company, the enemy of the mediocre.
http://www.brainyquote.com/quotes/autho ... ffett.html
(6)“Long ago, Sir Isaac Newton gave us three laws of motion, which were the work of genius. But Sir Isaac’s talents didn’t extend to investing: He lost a bundle in the South Sea Bubble, explaining later, ‘I can calculate the movement of the stars, but not the madness of men.’ If he had not been traumatized by this loss, Sir Isaac might well have gone on to discover the Fourth Law of Motion: For investors as a whole, returns decrease as motion increases.”
Berkshire Hathaway 2005 Chairman’s Letter
http://www.25iq.com/quatations-warren-buffett/
(7)คำกล่าวสุดท้าย“You only find out who is swimming naked when the tide goes out.”
-
- Verified User
- โพสต์: 2690
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ข้อคิดสุดยอดของบัฟเฟตต์/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 6
http://investing-school.com/history/52- ... n-buffett/
1. A public-opinion poll is no substitute for thought.
2. Chains of habit are too light to be felt until they are too heavy to be broken.
3. I always knew I was going to be rich. I don’t think I ever doubted it for a minute.
4. I am quite serious when I say that I do not believe there are, on the whole earth besides, so many intensified bores as in these United States. No man can form an adequate idea of the real meaning of the word, without coming here.
5. I buy expensive suits. They just look cheap on me.
6. I don’t have a problem with guilt about money. The way I see it is that my money represents an enormous number of claim checks on society. It’s like I have these little pieces of paper that I can turn into consumption. If I wanted to, I could hire 10,000 people to do nothing but paint my picture every day for the rest of my life. And the GNP would go up. But the utility of the product would be zilch, and I would be keeping those 10,000 people from doing AIDS research, or teaching, or nursing. I don’t do that though. I don’t use very many of those claim checks. There’s nothing material I want very much. And I’m going to give virtually all of those claim checks to charity when my wife and I die.
7. I don’t look to jump over 7-foot bars: I look around for 1-foot bars that I can step over.
8. I never attempt to make money on the stock market. I buy on the assumption that they could close the market the next day and not reopen it for five years.
9. If a business does well, the stock eventually follows.
10. If past history was all there was to the game, the richest people would be librarians.
11. If you’re in the luckiest 1 per cent of humanity, you owe it to the rest of humanity to think about the other 99 per cent.
12. In the business world, the rear view mirror is always clearer than the windshield.
13. Investors making purchases in an overheated market need to recognize that it may often take an extended period for the value of even an outstanding company to catch up with the price they paid.
14. It takes 20 years to build a reputation and five minutes to ruin it. If you think about that, you’ll do things differently.
15. It’s better to hang out with people better than you. Pick out associates whose behavior is better than yours and you’ll drift in that direction.
16. It’s far better to buy a wonderful company at a fair price than a fair company at a wonderful price.
17. I’ve reluctantly discarded the notion of my continuing to manage the portfolio after my death – abandoning my hope to give new meaning to the term ‘thinking outside the box.’
18. Let blockheads read what blockheads wrote.
19. Look at market fluctuations as your friend rather than your enemy; profit from folly rather than participate in it.
20. Long ago, Sir Isaac Newton gave us three laws of motion, which were the work of genius. But Sir Isaac’s talents didn’t extend to investing: He lost a bundle in the South Sea Bubble, explaining later, ‘I can calculate the movement of the stars, but not the madness of men.’ If he had not been traumatized by this loss, Sir Isaac might well have gone on to discover the Fourth Law of Motion: For investors as a whole, returns decrease as motion increases
21. Most people get interested in stocks when everyone else is. The time to get interested is when no one else is. You can’t buy what is popular and do well.
22. Never count on making a good sale. Have the purchase price be so attractive that even a mediocre sale gives good results.
23. Of the billionaires I have known, money just brings out the basic traits in them. If they were jerks before they had money, they are simply jerks with a billion dollars.
24. Only buy something that you’d be perfectly happy to hold if the market shut down for 10 years.
25. Only when the tide goes out do you discover who’s been swimming naked.
26. Our favorite holding period is forever.
27. Price is what you pay. Value is what you get.
28. Risk comes from not knowing what you’re doing.
29. Risk is a part of God’s game, alike for men and nations.
30. Rule No.1: Never lose money. Rule No.2: Never forget rule No.1.
31. Wall Street is the only place that people ride to work in a Rolls Royce to get advice from those who take the subway.
32. The business schools reward difficult complex behavior more than simple behavior, but simple behavior is more effective.
33. The investor of today does not profit from yesterday’s growth.
34. The line separating investment and speculation, which is never bright and clear, becomes blurred still further when most market participants have recently enjoyed triumphs. Nothing sedates rationality like large doses of effortless money. After a heady experience of that kind, normally sensible people drift into behavior akin to that of Cinderella at the ball. They know that overstaying the festivities — that is, continuing to speculate in companies that have gigantic valuations relative to the cash they are likely to generate in the future — will eventually bring on pumpkins and mice. But they nevertheless hate to miss a single minute of what is one helluva party. Therefore, the giddy participants all plan to leave just seconds before midnight. There’s a problem, though: They are dancing in a room in which the clocks have no hands.
35. The only time to buy these is on a day with no “y” in it.
36. The smarter the journalists are, the better off society is. For to a degree, people read the press to inform themselves-and the better the teacher, the better the student body.
37. There are all kinds of businesses that Charlie and I don’t understand, but that doesn’t cause us to stay up at night. It just means we go on to the next one, and that’s what the individual investor should do.
38. There seems to be some perverse human characteristic that likes to make easy things difficult.
39. Time is the friend of the wonderful company, the enemy of the mediocre.
40. Value is what you get.
41. We believe that according the name ‘investors’ to institutions that trade actively is like calling someone who repeatedly engages in one-night stands a ‘romantic.’
42. We don’t get paid for activity, just for being right. As to how long we’ll wait, we’ll wait indefinitely.
43. We enjoy the process far more than the proceeds.
44. We simply attempt to be fearful when others are greedy and to be greedy only when others are fearful.
45. We’ve long felt that the only value of stock forecasters is to make fortune tellers look good. Even now, Charlie and I continue to believe that short-term market forecasts are poison and should be kept locked up in a safe place, away from children and also from grown-ups who behave in the market like children.
46. When a management team with a reputation for brilliance tackles a business with a reputation for bad economics, it is the reputation of the business that remains intact.
47. Should you find yourself in a chronically leaking boat, energy devoted to changing vessels is likely to be more productive than energy devoted to patching leaks.
48. Why not invest your assets in the companies you really like? As Mae West said, “Too much of a good thing can be wonderful”.
49. Wide diversification is only required when investors do not understand what they are doing.
50. You do things when the opportunities come along. I’ve had periods in my life when I’ve had a bundle of ideas come along, and I’ve had long dry spells. If I get an idea next week, I’ll do something. If not, I won’t do a damn thing.
51. You only have to do a very few things right in your life so long as you don’t do too many things wrong.
52. Your premium brand had better be delivering something special, or it’s not going to get the business
-
- Verified User
- โพสต์: 92
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ข้อคิดสุดยอดของบัฟเฟตต์/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 7
ขอลิ้งต้นฉบับหน่อยครับ พอดีผมหาไม่เจอ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ข้อคิดสุดยอดของบัฟเฟตต์/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 16
ขอบคุณมากๆนะครับผม
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
-
- Verified User
- โพสต์: 611
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ข้อคิดสุดยอดของบัฟเฟตต์/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 17
บทความนี้ทำไมมาเร็วจังครับ?
ขนาดเว็ป http://www.bangkokbiznews.com/home/news ... list-1.php ยังไม่อัพเดตเลยหรอ?
แอบสงสัย?
ขนาดเว็ป http://www.bangkokbiznews.com/home/news ... list-1.php ยังไม่อัพเดตเลยหรอ?
แอบสงสัย?
-
- Verified User
- โพสต์: 2236
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ข้อคิดสุดยอดของบัฟเฟตต์/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 23
ชอบข้อสุดท้ายที่สุด โดยเฉพาะช่วงนี้จะเห็นเซียนเพิ่มมาเยอะเหลือเกิน บางคนเทรดหรือลงทุนมาสองปี ได้กำไรก้อคิดว่าตัวเองเป็นเซียน มิหนำซ้ำยังทำให้คนอื่นคล้อยตามเห็นว่าตัวเองเป็นเซียนเป็นเทพทั้งๆที่ยังไม่ได้พิสูจน์ตัวเองเลยในระยะยาว
นักเลงคีย์บอร์ด4.0
- VI Wannabe
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1014
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ข้อคิดสุดยอดของบัฟเฟตต์/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 24
ชอบอันนี้จัง
ส่วนอันนี้เข้ากับสถาณการณ์ปัจจุปันอย่างมาก22. Never count on making a good sale. Have the purchase price be so attractive that even a mediocre sale gives good results.
34. The line separating investment and speculation, which is never bright and clear, becomes blurred still further when most market participants have recently enjoyed triumphs. Nothing sedates rationality like large doses of effortless money. After a heady experience of that kind, normally sensible people drift into behavior akin to that of Cinderella at the ball. They know that overstaying the festivities — that is, continuing to speculate in companies that have gigantic valuations relative to the cash they are likely to generate in the future — will eventually bring on pumpkins and mice. But they nevertheless hate to miss a single minute of what is one helluva party. Therefore, the giddy participants all plan to leave just seconds before midnight. There’s a problem, though: They are dancing in a room in which the clocks have no hands.
"Attempt to be fearful when others are greedy and to be greedy only when others are fearful"
"It's far better to buy a wonderful company at a fair price than a fair company at a wonderful price"
"It's far better to buy a wonderful company at a fair price than a fair company at a wonderful price"
-
- Verified User
- โพสต์: 15
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ข้อคิดสุดยอดของบัฟเฟตต์/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 26
ขอบคุณและคารวะ แด่บทความชั้นยอดครับ
- murder_doll
- Verified User
- โพสต์: 1644
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ข้อคิดสุดยอดของบัฟเฟตต์/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 28
ขอบคุณครับ
เงินทองเป็นของมายา
ข้าวปลาคือของจริง
ข้าวปลาคือของจริง