ช่วยตอบตามจริงนะครับ กับชีวิตนักลงทุน มีใครมั่นใจแล้วว่า...
- simplelife
- Verified User
- โพสต์: 756
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ช่วยตอบตามจริงนะครับ กับชีวิตนักลงทุน มีใครมั่นใจแล้วว่า
โพสต์ที่ 3
"นักลงทุน" สำหรับผมก็เหมือนการเองเงินเก็บที่มี (จากมรดก หรือจากงานอื่นอะไรก็แล้วแต่) มาลงทุนในธุรกิจ แต่แทนที่จะเปิดธุรกิจการค้าเอง ลงไปนั่งเฝ้าร้านเอง ก็เอาไปร่วมกับผู้อื่นที่ทำธุรกิจอยู่แล้ว ถือว่า "หุ้น"กันทำธุรกิจ ได้ส่วนแบ่งกำไรเท่าไร ก็มาแบ่ง"ปันผล"กัน ถ้าธุรกิจดี เดินไปข้างหน้า ก็โอเค แต่ถ้าธุรกิจเริ่มถดถอย เราไม่อยากเอาด้วยแล้ว หรือมีใครมาขอซื้อส่วนของเราในราคาแพงมากๆ ก็ขายไป เอาเงินไปทำธุรกิจอื่นๆ
ถ้าจะคิดแค่ว่า จะ"เล่นหุ้น"ให้รวย สำหรับผม attitude แบบนี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับ"การพนัน"เท่าไรเลย
ถ้าจะคิดแค่ว่า จะ"เล่นหุ้น"ให้รวย สำหรับผม attitude แบบนี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับ"การพนัน"เท่าไรเลย
"I believe what I said yesterday. I don't know what I said, but I know what I think... and I assume it's what I said." -- Donald Rumsfeld
- pizad_sura
- Verified User
- โพสต์: 67
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ช่วยตอบตามจริงนะครับ กับชีวิตนักลงทุน มีใครมั่นใจแล้วว่า
โพสต์ที่ 5
ผมว่าที่สุดแล้วทุกคนเกิดมา เมื่อมีเงินแล้ว ไม่ว่ามากน้อย ก็ต้องลงทุนทั้งนั้นครับ อยู่ที่ว่าลงทุนกับอะไร
- murder_doll
- Verified User
- โพสต์: 1644
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ช่วยตอบตามจริงนะครับ กับชีวิตนักลงทุน มีใครมั่นใจแล้วว่า
โพสต์ที่ 6
อีกนิด.....ก็ดังแล้ว
เงินทองเป็นของมายา
ข้าวปลาคือของจริง
ข้าวปลาคือของจริง
- jo7393
- Verified User
- โพสต์: 2486
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ช่วยตอบตามจริงนะครับ กับชีวิตนักลงทุน มีใครมั่นใจแล้วว่า
โพสต์ที่ 9
จากการลงทุนอะไรมาหลายอย่าง การลงทุนทางการเงินสุดท้ายไปจนถึงบั้นปลายของชีวิตนี่คือสิ่งที่คิดว่าใช่ครับ
แต่ไม่ใช่สิ่งเดียวที่เราควรลงทุน อย่าลืมลงทุนสร้างความดีสะสมบารมีเพื่อชาติถัดไปด้วยนะครับ
ถ้าให้ดีหวังสร้างบารมีให้เกิดปัญญา จนสามารถละกิเลสได้ก็ยิ่งดี ถึงแม้จะใช้เวลาอีกหลายชาติก็ตาม
แต่ไม่ใช่สิ่งเดียวที่เราควรลงทุน อย่าลืมลงทุนสร้างความดีสะสมบารมีเพื่อชาติถัดไปด้วยนะครับ
ถ้าให้ดีหวังสร้างบารมีให้เกิดปัญญา จนสามารถละกิเลสได้ก็ยิ่งดี ถึงแม้จะใช้เวลาอีกหลายชาติก็ตาม
“ถ้าราคาหุ้นแยกออกไปจากเส้นกำไร ไม่ช้าก็เร็วมันจะวิ่งกลับไปหาเส้นกำไรเสมอ”
เลือกบริษัทที่ดี ในราคาที่เหมาะสม และถือมันตราบที่มันยังเป็นกิจการที่ดีอยู่
อย่าอายที่จะถาม ไม่มีใครรู้ลึกทุก บ. ถ้าไม่รู้แล้วไม่ถามก็จะยิ่งไม่ฉลาด
เลือกบริษัทที่ดี ในราคาที่เหมาะสม และถือมันตราบที่มันยังเป็นกิจการที่ดีอยู่
อย่าอายที่จะถาม ไม่มีใครรู้ลึกทุก บ. ถ้าไม่รู้แล้วไม่ถามก็จะยิ่งไม่ฉลาด
- thaloengsak
- Verified User
- โพสต์: 2716
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ช่วยตอบตามจริงนะครับ กับชีวิตนักลงทุน มีใครมั่นใจแล้วว่า
โพสต์ที่ 10
ชีวิตคือการลงทุนกับสิ่งที่คุ้มค่าครับ
ลงทุนเพื่อชีวิต
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ช่วยตอบตามจริงนะครับ กับชีวิตนักลงทุน มีใครมั่นใจแล้วว่า
โพสต์ที่ 11
ชีวิตคือการลงทุน
ส่วนตัวผมไม่คิดว่าผมเกิดมาเพื่อสิ่งนี้นะ
แต่บังเอิญทางที่ผมอยากจะไป มันมียานพาหนะไม่กี่อย่างที่พาไปได้
และการลงทุนหรือเล่นหุ้นก็เหมาะกับนิสัยผมที่สุดในตัวเลือกทั้งหมด
ส่วนตัวผมไม่คิดว่าผมเกิดมาเพื่อสิ่งนี้นะ
แต่บังเอิญทางที่ผมอยากจะไป มันมียานพาหนะไม่กี่อย่างที่พาไปได้
และการลงทุนหรือเล่นหุ้นก็เหมาะกับนิสัยผมที่สุดในตัวเลือกทั้งหมด
- MO101
- Verified User
- โพสต์: 3226
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ช่วยตอบตามจริงนะครับ กับชีวิตนักลงทุน มีใครมั่นใจแล้วว่า
โพสต์ที่ 12
มันต้องฝึกฝนครับ
- birth_pianist
- Verified User
- โพสต์: 65
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ช่วยตอบตามจริงนะครับ กับชีวิตนักลงทุน มีใครมั่นใจแล้วว่า
โพสต์ที่ 14
ผมชอบทางนี้ครับ เพราะยังคิดทางอื่นไม่ออก
ให้ความรู้สึกเหมื่อนเป็น จอมยุทธ์ไร้นามในยุทธจักรอันกว้างใหญ่ ต้องฝึกวิทธยายุทธ์ไปเรื่อยๆเพื่อให้ฝีมือดีขึ้น
งานนี้ไม่มีตกเขาแล้วเจอคัมภีร์แบบในหนังจีน อยู่ที่ความรู้และประสบการณ์+ความฝึกฝนอดทน
ให้ความรู้สึกเหมื่อนเป็น จอมยุทธ์ไร้นามในยุทธจักรอันกว้างใหญ่ ต้องฝึกวิทธยายุทธ์ไปเรื่อยๆเพื่อให้ฝีมือดีขึ้น
งานนี้ไม่มีตกเขาแล้วเจอคัมภีร์แบบในหนังจีน อยู่ที่ความรู้และประสบการณ์+ความฝึกฝนอดทน
คุณสมบัติที่ไม่พึงประสงค์ของนักลงทุน คือ ซื้อดอย ขายหมู รู้งี้
-
- Verified User
- โพสต์: 304
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ช่วยตอบตามจริงนะครับ กับชีวิตนักลงทุน มีใครมั่นใจแล้วว่า
โพสต์ที่ 17
ใช่ครับ นอกจากงานประจำแล้ว ผมยังมองทางอื่นนอกจากหุ้นไม่ออก อาจจะเป็นเพราะว่าหุ้นเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดตอนนี้ครับalo5guy เขียน:ผมทำเพื่อปากท้อง ถ้ามีอย่างอื่นที่ทำแล้วดีกว่า ผมก็จะไป
Go within, be at peace.
- supparsorn
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 77
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ช่วยตอบตามจริงนะครับ กับชีวิตนักลงทุน มีใครมั่นใจแล้วว่า
โพสต์ที่ 18
ผมขายธุรกิจส่วนตัว (นอกตลาดฯ) ทั้งหมดของผม แล้วหันมาลงทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์แทนครับ แต่ผมมองในแง่ของการร่วมหุ้นทำธุรกิจกับบริษัทเหล่านี้นะครับ หวังเรื่องของการเจริญเติบโตของเงินปันผลในปีต่อๆ ไปเป็นหลักครับ ไม่เคยคิดว่าจะรวยเร็วๆ จาก Capital Gain ครับ และไม่ได้ตั้งเป้าหมายว่าต้องได้เท่าโน้นเท่านี้ครั้งละมากๆ แต่เน้นความมั่นคงในชีวิตเป็นหลัก
ความคิดผมอาจจะไม่ค่อยเหมือนคนส่วนใหญ่ คือ ผมไม่ค่อยชอบตอนหุ้นราคาขึ้นเท่าไหร่ เนื่องจากจะทำให้ผมเอาเงินปันผลที่ได้มาเก็บสะสมหุ้นที่ผมชอบได้จำนวนน้อยลงครับ เพราะหากคิดในมุมของการทำธุรกิจแล้ว การใช้เงินจำนวนเท่าเดิม แต่สามารถเพ่ิมความเป็นเจ้าของบริษัทได้มากๆ (เนื่องจากหุ้นราคาถูก) ย่อมถือเป็นโอกาสครับ ส่วนตอนราคาหุ้นเพ่ิมขึ้นไปมากๆ เนื่องจากผมไม่ค่อยมีความคิดจะขายหุ้นที่ตัวเองถืออยู่แล้ว มูลค่าพอร์ตที่โตขึ้นจาก Unrealized Capital Gain จึงไม่มีความหมายมากเท่าไหร่สำหรับผมครับ มันเป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้น
แต่นี้ก็เป็นแค่เพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมนะครับ
ความคิดผมอาจจะไม่ค่อยเหมือนคนส่วนใหญ่ คือ ผมไม่ค่อยชอบตอนหุ้นราคาขึ้นเท่าไหร่ เนื่องจากจะทำให้ผมเอาเงินปันผลที่ได้มาเก็บสะสมหุ้นที่ผมชอบได้จำนวนน้อยลงครับ เพราะหากคิดในมุมของการทำธุรกิจแล้ว การใช้เงินจำนวนเท่าเดิม แต่สามารถเพ่ิมความเป็นเจ้าของบริษัทได้มากๆ (เนื่องจากหุ้นราคาถูก) ย่อมถือเป็นโอกาสครับ ส่วนตอนราคาหุ้นเพ่ิมขึ้นไปมากๆ เนื่องจากผมไม่ค่อยมีความคิดจะขายหุ้นที่ตัวเองถืออยู่แล้ว มูลค่าพอร์ตที่โตขึ้นจาก Unrealized Capital Gain จึงไม่มีความหมายมากเท่าไหร่สำหรับผมครับ มันเป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้น
แต่นี้ก็เป็นแค่เพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมนะครับ
"ข้าพเจ้าไม่อาจทราบได้ว่าสงครามโลกครั้งที่ 3 ใช้อะไรสู้กัน แต่สงครามโลกครั้งที่ 4 จะต่อสู้กันด้วยท่อนไม้และก้อนหิน"
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
-
- Verified User
- โพสต์: 304
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ช่วยตอบตามจริงนะครับ กับชีวิตนักลงทุน มีใครมั่นใจแล้วว่า
โพสต์ที่ 19
เป็นสไตล์ที่น่าสนใจครับsupparsorn เขียน:ผมขายธุรกิจส่วนตัว (นอกตลาดฯ) ทั้งหมดของผม แล้วหันมาลงทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์แทนครับ แต่ผมมองในแง่ของการร่วมหุ้นทำธุรกิจกับบริษัทเหล่านี้นะครับ หวังเรื่องของการเจริญเติบโตของเงินปันผลในปีต่อๆ ไปเป็นหลักครับ ไม่เคยคิดว่าจะรวยเร็วๆ จาก Capital Gain ครับ และไม่ได้ตั้งเป้าหมายว่าต้องได้เท่าโน้นเท่านี้ครั้งละมากๆ แต่เน้นความมั่นคงในชีวิตเป็นหลัก
ความคิดผมอาจจะไม่ค่อยเหมือนคนส่วนใหญ่ คือ ผมไม่ค่อยชอบตอนหุ้นราคาขึ้นเท่าไหร่ เนื่องจากจะทำให้ผมเอาเงินปันผลที่ได้มาเก็บสะสมหุ้นที่ผมชอบได้จำนวนน้อยลงครับ เพราะหากคิดในมุมของการทำธุรกิจแล้ว การใช้เงินจำนวนเท่าเดิม แต่สามารถเพ่ิมความเป็นเจ้าของบริษัทได้มากๆ (เนื่องจากหุ้นราคาถูก) ย่อมถือเป็นโอกาสครับ ส่วนตอนราคาหุ้นเพ่ิมขึ้นไปมากๆ เนื่องจากผมไม่ค่อยมีความคิดจะขายหุ้นที่ตัวเองถืออยู่แล้ว มูลค่าพอร์ตที่โตขึ้นจาก Unrealized Capital Gain จึงไม่มีความหมายมากเท่าไหร่สำหรับผมครับ มันเป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้น
แต่นี้ก็เป็นแค่เพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมนะครับ
อยากทราบว่าทำไมตอนหุ้นขึ้นไปมาก ๆ จนเกิดมูลค่าที่แท้จริงของมัน ทำไมถึงไม่คิดขายครับ
Go within, be at peace.
- supparsorn
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 77
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ช่วยตอบตามจริงนะครับ กับชีวิตนักลงทุน มีใครมั่นใจแล้วว่า
โพสต์ที่ 20
sarawut_p เขียน:เป็นสไตล์ที่น่าสนใจครับsupparsorn เขียน:ผมขายธุรกิจส่วนตัว (นอกตลาดฯ) ทั้งหมดของผม แล้วหันมาลงทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์แทนครับ แต่ผมมองในแง่ของการร่วมหุ้นทำธุรกิจกับบริษัทเหล่านี้นะครับ หวังเรื่องของการเจริญเติบโตของเงินปันผลในปีต่อๆ ไปเป็นหลักครับ ไม่เคยคิดว่าจะรวยเร็วๆ จาก Capital Gain ครับ และไม่ได้ตั้งเป้าหมายว่าต้องได้เท่าโน้นเท่านี้ครั้งละมากๆ แต่เน้นความมั่นคงในชีวิตเป็นหลัก
ความคิดผมอาจจะไม่ค่อยเหมือนคนส่วนใหญ่ คือ ผมไม่ค่อยชอบตอนหุ้นราคาขึ้นเท่าไหร่ เนื่องจากจะทำให้ผมเอาเงินปันผลที่ได้มาเก็บสะสมหุ้นที่ผมชอบได้จำนวนน้อยลงครับ เพราะหากคิดในมุมของการทำธุรกิจแล้ว การใช้เงินจำนวนเท่าเดิม แต่สามารถเพ่ิมความเป็นเจ้าของบริษัทได้มากๆ (เนื่องจากหุ้นราคาถูก) ย่อมถือเป็นโอกาสครับ ส่วนตอนราคาหุ้นเพ่ิมขึ้นไปมากๆ เนื่องจากผมไม่ค่อยมีความคิดจะขายหุ้นที่ตัวเองถืออยู่แล้ว มูลค่าพอร์ตที่โตขึ้นจาก Unrealized Capital Gain จึงไม่มีความหมายมากเท่าไหร่สำหรับผมครับ มันเป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้น
แต่นี้ก็เป็นแค่เพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมนะครับ
อยากทราบว่าทำไมตอนหุ้นขึ้นไปมาก ๆ จนเกิดมูลค่าที่แท้จริงของมัน ทำไมถึงไม่คิดขายครับ
ครับ สำหรับผมแล้ว การลงทุน คือ การหาทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเงินของเราครับ (ในแง่ของผลตอบแทนจากกิจการนั้นๆ และความเสี่ยง) ดังนั้น เวลาที่ผมลงทุน ผมจะมองในเชิงของการเปรียบเทียบมากกว่าครับ โดยทั่วไป ผมจะไม่ค่อยขายหุ้นในบริษัทที่ผมถืออยู่ นอกเสียจากว่ามีตัวเลือกที่ดีกว่าให้ผมต้องทำการสลับตัว ก็อาจจะตัดใจขายหุ้นบริษัทเดิมเพื่อไปถือหุ้นในบริษัทใหม่ครับ
คำว่า "ตัวเลือกที่ดีกว่า" ของผม หมายความว่า ผมสามารถเป็นเจ้าของในบริษัทใหม่ในสัดส่วนที่มากกว่าบริษัทที่ผมถือหุ้นอยู่ปัจจุบัน (โดยที่ผมวิเคราะห์เปรียบเทียบแล้วเรื่องความเสี่ยงของทั้ง 2 บริษัท) เพราะนั้นจะสามารถทำให้ผมได้เงินปันผลมากขึ้นในงวดต่อๆ ไป เพื่อนำย้อนกลับไปสะสมหุ้นเพ่ิมขึ้นได้อีกครับ
ความจริงแล้ว ผมคิดว่า วิธีเปรียบเทียบทางเลือกในการลงทุน ที่ผมใช้อยู่ ก็ไม่ได้แตกต่างจากการหามูลค่าหุ้นที่เหมาะสมในเชิง Concept ลึกๆ เท่าไหร่นะครับ เพียงแต่ผมไม่ได้ไปตั้งธงว่า เมื่อหุ้นตัวหนึ่งราคาเพ่ิมมาถึงเท่านั้นเท่านี้แล้วจะต้องขายเพื่อ "ทำกำไร" เพียงแต่ว่า หากหุ้นที่ผมถืออยู่ราคามันเพ่ิมขึ้นไปมากจนเกินไปมาก จนพอมองเปรียบเทียบกับหุ้นตัวอื่น มันก็จะเป็นตัวบอกให้เรารู้ว่า มันเร่ิมมีทางเลือกที่ดีกว่าโผล่ขึ้นมาบอกเป็นนัยให้เราย้ายเงินไปลงทุนที่อื่นแทนแล้วครับ (แต่นานๆ มันถึงจะเกิดขึ้นสักทีครับ)
ส่วนวิธีการหามูลค่าที่เหมาะสม ในความคิดของผม คิดว่าทำให้มีความแม่นยำได้ยากพอสมควรครับ สมัยตอนทำ MBA (Finance) ผมก็ใช้วิธี DCF ในการหามูลค่าหุ้นนี้แหละครับ แต่ปัญหาก็คือว่า ทุกๆ อย่างในอีก 5-10 ปี ข้างหน้า ล้วนแต่เป็นสิ่งสมมุต (คาดคะเน) ทั้งสิ้นถูกไหมครับ? แค่ Discount Rate เปลี่ยนไปนึดเดียว วิธี DCF ก็ให้คำตอบต่างกันมากแล้วครับ เรียกว่าแทบจะเนรมิตคำตอบที่ต้องการได้ดั่งใจ เพียงแค่เปลี่ยนสมมุตฐานนึดๆ หน่อยๆ
ผมไม่ได้บอกว่าวิธี DCF ไม่ดีนะครับ เพียงแต่ว่า สมมุตว่าต่อให้เราตั้งสมมุติฐานทุกอย่าง "เหมาะสม" ในความคิดของเรา แต่คนอื่นๆ ในตลาดอาจจะมีความ "เหมาะสม" แตกต่างไปจากเรา ซึ่งทำให้ใช้เป็นบรรทัดฐานได้ยากครับ
ความจริงสมัยเรียน ผมใช้วิธี DCF จนคล่องเสียจน Professor ให้ผมไปเป็นผู้ช่วยสอนเด็กปริญญาตรีในสมัยนั้น แต่ที่เล่าให้ฟังนี้ไม่ได้ต้องการบอกว่าผมรู้มากแต่อย่างใด แค่ต้องการยกตัวอย่างให้เห็นว่า ผมไม่ได้มีอคติกับวิธี DCF ครับ เพียงแต่ผมพยายามมองด้วยใจที่เป็นกลางครับ ปัจจุบันผมไม่ได้ใช้วิธีนี้ในการวิเคราะห์หุ้นเท่าไหร่แล้วครับ
"ข้าพเจ้าไม่อาจทราบได้ว่าสงครามโลกครั้งที่ 3 ใช้อะไรสู้กัน แต่สงครามโลกครั้งที่ 4 จะต่อสู้กันด้วยท่อนไม้และก้อนหิน"
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
- unnop.t
- Verified User
- โพสต์: 924
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ช่วยตอบตามจริงนะครับ กับชีวิตนักลงทุน มีใครมั่นใจแล้วว่า
โพสต์ที่ 21
ถ้าคนซื้อหุ้นมีแนวคิดแบบคุณ Supparsorn เยอะๆ น่าจะดีนะ เพราะความผันผวนของตลาดจะลดลง เพราะหัวใจหลักการลงทุนใน
ตลาดจริง ๆคือ การระดมทุนเพื่อเป็นหุ้นส่วนธุรกิจ
สำหรับผมแล้ว ผมคิดว่าคงไม่ได้เกิดมาเพื่อการลงทุน แต่ชีวิตผมใช้การลงทุนเป็นเครื่องมือครับ
ตลาดจริง ๆคือ การระดมทุนเพื่อเป็นหุ้นส่วนธุรกิจ
สำหรับผมแล้ว ผมคิดว่าคงไม่ได้เกิดมาเพื่อการลงทุน แต่ชีวิตผมใช้การลงทุนเป็นเครื่องมือครับ
ตลาดหุ้นมักจะหลอกเราด้วย ความโลภ และความกลัว.....
-
- Verified User
- โพสต์: 304
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ช่วยตอบตามจริงนะครับ กับชีวิตนักลงทุน มีใครมั่นใจแล้วว่า
โพสต์ที่ 22
+1 ครับsupparsorn เขียน:sarawut_p เขียน:เป็นสไตล์ที่น่าสนใจครับsupparsorn เขียน:ผมขายธุรกิจส่วนตัว (นอกตลาดฯ) ทั้งหมดของผม แล้วหันมาลงทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์แทนครับ แต่ผมมองในแง่ของการร่วมหุ้นทำธุรกิจกับบริษัทเหล่านี้นะครับ หวังเรื่องของการเจริญเติบโตของเงินปันผลในปีต่อๆ ไปเป็นหลักครับ ไม่เคยคิดว่าจะรวยเร็วๆ จาก Capital Gain ครับ และไม่ได้ตั้งเป้าหมายว่าต้องได้เท่าโน้นเท่านี้ครั้งละมากๆ แต่เน้นความมั่นคงในชีวิตเป็นหลัก
ความคิดผมอาจจะไม่ค่อยเหมือนคนส่วนใหญ่ คือ ผมไม่ค่อยชอบตอนหุ้นราคาขึ้นเท่าไหร่ เนื่องจากจะทำให้ผมเอาเงินปันผลที่ได้มาเก็บสะสมหุ้นที่ผมชอบได้จำนวนน้อยลงครับ เพราะหากคิดในมุมของการทำธุรกิจแล้ว การใช้เงินจำนวนเท่าเดิม แต่สามารถเพ่ิมความเป็นเจ้าของบริษัทได้มากๆ (เนื่องจากหุ้นราคาถูก) ย่อมถือเป็นโอกาสครับ ส่วนตอนราคาหุ้นเพ่ิมขึ้นไปมากๆ เนื่องจากผมไม่ค่อยมีความคิดจะขายหุ้นที่ตัวเองถืออยู่แล้ว มูลค่าพอร์ตที่โตขึ้นจาก Unrealized Capital Gain จึงไม่มีความหมายมากเท่าไหร่สำหรับผมครับ มันเป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้น
แต่นี้ก็เป็นแค่เพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมนะครับ
อยากทราบว่าทำไมตอนหุ้นขึ้นไปมาก ๆ จนเกิดมูลค่าที่แท้จริงของมัน ทำไมถึงไม่คิดขายครับ
ครับ สำหรับผมแล้ว การลงทุน คือ การหาทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเงินของเราครับ (ในแง่ของผลตอบแทนจากกิจการนั้นๆ และความเสี่ยง) ดังนั้น เวลาที่ผมลงทุน ผมจะมองในเชิงของการเปรียบเทียบมากกว่าครับ โดยทั่วไป ผมจะไม่ค่อยขายหุ้นในบริษัทที่ผมถืออยู่ นอกเสียจากว่ามีตัวเลือกที่ดีกว่าให้ผมต้องทำการสลับตัว ก็อาจจะตัดใจขายหุ้นบริษัทเดิมเพื่อไปถือหุ้นในบริษัทใหม่ครับ
คำว่า "ตัวเลือกที่ดีกว่า" ของผม หมายความว่า ผมสามารถเป็นเจ้าของในบริษัทใหม่ในสัดส่วนที่มากกว่าบริษัทที่ผมถือหุ้นอยู่ปัจจุบัน (โดยที่ผมวิเคราะห์เปรียบเทียบแล้วเรื่องความเสี่ยงของทั้ง 2 บริษัท) เพราะนั้นจะสามารถทำให้ผมได้เงินปันผลมากขึ้นในงวดต่อๆ ไป เพื่อนำย้อนกลับไปสะสมหุ้นเพ่ิมขึ้นได้อีกครับ
ความจริงแล้ว ผมคิดว่า วิธีเปรียบเทียบทางเลือกในการลงทุน ที่ผมใช้อยู่ ก็ไม่ได้แตกต่างจากการหามูลค่าหุ้นที่เหมาะสมในเชิง Concept ลึกๆ เท่าไหร่นะครับ เพียงแต่ผมไม่ได้ไปตั้งธงว่า เมื่อหุ้นตัวหนึ่งราคาเพ่ิมมาถึงเท่านั้นเท่านี้แล้วจะต้องขายเพื่อ "ทำกำไร" เพียงแต่ว่า หากหุ้นที่ผมถืออยู่ราคามันเพ่ิมขึ้นไปมากจนเกินไปมาก จนพอมองเปรียบเทียบกับหุ้นตัวอื่น มันก็จะเป็นตัวบอกให้เรารู้ว่า มันเร่ิมมีทางเลือกที่ดีกว่าโผล่ขึ้นมาบอกเป็นนัยให้เราย้ายเงินไปลงทุนที่อื่นแทนแล้วครับ (แต่นานๆ มันถึงจะเกิดขึ้นสักทีครับ)
ส่วนวิธีการหามูลค่าที่เหมาะสม ในความคิดของผม คิดว่าทำให้มีความแม่นยำได้ยากพอสมควรครับ สมัยตอนทำ MBA (Finance) ผมก็ใช้วิธี DCF ในการหามูลค่าหุ้นนี้แหละครับ แต่ปัญหาก็คือว่า ทุกๆ อย่างในอีก 5-10 ปี ข้างหน้า ล้วนแต่เป็นสิ่งสมมุต (คาดคะเน) ทั้งสิ้นถูกไหมครับ? แค่ Discount Rate เปลี่ยนไปนึดเดียว วิธี DCF ก็ให้คำตอบต่างกันมากแล้วครับ เรียกว่าแทบจะเนรมิตคำตอบที่ต้องการได้ดั่งใจ เพียงแค่เปลี่ยนสมมุตฐานนึดๆ หน่อยๆ
ผมไม่ได้บอกว่าวิธี DCF ไม่ดีนะครับ เพียงแต่ว่า สมมุตว่าต่อให้เราตั้งสมมุติฐานทุกอย่าง "เหมาะสม" ในความคิดของเรา แต่คนอื่นๆ ในตลาดอาจจะมีความ "เหมาะสม" แตกต่างไปจากเรา ซึ่งทำให้ใช้เป็นบรรทัดฐานได้ยากครับ
ความจริงสมัยเรียน ผมใช้วิธี DCF จนคล่องเสียจน Professor ให้ผมไปเป็นผู้ช่วยสอนเด็กปริญญาตรีในสมัยนั้น แต่ที่เล่าให้ฟังนี้ไม่ได้ต้องการบอกว่าผมรู้มากแต่อย่างใด แค่ต้องการยกตัวอย่างให้เห็นว่า ผมไม่ได้มีอคติกับวิธี DCF ครับ เพียงแต่ผมพยายามมองด้วยใจที่เป็นกลางครับ ปัจจุบันผมไม่ได้ใช้วิธีนี้ในการวิเคราะห์หุ้นเท่าไหร่แล้วครับ
Go within, be at peace.
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 101
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ช่วยตอบตามจริงนะครับ กับชีวิตนักลงทุน มีใครมั่นใจแล้วว่า
โพสต์ที่ 23
ผมชอบสถิติครับ ตอนเรียนก็เก็บเกรดของตัวเองเอามาพล๊อตกราฟ เวลาเล่นเกมก็ชอบดูสถิติข้อมูลการเล่นและ high score สำหรับชีวิตการลงทุนก็ชอบเก็บสถิติผลตอบแทน มูลค่าพอร์ต เอามาเปรียบเทียบเดือนต่อเดือน ปีต่อปี รวมถึงเปรียบเทียบกับดัชนีและกองทุนต่างๆ
สำหรับผม ผมชอบดูสถิติในช่วงที่มีผลงานดีๆ ช่วงไหนผลงานไม่ดีก็แอบเศร้า แต่ก็เอามาทบทวนปรับกลยุทธ์ไปเรื่อยๆ
สรุปว่า ผมยังไม่คิดว่าตัวเองเป็นนักลงทุนที่ดีซักเท่าไหร่ครับ
สำหรับผม ผมชอบดูสถิติในช่วงที่มีผลงานดีๆ ช่วงไหนผลงานไม่ดีก็แอบเศร้า แต่ก็เอามาทบทวนปรับกลยุทธ์ไปเรื่อยๆ
สรุปว่า ผมยังไม่คิดว่าตัวเองเป็นนักลงทุนที่ดีซักเท่าไหร่ครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2603
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ช่วยตอบตามจริงนะครับ กับชีวิตนักลงทุน มีใครมั่นใจแล้วว่า
โพสต์ที่ 24
ผมไม่รู้ว่าผมเกิดมาเพื่อสิ่งนี้รึปล่าว เเต่ผมมีความสุขและความฝันร่วมกับมันกับมันดำ เขียน:กับชีวิตนักลงทุน มีใครบ้างที่มั่นใจแล้วว่า ตัวเองเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ครับ
เอาจริงๆ นะ
1) มีความสุขกับการค่อยๆเรียนรู้เรื่องการลงทุนไปเรื่อยๆ ชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนมากกว่าอ่านหนังสืออย่างอื่น, ดูคลิปสัมนาการลงทุนมากกว่าคลิปหลุดของดารา, สามารถเก็บเงินจากการทำงานเพื่อมาใส่Portเพื่อลงทุนทุกเดือน(จากเดิมก่อนที่รู้จัก"หุ้น"ไม่เคยเก็บเงินได้เลย), เข้าWeb Thaivi.com มากกว่า"ที่นี่ดอทคอม"
สรุปคือผมหมกมุ่นกับมันและมีความสุขกับการเรียนรู้ด้านการลงทุนคาดหวังว่าจะค่อยๆตกผลึกความคิดทางการลงทุนที่ละนิดไปเรื่อยๆ
2)มีความฝัน...ที่จะมีอิสรภาพทางการเงิน ตามที่พี่ๆน้องๆThaivi.com หลายคนที่ทำได้จริงและประสบความสำเร็จ
คนเราจะมีความสุข มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีเท่าไร เเต่ขึ้นกับว่า เราพอเมื่อไร
~หลวงพ่อชา สุภัทโท~
o
~หลวงพ่อชา สุภัทโท~
o
-
- Verified User
- โพสต์: 3350
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ช่วยตอบตามจริงนะครับ กับชีวิตนักลงทุน มีใครมั่นใจแล้วว่า
โพสต์ที่ 26
sarawut_p เขียน:เป็นสไตล์ที่น่าสนใจครับsupparsorn เขียน:ผมขายธุรกิจส่วนตัว (นอกตลาดฯ) ทั้งหมดของผม แล้วหันมาลงทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์แทนครับ แต่ผมมองในแง่ของการร่วมหุ้นทำธุรกิจกับบริษัทเหล่านี้นะครับ หวังเรื่องของการเจริญเติบโตของเงินปันผลในปีต่อๆ ไปเป็นหลักครับ ไม่เคยคิดว่าจะรวยเร็วๆ จาก Capital Gain ครับ และไม่ได้ตั้งเป้าหมายว่าต้องได้เท่าโน้นเท่านี้ครั้งละมากๆ แต่เน้นความมั่นคงในชีวิตเป็นหลัก
ความคิดผมอาจจะไม่ค่อยเหมือนคนส่วนใหญ่ คือ ผมไม่ค่อยชอบตอนหุ้นราคาขึ้นเท่าไหร่ เนื่องจากจะทำให้ผมเอาเงินปันผลที่ได้มาเก็บสะสมหุ้นที่ผมชอบได้จำนวนน้อยลงครับ เพราะหากคิดในมุมของการทำธุรกิจแล้ว การใช้เงินจำนวนเท่าเดิม แต่สามารถเพ่ิมความเป็นเจ้าของบริษัทได้มากๆ (เนื่องจากหุ้นราคาถูก) ย่อมถือเป็นโอกาสครับ ส่วนตอนราคาหุ้นเพ่ิมขึ้นไปมากๆ เนื่องจากผมไม่ค่อยมีความคิดจะขายหุ้นที่ตัวเองถืออยู่แล้ว มูลค่าพอร์ตที่โตขึ้นจาก Unrealized Capital Gain จึงไม่มีความหมายมากเท่าไหร่สำหรับผมครับ มันเป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้น
แต่นี้ก็เป็นแค่เพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมนะครับ
อยากทราบว่าทำไมตอนหุ้นขึ้นไปมาก ๆ จนเกิดมูลค่าที่แท้จริงของมัน ทำไมถึงไม่คิดขายครับ
ผมว่ามันมองได้หลายแง่มุม นะคับ
ส่วนใหญ่ มูลค่าแท้จริง มันแกว่งไปมา ตามปัจจัยหลายอย่าง เช่น ดอกเบี้ยขึ้น มูลค่า บ. ก็ต้องลดลง (ตามการคิด wacc ) อีกอย่างก็ไม่มีใครรู้ แล้วแต่เราจะอุปโลค ขึ้นมา
ยกตัวอย่าง บางครั้ง เราสมมติกรอบเวลา 2 ปี ว่า หุ้น a ราคามันควรจะเป็นเท่านั้นเท่านี้
พอราคาวิ่งล้ำมูลค่า ที่เราคิด เราก็ขาย เพื่อ ไปหาหุ้นที่เราคิดว่ามันยังต่ำอยู่
ถ้ามองว่าเป็นความเสี่ยงที่เราจะต้องไปเสี่ยงกับหุ้นตัวใหม่ ผมว่ามันก็เสี่ยงนะ
แล้วถ้าหุ้นนั้น เป็น หุ้นgrowth ที่มีศักยภาพ จะเป็น cash cow ผมจะเสี่ยงกับสิ่งนั้นทำไม
ในเมื่อ ราคาที่ล้ำมูลค่า 2 ปีก็จริง แต่ growth story มันอาจจะยังไม่หมดไป
เช่น ถ้าย้อนเวลากลับไป ผมซื้อ wg ได้ราคาเท่าพี่ฉัตรชัย ผมจะขายทำไมล่ะคับ
ดังนั้น ผมว่า การมองเืรื่องมูลค่า อาจจะต้องมองทั้งกรอบเวลา และศักยภาพในอนาคตของบ. รวมทั้งแนวความคิดและการจัดการเรือ่งเงินของเราเอง ด้วยทุกองค์ประกอบ มั้งคับ
show me money.
-
- Verified User
- โพสต์: 22
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ช่วยตอบตามจริงนะครับ กับชีวิตนักลงทุน มีใครมั่นใจแล้วว่า
โพสต์ที่ 27
คิดทำนองเดียวกันครับ พยายามเก็บสะสมหุ้นดีๆไว้ อาจจะถึงกับส่งต่อให้ลูกๆ ที่กำลังเป็นวัยรุ่น ที่มีเงินเล่นหุ้นทุกวันนี้ก็มาจากหุ้นซิเมนต์และหุ้นธนาคารที่ได้รับตกทอดนานมาแล้ว ก็เลยคิดจะที่จะทำทำนองเดียวกันต่อๆไปsupparsorn เขียน:ผมขายธุรกิจส่วนตัว (นอกตลาดฯ) ทั้งหมดของผม แล้วหันมาลงทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์แทนครับ แต่ผมมองในแง่ของการร่วมหุ้นทำธุรกิจกับบริษัทเหล่านี้นะครับ หวังเรื่องของการเจริญเติบโตของเงินปันผลในปีต่อๆ ไปเป็นหลักครับ ไม่เคยคิดว่าจะรวยเร็วๆ จาก Capital Gain ครับ และไม่ได้ตั้งเป้าหมายว่าต้องได้เท่าโน้นเท่านี้ครั้งละมากๆ แต่เน้นความมั่นคงในชีวิตเป็นหลัก
ความคิดผมอาจจะไม่ค่อยเหมือนคนส่วนใหญ่ คือ ผมไม่ค่อยชอบตอนหุ้นราคาขึ้นเท่าไหร่ เนื่องจากจะทำให้ผมเอาเงินปันผลที่ได้มาเก็บสะสมหุ้นที่ผมชอบได้จำนวนน้อยลงครับ เพราะหากคิดในมุมของการทำธุรกิจแล้ว การใช้เงินจำนวนเท่าเดิม แต่สามารถเพ่ิมความเป็นเจ้าของบริษัทได้มากๆ (เนื่องจากหุ้นราคาถูก) ย่อมถือเป็นโอกาสครับ ส่วนตอนราคาหุ้นเพ่ิมขึ้นไปมากๆ เนื่องจากผมไม่ค่อยมีความคิดจะขายหุ้นที่ตัวเองถืออยู่แล้ว มูลค่าพอร์ตที่โตขึ้นจาก Unrealized Capital Gain จึงไม่มีความหมายมากเท่าไหร่สำหรับผมครับ มันเป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้น
แต่นี้ก็เป็นแค่เพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมนะครับ
- chukieat30
- Verified User
- โพสต์: 3531
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ช่วยตอบตามจริงนะครับ กับชีวิตนักลงทุน มีใครมั่นใจแล้วว่า
โพสต์ที่ 28
+1harikung เขียน:ผมมั่นใจมากครับว่าเกิดมาเพื่อสิ่งนี้
พร้อมจะเกาะบาตรพี่สมภาร CK แล้วครับ
เด็กวัด ลุยส์
ถ้าคุณตีลูกตามไทเกอร์ คุณก้ไม่มีทางจะเหนือกว่า ไทเกอร์ จงนำวงสวิงของไทเกอร์มาปรับใช้ให้เหมาะกับคุณ
หวิ่งชุนหวอซาน หวิ่งชุนยิปมันจีทคุดโด้ พื้นฐานก้มาจากหวิ่งชุน แม้ชื่อจะต่าง
แต่หวิ่งชุนก้คือ หวิ่งชุน
ทำวันนี้ให้ดี ทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่า และทำวันข้างหน้าให้ดีที่สุด
หวิ่งชุนหวอซาน หวิ่งชุนยิปมันจีทคุดโด้ พื้นฐานก้มาจากหวิ่งชุน แม้ชื่อจะต่าง
แต่หวิ่งชุนก้คือ หวิ่งชุน
ทำวันนี้ให้ดี ทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่า และทำวันข้างหน้าให้ดีที่สุด
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3352
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ช่วยตอบตามจริงนะครับ กับชีวิตนักลงทุน มีใครมั่นใจแล้วว่า
โพสต์ที่ 30
ผมมั่นใจมากๆ เลยครับ ว่าผมไม่ได้เกิดมาเพื่อสิ่งนี้ดำ เขียน:กับชีวิตนักลงทุน มีใครบ้างที่มั่นใจแล้วว่า ตัวเองเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ครับ
เอาจริงๆ นะ
มันก็แค่วิธีหาเลี้ยงชีพวิธีการหนึ่งที่ทำให้ชีวิตมีเวลาเหลือไปทำอะไรอย่างอื่นที่สำคัญกว่าครับ...
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?