ANTHONY BOLTON ว่าอย่างงี้แล้วเราๆท่านๆว่าอย่างไงครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 270
- ผู้ติดตาม: 0
ANTHONY BOLTON ว่าอย่างงี้แล้วเราๆท่านๆว่าอย่างไงครับ
โพสต์ที่ 1
เขามองเรื่อง price to expected growth ว่ายังงี้ครับ
เขาบอกว่าผมหาเหตุผลไม่เจอว่า ทำไมบริษัทที่มี p/e 5เท่า และโตปีละ5% บริษัทที่มี p/e10
เท่าและโตปีละ10% และบริษัทที่มี p/e20เท่าและโตปีละ20% ซึ่งมีค่า peg เหมือนกัน จึงมี
ความน่าสนใจเท่ากัน สำหรับผมผมจะซื้อบริษัทที่มี p/e5และโตปีละ 5%เสมอ
เขาบอกว่าผมหาเหตุผลไม่เจอว่า ทำไมบริษัทที่มี p/e 5เท่า และโตปีละ5% บริษัทที่มี p/e10
เท่าและโตปีละ10% และบริษัทที่มี p/e20เท่าและโตปีละ20% ซึ่งมีค่า peg เหมือนกัน จึงมี
ความน่าสนใจเท่ากัน สำหรับผมผมจะซื้อบริษัทที่มี p/e5และโตปีละ 5%เสมอ
- unnop.t
- Verified User
- โพสต์: 924
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ANTHONY BOLTON ว่าอย่างงี้แล้วเราๆท่านๆว่าอย่างไงครับ
โพสต์ที่ 2
ซื้อหนังสือเค้ามาเหมือนกัน แต่ยังรอคิวอ่าน
ผมคิดว่า Antony มองเรื่องความเสี่ยงของ g เลยมองว่าน่าสนใจน้อยกว่า เพราะ g เป็นเรื่องอนาคต แต่ P เป็นเรื่องของปัจจุบัน
สำหรับผม จริง ๆผมชอบหุ้น growth มากกว่าหุ้นโตช้า แต่บางครั้งสถานการณ์ความเสี่ยงเรื่องการเติบโตค่อนข้างสูง ผมจะรับที่
discounted P/E ต่ำลงอีก จริง ๆแล้วผมคิดว่าคุณภาพของ g สำคัญกว่า
ผมคิดว่า Antony มองเรื่องความเสี่ยงของ g เลยมองว่าน่าสนใจน้อยกว่า เพราะ g เป็นเรื่องอนาคต แต่ P เป็นเรื่องของปัจจุบัน
สำหรับผม จริง ๆผมชอบหุ้น growth มากกว่าหุ้นโตช้า แต่บางครั้งสถานการณ์ความเสี่ยงเรื่องการเติบโตค่อนข้างสูง ผมจะรับที่
discounted P/E ต่ำลงอีก จริง ๆแล้วผมคิดว่าคุณภาพของ g สำคัญกว่า
ตลาดหุ้นมักจะหลอกเราด้วย ความโลภ และความกลัว.....
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2846
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ANTHONY BOLTON ว่าอย่างงี้แล้วเราๆท่านๆว่าอย่างไงครับ
โพสต์ที่ 3
Agreed with you krub, that the quailty of Growth is importance.unnop.t เขียน:จริง ๆแล้วผมคิดว่าคุณภาพของ g สำคัญกว่า
Personally, I think People factor is the key for "Quality of Growth" , they will help to sharpen the company strategy , strength core competence and bring company forward with a good windtail in industry or consumer trend will help to accerlerate growth.
“Market prices are always wrong in the sense that they present a biased view of the future.”, Soros.
Blog about the investment playbook https://www.blockdit.com/alphainvesting
Blog about the investment playbook https://www.blockdit.com/alphainvesting
-
- Verified User
- โพสต์: 1211
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ANTHONY BOLTON ว่าอย่างงี้แล้วเราๆท่านๆว่าอย่างไงครับ
โพสต์ที่ 4
ถ้าเป็นตัวอย่างตามแบบที่ Anthony Bolton ยกมาเป๊ะ 100% ก็ไม่แปลกที่เขาจะเลือกบริษัทที่มี PE 5
แต่ในความเป็นจริง บริษัทที่มี PE 10 อาจโตได้มากกว่า 10 ก็เป็นได้
ถ้าเราสามารถคาดการณ์การเติบโตของบริษัทได้อย่างแม่นยำ 100% ก็คงดี
แต่ในความเป็นจริง บริษัทที่มี PE 10 อาจโตได้มากกว่า 10 ก็เป็นได้
ถ้าเราสามารถคาดการณ์การเติบโตของบริษัทได้อย่างแม่นยำ 100% ก็คงดี
-
- Verified User
- โพสต์: 551
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ANTHONY BOLTON ว่าอย่างงี้แล้วเราๆท่านๆว่าอย่างไงครับ
โพสต์ที่ 5
Peter Lynch กล่าวว่า "ถ้าทุกอย่างเท่ากันหุ้นที่มี PE = 20 เติบโต 20% น่าสนใจกว่าหุ้นที่มี PE = 10 เติบโต 10%" (Reference: Once Up On Wall Street) ดังจะเห็นดารเติบโตของ eps ต่างกันมากเมื่อเวลาผ่านไป 10 ปี ทั้งๆที่เริ่มจาก eps = $1 เท่ากัน
- Murphy.Bkk
- Verified User
- โพสต์: 37
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ANTHONY BOLTON ว่าอย่างงี้แล้วเราๆท่านๆว่าอย่างไงครับ
โพสต์ที่ 6
ปกติถ้า PEG เท่ากัน ผมคิดว่าเลือกบริษัทที่มี Growth สูงกว่าจะให้ผลตอบแทนมากกว่า (บนสมมติฐานว่า growth สูงเช่นนั้นตลอดไป)
แต่เนื่องจาก growth อาจไม่สูงเช่นที่เห็นตลอดไป เช่นบางบริษัทดู growth สูงในช่วงต้น เมื่อเวลาผ่านไป ปัจจัยต่างๆ ทำให้ growth ลดลง (คู่แข่งเข้ามาแชร์ผลกำไร บริษัทใกล้ถึงจุดอิ่มตัว ฯลฯ)
เช่น ปีที่ 1 หุ้นบริษัท A มีราคา 100 บาท กำไร 20 บาท growth=5 กับ
หุ้นบริษัท B มีราคา 100 บาท กำไร 5 บาท growth=20
สมมติว่า A ที่มี ค่า PE=5 growth=5 มีความแน่นอนของ growth เป็น 5% ตลอดในช่วง 10 ปีหลังจากนี้
B มีค่า PE=20 growth=20 growth มีแนวโน้มลดลง ตลอดช่วง 10 ปี โดยลดลงปีละ 10% ของกำไรในปีก่อนหน้า
เราจะได้ตัวเลขดังด้านล่างนี้ครับ แสดงว่าเมื่อเริ่มต้นเราลงทุน 100 บาทเท่ากัน ในช่วงต้น บริษัท B ให้ผลตอบแทนมากกว่า จนถึงปีที่ 8 ที่บริษัท A เริ่มให้ผลตอบแทนสูงกว่า
ดังนั้นในระยะเริ่มต้นเลือก B ในระยะยาวมากเลือก A ครับ
อย่างไรก็ดี อันนี้เป็นการคำนวณทางตัวเลขเท่านั้น ในความเป็นจริงเราควรต้องดูคุณภาพด้านอื่นๆของบริษัททั้งสองด้วยครับ
** หมายเหตุ การคำนวณตัวเลขด้านบน กำหนดให้ซื้อขายให้ราคา กำไร*growth ตลอด เช่น ปีที่ 3 บริษัท B จะมีกำไร 7.08 บาท growth (คำนวณจากปีที่2) 18% ก็จะซื้อขายในปีที่ 3 เป็น 18*7.08=127บาท
แต่เนื่องจาก growth อาจไม่สูงเช่นที่เห็นตลอดไป เช่นบางบริษัทดู growth สูงในช่วงต้น เมื่อเวลาผ่านไป ปัจจัยต่างๆ ทำให้ growth ลดลง (คู่แข่งเข้ามาแชร์ผลกำไร บริษัทใกล้ถึงจุดอิ่มตัว ฯลฯ)
เช่น ปีที่ 1 หุ้นบริษัท A มีราคา 100 บาท กำไร 20 บาท growth=5 กับ
หุ้นบริษัท B มีราคา 100 บาท กำไร 5 บาท growth=20
สมมติว่า A ที่มี ค่า PE=5 growth=5 มีความแน่นอนของ growth เป็น 5% ตลอดในช่วง 10 ปีหลังจากนี้
B มีค่า PE=20 growth=20 growth มีแนวโน้มลดลง ตลอดช่วง 10 ปี โดยลดลงปีละ 10% ของกำไรในปีก่อนหน้า
เราจะได้ตัวเลขดังด้านล่างนี้ครับ แสดงว่าเมื่อเริ่มต้นเราลงทุน 100 บาทเท่ากัน ในช่วงต้น บริษัท B ให้ผลตอบแทนมากกว่า จนถึงปีที่ 8 ที่บริษัท A เริ่มให้ผลตอบแทนสูงกว่า
ดังนั้นในระยะเริ่มต้นเลือก B ในระยะยาวมากเลือก A ครับ
อย่างไรก็ดี อันนี้เป็นการคำนวณทางตัวเลขเท่านั้น ในความเป็นจริงเราควรต้องดูคุณภาพด้านอื่นๆของบริษัททั้งสองด้วยครับ
** หมายเหตุ การคำนวณตัวเลขด้านบน กำหนดให้ซื้อขายให้ราคา กำไร*growth ตลอด เช่น ปีที่ 3 บริษัท B จะมีกำไร 7.08 บาท growth (คำนวณจากปีที่2) 18% ก็จะซื้อขายในปีที่ 3 เป็น 18*7.08=127บาท
เราซื้อหุ้นดีทุกตัวไม่ได้ แต่หุ้นที่เราซื้อต้องดีเท่านั้น
เราซื้อหุ้นทุกตัวที่ขึ้นไม่ได้ แต่หุ้นที่เราซื้อต้องขึ้นเท่านั้น
เราซื้อหุ้นทุกตัวที่ขึ้นไม่ได้ แต่หุ้นที่เราซื้อต้องขึ้นเท่านั้น