การเปลี่ยนแปลงทางสังคม/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
- little wing
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 187
- ผู้ติดตาม: 0
การเปลี่ยนแปลงทางสังคม/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 1
โลกในมุมมองของ Value Investor 30 เมษายน 54
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ประเด็นทางสังคมกับการลงทุนนั้นถ้าคิดแบบผิวเผินก็ดูเหมือนว่าจะเกี่ยวข้องกันไม่มาก เพราะสังคมนั้นมักเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้า ๆ จนเราไม่ค่อยรู้สึกว่ามีการเปลี่ยน อย่างไรก็ตาม คนที่ผ่านหนาวผ่านร้อนมามากหรือพูดง่าย ๆ มีอายุมากและตรึกตรองย้อนหลังอย่างพินิจพิจารณาก็จะรู้ได้ว่า สังคมไทยนั้น มีการเปลี่ยนแปลงไปมากจนไม่น่าเชื่อ ผมเองที่มีอายุ “ใกล้เกษียณ” ก็เป็นหนึ่งในนั้น และการเปลี่ยนแปลงนั้น แน่นอน ไม่ใช่เฉพาะในเมืองไทย แต่เป็นไปทั้งโลก ซึ่งประเทศไทยก็เป็นส่วนหนึ่ง ว่าที่จริง ถ้าพูดถึงเรื่องของสังคมแล้ว คำว่า “ไทย” นั้น ผมดูว่ามีความหมายน้อยลงไปมาก ลองไปถามเด็กวัยรุ่นไทยในปัจจุบันว่าการเป็นคนไทยนั้นทำให้เขาแตกต่างจากวัยรุ่นในประเทศอื่นอย่างไร? คำตอบของพวกเขาคงจะเบลอไปหมด บางทีคำตอบที่มากที่สุดอาจจะเป็นว่า “เขาพูดภาษาไทย” นอกเหนือจากนั้นแล้ว เขาก็คิดและทำ “เหมือน ๆ กับคนทั้งโลก” ลองมาดูกันว่ามีอะไรที่เกิดการเปลี่ยนแปลงไปมากนับจากวันที่ผมยังเป็นวัยรุ่นเมื่อเกือบ 40 ปีที่แล้ว
เมื่อสัปดาห์ก่อนในงานอภิเษกสมรสระหว่างเจ้าชาย วิลเลี่ยม ของราชวงศ์อังกฤษกับนางสาว เคท มิดเดิลตัน ซึ่งเป็นสามัญชน ผมได้รับรู้เรื่องราวสองเรื่องที่ผมคิดว่าเป็นไปไม่ได้ในสมัยที่ผมยังเรียนชั้นมัธยมหรือมหาวิทยาลัยนั่นก็คือ เรื่องแรก เคท ไม่ยอมกล่าวคำสาบานว่าจะ “เชื่อฟังคำสั่ง” หรืออยู่ในโอวาทของสามีซึ่งในอนาคตจะเป็นกษัตริย์แห่งอังกฤษซึ่งเป็นราชวงศ์ที่ถือว่ายังยึดมั่นใน “ขนบธรรมเนียมประเพณี” อย่างเคร่งครัด ส่วนเรื่องที่สองที่น่าจะยิ่ง “ช็อค” สำหรับคนรุ่นใกล้ ๆ กับผมก็คือ เคทและเจ้าชายวิลเลี่ยมให้สัมภาษณ์อย่างเปิดเผยว่าทั้งคู่ “อยู่กันมาก่อนแต่งงาน” ทั้งสองเรื่องนี้ ถ้าเป็นสมัยก่อนคงเป็นเรื่องใหญ่ที่จะทำให้เกิดโกลาหลถึงขนาด “พัง” กันได้ แต่ใน พ.ศ. นี้ ดูเหมือนว่าไม่มีใครติดใจอะไรเลย เป็นพฤติกรรมที่ยอมรับกันได้ว่าเป็นเรื่องธรรมดา นั่นคือ ข้อแรก หญิงชายมีความเสมอภาคกัน ดังนั้นหญิงไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังคำสั่งของชาย ข้อสอง ธรรมเนียม “รักนวลสงวนตัว” ของผู้หญิงนั้น หมดไปแล้ว ว่าที่จริง ธรรมเนียมนี้ก็เป็นผลต่อมาจากธรรมเนียมเรื่องความไม่เสมอภาคระหว่างชายกับหญิง เมื่อชายกับหญิงเท่าเทียมกันแล้ว ธรรมเนียมว่าชายกับหญิงไม่ควรมีสัมพันธ์ขนาดอยู่ด้วยกันก่อนแต่งงานก็หมดไป
ผมคิดว่าเดี๋ยวนี้คน “รุ่นใหม่” ของไทยก็มีความคิดแบบเดียวกับเคทและเจ้าชายวิลเลี่ยมแม้ว่า “คนรุ่นเก่า” จำนวนไม่น้อยก็ยัง “รับไม่ได้” ตัวอย่างเล็ก ๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงสงกรานต์ของปีนี้ก็คือ เด็กสาววัยรุ่น 3-4 คน เปลือยกายเต้นโชว์ต่อหน้าผู้คนจำนวนมากที่กำลังเล่นน้ำสงกรานต์กันอยู่ที่ถนนสีลม หลังจากการตีพิมพ์ในหน้าหนังสือพิมพ์ ข่าวนี้ก็กลายเป็น “เรื่องใหญ่” ทาง “ขนบประเพณีและวัฒนธรรมไทย” ดูเหมือนว่าการกระทำของเด็กสาวดังกล่าวนั้นเป็นเรื่องที่เลวร้ายและจะต้องถูกลงโทษทางสังคมอย่างรุนแรง แต่ถ้าถามคน “รุ่นใหม่” ที่ไม่ “เสแสร้ง” ผมเชื่อว่าพวกเขาน่าจะรู้สึก “เฉย ๆ” เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ พวกเขาอาจจะมองว่า มันเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา ว่าที่จริงธรรมชาติของผู้หญิงก็ชอบโชว์อยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นผู้หญิงจะชอบแต่งตัวแต่งหน้ากันหรือ? การแก้ผ้าโชว์ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการโชว์เท่านั้น และลองไปดูที่บราซิลหรือในอีกหลาย ๆ ประเทศ พวกเขาก็แก้ผ้าโชว์กันเป็นเรื่องปกติ เมืองไทยต่างหากที่เป็นปัญหา
ก่อนหน้านี้เพียงไม่ถึงเดือน มีการทำโพลทางอินเตอร์เน็ตของนิตยสารไทม์ถ้าผมจำไม่ผิด ว่าใครคือผู้ที่ทรงอิทธิพลที่สุดของโลก คำตอบที่ออกมานั้นทำให้ผมรู้สึกทึ่งมาก เพราะว่าคนที่ได้อันดับหนึ่งนั้น ไม่ใช่ประธานาธิบดีของอเมริกาหรือจีนอย่างที่ควรจะเป็นถ้าเป็นโพลสมัยที่ผมยังเป็นวัยรุ่นหรือเพียง 10-20 ปีที่แล้ว หรือเป็นบริตนีย์สเปียร์หรือแบรดพิตต์เมื่อ 5- 6 ปีก่อน แต่เป็น เรน นักร้องชาวเกาหลีที่ร้องและเต้นได้โดดเด่นมากที่สุดในช่วงเร็ว ๆ นี้ ใครจะไปคิดว่านักร้องหน้าตา “ตี่ ๆ” จากประเทศเล็ก ๆ ในเอเซียจะกลายเป็น “ไอดอล” ของคนทั้งโลกได้ ในสมัยก่อนนั้น ผมรู้สึกแต่ว่า คนที่จะ “นำ” ในเรื่องของความคิดและวัฒนธรรมระดับโลกได้จะต้องเป็นคนผิวขาวหรือไม่ก็ผิวดำจากประเทศมหาอำนาจเท่านั้น แต่เดี๋ยวนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไป ว่าที่จริงมันคงเปลี่ยนมาได้พักใหญ่แล้ว เห็นได้จากการที่วัยรุ่นไทยสมัยนี้ “บ้าเกาหลี” อะไรที่เป็น “เกาหลี” พวกเขาจะรู้สึกนิยมชมชอบ ผมต่างหากที่ “ตามไม่ทัน” และมันคงไม่ใช่เฉพาะที่เมืองไทย แต่ขยายไปทั่วโลก อุทาหรณ์เรื่องนี้ก็คือ สังคมกำลังเป็น “สังคมโลก” ที่ทุกประเทศมีส่วนกำหนด ไม่ใช่เฉพาะแต่ประเทศมหาอำนาจหรือบางชาติพันธุ์อีกต่อไป และประเทศไทยก็หนีไม่พ้น
เรื่องสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ เรื่องของการ “ปฏิวัติประชาชน” ในกลุ่มประเทศอาหรับและอาฟริกาเหนือในช่วงนี้ นี่คือกลุ่มประเทศที่มีระบอบการปกครองแบบ “เผด็จการ” ที่มีผู้นำ “ปกครอง” ประเทศมายาวนาน การปกครองที่ผ่านมายาวนานนั้นดูเหมือนว่าจะราบรื่นพอสมควรจนทำให้เราคิดว่าประชาชนของประเทศเหล่านี้มีคุณสมบัติพิเศษที่แตกต่างจากคนที่อื่นเนื่องด้วยสาเหตุอะไรก็แล้วแต่ แต่แล้วทันใดนั้นทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไป ประชาชนจำนวนมากลุกฮือขึ้นมาทวงสิทธิและความเสมอภาคและต้องการ “ประชาธิปไตย” และพร้อมต่อสู้แลกด้วยชีวิตจนผู้นำที่อยู่อย่างมั่นคงมานานต้องยอมแพ้และยอมให้มีการปฏิรูปการปกครองที่จะแตกต่างจากระบอบเดิมไปมาก ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้เพราะสื่อต่าง ๆ ทางอินเตอร์เน็ตโดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อสังคมที่ทรงอิทธิพลอย่างเฟซบุคที่สร้างค่านิยมใหม่ ๆ ขึ้นในสังคมที่ “ถูกปิด” ด้วยอำนาจของผู้ปกครอง นอกจากนั้น มันยังช่วยรวบรวมพลังของคนเหล่านั้นให้ลุกขึ้นมาต่อสู้กับผู้เผด็จการได้ ผลกระทบจากเรื่องของการลุกฮือของประชาชนในประเทศตะวันออกกลางนั้น ผมคิดว่ามันเป็นสัญญาณว่า สังคมของคนทั่วโลกนั้น มีแนวโน้มที่จะปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยมากกว่าที่จะเป็นแนวเผด็จการ ซึ่งแตกต่างจากสมัยก่อนที่ผมยังเป็นวัยรุ่นที่โลกยังไม่แน่นอนว่าจะมีแนวโน้มไปทางไหน และเผด็จการก็ยังเป็นทางที่เดินในหลาย ๆ ประเทศ
กล่าวโดยสรุปก็คือ สังคมไทยในวันนี้นั้น เปลี่ยนแปลงไปมากจากอดีต เราเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสังคมโลกอย่างใกล้ชิด และสังคมนั้น เปลี่ยนจากความไม่เท่าเทียมในด้านต่าง ๆ เฉพาะอย่างยิ่งในด้านของเพศและสิทธิทางการเมืองจากที่ไม่เท่าเทียมเป็นเท่าเทียมกันมากขึ้น เช่นเดียวกัน ขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมต่าง ๆ ของเราก็เปลี่ยนแปลงไปตามกระแสของโลกมากขึ้นเรื่อยจนสิ่งที่เราทำแตกต่างจากสังคมโลกนั้น เป็นคล้าย ๆ กับเรื่องของรายละเอียดมากกว่าจะเป็นความแตกต่างโดยพื้นฐาน เช่น งานสงกรานต์นั้นอาจจะเป็นงานรื่นเริง “ทั้งเมือง” คล้าย ๆ งานมาดริการ์ของประเทศอย่างบราซิลมากกว่าจะเป็นเรื่องทางศาสนาหรือประเพณีโบราณ ปัญหานั้น ไม่ใช่อยู่ที่ว่าสังคมจะเปลี่ยนหรือไม่ แต่ปัญหาก็คือ ในโลกที่คน “รุ่นเก่า” ยังมีจำนวนและอิทธิพลในสังคมอยู่มาก ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงจึงไม่“ราบรื่น” อย่างไรก็ตาม ความไม่ราบรื่นส่วนใหญ่ก็มักจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาอะไรนอกจากความหงุดหงิดของคน แต่ในบางครั้ง มันก็สามารถทำให้เกิดแรงกระทบกระทั่งที่รุนแรงจนกลายเป็นปัญหาใหญ่ได้ หน้าที่ของ VI ก็คือ ติดตามและวิเคราะห์แนวโน้มใหญ่ทางสังคม ดูว่าอะไรจะเกิดขึ้นและมันเป็นสิ่งที่คุกคามหรือเป็นโอกาสในการลงทุน
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ประเด็นทางสังคมกับการลงทุนนั้นถ้าคิดแบบผิวเผินก็ดูเหมือนว่าจะเกี่ยวข้องกันไม่มาก เพราะสังคมนั้นมักเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้า ๆ จนเราไม่ค่อยรู้สึกว่ามีการเปลี่ยน อย่างไรก็ตาม คนที่ผ่านหนาวผ่านร้อนมามากหรือพูดง่าย ๆ มีอายุมากและตรึกตรองย้อนหลังอย่างพินิจพิจารณาก็จะรู้ได้ว่า สังคมไทยนั้น มีการเปลี่ยนแปลงไปมากจนไม่น่าเชื่อ ผมเองที่มีอายุ “ใกล้เกษียณ” ก็เป็นหนึ่งในนั้น และการเปลี่ยนแปลงนั้น แน่นอน ไม่ใช่เฉพาะในเมืองไทย แต่เป็นไปทั้งโลก ซึ่งประเทศไทยก็เป็นส่วนหนึ่ง ว่าที่จริง ถ้าพูดถึงเรื่องของสังคมแล้ว คำว่า “ไทย” นั้น ผมดูว่ามีความหมายน้อยลงไปมาก ลองไปถามเด็กวัยรุ่นไทยในปัจจุบันว่าการเป็นคนไทยนั้นทำให้เขาแตกต่างจากวัยรุ่นในประเทศอื่นอย่างไร? คำตอบของพวกเขาคงจะเบลอไปหมด บางทีคำตอบที่มากที่สุดอาจจะเป็นว่า “เขาพูดภาษาไทย” นอกเหนือจากนั้นแล้ว เขาก็คิดและทำ “เหมือน ๆ กับคนทั้งโลก” ลองมาดูกันว่ามีอะไรที่เกิดการเปลี่ยนแปลงไปมากนับจากวันที่ผมยังเป็นวัยรุ่นเมื่อเกือบ 40 ปีที่แล้ว
เมื่อสัปดาห์ก่อนในงานอภิเษกสมรสระหว่างเจ้าชาย วิลเลี่ยม ของราชวงศ์อังกฤษกับนางสาว เคท มิดเดิลตัน ซึ่งเป็นสามัญชน ผมได้รับรู้เรื่องราวสองเรื่องที่ผมคิดว่าเป็นไปไม่ได้ในสมัยที่ผมยังเรียนชั้นมัธยมหรือมหาวิทยาลัยนั่นก็คือ เรื่องแรก เคท ไม่ยอมกล่าวคำสาบานว่าจะ “เชื่อฟังคำสั่ง” หรืออยู่ในโอวาทของสามีซึ่งในอนาคตจะเป็นกษัตริย์แห่งอังกฤษซึ่งเป็นราชวงศ์ที่ถือว่ายังยึดมั่นใน “ขนบธรรมเนียมประเพณี” อย่างเคร่งครัด ส่วนเรื่องที่สองที่น่าจะยิ่ง “ช็อค” สำหรับคนรุ่นใกล้ ๆ กับผมก็คือ เคทและเจ้าชายวิลเลี่ยมให้สัมภาษณ์อย่างเปิดเผยว่าทั้งคู่ “อยู่กันมาก่อนแต่งงาน” ทั้งสองเรื่องนี้ ถ้าเป็นสมัยก่อนคงเป็นเรื่องใหญ่ที่จะทำให้เกิดโกลาหลถึงขนาด “พัง” กันได้ แต่ใน พ.ศ. นี้ ดูเหมือนว่าไม่มีใครติดใจอะไรเลย เป็นพฤติกรรมที่ยอมรับกันได้ว่าเป็นเรื่องธรรมดา นั่นคือ ข้อแรก หญิงชายมีความเสมอภาคกัน ดังนั้นหญิงไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังคำสั่งของชาย ข้อสอง ธรรมเนียม “รักนวลสงวนตัว” ของผู้หญิงนั้น หมดไปแล้ว ว่าที่จริง ธรรมเนียมนี้ก็เป็นผลต่อมาจากธรรมเนียมเรื่องความไม่เสมอภาคระหว่างชายกับหญิง เมื่อชายกับหญิงเท่าเทียมกันแล้ว ธรรมเนียมว่าชายกับหญิงไม่ควรมีสัมพันธ์ขนาดอยู่ด้วยกันก่อนแต่งงานก็หมดไป
ผมคิดว่าเดี๋ยวนี้คน “รุ่นใหม่” ของไทยก็มีความคิดแบบเดียวกับเคทและเจ้าชายวิลเลี่ยมแม้ว่า “คนรุ่นเก่า” จำนวนไม่น้อยก็ยัง “รับไม่ได้” ตัวอย่างเล็ก ๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงสงกรานต์ของปีนี้ก็คือ เด็กสาววัยรุ่น 3-4 คน เปลือยกายเต้นโชว์ต่อหน้าผู้คนจำนวนมากที่กำลังเล่นน้ำสงกรานต์กันอยู่ที่ถนนสีลม หลังจากการตีพิมพ์ในหน้าหนังสือพิมพ์ ข่าวนี้ก็กลายเป็น “เรื่องใหญ่” ทาง “ขนบประเพณีและวัฒนธรรมไทย” ดูเหมือนว่าการกระทำของเด็กสาวดังกล่าวนั้นเป็นเรื่องที่เลวร้ายและจะต้องถูกลงโทษทางสังคมอย่างรุนแรง แต่ถ้าถามคน “รุ่นใหม่” ที่ไม่ “เสแสร้ง” ผมเชื่อว่าพวกเขาน่าจะรู้สึก “เฉย ๆ” เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ พวกเขาอาจจะมองว่า มันเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา ว่าที่จริงธรรมชาติของผู้หญิงก็ชอบโชว์อยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นผู้หญิงจะชอบแต่งตัวแต่งหน้ากันหรือ? การแก้ผ้าโชว์ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการโชว์เท่านั้น และลองไปดูที่บราซิลหรือในอีกหลาย ๆ ประเทศ พวกเขาก็แก้ผ้าโชว์กันเป็นเรื่องปกติ เมืองไทยต่างหากที่เป็นปัญหา
ก่อนหน้านี้เพียงไม่ถึงเดือน มีการทำโพลทางอินเตอร์เน็ตของนิตยสารไทม์ถ้าผมจำไม่ผิด ว่าใครคือผู้ที่ทรงอิทธิพลที่สุดของโลก คำตอบที่ออกมานั้นทำให้ผมรู้สึกทึ่งมาก เพราะว่าคนที่ได้อันดับหนึ่งนั้น ไม่ใช่ประธานาธิบดีของอเมริกาหรือจีนอย่างที่ควรจะเป็นถ้าเป็นโพลสมัยที่ผมยังเป็นวัยรุ่นหรือเพียง 10-20 ปีที่แล้ว หรือเป็นบริตนีย์สเปียร์หรือแบรดพิตต์เมื่อ 5- 6 ปีก่อน แต่เป็น เรน นักร้องชาวเกาหลีที่ร้องและเต้นได้โดดเด่นมากที่สุดในช่วงเร็ว ๆ นี้ ใครจะไปคิดว่านักร้องหน้าตา “ตี่ ๆ” จากประเทศเล็ก ๆ ในเอเซียจะกลายเป็น “ไอดอล” ของคนทั้งโลกได้ ในสมัยก่อนนั้น ผมรู้สึกแต่ว่า คนที่จะ “นำ” ในเรื่องของความคิดและวัฒนธรรมระดับโลกได้จะต้องเป็นคนผิวขาวหรือไม่ก็ผิวดำจากประเทศมหาอำนาจเท่านั้น แต่เดี๋ยวนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไป ว่าที่จริงมันคงเปลี่ยนมาได้พักใหญ่แล้ว เห็นได้จากการที่วัยรุ่นไทยสมัยนี้ “บ้าเกาหลี” อะไรที่เป็น “เกาหลี” พวกเขาจะรู้สึกนิยมชมชอบ ผมต่างหากที่ “ตามไม่ทัน” และมันคงไม่ใช่เฉพาะที่เมืองไทย แต่ขยายไปทั่วโลก อุทาหรณ์เรื่องนี้ก็คือ สังคมกำลังเป็น “สังคมโลก” ที่ทุกประเทศมีส่วนกำหนด ไม่ใช่เฉพาะแต่ประเทศมหาอำนาจหรือบางชาติพันธุ์อีกต่อไป และประเทศไทยก็หนีไม่พ้น
เรื่องสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ เรื่องของการ “ปฏิวัติประชาชน” ในกลุ่มประเทศอาหรับและอาฟริกาเหนือในช่วงนี้ นี่คือกลุ่มประเทศที่มีระบอบการปกครองแบบ “เผด็จการ” ที่มีผู้นำ “ปกครอง” ประเทศมายาวนาน การปกครองที่ผ่านมายาวนานนั้นดูเหมือนว่าจะราบรื่นพอสมควรจนทำให้เราคิดว่าประชาชนของประเทศเหล่านี้มีคุณสมบัติพิเศษที่แตกต่างจากคนที่อื่นเนื่องด้วยสาเหตุอะไรก็แล้วแต่ แต่แล้วทันใดนั้นทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไป ประชาชนจำนวนมากลุกฮือขึ้นมาทวงสิทธิและความเสมอภาคและต้องการ “ประชาธิปไตย” และพร้อมต่อสู้แลกด้วยชีวิตจนผู้นำที่อยู่อย่างมั่นคงมานานต้องยอมแพ้และยอมให้มีการปฏิรูปการปกครองที่จะแตกต่างจากระบอบเดิมไปมาก ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้เพราะสื่อต่าง ๆ ทางอินเตอร์เน็ตโดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อสังคมที่ทรงอิทธิพลอย่างเฟซบุคที่สร้างค่านิยมใหม่ ๆ ขึ้นในสังคมที่ “ถูกปิด” ด้วยอำนาจของผู้ปกครอง นอกจากนั้น มันยังช่วยรวบรวมพลังของคนเหล่านั้นให้ลุกขึ้นมาต่อสู้กับผู้เผด็จการได้ ผลกระทบจากเรื่องของการลุกฮือของประชาชนในประเทศตะวันออกกลางนั้น ผมคิดว่ามันเป็นสัญญาณว่า สังคมของคนทั่วโลกนั้น มีแนวโน้มที่จะปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยมากกว่าที่จะเป็นแนวเผด็จการ ซึ่งแตกต่างจากสมัยก่อนที่ผมยังเป็นวัยรุ่นที่โลกยังไม่แน่นอนว่าจะมีแนวโน้มไปทางไหน และเผด็จการก็ยังเป็นทางที่เดินในหลาย ๆ ประเทศ
กล่าวโดยสรุปก็คือ สังคมไทยในวันนี้นั้น เปลี่ยนแปลงไปมากจากอดีต เราเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสังคมโลกอย่างใกล้ชิด และสังคมนั้น เปลี่ยนจากความไม่เท่าเทียมในด้านต่าง ๆ เฉพาะอย่างยิ่งในด้านของเพศและสิทธิทางการเมืองจากที่ไม่เท่าเทียมเป็นเท่าเทียมกันมากขึ้น เช่นเดียวกัน ขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมต่าง ๆ ของเราก็เปลี่ยนแปลงไปตามกระแสของโลกมากขึ้นเรื่อยจนสิ่งที่เราทำแตกต่างจากสังคมโลกนั้น เป็นคล้าย ๆ กับเรื่องของรายละเอียดมากกว่าจะเป็นความแตกต่างโดยพื้นฐาน เช่น งานสงกรานต์นั้นอาจจะเป็นงานรื่นเริง “ทั้งเมือง” คล้าย ๆ งานมาดริการ์ของประเทศอย่างบราซิลมากกว่าจะเป็นเรื่องทางศาสนาหรือประเพณีโบราณ ปัญหานั้น ไม่ใช่อยู่ที่ว่าสังคมจะเปลี่ยนหรือไม่ แต่ปัญหาก็คือ ในโลกที่คน “รุ่นเก่า” ยังมีจำนวนและอิทธิพลในสังคมอยู่มาก ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงจึงไม่“ราบรื่น” อย่างไรก็ตาม ความไม่ราบรื่นส่วนใหญ่ก็มักจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาอะไรนอกจากความหงุดหงิดของคน แต่ในบางครั้ง มันก็สามารถทำให้เกิดแรงกระทบกระทั่งที่รุนแรงจนกลายเป็นปัญหาใหญ่ได้ หน้าที่ของ VI ก็คือ ติดตามและวิเคราะห์แนวโน้มใหญ่ทางสังคม ดูว่าอะไรจะเกิดขึ้นและมันเป็นสิ่งที่คุกคามหรือเป็นโอกาสในการลงทุน
-
- Verified User
- โพสต์: 2690
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การเปลี่ยนแปลงทางสังคม/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 2
ขอบคุณ..เช่นเคย ทั้ง ดร. และ คุณlittle wing
ตัดมาเผื่อ อ่านไป หาข้อมูล ตามไป
http://www.time.com/time/specials/packa ... 65,00.html
ตัดมาเผื่อ อ่านไป หาข้อมูล ตามไป
http://www.time.com/time/specials/packa ... 65,00.html
- halfofw
- Verified User
- โพสต์: 93
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การเปลี่ยนแปลงทางสังคม/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 3
สมกับที่เป็น ดร นิเวศน์ จริง ๆ เลยครับ .. สามารถเอาจิ๊กซอว์ชิ้นเล็ก ๆ มาต่อกัน ทำให้มองเห็นภาพใหญ่ของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม .. สงสัยว่า ต่อไปฝรั่งคงมา trade หุ้นไทยเยอะขึ้น และ คนไทยเองก็ไป trade หุ้นฝรั่งเยอะขึ้น .. ไม่แน่ต่อไปคนที่รวยที่สุดในโลก อาจจะไม่ได้มาจาก ประเทศ Hi-Tech อย่าง USA หรือว่า ประเทศขนาดใหญ่อย่างจีน .. แต่อาจจะเป็นประเทศไทยที่มี กลุ่ม VI ที่สุดยอดที่สุดในโลกก็ได้นะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 571
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การเปลี่ยนแปลงทางสังคม/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 5
ขอบคุณครับท่านอาจารย์ และพี่ little wing ^ ^
เห็นด้วยครับ ผมว่าถ้าเราอยากเกาะไปกับสังคมโลก หากเป็นผู้กำหนด trend ไม่ได้ ก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับ trend ให้ได้ ไม่งั้น ' 0 1000 ' (สูญพันธุ์ อิอิ)
ส่วนเรื่องว่า ดีหรือไม่ เหมาะหรือไม่เหมาะ กับสังคมไทย เป็นอีกประเด็นนึงครับ
เห็นด้วยครับ ผมว่าถ้าเราอยากเกาะไปกับสังคมโลก หากเป็นผู้กำหนด trend ไม่ได้ ก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับ trend ให้ได้ ไม่งั้น ' 0 1000 ' (สูญพันธุ์ อิอิ)
ส่วนเรื่องว่า ดีหรือไม่ เหมาะหรือไม่เหมาะ กับสังคมไทย เป็นอีกประเด็นนึงครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1172
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การเปลี่ยนแปลงทางสังคม/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 6
ดร.นิเวศน์ เป็นคนที่เข้าใจโลกและการเปลี่ยนแปลงได้อย่างเหลือเชื่อเลยครับ...โลกเป็นของคนยุคใหม่เสมอไม่ว่าจะเป็นยังไงเราก็ต้องยอมรับอยู่ดีว่า คนรุ่นเก่าก็จะต้องถอยไป แล้วคนรุ่นใหม่จะต้องเข้ามาแทนที่ เราควรจะศึกษาคนรุ่นใหม่อยู่ตลอดเวลาครับ ไม่ต้องเป็นแบบพวกเขาเหล่านั้นก็ได้ แต่อย่างน้อยต้องเข้าใจสิ่งที่เขาคิดและทำครับ
ไม่ควรลงทุนอะไร ถ้าไม่รู้สึกสบายใจในสิ่งนั้น
-
- Verified User
- โพสต์: 92
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การเปลี่ยนแปลงทางสังคม/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 7
เรื่องประชาธิปไตย ผมเห็นด้วย ว่าใครอยากทำอะไรให้ทำไปเหอะ ตราบใดที่ไม่ทำให้คนอื่นเดือนร้อน
การเล่นกีฬาสีทำให้คนสนใจคุณก็จริง แต่แน่ใจได้อย่างไรว่าเค้ามองคุณในแง่ดี
ผมว่าคนเรา แค่คิดดีทำดี ก็พอ
การเล่นกีฬาสีทำให้คนสนใจคุณก็จริง แต่แน่ใจได้อย่างไรว่าเค้ามองคุณในแง่ดี
ผมว่าคนเรา แค่คิดดีทำดี ก็พอ
-
- Verified User
- โพสต์: 159
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การเปลี่ยนแปลงทางสังคม/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 8
ผมก็คิดเหมือนกับคุณ Bilffet ทีแรกที่ได้ฟังข่าวเรื่อง เรื่องเด็กสาวถอดเสื้อผ้าเต้น ผมก็รู้สึก"เฉยๆ"เพราะเข้าใจว่าBelffet เขียน:เป็นบทความที่ค่อนข้างสุ่มเสี่ยงต่อการถูกวิพากษ์วิจารณ์
อย่างไรก็ตาม ผมเห็นด้วยตามบทความ เพราะอย่างน้อยผมก็คนหนึ่งที่รู้สึก "เฉยๆ" อย่างที่ผู้เขียนว่าไว้จริงๆ
สังคม+ค่านิยม+ความเชื่อมันเปลี่ยนไปแล้ว ตามยุคสมัย แต่ก็มีอีกแง่นึงให้ต้องกลับมาคิดอยู่เหมือนกัน ว่าถ้าเรายังคงเฉยๆ
แล้วปล่อยให้มันผ่านไป แล้วบังเอิญในวันข้างหน้า ถ้าลูกสาวเรา(ถ้ามี) ออกไปทำอย่างนั้นบ้าง เราจะยังรู้สึก "เฉยๆ" อยู่อีกหรือเปล่า
เฮ้อ คนเป็นพ่อ เป็นแม่ คงเสียใจน่าดูเลย..
- VI Wannabe
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1014
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การเปลี่ยนแปลงทางสังคม/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 9
โดนมากๆเลยครับkraikria เขียน:โลกเป็นของคนยุคใหม่เสมอไม่ว่าจะเป็นยังไงเราก็ต้องยอมรับอยู่ดีว่า คนรุ่นเก่าก็จะต้องถอยไป แล้วคนรุ่นใหม่จะต้องเข้ามาแทนที่ เราควรจะศึกษาคนรุ่นใหม่อยู่ตลอดเวลาครับ ไม่ต้องเป็นแบบพวกเขาเหล่านั้นก็ได้ แต่อย่างน้อยต้องเข้าใจสิ่งที่เขาคิดและทำครับ
"Attempt to be fearful when others are greedy and to be greedy only when others are fearful"
"It's far better to buy a wonderful company at a fair price than a fair company at a wonderful price"
"It's far better to buy a wonderful company at a fair price than a fair company at a wonderful price"
- Packky
- Verified User
- โพสต์: 856
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การเปลี่ยนแปลงทางสังคม/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 13
ขอบคุณสำหรับบทความดี ๆ ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 227
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การเปลี่ยนแปลงทางสังคม/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 14
วัยรุ่นสมัยนี้ ยิ่งห้ามเขาก็ยิ่งอยากทำครับ มันเท่และเป็นที่ยอมรับในหมู่เพื่อนเค้าครับ
ปล.ยังวัยรุ่นอยู่ครับ 555+
ปล.ยังวัยรุ่นอยู่ครับ 555+
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4741
- ผู้ติดตาม: 1
Re: การเปลี่ยนแปลงทางสังคม/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 18
อาจารย์มาแปลก สัปดาห์นี้เป็นบทความทางสังคม จากปกติบทความทางเศรษฐกิจ
หรือว่าอาจารย์กำลังจะโยงใย หรือ หามุมมองของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
ไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจอย่างไรรือ
หรือว่าอาจารย์กำลังจะโยงใย หรือ หามุมมองของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
ไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจอย่างไรรือ
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
- oatty
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2444
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การเปลี่ยนแปลงทางสังคม/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 21
ขอบคุณอาจารย์มากครับdome@perth เขียน:อาจารย์มาแปลก สัปดาห์นี้เป็นบทความทางสังคม จากปกติบทความทางเศรษฐกิจ
หรือว่าอาจารย์กำลังจะโยงใย หรือ หามุมมองของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
ไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจอย่างไรรือ
ผมว่าอาจารย์ต้องการเตือนให้พวกเราเรียนรู้ว่า สิ่งที่เปลี่ยนแปลงเหล่านี้ อะไรบ้างที่กระทบหรือเป็นโอการในการลงทุน
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี
-
- Verified User
- โพสต์: 92
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การเปลี่ยนแปลงทางสังคม/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 22
บทความนี้เขียนโดยการนำข้อมูลทั่วไปๆที่เราพบเห็นมาเรียงร้อยผูกกัน โดยผ่านมุมมองและทัศนะของประสบการณ์ที่สั่งสมมาอย่างดี ข้อมูลที่ดูเหมือนเรื่องผิวเผินแต่ถูกนำมาเรียบเรียงให้เห็นเป็นประเด็นที่นำไปต่อยอดได้ ยอดเยี่ยมครับ
ความเห็นส่วนตัว ผมมองว่าโลกนี้มี 2 กลุ่ม คือ ผู้ล่า(พราน) และผู้ถูกล่า (เหยื่อ) ในกรณี
ของเรื่อง คลั่งเกาหลี ตัวผู้ผลิตความเป็นเกาหลีย่อมได้ประโยชน์จากกระแส ย่อมเปรียบได้เป็นดั่งผู้ล่า ในขณะที่ตัววัยรุ่นหรือผู้ที่คลั่งไคล้เทรนด์เกาหลีก็ตกเป็นเหยื่อ คล้ายๆกับผู้ผลิตเกมส์กับคนติดเกมส์
ความเห็นส่วนตัว ผมมองว่าโลกนี้มี 2 กลุ่ม คือ ผู้ล่า(พราน) และผู้ถูกล่า (เหยื่อ) ในกรณี
ของเรื่อง คลั่งเกาหลี ตัวผู้ผลิตความเป็นเกาหลีย่อมได้ประโยชน์จากกระแส ย่อมเปรียบได้เป็นดั่งผู้ล่า ในขณะที่ตัววัยรุ่นหรือผู้ที่คลั่งไคล้เทรนด์เกาหลีก็ตกเป็นเหยื่อ คล้ายๆกับผู้ผลิตเกมส์กับคนติดเกมส์
- teenoys
- Verified User
- โพสต์: 101
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การเปลี่ยนแปลงทางสังคม/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 24
ผมสังเกตุว่าหุ้นตัวใหม่ๆที่อาจารย์เลือกเข้าพอร์ท เป็น Megatrend ของคนรุ่นใหม่
-
- Verified User
- โพสต์: 87
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การเปลี่ยนแปลงทางสังคม/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 27
ผมรู้แต่ว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้
มันทำให้ผมรู้สึกเอียนเกาหลีครับ
มันทำให้ผมรู้สึกเอียนเกาหลีครับ
- canuseeme
- Verified User
- โพสต์: 302
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การเปลี่ยนแปลงทางสังคม/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 29
สุดยอดครับ อาจาร์ย
เพราะไอ้กระผมก็ สงสัย เหลือเกิน
กะเด็กหญิง 3 คน แก้ผ้าท่อนบนโชว์(เพื่อบอกเค้าโปรโมทงานนะครับ) มันจะทำให้ วัฒนธรรม ประเพณี สูญสลายเลยรึงัย
หรือ ไอ้การปลุกระดม ด่า สาดเสีย เทเสีย ตามเน็ท ตามสื่อ ว่าเป็นเด็กใจแตก หรือเด็กเขมร(ว่าไปนู่น) ไอ้ความอาฆาตแค้น ชิงชัง นี่ ไม่น่กลัวกว่าเรอะ
แล้ว ไหนจะเหล้า อีกละ ดื่ม กัน เล่น สงกรานต์ไม่เห็นจะ ขึ้น
เพราะไอ้กระผมก็ สงสัย เหลือเกิน
กะเด็กหญิง 3 คน แก้ผ้าท่อนบนโชว์(เพื่อบอกเค้าโปรโมทงานนะครับ) มันจะทำให้ วัฒนธรรม ประเพณี สูญสลายเลยรึงัย
หรือ ไอ้การปลุกระดม ด่า สาดเสีย เทเสีย ตามเน็ท ตามสื่อ ว่าเป็นเด็กใจแตก หรือเด็กเขมร(ว่าไปนู่น) ไอ้ความอาฆาตแค้น ชิงชัง นี่ ไม่น่กลัวกว่าเรอะ
แล้ว ไหนจะเหล้า อีกละ ดื่ม กัน เล่น สงกรานต์ไม่เห็นจะ ขึ้น
ปัญญาไม่มีในผู้ไม่พิจารณา
There is no fate but what we make
https://www.facebook.com/pages/คัดหุ้นซวย
There is no fate but what we make
https://www.facebook.com/pages/คัดหุ้นซวย