10 ล้านบาทแรกในชีวิต (ลอกจาก Post คุณ Skyforever)
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 51
- ผู้ติดตาม: 0
Re: 10 ล้านบาทแรกในชีวิต (ลอกจาก Post คุณ Skyforever)
โพสต์ที่ 61
มาอ่านประวัติพอร์ทของหลายๆ ท่านที่ประสบความสำเร็จทั้ง 10 ล้าน หรือ ไม่ถึงแต่ก็ภูมิใจ มีความสุข อ่านแล้วน่าชื่นใจดีครับ ยินดีกับทุกๆท่านด้วยครับ สำหรับท่านกำลังพยายามอยู่ก็ขอเป็นกำลังใจให้ครับ แต่ปีนี้ดูท่าจะเหนื่อยหน่อย แค่ไม่ติดลบจากปีที่แล้วก็ดีแล้วสำหรับผม
-
- Verified User
- โพสต์: 2126
- ผู้ติดตาม: 1
Re: 10 ล้านบาทแรกในชีวิต (ลอกจาก Post คุณ Skyforever)
โพสต์ที่ 63
ผมว่าการที่จะบอกว่า มีเงินล้านแล้วเป็นความภูมิใจ ผมว่าไม่ใช่เลยนะครับ
เช่นถ้าคนที่เงินลงทุน 9 ล้าน แล้วกำไรแค่ล้านเดียวแค่สิบ % ก็10 ล้าน หรือบางคน เริ่มเล่นบอก 1 ล้าน แต่ระหว่างทางเพิ่มทุนเข้าไป 8 ล้าน แล้วก็มาบอกว่าเริ่ม 1 ล้านวันนี้มี 10 ล้านแล้วนี่ก็เหมือนหลอกตัวเอง
กับคนที่เริ่มต้นเงินลงทุนที่ 1 แสนแล้วไปถึง 10 ล้านมันคนล่ะเรื่องเลยครับ
ผมว่าสุดท้ายต้องดูที่ผลตอบแทนทบต้นครับ ตัวเงินมันไม่ได้บอกอะไรเลย
ที่พูดทั้งหมดก็แค่อยากจะบอกว่าความภูมิใจในการเล่นหุ้น มันต้องอยู่ที่ผลตอบแทน % ทบต้นครับ
เช่นถ้าคนที่เงินลงทุน 9 ล้าน แล้วกำไรแค่ล้านเดียวแค่สิบ % ก็10 ล้าน หรือบางคน เริ่มเล่นบอก 1 ล้าน แต่ระหว่างทางเพิ่มทุนเข้าไป 8 ล้าน แล้วก็มาบอกว่าเริ่ม 1 ล้านวันนี้มี 10 ล้านแล้วนี่ก็เหมือนหลอกตัวเอง
กับคนที่เริ่มต้นเงินลงทุนที่ 1 แสนแล้วไปถึง 10 ล้านมันคนล่ะเรื่องเลยครับ
ผมว่าสุดท้ายต้องดูที่ผลตอบแทนทบต้นครับ ตัวเงินมันไม่ได้บอกอะไรเลย
ที่พูดทั้งหมดก็แค่อยากจะบอกว่าความภูมิใจในการเล่นหุ้น มันต้องอยู่ที่ผลตอบแทน % ทบต้นครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 962
- ผู้ติดตาม: 0
Re: 10 ล้านบาทแรกในชีวิต (ลอกจาก Post คุณ Skyforever)
โพสต์ที่ 64
เมื่อก่อนผมก็ลงทุนแบบไม่เคยตั้งเป้าหมายเลยครับ
ที่ผ่านมา 6-7 ปีผมก็ลงทุนแบบ VI งูๆปลาๆ ผลตอบแทนก็เฉลี่ย ทบต้นอยู่ที่ 20%
เงินเริ่มต้นที่ 2 แสน แล้วก็ใส่เพิ่มไปอีกเรื่อยๆ รวมๆแล้วใส่ทุนไปทั้งหมด 4 แสนได้
ปัจจุบันเพิ่งจะแตะ 1 ล้าน ปริ่มๆ :lol:
แต่ตอนนี้ผมเริ่มตั้งเป้าหมายแล้ว ว่าจะพยายามให้ได้ 20 ล้าน ภายใน 10 ปีต่อจากนี้ครับ
ที่ผ่านมา 6-7 ปีผมก็ลงทุนแบบ VI งูๆปลาๆ ผลตอบแทนก็เฉลี่ย ทบต้นอยู่ที่ 20%
เงินเริ่มต้นที่ 2 แสน แล้วก็ใส่เพิ่มไปอีกเรื่อยๆ รวมๆแล้วใส่ทุนไปทั้งหมด 4 แสนได้
ปัจจุบันเพิ่งจะแตะ 1 ล้าน ปริ่มๆ :lol:
แต่ตอนนี้ผมเริ่มตั้งเป้าหมายแล้ว ว่าจะพยายามให้ได้ 20 ล้าน ภายใน 10 ปีต่อจากนี้ครับ
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4741
- ผู้ติดตาม: 1
Re: 10 ล้านบาทแรกในชีวิต (ลอกจาก Post คุณ Skyforever)
โพสต์ที่ 65
น้องเล็กครับleksmile เขียน:ผมว่าการที่จะบอกว่า มีเงินล้านแล้วเป็นความภูมิใจ ผมว่าไม่ใช่เลยนะครับ
เช่นถ้าคนที่เงินลงทุน 9 ล้าน แล้วกำไรแค่ล้านเดียวแค่สิบ % ก็10 ล้าน หรือบางคน เริ่มเล่นบอก 1 ล้าน แต่ระหว่างทางเพิ่มทุนเข้าไป 8 ล้าน แล้วก็มาบอกว่าเริ่ม 1 ล้านวันนี้มี 10 ล้านแล้วนี่ก็เหมือนหลอกตัวเอง
กับคนที่เริ่มต้นเงินลงทุนที่ 1 แสนแล้วไปถึง 10 ล้านมันคนล่ะเรื่องเลยครับ
ผมว่าสุดท้ายต้องดูที่ผลตอบแทนทบต้นครับ ตัวเงินมันไม่ได้บอกอะไรเลย
ที่พูดทั้งหมดก็แค่อยากจะบอกว่าความภูมิใจในการเล่นหุ้น มันต้องอยู่ที่ผลตอบแทน % ทบต้นครับ
บางทีตัวเลขในพอร์ต มันก็ทำให้เรา เคลิ้มใจได้เหมือนกันนะครับ :lol:
แต่ก็เห็นด้วยครับว่า ผลตอบแทนทบต้น % ต่อปี
เป็นตัววัดความภูมิใจในการลงทุน มากกว่าตัวเงิน
คนที่ได้ผลตอบแทนต่อปีมากๆ ก็จะเห็น จำนวนเงินในพอร์ตตามเป้าหมาย เร็วกว่า
สำหรับ คนที่หวังผลตอบแทนต่อปีน้อยกว่าหน่อย จำนวนเงินตามเป้า ก็จะมาช้ากว่า
ดังนั้นคนที่ถึงเป้าหมายก่อนน่าจะภูมิใจกว่า
แต่มองอีกมุมหนึง หากเงิน ที่ได้มาเพื่อการลงทุนในหุ้น มาจากน้ำพักน้ำแรง และ การอดออม
ซึ่งมันได้มาอย่างยาก มันก็เป็นหนึ่งใน ความภาคภูมิใจเหมือนกันนะครับ
ดังนั้นพี่คิดว่า ในที่สุดของการลงทุน ทุกคนมี เป้าหมายหนึ่งคือ จำนวนเงินในพอร์ต
แค่อีกหนึงความคิดเห็นครับ
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
-
- Verified User
- โพสต์: 334
- ผู้ติดตาม: 0
Re: 10 ล้านบาทแรกในชีวิต (ลอกจาก Post คุณ Skyforever)
โพสต์ที่ 66
เห็นด้วยครับ ความภูมิใจของผม ส่วนหนึ่งก็มาจากการทำงานจากน้ำพักน้ำแรงdome@perth เขียน:น้องเล็กครับleksmile เขียน:ผมว่าการที่จะบอกว่า มีเงินล้านแล้วเป็นความภูมิใจ ผมว่าไม่ใช่เลยนะครับ
เช่นถ้าคนที่เงินลงทุน 9 ล้าน แล้วกำไรแค่ล้านเดียวแค่สิบ % ก็10 ล้าน หรือบางคน เริ่มเล่นบอก 1 ล้าน แต่ระหว่างทางเพิ่มทุนเข้าไป 8 ล้าน แล้วก็มาบอกว่าเริ่ม 1 ล้านวันนี้มี 10 ล้านแล้วนี่ก็เหมือนหลอกตัวเอง
กับคนที่เริ่มต้นเงินลงทุนที่ 1 แสนแล้วไปถึง 10 ล้านมันคนล่ะเรื่องเลยครับ
ผมว่าสุดท้ายต้องดูที่ผลตอบแทนทบต้นครับ ตัวเงินมันไม่ได้บอกอะไรเลย
ที่พูดทั้งหมดก็แค่อยากจะบอกว่าความภูมิใจในการเล่นหุ้น มันต้องอยู่ที่ผลตอบแทน % ทบต้นครับ
บางทีตัวเลขในพอร์ต มันก็ทำให้เรา เคลิ้มใจได้เหมือนกันนะครับ :lol:
แต่ก็เห็นด้วยครับว่า ผลตอบแทนทบต้น % ต่อปี
เป็นตัววัดความภูมิใจในการลงทุน มากกว่าตัวเงิน
คนที่ได้ผลตอบแทนต่อปีมากๆ ก็จะเห็น จำนวนเงินในพอร์ตตามเป้าหมาย เร็วกว่า
สำหรับ คนที่หวังผลตอบแทนต่อปีน้อยกว่าหน่อย จำนวนเงินตามเป้า ก็จะมาช้ากว่า
ดังนั้นคนที่ถึงเป้าหมายก่อนน่าจะภูมิใจกว่า
แต่มองอีกมุมหนึง หากเงิน ที่ได้มาเพื่อการลงทุนในหุ้น มาจากน้ำพักน้ำแรง และ การอดออม
ซึ่งมันได้มาอย่างยาก มันก็เป็นหนึ่งใน ความภาคภูมิใจเหมือนกันนะครับ
ดังนั้นพี่คิดว่า ในที่สุดของการลงทุน ทุกคนมี เป้าหมายหนึ่งคือ จำนวนเงินในพอร์ต
แค่อีกหนึงความคิดเห็นครับ
ผมทำงานกับบริษัทอเมริกัน ก้ดีใจที่ได้เงินเดือนจากเค้า ดึงเงินมาจากต่างชาติมาเข้าประเทศได้
และก็คนที่ลงทุน ถ้าเค้าไม่มีความสามารถ ไม่ช้าไม่นาน เงินเก็บจากน้ำพักน้ำแรงขอเค้าก็จะหมดไปกับตลาดหุ้นไปเองครับ
ความภูมิใจอีกอย่างคือ การตอบแทนสังคม อย่างเงินเครดิตภาษีทั้งหมด ผมเก็บไว้บริจาคทั้งหมดครับ ถ้าพวกเราเผื่อแผ่สังคม
โลกก้จะน่าอยู่ขึ้นครับ
ตลาดมีประสิทธิภาพ(เป็นบางตัว)
-
- Verified User
- โพสต์: 8
- ผู้ติดตาม: 0
Re: 10 ล้านบาทแรกในชีวิต (ลอกจาก Post คุณ Skyforever)
โพสต์ที่ 70
จำได้แต่ตอนมีล้านแรกครับ ตอนอายุ21 เริ่มเล่นตอนอายุ17 เงินเริ่มต้นที่170000บาทตอนปี2529 ฝากพอร์ตพี่สาวเพื่อน ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ตอน10ล้านแรกจำไม่ได้ครับ ตอน9หลักก็น่าจะตอนอายุ34-35 แต่ตอนนี้อายุ42ไม่เอาแล้วครับ ค่อยค่อยถอยจากตลาดแล้วครับ เบื่อครับ อยากไม่คิดเรื่องเงินแล้วครับ
ผมว่า ล้านแรกยากสุดครับ ทั้งเงินที่ใช้จากน้อยไปหามาก ทั้งความรู้และพรรคพวกก็น้อย พอพอร์ตใหญ่ขึ้น อะไรอะไรก็ง่ายขึ้นครับ
ผมว่า ล้านแรกยากสุดครับ ทั้งเงินที่ใช้จากน้อยไปหามาก ทั้งความรู้และพรรคพวกก็น้อย พอพอร์ตใหญ่ขึ้น อะไรอะไรก็ง่ายขึ้นครับ
- canuseeme
- Verified User
- โพสต์: 302
- ผู้ติดตาม: 0
Re: 10 ล้านบาทแรกในชีวิต (ลอกจาก Post คุณ Skyforever)
โพสต์ที่ 71
จะมี กระทู้ 100 ล้าน มั้ยครับนี่
ผมจะได้ไปตั้งรอไว้ก่อน
(แต่ตัวเองยังไม่ผ่าน ล้าน แรก เลย 55)
ผมจะได้ไปตั้งรอไว้ก่อน
(แต่ตัวเองยังไม่ผ่าน ล้าน แรก เลย 55)
ปัญญาไม่มีในผู้ไม่พิจารณา
There is no fate but what we make
https://www.facebook.com/pages/คัดหุ้นซวย
There is no fate but what we make
https://www.facebook.com/pages/คัดหุ้นซวย
- Paul Octopus
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: 10 ล้านบาทแรกในชีวิต (ลอกจาก Post คุณ Skyforever)
โพสต์ที่ 72
ที่มันยากจริงๆ เป็นเงินก้อนแรกที่ลงทุน อย่าว่าแต่จะเอาเท่าโน้นเท่านี้เลย ไม่ให้ขาดทุนยังลุ้นกันเครียด
เมื่อเวลาผ่านไป ถึงเข้าใจ เงินเท่าไหร่เป็นผลพลอยได้ต่างหาก
Value ของตัวเรามันเพิ่มไปเท่าไหร่แล้วต่างหาก
ถ้าเราเพิ่มความสามารถของตัวเราได้มากขึ้น ผลตอบแทนจะกลับมาได้เอง
ผมเลิกสนใจว่ามันต้องถึงกี่หลักไปแล้ว แต่สนใจว่าจะมีความสามารถมากขึ้นได้อย่างไร
วันนี้ถีงจะผ่าน 8 หลักไปแล้วแต่ยังให้เวลากับตัวเองอีก 10 ปี (2020) ถึงจะกล้าพอที่จะบอกว่า Value ในตัวเราน่าจะพออยู่ได้สำหรับเป็น Investor มืออาชีพ
เมื่อเวลาผ่านไป ถึงเข้าใจ เงินเท่าไหร่เป็นผลพลอยได้ต่างหาก
Value ของตัวเรามันเพิ่มไปเท่าไหร่แล้วต่างหาก
ถ้าเราเพิ่มความสามารถของตัวเราได้มากขึ้น ผลตอบแทนจะกลับมาได้เอง
ผมเลิกสนใจว่ามันต้องถึงกี่หลักไปแล้ว แต่สนใจว่าจะมีความสามารถมากขึ้นได้อย่างไร
วันนี้ถีงจะผ่าน 8 หลักไปแล้วแต่ยังให้เวลากับตัวเองอีก 10 ปี (2020) ถึงจะกล้าพอที่จะบอกว่า Value ในตัวเราน่าจะพออยู่ได้สำหรับเป็น Investor มืออาชีพ
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: 10 ล้านบาทแรกในชีวิต (ลอกจาก Post คุณ Skyforever)
โพสต์ที่ 73
วันนี้...ผมอายุ "36 ปี 2 เดือน" พอดิบพอดี
กับ 10 ล้านบาทแรกในชีวิตของผม
"เงินลงทุนรวมทั้งหมดในพอร์ตของผม 1.5 ล้านบาท กับเวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว 2 ปี"
กับจุดประกายแรก คือ..."ตลาดไม่มีประสิทธิภาพทั้ง100% และจะทิ้งช่องว่างขอโอกาสให้พวกเราเสมอ!!!"
และจุดประกายที่สอง คือ..."หุ้น Turnaround...คือการได้เป็นเจ้าของบริษัทฯดีๆในราคาที่ถูกเหลือเชื่อ!!!"
และข้อเตือนใจที่สำคัญที่สุดของผม คือ...
"เราเป็นนักลงทุนครับ...ไม่ใช่นักเล่นหุ้น!!!"
(^_^)
ปล.
ว่าแต่...มันจะยืนสิบล้านได้กี่วันหว่า 555+
(เพราะหุ้นขึ้นมาแรง ก็อาจลงแรงๆได้เช่นกัน มันเป็นธรรมดาของมัน เช่นนั้นเอง)
กับ 10 ล้านบาทแรกในชีวิตของผม
"เงินลงทุนรวมทั้งหมดในพอร์ตของผม 1.5 ล้านบาท กับเวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว 2 ปี"
กับจุดประกายแรก คือ..."ตลาดไม่มีประสิทธิภาพทั้ง100% และจะทิ้งช่องว่างขอโอกาสให้พวกเราเสมอ!!!"
และจุดประกายที่สอง คือ..."หุ้น Turnaround...คือการได้เป็นเจ้าของบริษัทฯดีๆในราคาที่ถูกเหลือเชื่อ!!!"
และข้อเตือนใจที่สำคัญที่สุดของผม คือ...
"เราเป็นนักลงทุนครับ...ไม่ใช่นักเล่นหุ้น!!!"
(^_^)
ปล.
ว่าแต่...มันจะยืนสิบล้านได้กี่วันหว่า 555+
(เพราะหุ้นขึ้นมาแรง ก็อาจลงแรงๆได้เช่นกัน มันเป็นธรรมดาของมัน เช่นนั้นเอง)
แนบไฟล์
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4741
- ผู้ติดตาม: 1
Re: 10 ล้านบาทแรกในชีวิต (ลอกจาก Post คุณ Skyforever)
โพสต์ที่ 74
ยินดีครับคุณ pakpak เขียน:วันนี้...ผมอายุ "36 ปี 2 เดือน" พอดิบพอดี
กับ 10 ล้านบาทแรกในชีวิตของผม
"เงินลงทุนรวมทั้งหมดในพอร์ตของผม 1.5 ล้านบาท กับเวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว 2 ปี"
กับจุดประกายแรก คือ..."ตลาดไม่มีประสิทธิภาพทั้ง100% และจะทิ้งช่องว่างขอโอกาสให้พวกเราเสมอ!!!"
และจุดประกายที่สอง คือ..."หุ้น Turnaround...คือการได้เป็นเจ้าของบริษัทฯดีๆในราคาที่ถูกเหลือเชื่อ!!!"
และข้อเตือนใจที่สำคัญที่สุดของผม คือ...
"เราเป็นนักลงทุนครับ...ไม่ใช่นักเล่นหุ้น!!!"
(^_^)
ปล.
ว่าแต่...มันจะยืนสิบล้านได้กี่วันหว่า 555+
(เพราะหุ้นขึ้นมาแรง ก็อาจลงแรงๆได้เช่นกัน มันเป็นธรรมดาของมัน เช่นนั้นเอง)
เป้าหมายถัดไป 9 หลักนะครับ
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 23
- ผู้ติดตาม: 0
Re: 10 ล้านบาทแรกในชีวิต (ลอกจาก Post คุณ Skyforever)
โพสต์ที่ 75
ชอบข้อ 3 มากๆครับpicatos เขียน: อย่างไรก็ตาม... ผมขอสรุป สิ่งที่น่าจะเป็น Key Success ที่จะทำเป้าหมายให้บรรลุได้ ดังนี้ครับ
1. ต้องมีหลักการ แนวคิด ที่ถูกต้อง รวมไปถึงศรัทธาที่เราเชื่อมั่นในแนวทางอย่างไม่สั่นคลอน
2. มีความพากเพียร ขยัน ขันแข็ง ที่จะทำงาน ทำการบ้าน ในงานที่ถูกต้อง
3. มีสติ และสมาธิ ตั้งมั่นอยู่ในสิ่งที่เราเพียรกระทำ และมีความพึงพอใจในการกระทำงานนั้นๆ ทั้งนี้พยายาม focus ความสุข ความพึงพอใจระหว่างทำการบ้าน อย่าไป focus ไปที่ความสุขที่จะได้จากผลจากการกระทำ (หุ้นขึ้น) เพราะ ความสุขที่เกิดขึ้นระหว่างการได้ศึกษาเห็นกิจการเจ๋งๆ ความสุขที่ได้จากความรู้ระหว่างศึกษาหุ้น มีค่ามากกว่าความสุขเวลาหุ้นขึ้น และเป็นความสุขที่จีรังมากกว่า
4. คบหากัลยาณมิตร ซึ่งเพื่อนที่ดีจะชักนำกันและกันไปสู่สิ่งดีๆ และจะเป็นกำลังใจให้แก่กันและกันในการทำการบ้าน รวมไปถึงการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 40
- ผู้ติดตาม: 1
Re: 10 ล้านบาทแรกในชีวิต (ลอกจาก Post คุณ Skyforever)
โพสต์ที่ 76
ดีใจด้วยกับพี่PAK แล้วก็พี่Domeด้วย(รถJasเครื่องแรงมากๆ)นะครับ และก็เป็นกำลังใจให้กับทุกๆคนที่มีฝันในนะครับ แต่อย่าลืมหลักการของVIด้วยนะครับ (ได้ผลจริงๆ)
ลงทุนอย่างมีความสุขทุกคนนะครับ
ลงทุนอย่างมีความสุขทุกคนนะครับ
ความพยายามอยู่ที่ไหน ความพยายามอยู่ที่นั่น
- stolic
- Verified User
- โพสต์: 68
- ผู้ติดตาม: 0
Re: 10 ล้านบาทแรกในชีวิต (ลอกจาก Post คุณ Skyforever)
โพสต์ที่ 77
อิอิ ตัวล่างสุดพี่โชว์ให้ผมดูตอนไปจิบเบียร์รอบที่แล้ว มันแรงจริงๆครับตอนนั้นเห็นแล้วขนลุกเลยแต่พี่มองขาดจริงๆ ครับpak เขียน:วันนี้...ผมอายุ "36 ปี 2 เดือน" พอดิบพอดี
กับ 10 ล้านบาทแรกในชีวิตของผม
"เงินลงทุนรวมทั้งหมดในพอร์ตของผม 1.5 ล้านบาท กับเวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว 2 ปี"
กับจุดประกายแรก คือ..."ตลาดไม่มีประสิทธิภาพทั้ง100% และจะทิ้งช่องว่างขอโอกาสให้พวกเราเสมอ!!!"
และจุดประกายที่สอง คือ..."หุ้น Turnaround...คือการได้เป็นเจ้าของบริษัทฯดีๆในราคาที่ถูกเหลือเชื่อ!!!"
และข้อเตือนใจที่สำคัญที่สุดของผม คือ...
"เราเป็นนักลงทุนครับ...ไม่ใช่นักเล่นหุ้น!!!"
(^_^)
ปล.
ว่าแต่...มันจะยืนสิบล้านได้กี่วันหว่า 555+
(เพราะหุ้นขึ้นมาแรง ก็อาจลงแรงๆได้เช่นกัน มันเป็นธรรมดาของมัน เช่นนั้นเอง)
- Skyforever
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1221
- ผู้ติดตาม: 0
Re: 10 ล้านบาทแรกในชีวิต (ลอกจาก Post คุณ Skyforever)
โพสต์ที่ 81
ยินดีด้วยครับ พี่ Pak
ก้าวต่อไปของผมก็จะทำให้ได้แบบพี่ครับ
ก้าวต่อไปของผมก็จะทำให้ได้แบบพี่ครับ
ชนะเพราะไม่คิดเอาชนะ กำไรเพราะไม่โลภ ลงทุนอย่างมีความสุขเพราะจิตใจอยู่เหนืออารมณ์ตลาด
"ทรัพย์ศฤงคารที่ได้มาอย่างเร่งร้อนจะยอบแยบลง แต่บุคคลที่ส่ำสมทีละเล็กละน้อยจะได้เพิ่มพูนขึ้น" สุภาษิต 13:11
"ทรัพย์ศฤงคารที่ได้มาอย่างเร่งร้อนจะยอบแยบลง แต่บุคคลที่ส่ำสมทีละเล็กละน้อยจะได้เพิ่มพูนขึ้น" สุภาษิต 13:11
- babyboom
- Verified User
- โพสต์: 112
- ผู้ติดตาม: 0
Re: 10 ล้านบาทแรกในชีวิต (ลอกจาก Post คุณ Skyforever)
โพสต์ที่ 82
ยินดีกับพี่ ๆ ทุกคนนะครับ ผมหวังว่าสักวันหนึ่งจะมีเงิน 10 ล้านเหมือนพี่ ๆ บ้างแต่ตอนนี้เพิ่งเริ่มเดินทางตอนต้นปีเองครับ โชคดีเหลือเกินที่เข้ามาลงทุนในตลาดก็รู้จักการการลงทุนแนววีไอเลย จากเงินลงทุนน้อยคอยเติมเดือนละไม่กี่พันบาทผมก็หวังครับแม้ว่ามันจะใช้เวลานานแค่ไหนก้อตาม ผมหวังเหลือเกินว่าเวลาผ่านไปอีกหลายปีผมคงจะได้กลับมาตอบในกระทู้นี้อีกครั้ง โชคดีในการลงทุนนะครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 147
- ผู้ติดตาม: 0
Re: 10 ล้านบาทแรกในชีวิต (ลอกจาก Post คุณ Skyforever)
โพสต์ที่ 83
dome@perth เขียน:น้องเล็กครับleksmile เขียน:ผมว่าการที่จะบอกว่า มีเงินล้านแล้วเป็นความภูมิใจ ผมว่าไม่ใช่เลยนะครับ
เช่นถ้าคนที่เงินลงทุน 9 ล้าน แล้วกำไรแค่ล้านเดียวแค่สิบ % ก็10 ล้าน หรือบางคน เริ่มเล่นบอก 1 ล้าน แต่ระหว่างทางเพิ่มทุนเข้าไป 8 ล้าน แล้วก็มาบอกว่าเริ่ม 1 ล้านวันนี้มี 10 ล้านแล้วนี่ก็เหมือนหลอกตัวเอง
กับคนที่เริ่มต้นเงินลงทุนที่ 1 แสนแล้วไปถึง 10 ล้านมันคนล่ะเรื่องเลยครับ
ผมว่าสุดท้ายต้องดูที่ผลตอบแทนทบต้นครับ ตัวเงินมันไม่ได้บอกอะไรเลย
ที่พูดทั้งหมดก็แค่อยากจะบอกว่าความภูมิใจในการเล่นหุ้น มันต้องอยู่ที่ผลตอบแทน % ทบต้นครับ
บางทีตัวเลขในพอร์ต มันก็ทำให้เรา เคลิ้มใจได้เหมือนกันนะครับ :lol:
แต่ก็เห็นด้วยครับว่า ผลตอบแทนทบต้น % ต่อปี
เป็นตัววัดความภูมิใจในการลงทุน มากกว่าตัวเงิน
คนที่ได้ผลตอบแทนต่อปีมากๆ ก็จะเห็น จำนวนเงินในพอร์ตตามเป้าหมาย เร็วกว่า
สำหรับ คนที่หวังผลตอบแทนต่อปีน้อยกว่าหน่อย จำนวนเงินตามเป้า ก็จะมาช้ากว่า
ดังนั้นคนที่ถึงเป้าหมายก่อนน่าจะภูมิใจกว่า
แต่มองอีกมุมหนึง หากเงิน ที่ได้มาเพื่อการลงทุนในหุ้น มาจากน้ำพักน้ำแรง และ การอดออม
ซึ่งมันได้มาอย่างยาก มันก็เป็นหนึ่งใน ความภาคภูมิใจเหมือนกันนะครับ
ดังนั้นพี่คิดว่า ในที่สุดของการลงทุน ทุกคนมี เป้าหมายหนึ่งคือ จำนวนเงินในพอร์ต
แค่อีกหนึงความคิดเห็นครับ
ขอมาเสริม ว่าเห็นด้วย ว่า เป้าหมายของคนทุกคนอยู่ที่จำนวนเงินในพอร์ท จะมาจากเงินที่ลงทุนในหุ้น หรือ เงินที่เก็บออมมา
คนที่มีฐาน เงินสูง ร่ำรวย อยู่แล้ว ก็คงภูมิใจกับ ผลตอบแทนที่ได้มากกว่า เงินออมที่ตัวเองเก็บ (เพราะเงินตัวเองมีอยู่แล้ว )
แต่สำหรับคนไม่มีอะไร ความสามารถที่จะเก็บเงินมาออมในตลาดหุ้นได้มากขึ้น พอร์ทโตมากขึ้น ผมว่า ผมจะดีใจมากกว่า เงินที่ได้จากตลาดหุ้น เพราะเราสามารถเก็บเงินออมได้อัตราส่วนที่มากขึ้นกว่าเดิม ทั้งๆที่เมื่อก่อน เก็บเงินแสนยาก แต่พอมีเป้าหมาย พอมีจุดมุ่งหมาย การออมเงินในตลาดหุ้นแล้วทำให้พอร์ทเราโตขึ้นจากเดิม
ผมดีใจที่พอร์ทโตขึ้นจากน้ำพักน้ำแรง การทำงานของเรา ด้วยส่วนหนึ่งครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: 10 ล้านบาทแรกในชีวิต (ลอกจาก Post คุณ Skyforever)
โพสต์ที่ 84
อะไรสำคัญที่สุดในชีวิตของคนเรา
เขียนโดย : งดงาม, เพื่อนธรรมจารี (Friend of Dhammacārī)
คุณเคยคิดบ้างไหมครับว่า อะไรสำคัญที่สุดในชีวิตของคุณ???
ผมตั้งคำถามเปิดแบบนี้ ก็อาจจะทำให้คุณนึกถึงหลายอย่างมาก ๆ และยังหาคำตอบสุดท้ายไม่ได้
แต่หากคุณสามารถตอบได้ในขณะนี้ ก็ขอให้ตอบได้เลย และจำคำตอบไว้ด้วยนะครับ
สำหรับท่านที่ยังนึกคำตอบไม่ออก ผมจะลองเปลี่ยนคำถามใหม่นะ
สมมุติว่าคุณเป็นเทวดาที่กำลังจะหมดบุญ และกำลังจะลงมาเกิดเป็นมนุษย์
ท้าวสักกะเทวราชให้คุณขอพรได้หนึ่งข้อว่า
เมื่อคุณมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว จะให้มีสิ่งหนึ่งติดตัวมาด้วย
คุณจะขออะไรดี??? (คำถามนี้อาจจะง่ายขึ้นแล้ว)
ยกตัวอย่างนะครับ ขอให้มีฐานะดี ตำแหน่งดี ชื่อเสียงเกียรติยศดี รูปร่างดี หน้าตาดี
ผิวพรรณดี สุขภาพดี พ่อแม่ดี ชาติตระกูลดี คู่สมรสดี บุตรดี ครูบาอาจารย์ดี ฯลฯ
สารพัดให้เลือก ... ลองนึกนะครับว่าคุณจะขออะไร
คิดว่าคุณคงพอจะได้คำตอบหรือตัวเลือกบางตัวในใจบ้างแล้ว
ผมก็ไม่ทราบหรอกนะครับว่าคุณจะขออะไร
แต่สมมุติว่าคุณเกิดมาแล้วได้ดีทุกอย่างที่กล่าวเลย
โดยมีฐานะดี ตำแหน่งดี ชื่อเสียงเกียรติยศดี รูปร่างดี หน้าตาดี ผิวพรรณดี
สุขภาพดี พ่อแม่ดี ชาติตระกูลดี คู่สมรสดี บุตรดี ครูบาอาจารย์ดี ทุกอย่างดีหมดเลย
แต่เสียแค่เพียงอย่างเดียว คือ คุณ “ปัญญาอ่อน”
หากคุณเพียงแค่ “ปัญญาอ่อน” เสียอย่างเดียวแล้ว
ต่อให้สิ่งทั้งหลายรอบตัวคุณจะดีแสนดีไปหมดทุกอย่างก็ตาม
คุณก็ไม่สามารถจะใช้ประโยชน์ใด ๆ จากสิ่งดี ๆ ทั้งหลายเหล่านั้นได้เลย
ทีนี้หากผมสมมุติว่าให้คุณมี “ปัญญาดี” ด้วยเลยนะ
แต่ว่าคุณขาดอยู่เพียงอย่างเดียว คือคุณไม่มี “สัมมาทิฏฐิ”
“สัมมาทิฏฐิ” ก็แปลได้ว่า ปัญญาอันเห็นชอบ
หากเข้าใจยาก ผมจะขอแปลอีกแบบว่าคือ ความเห็นในทางที่ชอบที่ควร
หากคุณมีดีพร้อมทุกอย่างเลย และมีปัญญาดีด้วยแล้ว
แต่ขาดเสียซึ่งสัมมาทิฏฐิเพียงอย่างเดียว
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่คุณมีดีพร้อมนั้น
จะเป็นไปเพื่อสนอง “มิจฉาทิฏฐิ” ในตัวคุณเองเท่านั้น
(“มิจฉาทิฏฐิ” ก็แปลไปในทางตรงกันข้าม คือ ความเห็นในทางที่ผิดที่ไม่ควร)
หากปราศจากเสียซึ่ง “สัมมาทิฏฐิ” ในตัวคุณแล้ว
สิ่งดี ๆ ทั้งหลายที่คุณมีก็จะเป็นไปเพื่อการสร้างบาปสร้างเวรกรรมให้แก่ตนเองเท่านั้น
เช่น คุณมีมือเท้าดี ก็จะนำไปตบตีทำร้ายคนอื่น หรือฆ่าสัตว์
คุณมีตำแหน่งสูง ก็จะไปคอรัปชั่นหรือกลั่นแกล้งคนอื่น
คุณมีความรู้ดี ก็จะไปโกงคนอื่น คุณมีรูปร่างหน้าตาดี ก็จะไปผิดลูกเมียคนอื่นเขา
คุณมีฐานะดี ก็จะใช้เงินที่มีนั้นไปเบียดเบียนคนอื่น หรือดื่มสุรา เล่นการพนัน เป็นต้น
และท้ายที่สุดแล้ว คุณก็จะต้องรับผลแห่งกรรมไม่ดีทั้งหลายที่คุณได้ทำนั้นอย่างเนิ่นนานในอนาคตกาล
ซึ่งที่คุณมีความสามารถไปทำกรรมไม่ดีทั้งหลายนั้นได้
ก็เพราะว่าคุณมีสิ่งดี ๆ เยอะ แต่ว่าขาดเสียซึ่ง “สัมมาทิฏฐิ” นั่นเอง
ผมจึงเห็นว่า “สัมมาทิฏฐิ” นี้แหละ เป็นคำตอบของคำถามแรก เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคนเรา
และเป็นคำตอบของคำถามที่สอง ซึ่งเทวดาในคำถามนั้นควรจะขอต่อท้าวสักกะเทวราช
หากคุณบางคนยังไม่เชื่อ ผมจะขอเปลี่ยนคำถามใหม่
สมมุติว่าคุณอยู่ที่กรุงเทพฯ และต้องการจะเดินทางไปไหว้อัฐิคุณพ่อของคุณที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี
ผมให้คุณเลือกว่าอะไรเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการจะเดินทางไปนี้
ยกตัวอย่างให้เลือกนะ ให้อากาศดี ฝนไม่ตก ให้มีรถยนต์ดี ให้มีถนนดี ให้มีเพื่อนร่วมทางที่ดี
ให้มีเงินในกระเป๋าเยอะ ๆ ให้มีน้ำมันเพียงพอ ให้มีสุขภาพร่างกายดี ฯลฯ
ผมก็จะให้คุณมีดีทุกอย่างที่กล่าวมาทั้งหมดเลยนะ
แต่ขอแค่คุณไม่มีอย่างเดียวก็คือ คุณไม่มี “ทิศทางไปที่ถูกต้อง”
หากคุณมีดีทุกอย่าง แต่ไปกลับเดินไปผิดทาง เช่น ขับรถมุ่งไปเหนือ หรือขับรถพุ่งลงใต้แล้ว
คุณจะไปถึงจังหวัดชลบุรีได้หรือเปล่า ก็คงต้องตอบว่า “ไม่ถึง”
และที่แย่กว่านั้น ก็คือ หากรถยนต์ยิ่งดี ถนนยิ่งดี น้ำมันยิ่งเยอะ
ก็จะยิ่งพาคุณออกไปไกลห่างจากจังหวัดชลบุรีได้เร็วและได้มากขึ้นเท่านั้น
และเมื่อคุณรู้ตัวขึ้นมาว่าไปผิดทางแล้ว
คุณจะต้องใช้ความพยายามและเวลาที่มากขึ้น
ในการที่จะต้องกลับมาอยู่ที่จุดเดิมและในเส้นทางที่ถูกต้อง
เพราะฉะนั้นแล้ว จะเห็นได้ว่าการที่เรามีอะไรหลายอย่างดี ๆ นั้น ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นคุณประโยชน์เสมอไป
หากแต่เราไม่มี “สัมมาทิฏฐิ” ที่จะใช้สิ่งใด ๆ เหล่านั้นให้เป็นคุณแก่ตัวเราเองได้แล้วนะ
สู้เรายอมว่าไม่มีสิ่งดี ๆ เหล่านั้นเลยจะดีกว่า
หรือเรียกง่าย ๆ ว่ายอมเป็นคนปัญญาอ่อนและให้นอนอัมพาตขยับไม่ได้อีกด้วย ยังจะดีเสียกว่า
เพราะอย่างน้อยก็ไม่ได้ไปสร้างเวรสร้างกรรมไม่ดีอะไรที่จะเป็นโทษแก่ตนเองต่อไปในอนาคตกาล
ก็เรียกว่าไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่ติดลบ ก็เพียงแค่ “เสมอตัว” เท่านั้น
แต่หากปัญหาดี ขยับได้ และไปทำสิ่งที่เป็นบาปกรรมและเป็นโทษกับตัวเองแล้ว เท่ากับ “ติดลบ”
หากเปรียบเป็นการเดินทางแล้ว หากจะต้องเดินทางไป “ผิดทิศทาง” แล้ว
สู้ยอมอยู่กับที่ยังจะดีเสียกว่า
ยอมให้รถเสีย น้ำมันหมด ถนนไม่ดี ฯลฯ ก็ยังจะดีกว่า
เพราะอย่างน้อยก็ไม่ได้วิ่งห่างจากจุดหมายไปมากกว่าเดิม
ทิศทางที่จะเดินทางไปนั้น มีความสำคัญที่สุดฉันใด
สัมมาทิฏฐิก็มีความสำคัญที่สุดฉันนั้น
ไม่เช่นนั้นแล้ว ก็ขออยู่เฉย ๆ ทั้งชีวิตจะดีกว่า เพราะหากคุณกำลังถือ “มิจฉาทิฏฐิ” แล้ว
ไม่ว่าจะคิด จะพูด จะทำอะไรก็แล้วแต่ ก็จะเป็นไปเพื่อโทษแก่ตัวเองทั้งสิ้นครับ
--------------------------------------------------------------------------------------
เพื่อนธรรมจารี - ฉบับที่ ๑๐๒
เพื่อนธรรมจารี (Friend of Dhammacārī)
โดย งดงาม
[email protected]
ที่มา : http://www.dharmamag.com/index.php?opti ... &Itemid=76
เขียนโดย : งดงาม, เพื่อนธรรมจารี (Friend of Dhammacārī)
คุณเคยคิดบ้างไหมครับว่า อะไรสำคัญที่สุดในชีวิตของคุณ???
ผมตั้งคำถามเปิดแบบนี้ ก็อาจจะทำให้คุณนึกถึงหลายอย่างมาก ๆ และยังหาคำตอบสุดท้ายไม่ได้
แต่หากคุณสามารถตอบได้ในขณะนี้ ก็ขอให้ตอบได้เลย และจำคำตอบไว้ด้วยนะครับ
สำหรับท่านที่ยังนึกคำตอบไม่ออก ผมจะลองเปลี่ยนคำถามใหม่นะ
สมมุติว่าคุณเป็นเทวดาที่กำลังจะหมดบุญ และกำลังจะลงมาเกิดเป็นมนุษย์
ท้าวสักกะเทวราชให้คุณขอพรได้หนึ่งข้อว่า
เมื่อคุณมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว จะให้มีสิ่งหนึ่งติดตัวมาด้วย
คุณจะขออะไรดี??? (คำถามนี้อาจจะง่ายขึ้นแล้ว)
ยกตัวอย่างนะครับ ขอให้มีฐานะดี ตำแหน่งดี ชื่อเสียงเกียรติยศดี รูปร่างดี หน้าตาดี
ผิวพรรณดี สุขภาพดี พ่อแม่ดี ชาติตระกูลดี คู่สมรสดี บุตรดี ครูบาอาจารย์ดี ฯลฯ
สารพัดให้เลือก ... ลองนึกนะครับว่าคุณจะขออะไร
คิดว่าคุณคงพอจะได้คำตอบหรือตัวเลือกบางตัวในใจบ้างแล้ว
ผมก็ไม่ทราบหรอกนะครับว่าคุณจะขออะไร
แต่สมมุติว่าคุณเกิดมาแล้วได้ดีทุกอย่างที่กล่าวเลย
โดยมีฐานะดี ตำแหน่งดี ชื่อเสียงเกียรติยศดี รูปร่างดี หน้าตาดี ผิวพรรณดี
สุขภาพดี พ่อแม่ดี ชาติตระกูลดี คู่สมรสดี บุตรดี ครูบาอาจารย์ดี ทุกอย่างดีหมดเลย
แต่เสียแค่เพียงอย่างเดียว คือ คุณ “ปัญญาอ่อน”
หากคุณเพียงแค่ “ปัญญาอ่อน” เสียอย่างเดียวแล้ว
ต่อให้สิ่งทั้งหลายรอบตัวคุณจะดีแสนดีไปหมดทุกอย่างก็ตาม
คุณก็ไม่สามารถจะใช้ประโยชน์ใด ๆ จากสิ่งดี ๆ ทั้งหลายเหล่านั้นได้เลย
ทีนี้หากผมสมมุติว่าให้คุณมี “ปัญญาดี” ด้วยเลยนะ
แต่ว่าคุณขาดอยู่เพียงอย่างเดียว คือคุณไม่มี “สัมมาทิฏฐิ”
“สัมมาทิฏฐิ” ก็แปลได้ว่า ปัญญาอันเห็นชอบ
หากเข้าใจยาก ผมจะขอแปลอีกแบบว่าคือ ความเห็นในทางที่ชอบที่ควร
หากคุณมีดีพร้อมทุกอย่างเลย และมีปัญญาดีด้วยแล้ว
แต่ขาดเสียซึ่งสัมมาทิฏฐิเพียงอย่างเดียว
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่คุณมีดีพร้อมนั้น
จะเป็นไปเพื่อสนอง “มิจฉาทิฏฐิ” ในตัวคุณเองเท่านั้น
(“มิจฉาทิฏฐิ” ก็แปลไปในทางตรงกันข้าม คือ ความเห็นในทางที่ผิดที่ไม่ควร)
หากปราศจากเสียซึ่ง “สัมมาทิฏฐิ” ในตัวคุณแล้ว
สิ่งดี ๆ ทั้งหลายที่คุณมีก็จะเป็นไปเพื่อการสร้างบาปสร้างเวรกรรมให้แก่ตนเองเท่านั้น
เช่น คุณมีมือเท้าดี ก็จะนำไปตบตีทำร้ายคนอื่น หรือฆ่าสัตว์
คุณมีตำแหน่งสูง ก็จะไปคอรัปชั่นหรือกลั่นแกล้งคนอื่น
คุณมีความรู้ดี ก็จะไปโกงคนอื่น คุณมีรูปร่างหน้าตาดี ก็จะไปผิดลูกเมียคนอื่นเขา
คุณมีฐานะดี ก็จะใช้เงินที่มีนั้นไปเบียดเบียนคนอื่น หรือดื่มสุรา เล่นการพนัน เป็นต้น
และท้ายที่สุดแล้ว คุณก็จะต้องรับผลแห่งกรรมไม่ดีทั้งหลายที่คุณได้ทำนั้นอย่างเนิ่นนานในอนาคตกาล
ซึ่งที่คุณมีความสามารถไปทำกรรมไม่ดีทั้งหลายนั้นได้
ก็เพราะว่าคุณมีสิ่งดี ๆ เยอะ แต่ว่าขาดเสียซึ่ง “สัมมาทิฏฐิ” นั่นเอง
ผมจึงเห็นว่า “สัมมาทิฏฐิ” นี้แหละ เป็นคำตอบของคำถามแรก เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคนเรา
และเป็นคำตอบของคำถามที่สอง ซึ่งเทวดาในคำถามนั้นควรจะขอต่อท้าวสักกะเทวราช
หากคุณบางคนยังไม่เชื่อ ผมจะขอเปลี่ยนคำถามใหม่
สมมุติว่าคุณอยู่ที่กรุงเทพฯ และต้องการจะเดินทางไปไหว้อัฐิคุณพ่อของคุณที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี
ผมให้คุณเลือกว่าอะไรเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการจะเดินทางไปนี้
ยกตัวอย่างให้เลือกนะ ให้อากาศดี ฝนไม่ตก ให้มีรถยนต์ดี ให้มีถนนดี ให้มีเพื่อนร่วมทางที่ดี
ให้มีเงินในกระเป๋าเยอะ ๆ ให้มีน้ำมันเพียงพอ ให้มีสุขภาพร่างกายดี ฯลฯ
ผมก็จะให้คุณมีดีทุกอย่างที่กล่าวมาทั้งหมดเลยนะ
แต่ขอแค่คุณไม่มีอย่างเดียวก็คือ คุณไม่มี “ทิศทางไปที่ถูกต้อง”
หากคุณมีดีทุกอย่าง แต่ไปกลับเดินไปผิดทาง เช่น ขับรถมุ่งไปเหนือ หรือขับรถพุ่งลงใต้แล้ว
คุณจะไปถึงจังหวัดชลบุรีได้หรือเปล่า ก็คงต้องตอบว่า “ไม่ถึง”
และที่แย่กว่านั้น ก็คือ หากรถยนต์ยิ่งดี ถนนยิ่งดี น้ำมันยิ่งเยอะ
ก็จะยิ่งพาคุณออกไปไกลห่างจากจังหวัดชลบุรีได้เร็วและได้มากขึ้นเท่านั้น
และเมื่อคุณรู้ตัวขึ้นมาว่าไปผิดทางแล้ว
คุณจะต้องใช้ความพยายามและเวลาที่มากขึ้น
ในการที่จะต้องกลับมาอยู่ที่จุดเดิมและในเส้นทางที่ถูกต้อง
เพราะฉะนั้นแล้ว จะเห็นได้ว่าการที่เรามีอะไรหลายอย่างดี ๆ นั้น ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นคุณประโยชน์เสมอไป
หากแต่เราไม่มี “สัมมาทิฏฐิ” ที่จะใช้สิ่งใด ๆ เหล่านั้นให้เป็นคุณแก่ตัวเราเองได้แล้วนะ
สู้เรายอมว่าไม่มีสิ่งดี ๆ เหล่านั้นเลยจะดีกว่า
หรือเรียกง่าย ๆ ว่ายอมเป็นคนปัญญาอ่อนและให้นอนอัมพาตขยับไม่ได้อีกด้วย ยังจะดีเสียกว่า
เพราะอย่างน้อยก็ไม่ได้ไปสร้างเวรสร้างกรรมไม่ดีอะไรที่จะเป็นโทษแก่ตนเองต่อไปในอนาคตกาล
ก็เรียกว่าไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่ติดลบ ก็เพียงแค่ “เสมอตัว” เท่านั้น
แต่หากปัญหาดี ขยับได้ และไปทำสิ่งที่เป็นบาปกรรมและเป็นโทษกับตัวเองแล้ว เท่ากับ “ติดลบ”
หากเปรียบเป็นการเดินทางแล้ว หากจะต้องเดินทางไป “ผิดทิศทาง” แล้ว
สู้ยอมอยู่กับที่ยังจะดีเสียกว่า
ยอมให้รถเสีย น้ำมันหมด ถนนไม่ดี ฯลฯ ก็ยังจะดีกว่า
เพราะอย่างน้อยก็ไม่ได้วิ่งห่างจากจุดหมายไปมากกว่าเดิม
ทิศทางที่จะเดินทางไปนั้น มีความสำคัญที่สุดฉันใด
สัมมาทิฏฐิก็มีความสำคัญที่สุดฉันนั้น
ไม่เช่นนั้นแล้ว ก็ขออยู่เฉย ๆ ทั้งชีวิตจะดีกว่า เพราะหากคุณกำลังถือ “มิจฉาทิฏฐิ” แล้ว
ไม่ว่าจะคิด จะพูด จะทำอะไรก็แล้วแต่ ก็จะเป็นไปเพื่อโทษแก่ตัวเองทั้งสิ้นครับ
--------------------------------------------------------------------------------------
เพื่อนธรรมจารี - ฉบับที่ ๑๐๒
เพื่อนธรรมจารี (Friend of Dhammacārī)
โดย งดงาม
[email protected]
ที่มา : http://www.dharmamag.com/index.php?opti ... &Itemid=76
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 210
- ผู้ติดตาม: 0
Re: 10 ล้านบาทแรกในชีวิต (ลอกจาก Post คุณ Skyforever)
โพสต์ที่ 86
มาลงชื่อไว้ก่อนครับ
อีก 8 ปี จะเข้ามาโพสในกระทู้นี้อีกครั้งนะครับ
ผมเริ่มจาก 0 ตอนนี้กำลังไล่ล่า 7 หลักอยู่ครับ
แปดหลักวางไว้อีก 8 ปี
สู้โว้ยๆ หุหุ
อีก 8 ปี จะเข้ามาโพสในกระทู้นี้อีกครั้งนะครับ
ผมเริ่มจาก 0 ตอนนี้กำลังไล่ล่า 7 หลักอยู่ครับ
แปดหลักวางไว้อีก 8 ปี
สู้โว้ยๆ หุหุ
-
- Verified User
- โพสต์: 1155
- ผู้ติดตาม: 0
Re: 10 ล้านบาทแรกในชีวิต (ลอกจาก Post คุณ Skyforever)
โพสต์ที่ 89
สัมมาทิฏฐิ ไม่ได้เกิดขึ้นมาเอง
ต้องเรียนและหาความรู้จึงจะรู้ว่าอะไรคือ สัมมาทิฏฐิ
สัมมาทิฏฐิ ของฮินดู ยูดาย โซราแอสเตอร์ อิสลาม คริสต์ พุทธ ก็ไม่เหมือนกัน
สัมมาทิฏฐิ ของคนตะวันออก ตะวันตกก็ต่างกัน
แม้แต่ ลัทธิธรรมกาย พุทธมหายาน พุทธหินยาน ก็แตกต่างกัน
หาความรู้ ให้มากเพื่อจะได้รู้ว่าอะไรคือ สัมมาทิฏฐิ
แม้แต่ พระที่มีคนเคารพนับถือก็อาจจะสอนผิดจากพระพุทธเจ้าได้
ถ้าจะศึกษาศาสนาพุทธ ขอให้ศึกษาเฉพาะคำพูดของพระพุทธเจ้าเท่านั้น
อย่าศึกษาจากคำพูดของบุคคลอื่นๆ
http://www.fungdham.com/vdo/vdo-view-kugrit.html
ต้องเรียนและหาความรู้จึงจะรู้ว่าอะไรคือ สัมมาทิฏฐิ
สัมมาทิฏฐิ ของฮินดู ยูดาย โซราแอสเตอร์ อิสลาม คริสต์ พุทธ ก็ไม่เหมือนกัน
สัมมาทิฏฐิ ของคนตะวันออก ตะวันตกก็ต่างกัน
แม้แต่ ลัทธิธรรมกาย พุทธมหายาน พุทธหินยาน ก็แตกต่างกัน
หาความรู้ ให้มากเพื่อจะได้รู้ว่าอะไรคือ สัมมาทิฏฐิ
แม้แต่ พระที่มีคนเคารพนับถือก็อาจจะสอนผิดจากพระพุทธเจ้าได้
ถ้าจะศึกษาศาสนาพุทธ ขอให้ศึกษาเฉพาะคำพูดของพระพุทธเจ้าเท่านั้น
อย่าศึกษาจากคำพูดของบุคคลอื่นๆ
http://www.fungdham.com/vdo/vdo-view-kugrit.html
Blueplanet
- appendix
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 339
- ผู้ติดตาม: 0
Re: 10 ล้านบาทแรกในชีวิต (ลอกจาก Post คุณ Skyforever)
โพสต์ที่ 90
ขอร่วมแชร์ครับ ผมเริ่มจาก เงินต้น 2 แสนบาท แล้วเอาเงินเดือนเติมมาตลอด ผ่านมาเกือบ 7 ปี แล้ว คิด IRR ได้ประมาณ 26% ต่อปี พอใจครับ เพิ่งแตะ 8 หลักไม่นานมานี้เอง ตอนนี้ออกจากงานประจำแล้วครับ งานหลักคือ อ่านหนังสือสอบ CFA L2 ซึ่งทำท่าจะไม่ทันแล้วงวดนี้ คงพยายามใหม่อีกทีปีหน้า กับว่ายน้ำ สองอย่างครับ
ช่วงปีแรกๆ ก็ได้ผลตอบแทนไม่ดีนักครับ แต่ยังดีที่ผมเริ่มในแนว VI มาตั้งแต่ต้นทำให้ไม่ถึงกับขาดทุนแม้จะเจอวิกฤตซับไพม์ในปี 08 ทำพอร์ทลดไปกว่า 40% ผมถือฝ่าวิกฤตเลยครับ แทบไม่มีการปรับพอร์ทเลย จบปี 09 ก็ได้คืนมาหมดบวกกำไรเป็นกอบเป็นกำครับ หลังวิกฤตปรับกลยุทธเล็กน้อยคือจากที่ถือหุ้นจำนวณประมาณ 8-10 ตัวมาเป็น การโฟกัส ไปที่ 2-4 ตัวเท่านั้น โดยมีตัวหลัก 1 ตัวให้สัดส่วนไปเลย 50%-70% ของพอร์ท พบว่ามีความมั่นใจขึ้นเพราะมีเวลาศึกษาหุ้นตัวนั้นได้อย่างเต็มที่ และผลตอบแทนก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดครับ
สำหรับการเลือกหุ้นผมให้น้ำหนักเรื่องธรรมาภิบาลของผู้บริหารมาก่อนเลย เพราะสิ่งนี้ทำให้ผมนอนหลับได้สนิทครับ ต่อมาคือมีหนี้น้อย มั่นใจได้ว่าจะไม่ล้มหายตายจากกันไปในยามวิกฤต แล้วค่อยมาดูความสามารถในการทำกำไร ซึ่งต้องผ่านทั้งเชิงคุณภาพคือ ต้องอธิบายได้เป็นฉากๆว่าทำไมถึงดีทำไมถึงจะโต ระยะสั้น ระยะยาว และเชิงปริมาณคือตัวเลข ยอดขาย กำไร เติบโตมั่นคง ไม่หวือหวา ถ้าผ่านหมดก็เลือกแล้วจัดหนักๆไปเลยครับ อย่ารักพี่เสียดายน้อง และสุดท้าย อย่าตัดสินใจบ่อยครับเมื่อคิดรอบคอบแล้วต้องมั่นใจ แม้ระยะสั้นราคาหุ้นอาจจะไม่เป็นไปในทิศทางที่เราคาดไว้ ต้องเข้มแข็งรอคอยเวลาที่มิสเตอร์มาร์เก็ตจะเห็นคล้อยตามเราอย่างอดทนครับ
ช่วงปีแรกๆ ก็ได้ผลตอบแทนไม่ดีนักครับ แต่ยังดีที่ผมเริ่มในแนว VI มาตั้งแต่ต้นทำให้ไม่ถึงกับขาดทุนแม้จะเจอวิกฤตซับไพม์ในปี 08 ทำพอร์ทลดไปกว่า 40% ผมถือฝ่าวิกฤตเลยครับ แทบไม่มีการปรับพอร์ทเลย จบปี 09 ก็ได้คืนมาหมดบวกกำไรเป็นกอบเป็นกำครับ หลังวิกฤตปรับกลยุทธเล็กน้อยคือจากที่ถือหุ้นจำนวณประมาณ 8-10 ตัวมาเป็น การโฟกัส ไปที่ 2-4 ตัวเท่านั้น โดยมีตัวหลัก 1 ตัวให้สัดส่วนไปเลย 50%-70% ของพอร์ท พบว่ามีความมั่นใจขึ้นเพราะมีเวลาศึกษาหุ้นตัวนั้นได้อย่างเต็มที่ และผลตอบแทนก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดครับ
สำหรับการเลือกหุ้นผมให้น้ำหนักเรื่องธรรมาภิบาลของผู้บริหารมาก่อนเลย เพราะสิ่งนี้ทำให้ผมนอนหลับได้สนิทครับ ต่อมาคือมีหนี้น้อย มั่นใจได้ว่าจะไม่ล้มหายตายจากกันไปในยามวิกฤต แล้วค่อยมาดูความสามารถในการทำกำไร ซึ่งต้องผ่านทั้งเชิงคุณภาพคือ ต้องอธิบายได้เป็นฉากๆว่าทำไมถึงดีทำไมถึงจะโต ระยะสั้น ระยะยาว และเชิงปริมาณคือตัวเลข ยอดขาย กำไร เติบโตมั่นคง ไม่หวือหวา ถ้าผ่านหมดก็เลือกแล้วจัดหนักๆไปเลยครับ อย่ารักพี่เสียดายน้อง และสุดท้าย อย่าตัดสินใจบ่อยครับเมื่อคิดรอบคอบแล้วต้องมั่นใจ แม้ระยะสั้นราคาหุ้นอาจจะไม่เป็นไปในทิศทางที่เราคาดไว้ ต้องเข้มแข็งรอคอยเวลาที่มิสเตอร์มาร์เก็ตจะเห็นคล้อยตามเราอย่างอดทนครับ