การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
-
leky
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
aonzzung เขียน:แทนที่จะกระจายตัวละ 20% -> 5 ตัว
ก็เล่นมัน 1-2 ตัวไปเลย
เพราะถ้ากระจายตัวละ 20% เกิดมีตัวนึงโต 100% ก็ทำให้พอรตโตแค่ 20%
แต่ถ้าเล่น 1-2 ตัว ถ้าตัวนึงมันโต 100% พอรตก็โต เกิน 50% แน่นอน
หรือมันเสี่ยงเกินไปครับ?
หลายๆครั้งที่กระจาย 5-6 ตัวแต่ในใจก็มั่นใจว่า หุ้น A ในกลุ่มจะขึ้นมากกว่าเพื่อน
แล้วก็ขึ้นมากจิงๆ แต่พอดูพอรตรวม ฮือๆ โตน้อยจังเลย เพราะตัวที่เหลือไม่ได้ขึ้นมากมายเท่าไร
พอร์ตโตปีละ 20% ผมเองมองว่าก็ไม่ได้เลวร้ายนะครับ ขอแต่เพียงทำให้ได้สม่ำเสมอ 5 ปีคุณก็ได้ 100% แล้ว ระหว่างนี้ก็เติมเงินออมเข้าไปในพอร์ตเรื่อย ๆ ผมว่าตอนนี้หลายคนมองว่าลงทุนในหุ้นต้องกำไรเป็นเท่า ๆ ถึงจะเจ๋ง แต่หลายคนคงลืมไปว่าปีที่เลวร้ายหรือตลาดไม่ไปไหนความรู้สึกมันเป็นยังไง
การที่หุ้นตัวใดตัวหนึ่งจะขึ้นมากน้อยเท่าไหร่ นอกจากปัจจัยพื้นฐานของบ.เองแล้ว "นิสัย" ของหุ้นตัวนั้นก็มีส่วนอยู่เหมือนกัน หุ้นบางตัวเป็นหุ้นปันผลกิจการไปได้เรื่อย ๆ ไม่หวือหวา ถ้าเราซื้อไปแล้วจะหวังให้วิ่งเป็นเท่า ๆ ก็คงไม่ง่ายนัก ยกเว้นแต่จะมี "ปัจจัย" บวกอะไรบางอย่าง เช่นจ่ายปันผลพิเศษหรือแจก W ซึ่งตรงนี้มันก็ต้องถือว่าอยู่นอกเหนือการคาดการณ์
หุ้นบางตัวเราอาจจะคิดว่าปัจจัยพื้นฐานดีหรือมีอะไรบางอย่างในส่วนของพื้นฐานที่จะเปลี่ยนไปทำให้ราคาหุ้นในอนาคตขึ้นไปได้ แต่บางครั้งหลังจากถือราคาอาจจะนิ่ง ๆ หรือลง ในขณะที่หุ้นที่เราแค่จับตาดูในอันดับรอง ๆ ลงไปเพราะเรายังไม่มันใจในพื้นฐานของบ.หรือความชัดเจนของปัจจัยบวกบางอย่าง กลับขึ้นไปเป็นหลายสิบเปอร์เซ็นต์ เหตุการณ์แบบนั้นผมเองก็เคยเจอบ่อย ๆ แต่ผมก็เลือกที่จะถือหุ้นโดยดูความเสี่ยงที่หุ้นจะลง (จากพื้นฐานและราคา) เป็นหลักมากกว่ามองปัจจัยบวกที่หุ้นจะขึ้นแต่ก็เสี่ยงมากที่หุ้นจะลงครับ และเท่าที่ทำแบบนี้มาก็ได้ผลค่อนข้างน่าพอใจ ผมว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือ "ถึงตัดสินใจผิดพลาดก็ขอให้อย่าขาดทุน" ครับ ถ้าเราขาดทุน 50% แต่เวลาเราจะเอาเงินที่ขาดทุนคืน เราต้องทำกำไรให้ได้ 100% ครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
-
Frodo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 271
- ผู้ติดตาม: 0
ถ้ามั่นใจมาก
ก็ลุยเลยครับ
-
viim
- Verified User
- โพสต์: 551
- ผู้ติดตาม: 0
จากที่อ่านของทุกท่านข้างต้น พอจะได้หลักการคร่าวๆ คือ
1. ถ้าเข้าใจธุรกิจมาก ก็จะทำให้มั่นใจมาก คำว่ามั่นใจนี่ แต่ละคนก็จะนิยามไม่เหมือนกัน แต่ตัวเราจะรู้ดีที่สุด การที่เราจะมั่นใจได้ ก็ต้องผ่านการทำการบ้านอย่างรอบด้าน ต่อจิกซอทุกตัวที่เรามี คิด downside risk ก่อนจากนั้นค่อยมาดูว่า upside gain เป็นไปตามเป้าหมายของผลตอบแทนที่เราคาดหวังหรือไม่ (แต่ละคนไม่เท่ากัน) บางคนต้องการแต่ 10% บางคนต้องการ 30%, 50% ระยะเวลาในการถือก็ไม่เท่ากัน ก็แล้วแต่ ถ้าไม่มั่นใจหรือมั่นใจน้อยก็ไม่ควรซื้อ ถ้ามั่นใจมากถึงมากที่สุดค่อยลงทุน
2. จำนวนหุ้นที่จะถือขึ้นอยู่กับขอบเขตความรู้ที่เรามีและหลายคนสอนผมไม่ให้โลภเกินความรู้ อันนี้ดีมากคอยเตือนสติตัวเองตลอด เพราะฉะนั้นจำนวนหุ้นที่มีให้เลือกลงทุนก็จะแปรผันตามความรู้ความเข้าใจในธุรกิจที่ผมเข้าใจ ณ เวลาหนึ่งๆ ซึ่งอาจจะเพิ่มขึ้นภายหลังได้
3. จำนวนน้ำหนักในหุ้นแต่ละตัวที่มีในข้อ 2 น่าจะขึ้นกับ upside gain และ level of confidence
-
adi
- Verified User
- โพสต์: 1155
- ผู้ติดตาม: 0
sarawut_p เขียน:โดยส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่า
แล้วแต่ความพอใจ + ความสามารถในการรับความเสี่ยงแต่ละคนครับ
สำหรับบางคน ถือหุ้น ๔ ตัว
ได้เด้ง ๑ ตัว ที่เหลือ ราคาขึ้นตามค่าเฉลี่ย บางตัวราคาคงตัว เค้าอาจจะพอใจแล้วก็ได้
โดยส่วนตัวผมเอง ผมคิดว่าไม่คงไม่กล้าถือหุ้น ๑-๒ ตัว เพราะความรู้ยังน้อยอยู่
และความแน่นอนที่สุดก็คือความไม่นอน อาจมีสิ่งสำคัญร้ายแรงที่ผมไม่รู้อยู่ก็ได้
หรืออาจจะมีเหตุการณ์ที่ผมไม่คาดคิดไว้ก็ได้ ผมเป็นพวก อนุรักษ์นิยมครับ
+1
A Cynic Knows the Price of Everything and the Value of Nothing
-Oscar Wilde, Lady Windemeres Fan
-
biya
- Verified User
- โพสต์: 47
- ผู้ติดตาม: 0
ดีไม่ดีขึ้นอยู่กับความคิดของแต่ละคนครับ แต่สำหรับผมเห็นด้วยกับการเล่นหุ้นน้อยตัว ถึงความเสี่ยงมันจะสูงแต่เราก็มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูงกว่าในระยะยาว(จากวิธีการคิดผลตอบแทนแบบทบต้นไปเรื่อยๆ)
-
Frodo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 271
- ผู้ติดตาม: 0
viim เขียน:จากที่อ่านของทุกท่านข้างต้น พอจะได้หลักการคร่าวๆ คือ
1. ถ้าเข้าใจธุรกิจมาก ก็จะทำให้มั่นใจมาก คำว่ามั่นใจนี่ แต่ละคนก็จะนิยามไม่เหมือนกัน แต่ตัวเราจะรู้ดีที่สุด การที่เราจะมั่นใจได้ ก็ต้องผ่านการทำการบ้านอย่างรอบด้าน ต่อจิกซอทุกตัวที่เรามี คิด downside risk ก่อนจากนั้นค่อยมาดูว่า upside gain เป็นไปตามเป้าหมายของผลตอบแทนที่เราคาดหวังหรือไม่ (แต่ละคนไม่เท่ากัน) บางคนต้องการแต่ 10% บางคนต้องการ 30%, 50% ระยะเวลาในการถือก็ไม่เท่ากัน ก็แล้วแต่ ถ้าไม่มั่นใจหรือมั่นใจน้อยก็ไม่ควรซื้อ ถ้ามั่นใจมากถึงมากที่สุดค่อยลงทุน
2. จำนวนหุ้นที่จะถือขึ้นอยู่กับขอบเขตความรู้ที่เรามีและหลายคนสอนผมไม่ให้โลภเกินความรู้ อันนี้ดีมากคอยเตือนสติตัวเองตลอด เพราะฉะนั้นจำนวนหุ้นที่มีให้เลือกลงทุนก็จะแปรผันตามความรู้ความเข้าใจในธุรกิจที่ผมเข้าใจ ณ เวลาหนึ่งๆ ซึ่งอาจจะเพิ่มขึ้นภายหลังได้
3. จำนวนน้ำหนักในหุ้นแต่ละตัวที่มีในข้อ 2 น่าจะขึ้นกับ upside gain และ level of confidence
สรุปได้ดีครับ
-
chatchai
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
viim เขียน:จากที่อ่านของทุกท่านข้างต้น พอจะได้หลักการคร่าวๆ คือ
1. ถ้าเข้าใจธุรกิจมาก ก็จะทำให้มั่นใจมาก คำว่ามั่นใจนี่ แต่ละคนก็จะนิยามไม่เหมือนกัน แต่ตัวเราจะรู้ดีที่สุด การที่เราจะมั่นใจได้ ก็ต้องผ่านการทำการบ้านอย่างรอบด้าน ต่อจิกซอทุกตัวที่เรามี คิด downside risk ก่อนจากนั้นค่อยมาดูว่า upside gain เป็นไปตามเป้าหมายของผลตอบแทนที่เราคาดหวังหรือไม่ (แต่ละคนไม่เท่ากัน) บางคนต้องการแต่ 10% บางคนต้องการ 30%, 50% ระยะเวลาในการถือก็ไม่เท่ากัน ก็แล้วแต่ ถ้าไม่มั่นใจหรือมั่นใจน้อยก็ไม่ควรซื้อ ถ้ามั่นใจมากถึงมากที่สุดค่อยลงทุน
2. จำนวนหุ้นที่จะถือขึ้นอยู่กับขอบเขตความรู้ที่เรามีและหลายคนสอนผมไม่ให้โลภเกินความรู้ อันนี้ดีมากคอยเตือนสติตัวเองตลอด เพราะฉะนั้นจำนวนหุ้นที่มีให้เลือกลงทุนก็จะแปรผันตามความรู้ความเข้าใจในธุรกิจที่ผมเข้าใจ ณ เวลาหนึ่งๆ ซึ่งอาจจะเพิ่มขึ้นภายหลังได้
3. จำนวนน้ำหนักในหุ้นแต่ละตัวที่มีในข้อ 2 น่าจะขึ้นกับ upside gain และ level of confidence
จากข้อ 1. ผมขอเตือนซักนิดนะครับ ข้อควรระวัง คือ การมั่นใจตัวเองมากเกินไป ถ้ามีประสบการณ์มากพอก็โอเค เป็นห่วงแต่นักลงทุนใหม่ๆที่เพิ่งเริ่มลงทุนไม่นานนัก
และข้อ 3. สำหรับผมแล้ว อยากให้คิดถึงโอกาสผิดพลาดและขนาดความเสียหายด้วยนะครับ
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
-
ice3500
- Verified User
- โพสต์: 14
- ผู้ติดตาม: 0
ผมอยากแนะนํา จขกท เช่นนี้ครับ การเลือกหุ้นและจัดพอร์ตว่าจะเอาเท่าไรดีเป็นบริหารความเสี่ยง สิ่งที่ผมอยากให้ จขกท ทําคือการหาบทความที่ให้ความรู้ในภาพรวมมาอ่าน เช่น หุ้นประเภทต่างๆ เป็นต้น เพื่อ โฟกัสหาหุ้นที่เราสนใจรวมถึงข้อดีและเสียของหุ้นกลุ่มต่างๆด้วยนะครับ เมื่อมาถึงตรงนี้ จขกท ก็จะรู้แล้วว่าการที่จะผ่านด่านเลือกหุ้นเป็นตัวๆยากถ้าข้อมูลภาพรวมที่ จขกท เคยอ่านมานั้นอ่านมาเยอะ แต่ถ้า จขกท อ่านมาไม่เยอะพอมันจะรู้สึกว่าเลือกได้แบบฉาบฉวย รู้สึกเหมือนเลือกขนมตามร้านสะดวกซื้อหน่ะครับ ดูซองสีสันรูปร่างราคา ซื้อ!! ซึ่งพวกโภชนาการจัดเขาจะดูถึงข้อมูลโปรตีน ไขมัน และเราก็ต้องเหมือนพวกโภชนาการจัดด้วยครับ ถ้าเรายังไม่รู้สึกแบบนี้ก็ย้อนกลับไปทําแต่แรกใหม่ ถ้าผ่านแล้วผมเชื่อว่าความรู้ของ จกขท จะทําให้ท่านจัดพอร์ตเลือกหุ้นสัดส่วนตามความเสี่ยงที่ จขกท ได้เองครับ
สมมติเหตุการณ์ที่ จขกท ใช้วิจารณญาณซึ่ง จขกท ศึกษามา
"หุ้นนี้มันเติบโตสูงดีแหะ ซื้อไว้มากหน่อยถึงเสี่ยงมากแต่ก็มาพร้อมผลตอบแทนที่มีโอกาสดีขึ้น และจัดในหุ้นปันผลอีกส่วนหนึ่งเผื่อหุ้นเติบโตมันยังไม่สะท้อนผลของมันเรายังมีหุ้นที่ให้ปันผลอยู่เท่านั้นเท่านี้ของพอร์ตนะ"
ปล.ถ้าทํามาจนถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้วไม่ดีแสดงว่ามันผิดมาตั้งแต่จุดแรกครับ สรุปคือกลับไปศึกษาข้อมูลภาพรวมของหุ้นใหม่แล้วกลับมาเลือกใหม่ครับ
ปล.2อันนี้คือความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ^ ^ ขอให้ จขกท.โชคดีนะครับ
-
ice3500
- Verified User
- โพสต์: 14
- ผู้ติดตาม: 0
ice3500 เขียน:ผมอยากแนะนํา จขกท เช่นนี้ครับ การเลือกหุ้นและจัดพอร์ตว่าจะเอาเท่าไรดีเป็นบริหารความเสี่ยง สิ่งที่ผมอยากให้ จขกท ทําคือการหาบทความที่ให้ความรู้ในภาพรวมมาอ่าน เช่น หุ้นประเภทต่างๆ เป็นต้น เพื่อ โฟกัสหาหุ้นที่เราสนใจรวมถึงข้อดีและเสียของหุ้นกลุ่มต่างๆด้วยนะครับ เมื่อมาถึงตรงนี้ จขกท ก็จะรู้แล้วว่าการที่จะผ่านด่านเลือกหุ้นเป็นตัวๆยากถ้าข้อมูลภาพรวมที่ จขกท เคยอ่านมานั้นอ่านมาเยอะ แต่ถ้า จขกท อ่านมาไม่เยอะพอมันจะรู้สึกว่าเลือกได้แบบฉาบฉวย รู้สึกเหมือนเลือกขนมตามร้านสะดวกซื้อหน่ะครับ ดูซองสีสันรูปร่างราคา ซื้อ!! ซึ่งพวกโภชนาการจัดเขาจะดูถึงข้อมูลโปรตีน ไขมัน และเราก็ต้องเหมือนพวกโภชนาการจัดด้วยครับ ถ้าเรายังไม่รู้สึกแบบนี้ก็ย้อนกลับไปทําแต่แรกใหม่ ถ้าผ่านแล้วผมเชื่อว่าความรู้ของ จกขท จะทําให้ท่านจัดพอร์ตเลือกหุ้นสัดส่วนตามความเสี่ยงที่ จขกท ได้เองครับ
สมมติเหตุการณ์ที่ จขกท ใช้วิจารณญาณซึ่ง จขกท ศึกษามา
"หุ้นนี้มันเติบโตสูงดีแหะ ซื้อไว้มากหน่อยถึงเสี่ยงมากแต่ก็มาพร้อมผลตอบแทนที่มีโอกาสดีขึ้น และจัดในหุ้นปันผลอีกส่วนหนึ่งเผื่อหุ้นเติบโตมันยังไม่สะท้อนผลของมันเรายังมีหุ้นที่ให้ปันผลอยู่เท่านั้นเท่านี้ของพอร์ตนะ"
ปล.ถ้าทํามาจนถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้วไม่ดีแสดงว่ามันผิดมาตั้งแต่จุดแรกครับ สรุปคือกลับไปศึกษาข้อมูลภาพรวมของหุ้นใหม่แล้วกลับมาเลือกใหม่ครับ
ปล.2อันนี้คือความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ^ ^ ขอให้ จขกท.โชคดีนะครับ
ขอเสริมอีกนิดครับ เห็นว่าไม่มีปุ่ม edit หรือเราหาไม่เจอก็ไม่รู้ คืออย่างนี้ครับ ถ้า จกขท เลือกหุ้นซื้อไปแล้วหลังจากนั้น จขกท ควรศึกษาเพิ่มเติมวิธีการศึกษาเพิ่มเติมผมอยากแนะนําให้แบบนี้ครับ เหมือนเราทําข้อสอบคณิตศาสตร์แล้วเราทวนวิธีทําหน่ะครับ อย่าทวนโดยการอ่านที่เราทํามาแต่เราต้องเริ่มทําใหม่ลองดูตั้งแต่บรรทัดแรกว่ามีวิธีอื่นอีกไหมแล้วไล่ๆๆๆมาเราจะเจอจุดผิดพลาด(ถ้ามันมีนะครับ) เทียบได้กับทบทวนหุ้นที่เราถือหน่ะครับเริ่มหาข้อมูลใหม่เลยว่ามันทําอะไรยังไง คนอื่นคิดเห็นอย่างไรกับหุ้นตัวนี้บ้าง ศึกษาไปเรื่อยๆรู้สึกอิ่มในข้อมูลเมื่อไรก็พอครับอย่าฝืนแล้วหาเวลาไปพักผ่อนชิวๆกับชีวิตบ้าง ถ้าให้บอกจุดที่หยุดศึกษาหาข้อมูลก็คือเมื่อหุ้นที่เราเลือกมันสะท้อนผลที่เราคาดหวังออกมาครับหลังจากนั้นก็ ตามแต่งบการเงินและข่าวของหุ้นที่เราถือทั่วไปพอ เพราะเราให้เงินทํางานได้แล้วอย่าไปแย่งมันทําครับ 555เดี๋ยวมันงอน
-
viim
- Verified User
- โพสต์: 551
- ผู้ติดตาม: 0
chatchai เขียน:viim เขียน:จากที่อ่านของทุกท่านข้างต้น พอจะได้หลักการคร่าวๆ คือ
1. ถ้าเข้าใจธุรกิจมาก ก็จะทำให้มั่นใจมาก คำว่ามั่นใจนี่ แต่ละคนก็จะนิยามไม่เหมือนกัน แต่ตัวเราจะรู้ดีที่สุด การที่เราจะมั่นใจได้ ก็ต้องผ่านการทำการบ้านอย่างรอบด้าน ต่อจิกซอทุกตัวที่เรามี คิด downside risk ก่อนจากนั้นค่อยมาดูว่า upside gain เป็นไปตามเป้าหมายของผลตอบแทนที่เราคาดหวังหรือไม่ (แต่ละคนไม่เท่ากัน) บางคนต้องการแต่ 10% บางคนต้องการ 30%, 50% ระยะเวลาในการถือก็ไม่เท่ากัน ก็แล้วแต่ ถ้าไม่มั่นใจหรือมั่นใจน้อยก็ไม่ควรซื้อ ถ้ามั่นใจมากถึงมากที่สุดค่อยลงทุน
2. จำนวนหุ้นที่จะถือขึ้นอยู่กับขอบเขตความรู้ที่เรามีและหลายคนสอนผมไม่ให้โลภเกินความรู้ อันนี้ดีมากคอยเตือนสติตัวเองตลอด เพราะฉะนั้นจำนวนหุ้นที่มีให้เลือกลงทุนก็จะแปรผันตามความรู้ความเข้าใจในธุรกิจที่ผมเข้าใจ ณ เวลาหนึ่งๆ ซึ่งอาจจะเพิ่มขึ้นภายหลังได้
3. จำนวนน้ำหนักในหุ้นแต่ละตัวที่มีในข้อ 2 น่าจะขึ้นกับ upside gain และ level of confidence
จากข้อ 1. ผมขอเตือนซักนิดนะครับ ข้อควรระวัง คือ การมั่นใจตัวเองมากเกินไป ถ้ามีประสบการณ์มากพอก็โอเค เป็นห่วงแต่นักลงทุนใหม่ๆที่เพิ่งเริ่มลงทุนไม่นานนัก
และข้อ 3. สำหรับผมแล้ว อยากให้คิดถึงโอกาสผิดพลาดและขนาดความเสียหายด้วยนะครับ
ขอบคุณพี่ฉัตรชัยครับ การมั่นใจมากก็เป็นความหลงใช่มั๊ยครับพี่ ซึ่งหลายคนก็บอกผมว่าให้ระวัง ความโลภ กลัว หลง
-
yakindue
- Verified User
- โพสต์: 7
- ผู้ติดตาม: 0
ถ้ามั่นใจ ก็ไม่ต้องกลัวเสียงครับ
ถ้ากลัวเสี่ยง แสดงว่ายังไม่มั่นใจ
ดังนั้น ...
-
navapon
- Verified User
- โพสต์: 760
- ผู้ติดตาม: 0
17.00 น. โซนี่ขาดทุน Q1/54 เกือบ 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
money channel
Posted on Thursday, July 28, 2011
บริษัทโซนี่ ค่ายสินค้าอิเล็กทรอนิคส์ยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นบอกว่า ผลประกอบการของบริษัทในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน ขาดทุนสุทธิ 1.55 หมื่นล้านเยน หรือ 198.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน ที่บริษัทมีกำไรสุทธิ 2.57 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิ ที่กระทบต่อการผลิตสินค้าของบริษัท
ทั้งนี้ บริษัทก็ได้ปรับลดคาดการณ์รายได้สุทธิรอบปีบัญชีปัจจุบันที่สิ้นสุดเดือนมีนาคมปีหน้า ลงจาก 8 หมื่นล้านเยน เหลือ 6 หมื่นล้านเยน และลดคาดการณ์ยอดขายลงเหลือ 7.2 ล้านล้านเยน
ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นต่างประสบปัญหาในการจัดหาชิ้นส่วนและวัตถุดิบ เพราะซัพพลายเออร์จำนวนมากได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติครั้งใหญ่เมื่อเดือนมีนาคม ขณะเดียวกันเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้รายได้จากการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศของผู้ประกอบการญี่ปุ่นลดลง
ดูโซนี่สิครับ อะไรก็เกิดขึ้นได้ ไม่มีอะไรมั่งคงถาวรจริงๆ หัดปลงกันไว้บ้างก็ดี
- จุดแข็งทางธุรกิจที่เลียนแบบได้ยาก มักต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการสร้างและเพาะบ่มเสมอ ไม่สามารถเนรมิตได้ด้วยเงิน (สุมาอี้)
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
-
krisloveset
- Verified User
- โพสต์: 16
- ผู้ติดตาม: 0
มั่นใจมากได้ แต่ทำ อารมณ์ให้มั่นคงด้วย ดีที่สุดไปเอาใบหุ้นออกมาเลย
-
Pnattbuffettology
- Verified User
- โพสต์: 143
- ผู้ติดตาม: 0
Port ไม่ถึง 8หลัก 2 ตัวเกินพอ
-
KriangL
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1487
- ผู้ติดตาม: 0
บางที ที่เคยคิดว่ารู้เกี่ยวกับหุ้นตัวนั้นเยอะ ผ่านไปสองปีกลับมาศึกษาใหม่ในแง่มุมอื่นกลับพบว่าความรู้ที่มีตอนแรกมันแค่นิดเดียวครับ
-
superboy
- Verified User
- โพสต์: 1049
- ผู้ติดตาม: 0
อยากรวยเลยเสี่ยงเยอะ ครับ บางทีที่เลือกลงทุนน้อยตัวเพราะ ความรู้น้อยด้วย ไม่มีเวลา
ศึกษาหุ้นหลายๆตัว พอเจอหุ้นที่เข้าก้อรีบใส่ก่อนเลยครับ
ถ้าความรู้มาก อาจจะซื้อหุ้นได้เยอะตัว ซื้อได้ราคาดีๆ ถือแล้วสบายๆใจ
ส่วนตัวผมถือหุ้น1-2 มาตลอด ราคาขึ้นลงที พอร์ตอย่างกะเล่นรถไฟเหาะ เลย เสียววหวาบๆ
ผมคิดว่า เกือบทุกคนเคยพลาดการถือหุ้น1-3 ตัวมาทั้งนั้น มีประสบการณ์ทั้งดีและไม่ดี
ผมโดนมาทั้งดีและแย่ๆ ทุกวันยังรู้สึกตื่นเต้น ที่ตลาดหุ้นเปิด อิอิอิ
แต่ถ้าพอร์ตลบกินทุนเมื่อไร ตอนนั้นอย่างกะไฟร่นก้น เพิ่งผ่านบทเรียนนี้ไปเมื่อ2เดือนก่อน
เกือบหนีไม่ทัน ถ้าเป็นเมื่อก่อน หุ้นลงเด๋วก้อขึ้น แต่ระหว่างรอมันขึ้น โครตจะเครียดเลย
บางตัว ผ่านไป6ปี ยังไม่เห็นมันจะขึ้นเลยง่ะ ตอนนี้ เซต นิวไฮ มันยังอยู่ทีเดิม
อย่าหลุดแนวที่ตัวเองถนัด สู้สู้