มองที่ปันผลเป็นหลัก ผิดรึเปล่าครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 35
- ผู้ติดตาม: 0
มองที่ปันผลเป็นหลัก ผิดรึเปล่าครับ
โพสต์ที่ 1
มือใหม่รบกวนถามด้วยครับ
ด้วยเหตุที่ว่า มือใหม่ หัดลงทุนสดๆร้อนๆ ยังมองหุ้นไม่ออก (แต่ก็ได้ศึกษาอ่านหนังสือมาพอสมควรนะครับ)
พยายามดูรายละเอียดให้ได้มากที่สุด จากความรู้ที่ได้อ่านมา และเหล่าพวกพี่ๆทั้งหลายให้ความรู้กันไว้
จะหาหุ้นที่ว่า ดีนักดีหนา ผมหายังไงก็ไม่เจอ นั่นเพราะว่า ผมเข้ามาช้าหรืออาจจะไม่ใช่จังหวะที่ดีนักในการเข้าซื้อ (ราคาไม่ดี) ผมจึงเลือกที่มองหาหุ้นปันผลเป็นหลัก โดยคิดจากราคาปิด ณ ปัจจุบัน คิดเป็น ค่าปันผล ออกมา ขอเพียงว่า ให้ได้ ปันผลมากกว่า ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารเป็นพอ ส่วนราคาส่วนต่างจะเป็นยังไงก็ไม่สน (ถึงแม้รู้ว่าจะเสี่ยง ติดดอย ก็ตามทีเถอะนะ T_T) เพราะยังไง ผมก็ได้ปันผลแน่นอน โดยเน้นเลือก หุ้นที่ ทั้งปันผลพอใช้ และดี และมีความรู้บ้าง ในธุรกิจที่หุ้นนั้นๆ ทำอยู่ ผมยินดีถือได้นานๆ ถ้าหากผลตอบแทนเป็นที่น่าพอใจ เพราะยังไง ปันผลก็ดีกว่า ฝากธนาคาร แถม เราเลือก บริษัทคุ้นเคย และดูย้อนหลังไปหลายๆปี ปีที่ว่า บริษัทเค้าแย่ๆ หุ้นตัวนี้ก็ยังปันผลได้สม่ำเสมอ และแนวโน้ม มูลค่าของหุ้นมีโอกาสสูงขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย (อันนี้ถือเป็นของแถมครับ มองที่ปันผลเป็นหลักจริงๆ)
จะผิดไหมครับ สำหรับความคิดแบบนี้ ขอบคุณครับ
ด้วยเหตุที่ว่า มือใหม่ หัดลงทุนสดๆร้อนๆ ยังมองหุ้นไม่ออก (แต่ก็ได้ศึกษาอ่านหนังสือมาพอสมควรนะครับ)
พยายามดูรายละเอียดให้ได้มากที่สุด จากความรู้ที่ได้อ่านมา และเหล่าพวกพี่ๆทั้งหลายให้ความรู้กันไว้
จะหาหุ้นที่ว่า ดีนักดีหนา ผมหายังไงก็ไม่เจอ นั่นเพราะว่า ผมเข้ามาช้าหรืออาจจะไม่ใช่จังหวะที่ดีนักในการเข้าซื้อ (ราคาไม่ดี) ผมจึงเลือกที่มองหาหุ้นปันผลเป็นหลัก โดยคิดจากราคาปิด ณ ปัจจุบัน คิดเป็น ค่าปันผล ออกมา ขอเพียงว่า ให้ได้ ปันผลมากกว่า ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารเป็นพอ ส่วนราคาส่วนต่างจะเป็นยังไงก็ไม่สน (ถึงแม้รู้ว่าจะเสี่ยง ติดดอย ก็ตามทีเถอะนะ T_T) เพราะยังไง ผมก็ได้ปันผลแน่นอน โดยเน้นเลือก หุ้นที่ ทั้งปันผลพอใช้ และดี และมีความรู้บ้าง ในธุรกิจที่หุ้นนั้นๆ ทำอยู่ ผมยินดีถือได้นานๆ ถ้าหากผลตอบแทนเป็นที่น่าพอใจ เพราะยังไง ปันผลก็ดีกว่า ฝากธนาคาร แถม เราเลือก บริษัทคุ้นเคย และดูย้อนหลังไปหลายๆปี ปีที่ว่า บริษัทเค้าแย่ๆ หุ้นตัวนี้ก็ยังปันผลได้สม่ำเสมอ และแนวโน้ม มูลค่าของหุ้นมีโอกาสสูงขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย (อันนี้ถือเป็นของแถมครับ มองที่ปันผลเป็นหลักจริงๆ)
จะผิดไหมครับ สำหรับความคิดแบบนี้ ขอบคุณครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1211
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มองที่ปันผลเป็นหลัก ผิดรึเปล่าครับ
โพสต์ที่ 3
1. ไม่ผิดหรอกครับ ถ้าคุณคาดหวังผลตอบแทนแค่นั้น
2. แต่คุณต้องมั่นใจนะครับว่าตัวเองจะไม่ไขว้เขวจากความคิดแบบนี้เวลาที่ไปเจอว่าคนอื่นสามารถหาผลตอบแทนจากหุ้นตัวอื่นๆเป็นร้อยๆเปอร์เซ็นต์ได้ในช่วงเวลาเดียวกัน แต่คุณกลับหาไม่ได้ เพราะคุณมุ่งมั่นในวิธีของคุณ
3. อย่าประมาทว่าจะได้ปันผล "แน่นอน" เพราะว่าความแน่นอนก็คือความไม่แน่นอนน่ะแหละครับ
4. หนังสือของ Peter Lynch
- One up on Wall Street
- Beating The Street
- Learn to Earn
มีแปลไทยทุกเล่มครับ
ขอให้โชคดี
2. แต่คุณต้องมั่นใจนะครับว่าตัวเองจะไม่ไขว้เขวจากความคิดแบบนี้เวลาที่ไปเจอว่าคนอื่นสามารถหาผลตอบแทนจากหุ้นตัวอื่นๆเป็นร้อยๆเปอร์เซ็นต์ได้ในช่วงเวลาเดียวกัน แต่คุณกลับหาไม่ได้ เพราะคุณมุ่งมั่นในวิธีของคุณ
3. อย่าประมาทว่าจะได้ปันผล "แน่นอน" เพราะว่าความแน่นอนก็คือความไม่แน่นอนน่ะแหละครับ
4. หนังสือของ Peter Lynch
- One up on Wall Street
- Beating The Street
- Learn to Earn
มีแปลไทยทุกเล่มครับ
ขอให้โชคดี
- todsapon
- Verified User
- โพสต์: 1137
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มองที่ปันผลเป็นหลัก ผิดรึเปล่าครับ
โพสต์ที่ 5
ไม่มีกฏข้อไหนในตลาดหลักทรัพย์ว่าจะต้องให้เงินปันผลมากขึ้นหรือเท่าเดิมทุกปี หรือจะต้องจ่ายเงินปันผลทุก ๆ ปี สิ่งที่ควรสนใจคือกระแสเงินสด
ผลตอบแทน 15% ต่อปีก็พอ
กำไรเมื่อซื้อ มิใช่กำไรเมื่อขาย
การได้ทำอะไรที่ตนเองชอบและมีปัจจัยสี่พร้อมเพียงคือสุดยอดแห่งความสุข
ขอยืมเงินหน่อยครับ
กำไรเมื่อซื้อ มิใช่กำไรเมื่อขาย
การได้ทำอะไรที่ตนเองชอบและมีปัจจัยสี่พร้อมเพียงคือสุดยอดแห่งความสุข
ขอยืมเงินหน่อยครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
Re: มองที่ปันผลเป็นหลัก ผิดรึเปล่าครับ
โพสต์ที่ 7
เท่าที่อ่าน ถ้าหวังผลตอบแทนจากเงินปันผล และสามารถลงทุนระยะยาวได้
ผมก็อยากจะแนะนำให้คัดเลือกจากบริษัทที่มีคุณสมบัติ
1. บริษัทมีผลการดำเนินงานกำไร และจ่ายเงินปันผลค่อนข้างสม่ำเสมอ
2. บริษัทไม่มีหนี้เงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน หรือมีน้อยมากๆ
3. เป็นผู้นำในธุรกิจนั้น ไม่เบอร์ 1 ก็ต้องเบอร์ 2 และถ้าได้แบบเกือบผูกขาดก็ยิ่งดี
4. ดำเนินธุรกิจที่ไม่ซับซ้อนมากนัก และไม่ผันผวนมากแบบ Commodity
5. บริษัทก่อตั้งมานานเกิน 10 ปี และเข้าจดทะเบียนในตลาดมานานพอสมควร
6. ผู้บริหารมีแนวคิดแบบอนุรักษ์นิยมมากกว่ารุกอย่างรวดเร็ว
ผมก็อยากจะแนะนำให้คัดเลือกจากบริษัทที่มีคุณสมบัติ
1. บริษัทมีผลการดำเนินงานกำไร และจ่ายเงินปันผลค่อนข้างสม่ำเสมอ
2. บริษัทไม่มีหนี้เงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน หรือมีน้อยมากๆ
3. เป็นผู้นำในธุรกิจนั้น ไม่เบอร์ 1 ก็ต้องเบอร์ 2 และถ้าได้แบบเกือบผูกขาดก็ยิ่งดี
4. ดำเนินธุรกิจที่ไม่ซับซ้อนมากนัก และไม่ผันผวนมากแบบ Commodity
5. บริษัทก่อตั้งมานานเกิน 10 ปี และเข้าจดทะเบียนในตลาดมานานพอสมควร
6. ผู้บริหารมีแนวคิดแบบอนุรักษ์นิยมมากกว่ารุกอย่างรวดเร็ว
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
-
- Verified User
- โพสต์: 35
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มองที่ปันผลเป็นหลัก ผิดรึเปล่าครับ
โพสต์ที่ 8
ขอบคุณครับ พอจะเห็นภาพคร่าวๆว่า ควรทำยังไง เพียงแต่ว่า ถ้าหากมามองที่มูลค่าหุ้น ขึ้นๆลงๆ มันทำให้ต้องมาเครียด เวลาตัวเลขมันแดงๆ
ขอถามอีกซักข้อครับ สำหรับคำว่า เป็นผู้นำ ธุรกิจ และผูกขาดที่ว่า อันนี้เป็นข้อสงสัยครับ
ผมคิดอยู่อย่างว่า ผมไม่ใช่มือใหม่คนแรกที่หันมาสนใจในการลงทุน และ แม้แต่ หัดศึกษาให้มั่นใจก่อนการลงทุน ฉะนั้น หุ้นทุกตัวที่ว่าดีๆ คงไม่มีใครจะมาบอกเราตรงๆว่า ตัวนั้นตัวนี้ หรือแม้แต่ มือใหม่อย่างผมจะมองเห็นจุดแข็งของบริษัท ทั้งๆที่พวกพี่ๆ เค้าศึกษากันมานาน ลงทุนกันมามากมายหลากหลายรูปแบบ ผลก็คือ ไอ้หุ้นตัวดีๆที่ว่า น่ะ ถ้าหากว่ามีจริงๆ พวกพี่ๆทั้งหลายคงจะกวาดหรือเตรียมพร้อม ก่อนที่ผมจะเจอเป็นแน่ๆ ฉะนั้น ถ้าหากว่าผมไม่ได้ศึกษามาก่อนเลย ผมก็คงจะกลายเป็นกบในกะลาที่ หลงเข้าไปในกระแสความคิดของตัวเองว่า หุ้นตัวนี้สิ มันดีจริงๆ หุ้นตัวนั้นสิ งบก็ดี เติบโตก็ดี ค่าอะไรต่ออะไรดีไปหมด ผลก็คือหันไปดูราคา " ทำไมราคามันขึ้นเอาๆ " ถ้าหากว่าผมได้แต่รอให้ราคามันตกลงมา มือใหม่อย่างผม คงวิเคราะห์ไม่ได้หรอกว่า เมื่อไหร่จะเข้าไปซื้อได้ซะที หรือว่าซื้อที่ราคานี้แหละ คุ้มค่า fair value สุดๆ ถ้าหากว่าผมทำได้ยังงั้นจริงๆ ผมก็คงเป็นยอดมนุษย์ไปแล้วล่ะครับ (แหะๆ อันนี้คือความคิดในหัวของผมนะครับ)
คำถามก็คือว่า คงไม่มีใครอ่อยให้มือใหม่ ยอมขายในราคาถูกให้ ฉะนั้น ถ้าเรามัวแต่นั่งรอ จดจ้องๆมัน ผลก็คือ ผมก็คงได้แต่นั่งรอมันอยู่นั่นแหละครับ เพราะผมไม่รู้จริงๆว่า เวลาไหนมันถึงจะถูก ผมจึงเน้นไปที่ปันผลเป็นหลักเพราะอย่างน้อยๆ ปีนั้นๆ และปีต่อๆไป ผมก็ยังจะคงได้ปันผล ประวัติบริษัทให้ปันผลทุกปี ย้อนหลังเป็น 5 ปีปันผล สม่ำเสมอ และ ค่อนข้างใหญ่อันดับต้นๆ ของประเทศครับ แต่ไม่ค่อยหวือหวา เติบโตในอัตรา 5-10% ต่อปี แต่หนี้สินก็ 50% แต่ด้วยธุรกิจแล้ว 50% ก็ถือว่าปกติ ของอุตสาหกรรมนี้เลยครับ เพราะทุกบริษัทเหมือนๆกันหมด แถมยังสูงกว่าอีกตะหาก ผมสังเกตุได้จาก สินทรัพย์มาก หนี้สินก็มากตาม ปีไหน สินทรัพย์น้อยลง หนี้สินก็น้อยลงตามด้วย ด้วยความที่เข้าใจว่าบริษัทนี้ ทำอะไรบ้าง เลยพอเห็นภาพว่าเพราะอะไรมันถึงเป็นยังงี้ครับ ผมพยายามอ่านงบการเงินแต่อ่านไม่ออกครับตาลาย = = อ่านแค่ 56-1 ก็มึนแล้วครับ แต่จะพยายามต่อไป
ขาดทุนถือเป็นกำไรชีวิต สำหรับประสบการณ์ กำไรของขาดทุน ถือเป็นสิ่งที่ควรได้ในอนาคต
ขอถามอีกซักข้อครับ สำหรับคำว่า เป็นผู้นำ ธุรกิจ และผูกขาดที่ว่า อันนี้เป็นข้อสงสัยครับ
ผมคิดอยู่อย่างว่า ผมไม่ใช่มือใหม่คนแรกที่หันมาสนใจในการลงทุน และ แม้แต่ หัดศึกษาให้มั่นใจก่อนการลงทุน ฉะนั้น หุ้นทุกตัวที่ว่าดีๆ คงไม่มีใครจะมาบอกเราตรงๆว่า ตัวนั้นตัวนี้ หรือแม้แต่ มือใหม่อย่างผมจะมองเห็นจุดแข็งของบริษัท ทั้งๆที่พวกพี่ๆ เค้าศึกษากันมานาน ลงทุนกันมามากมายหลากหลายรูปแบบ ผลก็คือ ไอ้หุ้นตัวดีๆที่ว่า น่ะ ถ้าหากว่ามีจริงๆ พวกพี่ๆทั้งหลายคงจะกวาดหรือเตรียมพร้อม ก่อนที่ผมจะเจอเป็นแน่ๆ ฉะนั้น ถ้าหากว่าผมไม่ได้ศึกษามาก่อนเลย ผมก็คงจะกลายเป็นกบในกะลาที่ หลงเข้าไปในกระแสความคิดของตัวเองว่า หุ้นตัวนี้สิ มันดีจริงๆ หุ้นตัวนั้นสิ งบก็ดี เติบโตก็ดี ค่าอะไรต่ออะไรดีไปหมด ผลก็คือหันไปดูราคา " ทำไมราคามันขึ้นเอาๆ " ถ้าหากว่าผมได้แต่รอให้ราคามันตกลงมา มือใหม่อย่างผม คงวิเคราะห์ไม่ได้หรอกว่า เมื่อไหร่จะเข้าไปซื้อได้ซะที หรือว่าซื้อที่ราคานี้แหละ คุ้มค่า fair value สุดๆ ถ้าหากว่าผมทำได้ยังงั้นจริงๆ ผมก็คงเป็นยอดมนุษย์ไปแล้วล่ะครับ (แหะๆ อันนี้คือความคิดในหัวของผมนะครับ)
คำถามก็คือว่า คงไม่มีใครอ่อยให้มือใหม่ ยอมขายในราคาถูกให้ ฉะนั้น ถ้าเรามัวแต่นั่งรอ จดจ้องๆมัน ผลก็คือ ผมก็คงได้แต่นั่งรอมันอยู่นั่นแหละครับ เพราะผมไม่รู้จริงๆว่า เวลาไหนมันถึงจะถูก ผมจึงเน้นไปที่ปันผลเป็นหลักเพราะอย่างน้อยๆ ปีนั้นๆ และปีต่อๆไป ผมก็ยังจะคงได้ปันผล ประวัติบริษัทให้ปันผลทุกปี ย้อนหลังเป็น 5 ปีปันผล สม่ำเสมอ และ ค่อนข้างใหญ่อันดับต้นๆ ของประเทศครับ แต่ไม่ค่อยหวือหวา เติบโตในอัตรา 5-10% ต่อปี แต่หนี้สินก็ 50% แต่ด้วยธุรกิจแล้ว 50% ก็ถือว่าปกติ ของอุตสาหกรรมนี้เลยครับ เพราะทุกบริษัทเหมือนๆกันหมด แถมยังสูงกว่าอีกตะหาก ผมสังเกตุได้จาก สินทรัพย์มาก หนี้สินก็มากตาม ปีไหน สินทรัพย์น้อยลง หนี้สินก็น้อยลงตามด้วย ด้วยความที่เข้าใจว่าบริษัทนี้ ทำอะไรบ้าง เลยพอเห็นภาพว่าเพราะอะไรมันถึงเป็นยังงี้ครับ ผมพยายามอ่านงบการเงินแต่อ่านไม่ออกครับตาลาย = = อ่านแค่ 56-1 ก็มึนแล้วครับ แต่จะพยายามต่อไป
ขาดทุนถือเป็นกำไรชีวิต สำหรับประสบการณ์ กำไรของขาดทุน ถือเป็นสิ่งที่ควรได้ในอนาคต
-
- Verified User
- โพสต์: 2236
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มองที่ปันผลเป็นหลัก ผิดรึเปล่าครับ
โพสต์ที่ 9
ถามว่าผิดมั้ย คงจะไม่ผิดครับ แต่ในความเป็นจริงส่วนตัวคิดว่าลงทุนในหุ้นควรจะได้ผลตอบแทนไม่ต่ำกว่า 10 เปอเซนนะครับ(Capital gain + dividend) ถ้าไม่ได้ขนาดนี้ผมถือว่าไม่คุ้มความเสี่ยงนะครับ เพราะจะเอาไปเทียบกับดอกเบี้ยเงินฝากอย่างเดียวก้อคงจะไม่ได้ อย่างต่ำต้องเทียบกับพวกพันธบัตรที่ให้ดอกเบี้ย 4-5%ครับ แต่ถ้าหวังแค่นั้นจริงๆ สิ่งที่สำคัญที่สุดก้อคือเราต้องมั่นใจว่าบริษัทนั้นจะต้องมีความสามารถที่จะปันผลอย่างสม่ำเสมอ และเติบโตอย่างต่อเนื่องครับ
นักเลงคีย์บอร์ด4.0
-
- Verified User
- โพสต์: 1211
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มองที่ปันผลเป็นหลัก ผิดรึเปล่าครับ
โพสต์ที่ 10
-
- Verified User
- โพสต์: 1980
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มองที่ปันผลเป็นหลัก ผิดรึเปล่าครับ
โพสต์ที่ 12
Belffet เขียน: 2. แต่คุณต้องมั่นใจนะครับว่าตัวเองจะไม่ไขว้เขวจากความคิดแบบนี้เวลาที่ไปเจอว่าคนอื่นสามารถหาผลตอบแทนจากหุ้นตัวอื่นๆเป็นร้อยๆเปอร์เซ็นต์ได้ในช่วงเวลาเดียวกัน แต่คุณกลับหาไม่ได้ เพราะคุณมุ่งมั่นในวิธีของคุณ
+1
3. อย่าประมาทว่าจะได้ปันผล "แน่นอน" เพราะว่าความแน่นอนก็คือความไม่แน่นอนน่ะแหละครับ
+1000000000000
ขอให้โชคดี
The mother of all evils is speculation, leverage debt. Bottom line, is borrowing to the hilt. And I hate to tell you this, but it's a bankrupt business model. It won't work. It's systemic, malignant, and it's global, like cancer.
-
- Verified User
- โพสต์: 27
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มองที่ปันผลเป็นหลัก ผิดรึเปล่าครับ
โพสต์ที่ 13
ถ้าถามมองที่ปันผล "เป็นหลัก" ได้มั้ยบอกได้ว่าไม่ผิดครับ
แต่ต้องมองส่วนประกอบอื่นด้วย ไม่ใช่ว่ามองแต่ปันผลอย่างเดียว เอาปันผลมาเรียงแล้วก็ซัดเลย
ส่วนประกอบที่ว่าก็คือสิ่งที่พี่ๆ ได้ comment มาข้างบนอ่าครับ
สำหรับผมนะครับ มอง trend ใหญ่ของประชากรให้ออก เลือกบริษัทที่มีธรรมาภิบาล (คงลำบากหน่อยนะครับ สำหรับมือใหม่) ให้ความสำคัญที่สุดในราคาที่เข้าซื้อ (เวลาที่ราคาหุ้นลงจากปัจจัยภายนอก หรือปัจจัยภายในที่คาดว่าเป็นปัจจัยชั่วครว) จะเสี่ยงน้อย
เช่น แนวโน้มคนแก่ที่จะมากขึ้น รัฐบาลส่งเสริมอุตสาหกรรมใดในช่วง 5 ปีนี้ etc...
ขอให้โชคดีครับ
แต่ต้องมองส่วนประกอบอื่นด้วย ไม่ใช่ว่ามองแต่ปันผลอย่างเดียว เอาปันผลมาเรียงแล้วก็ซัดเลย
ส่วนประกอบที่ว่าก็คือสิ่งที่พี่ๆ ได้ comment มาข้างบนอ่าครับ
สำหรับผมนะครับ มอง trend ใหญ่ของประชากรให้ออก เลือกบริษัทที่มีธรรมาภิบาล (คงลำบากหน่อยนะครับ สำหรับมือใหม่) ให้ความสำคัญที่สุดในราคาที่เข้าซื้อ (เวลาที่ราคาหุ้นลงจากปัจจัยภายนอก หรือปัจจัยภายในที่คาดว่าเป็นปัจจัยชั่วครว) จะเสี่ยงน้อย
เช่น แนวโน้มคนแก่ที่จะมากขึ้น รัฐบาลส่งเสริมอุตสาหกรรมใดในช่วง 5 ปีนี้ etc...
ขอให้โชคดีครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 210
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มองที่ปันผลเป็นหลัก ผิดรึเปล่าครับ
โพสต์ที่ 14
มองที่ปันผลก็ไม่ผิดหรอกครับ
แต่ควรจะดูที่ตัวธุรกิจด้วย
ว่าธุรกิจของบริษัทจะมั่นคงและเจริญเติบโตในอีก 5 - 10 ปีข้างหน้าไหม
พูดง่ายๆก็คือ อีก 5- 10 ปีจะอยู่ยืนยง มีกำไร และจ่ายปันผลตลอดหรือไม่
บริษัทที่ปันผลดีสม่ำเสมอ คือบริษัทที่เป็น cash cow
ถ้า จขกท คาดหวัง IRR แค่มากกว่า เงินฝาก มีนะครับ
แต่ที่สำคัญจะทนใจตัวเองได้รึเปล่า
เวลาหุ้นชาวบ้านวิ่งเอาๆ เรารับปันผลไม่กี่ %
( แถมเวลา XD ดันลงมาอีก )
คำแนะนำก็คือ mix กันไปครับ
ลองหาหุ้น Growthที่แข็งแกร่ง และจ่ายปันผลพอประมาณ ก็น่าจะพอมี
ผมจำ ดร. ว่าไว้คำนึง
ขาลงให้ดู ปันผล
ขาขึ้นให้ดู P/E (น่าจะหมายถึง การเติบโต)
แต่ควรจะดูที่ตัวธุรกิจด้วย
ว่าธุรกิจของบริษัทจะมั่นคงและเจริญเติบโตในอีก 5 - 10 ปีข้างหน้าไหม
พูดง่ายๆก็คือ อีก 5- 10 ปีจะอยู่ยืนยง มีกำไร และจ่ายปันผลตลอดหรือไม่
บริษัทที่ปันผลดีสม่ำเสมอ คือบริษัทที่เป็น cash cow
ถ้า จขกท คาดหวัง IRR แค่มากกว่า เงินฝาก มีนะครับ
แต่ที่สำคัญจะทนใจตัวเองได้รึเปล่า
เวลาหุ้นชาวบ้านวิ่งเอาๆ เรารับปันผลไม่กี่ %
( แถมเวลา XD ดันลงมาอีก )
คำแนะนำก็คือ mix กันไปครับ
ลองหาหุ้น Growthที่แข็งแกร่ง และจ่ายปันผลพอประมาณ ก็น่าจะพอมี
ผมจำ ดร. ว่าไว้คำนึง
ขาลงให้ดู ปันผล
ขาขึ้นให้ดู P/E (น่าจะหมายถึง การเติบโต)
-
- Verified User
- โพสต์: 35
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มองที่ปันผลเป็นหลัก ผิดรึเปล่าครับ
โพสต์ที่ 15
ขอบคุณครับ
จริงๆในใจลึกๆผมก็ตั้งเป้าไว้ที่ 10-15% ต่อปีนะครับ เพียงแต่ไม่อยากหวังอะไรที่มากกว่าจะได้ในขั้นต่ำ (ขั้นต่ำของผมคือ ดอกเบี้ยธนาคาร หรือประมาณ 5%เป็นต่ำสุด)
ส่วนเรื่องที่ว่า วัดใจตัวเองกับ การที่เห็นคนอื่นได้ส่วนต่างราคาหุ้น ได้ทีละมากๆ อันนั้นผมคิดว่า ณ ตอนนี้ขอเรียนรู้ ศึกษาพัฒนาตัวเองดีกว่าครับ ขอไปทีละขั้นๆ เน้นแบบปลอดภัยจนกว่า เราคิดว่าตัวเองรู้จริงเมื่อไหร่ ค่อยบุกเต็มตัว เพราะผมไม่ได้เรียนมาทางสายนี้ครับ ฉะนั้น ทุกอย่างสำหรับผมมันคือของใหม่หมดเลย
ส่วนคำของอาจารย์ที่บอกว่า
ขาลงให้ดู ปันผล
ขาขึ้นให้ดู P/E
ผมก็ยึดแนวทางนี้เหมือนกันนะครับ (แต่มันก็มีอะไรหลายอย่าง ที่ฟังอาจารย์ อ่านบทความอาจารย์ แล้วก็อ่านหนังสืออาจารย์แล้วงง มากมายครับ = = โดยเฉพาะ Growth นี่ล่ะ ดูยากสุด ไอ้ที่ว่าแข็งแกร่งน่ะพอดูได้ครับ แต่ เติบโตนี่สิ ยังฟันธงหุ้นไม่ได้ซักกะตัวครับ ไอ้ตัวที่ว่าดีนักดีหนาก็แพงหูฉี่ ไม่กล้าซื้อซักกะตัวครับ)
จริงๆในใจลึกๆผมก็ตั้งเป้าไว้ที่ 10-15% ต่อปีนะครับ เพียงแต่ไม่อยากหวังอะไรที่มากกว่าจะได้ในขั้นต่ำ (ขั้นต่ำของผมคือ ดอกเบี้ยธนาคาร หรือประมาณ 5%เป็นต่ำสุด)
ส่วนเรื่องที่ว่า วัดใจตัวเองกับ การที่เห็นคนอื่นได้ส่วนต่างราคาหุ้น ได้ทีละมากๆ อันนั้นผมคิดว่า ณ ตอนนี้ขอเรียนรู้ ศึกษาพัฒนาตัวเองดีกว่าครับ ขอไปทีละขั้นๆ เน้นแบบปลอดภัยจนกว่า เราคิดว่าตัวเองรู้จริงเมื่อไหร่ ค่อยบุกเต็มตัว เพราะผมไม่ได้เรียนมาทางสายนี้ครับ ฉะนั้น ทุกอย่างสำหรับผมมันคือของใหม่หมดเลย
ส่วนคำของอาจารย์ที่บอกว่า
ขาลงให้ดู ปันผล
ขาขึ้นให้ดู P/E
ผมก็ยึดแนวทางนี้เหมือนกันนะครับ (แต่มันก็มีอะไรหลายอย่าง ที่ฟังอาจารย์ อ่านบทความอาจารย์ แล้วก็อ่านหนังสืออาจารย์แล้วงง มากมายครับ = = โดยเฉพาะ Growth นี่ล่ะ ดูยากสุด ไอ้ที่ว่าแข็งแกร่งน่ะพอดูได้ครับ แต่ เติบโตนี่สิ ยังฟันธงหุ้นไม่ได้ซักกะตัวครับ ไอ้ตัวที่ว่าดีนักดีหนาก็แพงหูฉี่ ไม่กล้าซื้อซักกะตัวครับ)
-
- Verified User
- โพสต์: 210
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มองที่ปันผลเป็นหลัก ผิดรึเปล่าครับ
โพสต์ที่ 16
ผมก็เจอปัญหานี้เหมือนกันครับ
หุ้น Growth เนี่ยกว่าจะรู้จักก็ Growth ไปแล้ว แพงไปแล้ว
เรื่องมองธุรกิจเนี่ยคงต้องฝึกกันยาวๆครับ
หุ้น Growth เนี่ยกว่าจะรู้จักก็ Growth ไปแล้ว แพงไปแล้ว
เรื่องมองธุรกิจเนี่ยคงต้องฝึกกันยาวๆครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 35
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มองที่ปันผลเป็นหลัก ผิดรึเปล่าครับ
โพสต์ที่ 17
ผมได้ยิน คำพูดอาจารย์ในงานสัมมนา อยู่คำนึงแล้วเห็นภาพเลยครับ (ดูจากเทปบันทึกนะครับไม่ได้ไปจริงๆ) อยากให้เกิดวิกฤษอีก นั่นแสดงให้เห็นว่าหุ้นดีๆ มันหายากเช่นไรนั่นเองครับ T_T แมงเม่าอย่างผมก็คงได้แต่รอ หาความรู้ให้ได้มากที่สุด ถึงเวลาก็ฟันโฉะ ถ้าไม่รวยก็เจ๊งล่ะครับ 5555
- Paul Octopus
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มองที่ปันผลเป็นหลัก ผิดรึเปล่าครับ
โพสต์ที่ 18
ซื้อหุ้นตัวใหนควรจะมีความ "รัก หรือ ชอบ" ในธุรกิจนั้นๆด้วย
มันจะทำให้เราสนใจ ศีกษา และ ในท้ายที่สุด "เข้าใจ"
เมื่อเข้าใจแล้ว มันถึงจะบอกได้ว่า ราคาและอนาคต ของหุ้นตัวนั้นๆมัน OK หรือไม่ (ไม่ว่าจะเน้นเรื่อง Dividend หรือ Capital Gains)
มันจะทำให้เราสนใจ ศีกษา และ ในท้ายที่สุด "เข้าใจ"
เมื่อเข้าใจแล้ว มันถึงจะบอกได้ว่า ราคาและอนาคต ของหุ้นตัวนั้นๆมัน OK หรือไม่ (ไม่ว่าจะเน้นเรื่อง Dividend หรือ Capital Gains)
-
- Verified User
- โพสต์: 2236
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มองที่ปันผลเป็นหลัก ผิดรึเปล่าครับ
โพสต์ที่ 20
ระวังจะรักหุ้นตัวเองมากเกินไปนะครับ จะทำให้เราBIASได้ : )Paul Octopus เขียน:ซื้อหุ้นตัวใหนควรจะมีความ "รัก หรือ ชอบ" ในธุรกิจนั้นๆด้วย
มันจะทำให้เราสนใจ ศีกษา และ ในท้ายที่สุด "เข้าใจ"
เมื่อเข้าใจแล้ว มันถึงจะบอกได้ว่า ราคาและอนาคต ของหุ้นตัวนั้นๆมัน OK หรือไม่ (ไม่ว่าจะเน้นเรื่อง Dividend หรือ Capital Gains)
นักเลงคีย์บอร์ด4.0
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 340
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มองที่ปันผลเป็นหลัก ผิดรึเปล่าครับ
โพสต์ที่ 21
ดูเหมือนปันหาของคุณ chetck จะอยู่ที่การหามูลค่าที่เหมาะสมนะครับchetck เขียน:
เมื่อไหร่จะเข้าไปซื้อได้ซะที หรือว่าซื้อที่ราคานี้แหละ คุ้มค่า fair value สุดๆ ถ้าหากว่าผมทำได้ยังงั้นจริงๆ ผมก็คงเป็นยอดมนุษย์ไปแล้วล่ะครับ (แหะๆ อันนี้คือความคิดในหัวของผมนะครับ)
และถ้าความคิดเรื่องการเน้นที่ปันผลเป็นหลักมาจากสาเหตุนี้ละก็ผมคิดว่า
เราคงรจะไปศึกษาหาวิธีการหามูลค่าที่เหมาะสมดีกว่าครับ
นอกจากนี้หุ้นราคาถูกๆผมเชื่อว่ามีแน่นอน แต่ตอนนี้อาจจะหายาก
คงต้องรอวิกฤต ซึ่งผมเชื่อว่าวิกฤตจะเกิดขึ้นอีก
การเปลี่ยนแปลง เริ่มต้นจากการยอมรับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 340
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มองที่ปันผลเป็นหลัก ผิดรึเปล่าครับ
โพสต์ที่ 22
ผมเห็นด้วยกับคุณ harikung ครับว่า ถ้าคาดหวังแค่ 5% จะไม่คุ้มกับความเสี่ยง ผมคิดว่าถ้าอยากได้แค่ 5% ไปเลือกตราสารหนี้ดีกว่าครับchetck เขียน:จริงๆในใจลึกๆผมก็ตั้งเป้าไว้ที่ 10-15% ต่อปีนะครับ เพียงแต่ไม่อยากหวังอะไรที่มากกว่าจะได้ในขั้นต่ำ (ขั้นต่ำของผมคือ ดอกเบี้ยธนาคาร หรือประมาณ 5%เป็นต่ำสุด)
นอกจากนี้หากลึกๆหากผมคาดหวังไว้ที่ 10-15% ผมมักจะหาหุ้นที่คิดว่าจะให้ผลตอบแทน 15-20%(ที่เหลือเป็นส่วนเผื่อความปลอดภัย Margin of safety)
โดยสรุปจากความเห็นผมนะครับ
1.การมองปันผลเป็นหลักไม่ผิดครับ โดยเฉพาะคนฐานภาษีต่ำ คิดว่าน่าสนใจมากๆ
2.แต่การคาดหวังผมตอบแทนที่ 5% นั้นต่ำเกินไปเมื่อเทียบกับความเสี่ยงของหุ้น (สิ่งที่อาจเกิดคือ ปันผล 5% และ Port แสดงขาดทุน 25% อันนี้ผมไม่แน่ใจว่าคุณ chetck รับได้รึป่าว และประเด็นสำคัญไม่รู้ว่าจะตกใจจนขายออกไปด้วยรึป่าว)
3.อย่าลืม Magin of safety และ Mr.Market
สุดท้ายผมคิดว่าความสามารถที่สำคัญของ VI คือความ อดทน นั่นคือ อดทนรอหุ้นลงมาในราคาต่ำกว่า Intrinsic Value และอดทน รอให้ราคากลับเข้าสู่ Intrinsic Value โดยการหาราคาเหมาะสมที่แน่นอนอาจทำได้ยาก ดังนั้นเราอาจหาเป็นช่วงของราคาที่เหมาะสม(การหา Intrinsic Value นั้นอาจจไม่จะง่ายแต่ผมเชื่อว่าทุกคนทำได้ลองศึกษาดีๆนะครับ)
การเปลี่ยนแปลง เริ่มต้นจากการยอมรับ
-
- Verified User
- โพสต์: 42
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มองที่ปันผลเป็นหลัก ผิดรึเปล่าครับ
โพสต์ที่ 23
มองคล้ายๆผมเลยครับมองที่มีปันผลส่วนการเลือกหุ้นตัวไหนผมคงแนะนำไม่ได้แต่อยากแนะนำ จขกท ว่าเมื่อเราเจอหุ้นที่ต้องการแล้วในการเข้าซื้อควรจะใช้money management เข้าช่วยเช่นแบ่งเงินลงทุนเป็น10กองแล้วใช้วิธีทยอยเข้าซื้อถ้ามันลง แต่ถ้ามันขึ้นเกินกว่าเงินปันผลที่เราต้องการก็ทยอยขาย น่าจะทำให้ผลตอบแทนดีขึ้นนะครับ อันนี้ในกรณีที่ จขกท ไม่สามารถหาราคาที่เหมาะสมที่จะซื้อได้นะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 191
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มองที่ปันผลเป็นหลัก ผิดรึเปล่าครับ
โพสต์ที่ 25
ก่อนจะซื้อบริษัทไหนๆ ถึงแม้ว่าจะมีเป้าหมายในการซื้อแบบไหนๆ ก็ควรที่จะทำความเข้าใจกับตัวแปรสำคัญๆ เช่น
1.รายได้ คำถามสำคัญสำหรับหัวข้อนี้คือ
-สัดส่วนรายได้ต่อผลิตภัณฑ์ต่างๆ เป็นอย่างไร (ก็ควรมองด้วยนะครับว่าผลิตภัณฑ์อะไร )
-แต่ละผลิตภัณฑ์มีจุดขายอย่างไร (ถามตัวเองและคนที่เคยใช้สินค้าประเภทนี้ว่าทำไมถึงต้องใช้ ต้องซื้อ คำถามนี้จะทำให้ตอบได้เบื้องต้นว่าผลิตภัณฑ์ของบริษัทมีข้อดีกว่าคู่แข่งอย่างไร)
-อัตรากำไรของแต่ละผลิตภัณฑ์เป็นอย่างไร? ตรงนี้ก็คิดง่ายๆครับรายได้ - ต้นทุนขาย ดูจากหมายเหตุงบการเงินในหัวข้อจำแนกรายได้ตามลักษณะงาน ครับ(จำชื่อไม่แม่นนะครับ)
-อัตราการเติบโตของแต่ละผลิตภัณฑ์ ตรงนี้ก็ควรจะต้องเข้าใจก่อนนะครับว่าผลิตภัณฑ์แต่ละตัวเป็นอย่างไร แล้วลองมองนึกไปว่าอีก 3 ปีหรือ 5 ปีคนจะใช้เพิ่มขึ้น เท่าเดิม หรือน้อยลง ประเด็นนี้สำคัญครับเพราะคุณจะบอกตัวเองได้ว่าผลิตภัณฑ์แต่ละตัวจะอยู่กับบริษัทอีกนานไหม ถามตัวเองและคนรอบข้างที่เคยใช้สินค้าก็ได้ครับจะได้กันความลำเอียงส่วนตัว
2.ต้นทุนของแต่ละผลิตภัณฑ์
-ต้นทุนสำคัญในการผลิตคืออะไร? เป็นสินค้าประเภทราคาขึ้นลงตามตลาดหรือไม่ ถ้าราคาขึ้นลงไม่ค่อยคงที่ ผมมองว่ามันเป็นความเสี่ยงที่ใหญ่มากสำหรับธุรกิจในการที่จะควบคุมมันไว้
-ต้นทุนสำคัญๆ มีสัดส่วนระหว่างต้นทุนคงที่ (ค่าเสื่อม หรือรายจ่ายที่มีลักษณะไม่เพิ่มขึ้นตามยอดขายครับ) และต้นทุนผันแปรตามยอดขาย(วัตถุดิบในการผลิต) เป็นอย่างไร เพราะบางทีกิจการมีต้นทุนคงที่มากๆ ถ้ารายได้เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง อัตรากำไรขั้นต้นจะเพิ่มขึ้นด้วยครับ เพราะเกิดการประหยัดจากขนาดการผลิตที่มากขึ้น
-อัตราต้นทุนต่อยอดขาย ของแต่ละผลิตภัณฑ์ คือตรงนี้คุณต้องสนใจผลิตภัณฑ์ที่ขายดีก่อนครับว่า อัตรากำไรขั้นต้นเป็นอย่างไร? มีลักษณะความผันผวนไหม? ผมขอยกตัวอย่างเช่นคุณวิเคราะห์ธุรกิจ A มีผลิตภัณฑ์ AA ขายดีมากมีสัดส่วนประมาณ 70% ของยอดขาย มีอัตรากำไรขั้นต้น 10% แต่ต้นทุนส่วนมากเป็นวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตเช่นทองคำที่มีการผันผวนตามราคาตลาด ตรงนี้ก็บอกเลยว่ากำไรของบริษัทอาจจะไม่แน่นอนได้ในเวลาที่เศรษฐกิจมีความผันผวน เป็นต้นครับ
ทางด้านอื่นๆ ไว้วันหลังมาเขียนเพิ่มใหม่ครับ แต่อ่านของ lynch ดีมากเลยครับผมคิดว่า lynch คือปรมาจารย์ที่ดีอีกท่านหนึ่งในการลงทุน
1.รายได้ คำถามสำคัญสำหรับหัวข้อนี้คือ
-สัดส่วนรายได้ต่อผลิตภัณฑ์ต่างๆ เป็นอย่างไร (ก็ควรมองด้วยนะครับว่าผลิตภัณฑ์อะไร )
-แต่ละผลิตภัณฑ์มีจุดขายอย่างไร (ถามตัวเองและคนที่เคยใช้สินค้าประเภทนี้ว่าทำไมถึงต้องใช้ ต้องซื้อ คำถามนี้จะทำให้ตอบได้เบื้องต้นว่าผลิตภัณฑ์ของบริษัทมีข้อดีกว่าคู่แข่งอย่างไร)
-อัตรากำไรของแต่ละผลิตภัณฑ์เป็นอย่างไร? ตรงนี้ก็คิดง่ายๆครับรายได้ - ต้นทุนขาย ดูจากหมายเหตุงบการเงินในหัวข้อจำแนกรายได้ตามลักษณะงาน ครับ(จำชื่อไม่แม่นนะครับ)
-อัตราการเติบโตของแต่ละผลิตภัณฑ์ ตรงนี้ก็ควรจะต้องเข้าใจก่อนนะครับว่าผลิตภัณฑ์แต่ละตัวเป็นอย่างไร แล้วลองมองนึกไปว่าอีก 3 ปีหรือ 5 ปีคนจะใช้เพิ่มขึ้น เท่าเดิม หรือน้อยลง ประเด็นนี้สำคัญครับเพราะคุณจะบอกตัวเองได้ว่าผลิตภัณฑ์แต่ละตัวจะอยู่กับบริษัทอีกนานไหม ถามตัวเองและคนรอบข้างที่เคยใช้สินค้าก็ได้ครับจะได้กันความลำเอียงส่วนตัว
2.ต้นทุนของแต่ละผลิตภัณฑ์
-ต้นทุนสำคัญในการผลิตคืออะไร? เป็นสินค้าประเภทราคาขึ้นลงตามตลาดหรือไม่ ถ้าราคาขึ้นลงไม่ค่อยคงที่ ผมมองว่ามันเป็นความเสี่ยงที่ใหญ่มากสำหรับธุรกิจในการที่จะควบคุมมันไว้
-ต้นทุนสำคัญๆ มีสัดส่วนระหว่างต้นทุนคงที่ (ค่าเสื่อม หรือรายจ่ายที่มีลักษณะไม่เพิ่มขึ้นตามยอดขายครับ) และต้นทุนผันแปรตามยอดขาย(วัตถุดิบในการผลิต) เป็นอย่างไร เพราะบางทีกิจการมีต้นทุนคงที่มากๆ ถ้ารายได้เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง อัตรากำไรขั้นต้นจะเพิ่มขึ้นด้วยครับ เพราะเกิดการประหยัดจากขนาดการผลิตที่มากขึ้น
-อัตราต้นทุนต่อยอดขาย ของแต่ละผลิตภัณฑ์ คือตรงนี้คุณต้องสนใจผลิตภัณฑ์ที่ขายดีก่อนครับว่า อัตรากำไรขั้นต้นเป็นอย่างไร? มีลักษณะความผันผวนไหม? ผมขอยกตัวอย่างเช่นคุณวิเคราะห์ธุรกิจ A มีผลิตภัณฑ์ AA ขายดีมากมีสัดส่วนประมาณ 70% ของยอดขาย มีอัตรากำไรขั้นต้น 10% แต่ต้นทุนส่วนมากเป็นวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตเช่นทองคำที่มีการผันผวนตามราคาตลาด ตรงนี้ก็บอกเลยว่ากำไรของบริษัทอาจจะไม่แน่นอนได้ในเวลาที่เศรษฐกิจมีความผันผวน เป็นต้นครับ
ทางด้านอื่นๆ ไว้วันหลังมาเขียนเพิ่มใหม่ครับ แต่อ่านของ lynch ดีมากเลยครับผมคิดว่า lynch คือปรมาจารย์ที่ดีอีกท่านหนึ่งในการลงทุน
อย่าเชื่อสิ่งที่พระเจ้าบอก แต่จงคิดและเลือกที่จะเชื่อด้วยตัวท่านเอง !!
-
- Verified User
- โพสต์: 760
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มองที่ปันผลเป็นหลัก ผิดรึเปล่าครับ
โพสต์ที่ 26
ผมขอแนะสำหรับมือใหม่จริงๆนะครับ โดยยกประโยคเด็ดต่างๆจากพี่ๆที่น่านับถือหลายท่านในThai VI มาเรียบเรียงใหม่
(ผมไม่ได้คิดเองทั้งหมดนะครับ แต่ยืมมาจากหลายท่านมาก ไม่ได้จดไว้ว่าแต่ละประโยคใครพูด จำไม่ได้)
เงินปันผลโดยทั่วไปมักจะปันมาจากส่วนหนึ่งของกำไรที่ได้ แต่มีบ้างบางบริษัทที่จ่ายปันผลมากกว่ากำไรที่ทำได้ในปีนั้นๆ โดยเอาจากกำไรสะสมในบริษัทมาจ่าย หรือ บางบริษัทกู้หนี้มากแล้วมาจ่ายปันผลมากๆ อย่างนี้ให้ระวังเงินเก็บในบริษัทจะหมด หรือ จะมีหนี้สินเพิ่มพูนมากมายในภายหลัง (บริษัทหรือคนที่จะรวยได้ ต้องรู้จักประหยัด ไม่ใช่มีกำไรหรือทำเงินได้เท่าไหร่ ก็เอาแจกจ่ายหรือใช้จ่ายจนหมด)
อย่างไรก็ตามเงินปันผลนี้ ผู้ถือหุ้นบางคนก็มองว่าเป็นสิ่งตอบแทนต่อตัวเราเองที่แน่นอนกว่ากำไรที่เข้าบริษัท เพราะกำไรส่วนที่อยู่กับบริษัทนั้นมองอีกมุมเราก็ไม่ได้เงินมาถึงตัวเองสักที อยู่ในบริษัทอย่างไรก็อยู่อย่างนั้นแถมถ้าบริษัทเอาเงินกำไรที่เก็บสะสมก้อนนี้ไปลงทุนผิดพลาดในภายหลัง เราก็จะเสียเงินที่ฝากไว้กับบริษัทก้อนนี้ไป บางคนจึงชอบบริษัทที่ได้กำไรมาเท่าไหร่ก็เอามาจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นมากๆ
แต่กลับกัน บางคนมั่นใจในความน่าเชื่อถือของบริษัทว่าจะไม่คดโกงไซฟ่อนเงินออกไป รวมทั้งมั่นใจในศักยภาพของบริษัทว่าจะเอาเงินเก็บก้อนนี้ (ที่ไม่ได้ปันผลออกมา) ไปลงทุนให้งอกเงยได้ดีในวันหน้า ก็ยอมอดเปรี้ยวไว้กินหวาน เผื่อวันหน้าบริษัทจะทำกำไรได้มากขึ้น แล้วอนาคตจะจ่ายปันผลได้สูงกว่าเดิมอีกมาก รวมทั้งราคาหุ้นก็จะสูงขึ้นด้วย
ดังนั้น เราจึงต้องพิจารณาเอาเองว่าบริษัทจ่ายปันผลได้เหมาะสมพอดีและเราพอใจหรือไม่ รู้สึกว่ายุติธรรมกับผู้ถือหุ้นหรือไม่ (บริษัทดีพอที่เราจะลงทุนหรือไม่) เช่น ถ้าบริษัทได้กำไรดีมาก แถมไม่มีหนี้ และยังไม่มีโครงการลงทุนใหม่ ก็น่าจะจ่ายปันผลมากหน่อย เป็นต้น
หากชอบที่จะลงทุนในหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสูง สิ่งที่ต้องมองหาคือความยั่งยืนและคุณภาพของเงินปันผล โดยดูอนาคตของกิจการว่าจะทำกำไรได้ดีต่อไปอีกนานหรือไม่ และถ้าเราถือหุ้นของกิจการที่เติบโตไปเรื่อยๆจะทำให้เราได้ปันผลที่มากขึ้นเรื่อยๆด้วย ไม่ใช่ว่าปันผลดีแค่วันนี้แต่อนาคตอาจจะไม่ได้อย่างเดิม เพราะกิจการแย่ลง
สุดท้าย เราจะได้%ปันผลมากหรือน้อย ก็ขึ้นกับ เงินปันผลต่อหุ้น(ที่เราคาดว่าบริษัทจะจ่าย) และ ราคาหุ้นที่เราซื้อด้วย
เพราะ อัตราการปันผลเทียบกับราคาหุ้นขณะนั้น (% ต่อปี) = dividen yield (เงินปันผลต่อหุ้น x 100) / ราคาหุ้น
ฉะนั้นหากเราซื้อหุ้นที่มีMOSมาก หรือซื้อตอนหุ้นถูกมากๆ อะไรก็ดีไปหมด เราก็จะได้ปันผลในสัดส่วนสูงมากด้วยโดยปริยาย
(ผมไม่ได้คิดเองทั้งหมดนะครับ แต่ยืมมาจากหลายท่านมาก ไม่ได้จดไว้ว่าแต่ละประโยคใครพูด จำไม่ได้)
เงินปันผลโดยทั่วไปมักจะปันมาจากส่วนหนึ่งของกำไรที่ได้ แต่มีบ้างบางบริษัทที่จ่ายปันผลมากกว่ากำไรที่ทำได้ในปีนั้นๆ โดยเอาจากกำไรสะสมในบริษัทมาจ่าย หรือ บางบริษัทกู้หนี้มากแล้วมาจ่ายปันผลมากๆ อย่างนี้ให้ระวังเงินเก็บในบริษัทจะหมด หรือ จะมีหนี้สินเพิ่มพูนมากมายในภายหลัง (บริษัทหรือคนที่จะรวยได้ ต้องรู้จักประหยัด ไม่ใช่มีกำไรหรือทำเงินได้เท่าไหร่ ก็เอาแจกจ่ายหรือใช้จ่ายจนหมด)
อย่างไรก็ตามเงินปันผลนี้ ผู้ถือหุ้นบางคนก็มองว่าเป็นสิ่งตอบแทนต่อตัวเราเองที่แน่นอนกว่ากำไรที่เข้าบริษัท เพราะกำไรส่วนที่อยู่กับบริษัทนั้นมองอีกมุมเราก็ไม่ได้เงินมาถึงตัวเองสักที อยู่ในบริษัทอย่างไรก็อยู่อย่างนั้นแถมถ้าบริษัทเอาเงินกำไรที่เก็บสะสมก้อนนี้ไปลงทุนผิดพลาดในภายหลัง เราก็จะเสียเงินที่ฝากไว้กับบริษัทก้อนนี้ไป บางคนจึงชอบบริษัทที่ได้กำไรมาเท่าไหร่ก็เอามาจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นมากๆ
แต่กลับกัน บางคนมั่นใจในความน่าเชื่อถือของบริษัทว่าจะไม่คดโกงไซฟ่อนเงินออกไป รวมทั้งมั่นใจในศักยภาพของบริษัทว่าจะเอาเงินเก็บก้อนนี้ (ที่ไม่ได้ปันผลออกมา) ไปลงทุนให้งอกเงยได้ดีในวันหน้า ก็ยอมอดเปรี้ยวไว้กินหวาน เผื่อวันหน้าบริษัทจะทำกำไรได้มากขึ้น แล้วอนาคตจะจ่ายปันผลได้สูงกว่าเดิมอีกมาก รวมทั้งราคาหุ้นก็จะสูงขึ้นด้วย
ดังนั้น เราจึงต้องพิจารณาเอาเองว่าบริษัทจ่ายปันผลได้เหมาะสมพอดีและเราพอใจหรือไม่ รู้สึกว่ายุติธรรมกับผู้ถือหุ้นหรือไม่ (บริษัทดีพอที่เราจะลงทุนหรือไม่) เช่น ถ้าบริษัทได้กำไรดีมาก แถมไม่มีหนี้ และยังไม่มีโครงการลงทุนใหม่ ก็น่าจะจ่ายปันผลมากหน่อย เป็นต้น
หากชอบที่จะลงทุนในหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสูง สิ่งที่ต้องมองหาคือความยั่งยืนและคุณภาพของเงินปันผล โดยดูอนาคตของกิจการว่าจะทำกำไรได้ดีต่อไปอีกนานหรือไม่ และถ้าเราถือหุ้นของกิจการที่เติบโตไปเรื่อยๆจะทำให้เราได้ปันผลที่มากขึ้นเรื่อยๆด้วย ไม่ใช่ว่าปันผลดีแค่วันนี้แต่อนาคตอาจจะไม่ได้อย่างเดิม เพราะกิจการแย่ลง
สุดท้าย เราจะได้%ปันผลมากหรือน้อย ก็ขึ้นกับ เงินปันผลต่อหุ้น(ที่เราคาดว่าบริษัทจะจ่าย) และ ราคาหุ้นที่เราซื้อด้วย
เพราะ อัตราการปันผลเทียบกับราคาหุ้นขณะนั้น (% ต่อปี) = dividen yield (เงินปันผลต่อหุ้น x 100) / ราคาหุ้น
ฉะนั้นหากเราซื้อหุ้นที่มีMOSมาก หรือซื้อตอนหุ้นถูกมากๆ อะไรก็ดีไปหมด เราก็จะได้ปันผลในสัดส่วนสูงมากด้วยโดยปริยาย
- จุดแข็งทางธุรกิจที่เลียนแบบได้ยาก มักต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการสร้างและเพาะบ่มเสมอ ไม่สามารถเนรมิตได้ด้วยเงิน (สุมาอี้)
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
- Suysak
- Verified User
- โพสต์: 691
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มองที่ปันผลเป็นหลัก ผิดรึเปล่าครับ
โพสต์ที่ 28
ผมชอบหลักการน้องเขานะ ลงทุนแล้วมาเล่าสู่กันฟังบ้าง จะเป็นเคสที่ดีให้บอร์ดเลย
เริ่มต้นง่ายๆอย่างนี้แหละ เลือกบริษัทที่ธุรกิจอยู่มานานๆ มีปันผลต่อเนื่อง
แล้วถือไปเรื่อย เอาเงินปันผลมาซื้อตัวมันเอง มันจะแดงจะเขียวช่างมัน เอาบริษัทไม่เจ้งไว้ก่อน
รวยๆๆๆๆๆๆ
เริ่มต้นง่ายๆอย่างนี้แหละ เลือกบริษัทที่ธุรกิจอยู่มานานๆ มีปันผลต่อเนื่อง
แล้วถือไปเรื่อย เอาเงินปันผลมาซื้อตัวมันเอง มันจะแดงจะเขียวช่างมัน เอาบริษัทไม่เจ้งไว้ก่อน
รวยๆๆๆๆๆๆ
โอ้ละหนอดวงเดือนเอย พี่มาเว้ารักเจ้าสาวคำดวง
โอ้ดึกแล้วหนอพี่ขอลาล่วง อกพี่เป็นหวงรักเจ้าดวงเดือนเอย
โอ้ดึกแล้วหนอพี่ขอลาล่วง อกพี่เป็นหวงรักเจ้าดวงเดือนเอย
-
- Verified User
- โพสต์: 35
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มองที่ปันผลเป็นหลัก ผิดรึเปล่าครับ
โพสต์ที่ 29
ผมคิดแบบง่ายๆที่สุดเลยก็คือ ในช่วงเรียนรู้ ถ้าขาดทุนก็ถือเป็นค่าเล่าเรียนไงครับ ในปีแรก ผมไม่ได้หวังอะไรมากมาย เหมือนเรียนทางลัดซะมากกว่าลองของจริงดีกว่า นั่งอยู่กับทฤษฏีอยู่กับตำรา มันช่วยเสริมความรู้ให้เราได้ แต่มันไม่สามารถบังคับหรือเลือกหุ้นให้เราได้ เพราะเราต้องเลือกเองเล่นเอง (แล้วก็เจ็บเอง)
นั่งอ่านตำรา นั่งฟังบรรยาย ตามหลักตามทฤษฏี ให้ดู p/e p/bv roe roa yeild ฯลฯ อีกมากมาย แต่ถ้าถามคนเหล่านั้นว่าเวลาเลือกหุ้นจริงๆ เค้าเลือกกันยังไง ค่าต่างๆมันก็เป็นตัวคัดกรอง เวลาเลือกจริงๆ ใช้ประสบการณ์กับความรู้ที่่สั่งสมมาต่างหากในการเลือกหุ้น นั่นแหละครับที่ผมอยากได้มากที่สุด
นั่งอ่านตำรา นั่งฟังบรรยาย ตามหลักตามทฤษฏี ให้ดู p/e p/bv roe roa yeild ฯลฯ อีกมากมาย แต่ถ้าถามคนเหล่านั้นว่าเวลาเลือกหุ้นจริงๆ เค้าเลือกกันยังไง ค่าต่างๆมันก็เป็นตัวคัดกรอง เวลาเลือกจริงๆ ใช้ประสบการณ์กับความรู้ที่่สั่งสมมาต่างหากในการเลือกหุ้น นั่นแหละครับที่ผมอยากได้มากที่สุด
- Paul Octopus
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มองที่ปันผลเป็นหลัก ผิดรึเปล่าครับ
โพสต์ที่ 30
[quote="chetck"]ผมคิดแบบง่ายๆที่สุดเลยก็คือ ในช่วงเรียนรู้ ถ้าขาดทุนก็ถือเป็นค่าเล่าเรียนไงครับ ในปีแรก ผมไม่ได้หวังอะไรมากมาย เหมือนเรียนทางลัดซะมากกว่าลองของจริงดีกว่า นั่งอยู่กับทฤษฏีอยู่กับตำรา มันช่วยเสริมความรู้ให้เราได้ แต่มันไม่สามารถบังคับหรือเลือกหุ้นให้เราได้ เพราะเราต้องเลือกเองเล่นเอง (แล้วก็เจ็บเอง)
นั่งอ่านตำรา นั่งฟังบรรยาย ตามหลักตามทฤษฏี ให้ดู p/e p/bv roe roa yeild ฯลฯ อีกมากมาย แต่ถ้าถามคนเหล่านั้นว่าเวลาเลือกหุ้นจริงๆ เค้าเลือกกันยังไง ค่าต่างๆมันก็เป็นตัวคัดกรอง เวลาเลือกจริงๆ ใช้ประสบการณ์กับความรู้ที่่สั่งสมมาต่างหากในการเลือกหุ้น นั่นแหละครับที่ผมอยากได้มากที่สุด[/quote]
ขอ Share แบบวันหยุดสบายๆนะครับ
แบบที่ผมเคย Share ไว้เราควรมีความรักในธุรกิจที่เราซื้อ อย่ามองไปที่ กำไรไม่ว่าจะ Capital gain หรือ ปันผล แต่เพียงอย่างเดียว
Port ผมมีหุ้นอยู่หลายตัว วันนี้มันเหมือนสินค้าต่างๆในบริษัทของผม
สินค้าบางตัวเป็น Cash Cow ให้น้ำนมอย่างสม่ำเสมอ (หุ้นปันผล) เพื่อสร้างกระแสเงินสดตลอดปี กระแสเงินที่ว่านี้มีเพื่อเอากลับไปขยายสินค้าที่มีอยู่ (หุ้น) เพื่อให้เราไม่เสียโอกาสในบางเวลาที่หุ้นบางตัวกลับลงมาต่ำกว่ามูลค่า ฯลฯ
สินค้าบางตัวเป็นตัวขายเอากำไรแบบ Premium (หุ้นที่เน้น Capital gain) แน่นอนมันมีความเสี่ยงมากขึ้นที่สินค้าจะขายไม่ได้และขาดทุน หรือ แม้กระทั้ง Divest มันไป
สินค้าทั้งหมดเราต้องเข้าใจ ว่าสินค้ามันดีอย่างไร มีอนาคตแค่ใหน อะไรเป็น Critical Point หรือ Risk!
ผบห. ของบริษัทก็เหมือน Product Managers ของบริษัทเรา บางคนดี บางคนไม่มี ธรรมาภาบาล เราสมควรไล่ออก (คือขายทิ้งไปดีกว่า) สินค้าดีแต่ Product Manager เจ้าเ ล่ห์มันไม่ไหวอยู่แล้ว
วันนี้ผมถือหุ้นแบบนี้ มันทำให้เราใจเย็น และ สนุกกับบริษัทของเรา (พอร์ด) และ เห็นมันเติบโตแบบช้าๆแต่เกือบจะอยู่ภายไต้การบริหารจัดการของเรา
แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ ต้อง ศึกษาครับ ห้ามหยุด โลกเปลี่ยนเร็วเหลือเกิน
ขอให้โชคดีกับหุ้นปันผล ครับ
นั่งอ่านตำรา นั่งฟังบรรยาย ตามหลักตามทฤษฏี ให้ดู p/e p/bv roe roa yeild ฯลฯ อีกมากมาย แต่ถ้าถามคนเหล่านั้นว่าเวลาเลือกหุ้นจริงๆ เค้าเลือกกันยังไง ค่าต่างๆมันก็เป็นตัวคัดกรอง เวลาเลือกจริงๆ ใช้ประสบการณ์กับความรู้ที่่สั่งสมมาต่างหากในการเลือกหุ้น นั่นแหละครับที่ผมอยากได้มากที่สุด[/quote]
ขอ Share แบบวันหยุดสบายๆนะครับ
แบบที่ผมเคย Share ไว้เราควรมีความรักในธุรกิจที่เราซื้อ อย่ามองไปที่ กำไรไม่ว่าจะ Capital gain หรือ ปันผล แต่เพียงอย่างเดียว
Port ผมมีหุ้นอยู่หลายตัว วันนี้มันเหมือนสินค้าต่างๆในบริษัทของผม
สินค้าบางตัวเป็น Cash Cow ให้น้ำนมอย่างสม่ำเสมอ (หุ้นปันผล) เพื่อสร้างกระแสเงินสดตลอดปี กระแสเงินที่ว่านี้มีเพื่อเอากลับไปขยายสินค้าที่มีอยู่ (หุ้น) เพื่อให้เราไม่เสียโอกาสในบางเวลาที่หุ้นบางตัวกลับลงมาต่ำกว่ามูลค่า ฯลฯ
สินค้าบางตัวเป็นตัวขายเอากำไรแบบ Premium (หุ้นที่เน้น Capital gain) แน่นอนมันมีความเสี่ยงมากขึ้นที่สินค้าจะขายไม่ได้และขาดทุน หรือ แม้กระทั้ง Divest มันไป
สินค้าทั้งหมดเราต้องเข้าใจ ว่าสินค้ามันดีอย่างไร มีอนาคตแค่ใหน อะไรเป็น Critical Point หรือ Risk!
ผบห. ของบริษัทก็เหมือน Product Managers ของบริษัทเรา บางคนดี บางคนไม่มี ธรรมาภาบาล เราสมควรไล่ออก (คือขายทิ้งไปดีกว่า) สินค้าดีแต่ Product Manager เจ้าเ ล่ห์มันไม่ไหวอยู่แล้ว
วันนี้ผมถือหุ้นแบบนี้ มันทำให้เราใจเย็น และ สนุกกับบริษัทของเรา (พอร์ด) และ เห็นมันเติบโตแบบช้าๆแต่เกือบจะอยู่ภายไต้การบริหารจัดการของเรา
แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ ต้อง ศึกษาครับ ห้ามหยุด โลกเปลี่ยนเร็วเหลือเกิน
ขอให้โชคดีกับหุ้นปันผล ครับ