จบแล้วหรอ?
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 957
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จบแล้วหรอ?
โพสต์ที่ 2
ถ้าจบง่ายอย่างนี้ก็ดี ซิ ครับaonzzung เขียน:เร็วจัง ไม่ตื่นเต้นเลย...
ไม่เอา long recession ได้ปะ มันอึดอัดนะ
จะ crisis ก็ crisis ไปเลยได้มั้ยคับ?
ผมว่าแค่...มีคนมาเคาะระฆัง ....ขอพัก ... ให้น้ำนักมวยก่อน ... ที่จะขึ้นชกยกต่อไป (ถ้าไม่มีระฆังนักมวยน๊อกแน่ ไม่ทันชกต่อ)
- harlembeats
- Verified User
- โพสต์: 96
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จบแล้วหรอ?
โพสต์ที่ 3
ชกกันหลายยก คนดูก็ลุ้นเหนื่อยนะคับ ให้เค้า K.O. กันไปเลย มันก็เร้าใจดีนะครับpakhakorn เขียน:ถ้าจบง่ายอย่างนี้ก็ดี ซิ ครับaonzzung เขียน:เร็วจัง ไม่ตื่นเต้นเลย...
ไม่เอา long recession ได้ปะ มันอึดอัดนะ
จะ crisis ก็ crisis ไปเลยได้มั้ยคับ?
ผมว่าแค่...มีคนมาเคาะระฆัง ....ขอพัก ... ให้น้ำนักมวยก่อน ... ที่จะขึ้นชกยกต่อไป (ถ้าไม่มีระฆังนักมวยน๊อกแน่ ไม่ทันชกต่อ)
- Packy_Kittiworawut
- Verified User
- โพสต์: 242
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จบแล้วหรอ?
โพสต์ที่ 5
QE3 เหมือนออกมาเรียกแขกนะ จะได้ขายของได้แพงขึ้น ผมเดาครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2236
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จบแล้วหรอ?
โพสต์ที่ 8
Rebound บ้าง อะไรบ้างเป็นุธรรมดาครับ ถ้าอเมกาใช้ท่าไม้ ก้อคงต่อลมหายใจไปได้ แต่ข้อแม้คือต้องไม่โดนลดratingอีกนะครับ ซึ่งคงต้องรออีกสามถึงสี่เดือนเพราะต้องดูแผนระยะยาวยาวของอเมกา ถ้าไม่เข้าตาs&pแกบอกว่าจะลดอีก ฉะนั้นใครเลือกที่จะเกบหุ้นนึกถึงพี่mosไว้เยอะๆนะครับ ส่วนผมขอเกบเงินสดไว้ก่อน
นักเลงคีย์บอร์ด4.0
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 991
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จบแล้วหรอ?
โพสต์ที่ 9
ยังไม่มีQE3 ครับ แค่คงอัตราดอกเบี้ยในอัตราตำ่ แต่กำหนดระยะเวลาชัดเจนมากขึ้นอย่างน้อย 2013 ครับ และยังบอกว่า ถ้าจำเป็นก็จะมีมาตรการที่เหมาะสมออกมาอีก คงแค่เรียกความมั่นใจในภาคธุรกิจให้ดีขึ้น ไม่มีการกระทำอะไรนอกจากคำพูดสวยหรูครับPacky_Kittiworawut เขียน:QE3 เหมือนออกมาเรียกแขกนะ จะได้ขายของได้แพงขึ้น ผมเดาครับ
"Look at market fluctuations as your friend rather than your enemy; profit from folly rather than participate in it." – Warren Buffett
-
- Verified User
- โพสต์: 611
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จบแล้วหรอ?
โพสต์ที่ 10
เห็นด้วยครับKimVi เขียน:ยังไม่มีQE3 ครับ แค่คงอัตราดอกเบี้ยในอัตราตำ่ แต่กำหนดระยะเวลาชัดเจนมากขึ้นอย่างน้อย 2013 ครับ และยังบอกว่า ถ้าจำเป็นก็จะมีมาตรการที่เหมาะสมออกมาอีก คงแค่เรียกความมั่นใจในภาคธุรกิจให้ดีขึ้น ไม่มีการกระทำอะไรนอกจากคำพูดสวยหรูครับPacky_Kittiworawut เขียน:QE3 เหมือนออกมาเรียกแขกนะ จะได้ขายของได้แพงขึ้น ผมเดาครับ
นี่คือสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่ามันไม่ได้มีการกระทำอะไร ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเลย
เหมือนออกมาปลอบใจว่าจายเย็นๆๆ เด๊วคงดอกเบี้ยให้นะจ๊ะ...
-
- Verified User
- โพสต์: 334
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จบแล้วหรอ?
โพสต์ที่ 11
ดูปี 2008 นะครับ
มันก็มีอะไรคล้าย ๆ กันอยู่บ้าง ออกข่าวดี ๆ เรียกกลับมาเชือดครับ
(แต่จริง ๆ ผมอาจจะวิตกไปเองก็ได้นะ เพราะว่า ผ่าน 2008 มามันหลอนเหมือนกัน)
ก็ระวัง ๆ นะครับ ไอ้จบไม่จบมันไม่ใช่วันสองวันหรอกครับ
มันก็มีอะไรคล้าย ๆ กันอยู่บ้าง ออกข่าวดี ๆ เรียกกลับมาเชือดครับ
(แต่จริง ๆ ผมอาจจะวิตกไปเองก็ได้นะ เพราะว่า ผ่าน 2008 มามันหลอนเหมือนกัน)
ก็ระวัง ๆ นะครับ ไอ้จบไม่จบมันไม่ใช่วันสองวันหรอกครับ
==================================
คิดใคร่ครวญผลตอบแทนและความเสี่ยงอย่างรอบคอบ
โดยคํานึงถึงเป้าหมายระยะยาวมากว่าระยะสั้น
==================================
คิดใคร่ครวญผลตอบแทนและความเสี่ยงอย่างรอบคอบ
โดยคํานึงถึงเป้าหมายระยะยาวมากว่าระยะสั้น
==================================
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จบแล้วหรอ?
โพสต์ที่ 12
ไม่จบง่ายๆหรอกครับ ปัญหาหนี้สินของประเทศไม่ใช่จะแก้ไขได้ง่ายๆครับ อีกยาวววว
เพียงแต่นักลงทุน ความจำสั้น สามารถลืมได้เพียงข้ามวัน
-----------------------------------------------------------------------------
แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแนวทางเกี่ยวกับการสร้างความมั่งคั่งและการลงทุน วิธีการสอนลูกให้มั่งคั่ง
เชิญได้ที่...
http://www.wealththailand.blogspot.com/
เพียงแต่นักลงทุน ความจำสั้น สามารถลืมได้เพียงข้ามวัน
-----------------------------------------------------------------------------
แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแนวทางเกี่ยวกับการสร้างความมั่งคั่งและการลงทุน วิธีการสอนลูกให้มั่งคั่ง
เชิญได้ที่...
http://www.wealththailand.blogspot.com/
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1339
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จบแล้วหรอ?
โพสต์ที่ 13
ผมว่าไม่จบง่ายๆหรอกครับ ดูอย่าง Subprime ตลาดมัน
จะขึ้นๆลงๆ แต่แนวโน้มใหญ่เป็นขาลง ซึ่งใช้เวลาหลาย
เดือนกว่าจะลงมาหลายร้อยจุด มันจะหลอกให้เราตายใจ
ผมละเข็ด ขอกำเงินไว้ก่อนดีกว่า ถ้าผิดก็แค่ขาดทุน
กำไรบ้าง แต่ถ้าถูกเงินสดที่กำไว้จะทำกำไรให้อีกหลายเท่าตัว
จะขึ้นๆลงๆ แต่แนวโน้มใหญ่เป็นขาลง ซึ่งใช้เวลาหลาย
เดือนกว่าจะลงมาหลายร้อยจุด มันจะหลอกให้เราตายใจ
ผมละเข็ด ขอกำเงินไว้ก่อนดีกว่า ถ้าผิดก็แค่ขาดทุน
กำไรบ้าง แต่ถ้าถูกเงินสดที่กำไว้จะทำกำไรให้อีกหลายเท่าตัว
-
- Verified User
- โพสต์: 611
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จบแล้วหรอ?
โพสต์ที่ 14
ตอนนี้ผมก็ล้างพอร์ตไปเรียบร้อยเหมือนกันRadio เขียน:ผมว่าไม่จบง่ายๆหรอกครับ ดูอย่าง Subprime ตลาดมัน
จะขึ้นๆลงๆ แต่แนวโน้มใหญ่เป็นขาลง ซึ่งใช้เวลาหลาย
เดือนกว่าจะลงมาหลายร้อยจุด มันจะหลอกให้เราตายใจ
ผมละเข็ด ขอกำเงินไว้ก่อนดีกว่า ถ้าผิดก็แค่ขาดทุน
กำไรบ้าง แต่ถ้าถูกเงินสดที่กำไว้จะทำกำไรให้อีกหลายเท่าตัว
ตอนแรกกะจะถือรอลุ้น ผลประกอบการ แต่ไม่ไหวขอพักยกก่อน
ขอลงจากเวทีมาดูข้างสนาม เพื่อจะเห็นภาพใหญ่ได้ชัดเจนขึ้น
- Skyforever
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1221
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จบแล้วหรอ?
โพสต์ที่ 17
ตลาดหุ้นมักจะเป็นอย่างนี้ล่ะครับ เหมือนการปีนกำแพงแห่งปัญหา เวลาที่ทุกอย่างดูอึมครึม ปัญหาต่างๆดูมากมาย ตลาดหุ้นจะค่อยๆปรับตัวขึ้น เหมือนการปีนกำแพง แต่เมื่อปีนขึ้นไปถึงด้านบนสุด ทุกอย่างดูดีหมด มองไม่ค่อยเห็นปัญหา เมื่อนั้นล่ะครับเมื่อข้ามกำแพงมาได้ ตลาดจะปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วจะไม่ทันได้ระวังปัญหาaonzzung เขียน:ทำไมผมรู้สึกว่า ศก. มันก็ยังอึมครึมเหมือนเดิมนะ???
หรือผมเพี้ยน...
ชนะเพราะไม่คิดเอาชนะ กำไรเพราะไม่โลภ ลงทุนอย่างมีความสุขเพราะจิตใจอยู่เหนืออารมณ์ตลาด
"ทรัพย์ศฤงคารที่ได้มาอย่างเร่งร้อนจะยอบแยบลง แต่บุคคลที่ส่ำสมทีละเล็กละน้อยจะได้เพิ่มพูนขึ้น" สุภาษิต 13:11
"ทรัพย์ศฤงคารที่ได้มาอย่างเร่งร้อนจะยอบแยบลง แต่บุคคลที่ส่ำสมทีละเล็กละน้อยจะได้เพิ่มพูนขึ้น" สุภาษิต 13:11
-
- Verified User
- โพสต์: 1426
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จบแล้วหรอ?
โพสต์ที่ 19
ไม่แน่ใจว่าหมายถึงอะไรที่ถามว่าจบแล้วหรือ
ถ้าหมายถึง panic sell ละก็ ผมว่า ใช่
"อาการผันผวน" เป็นธรรมชาติของตลาดหุ้น
"ความหวาดกลัว" เป็นธรรมชาติของคนในตลาด
กลัวหุ้นตก กลัวราคาถูกแล้วมีถูกกว่า กลัวกำไรหายไปต่อหน้า กลัว ๆ ๆ ฯลฯ
ผมก็กลัวเหมือนคนอื่น ๆ
จะมีต่างบ้างก็แค่ หุ้นที่ผมถืออยู่ กว่าจะซื้อ เลือกแล้วเลือกอีก
ทำการบ้านจนเหนื่อย กว่าจะตัดสินใจซื้อได้
จะขายทิ้งง่าย ๆ เพราะความผันผวนของตลาด ก็เสียดายแรงตัวเอง
ราคาตกบ้าง ขึ้นบ้าง
ก็ทน ๆ กันไป
ถ้าหมายถึง panic sell ละก็ ผมว่า ใช่
"อาการผันผวน" เป็นธรรมชาติของตลาดหุ้น
"ความหวาดกลัว" เป็นธรรมชาติของคนในตลาด
กลัวหุ้นตก กลัวราคาถูกแล้วมีถูกกว่า กลัวกำไรหายไปต่อหน้า กลัว ๆ ๆ ฯลฯ
ผมก็กลัวเหมือนคนอื่น ๆ
จะมีต่างบ้างก็แค่ หุ้นที่ผมถืออยู่ กว่าจะซื้อ เลือกแล้วเลือกอีก
ทำการบ้านจนเหนื่อย กว่าจะตัดสินใจซื้อได้
จะขายทิ้งง่าย ๆ เพราะความผันผวนของตลาด ก็เสียดายแรงตัวเอง
ราคาตกบ้าง ขึ้นบ้าง
ก็ทน ๆ กันไป
- thaloengsak
- Verified User
- โพสต์: 2716
- ผู้ติดตาม: 1
Re: จบแล้วหรอ?
โพสต์ที่ 20
ลองพิจารณาดูนะครับ
ปัญหาแท้จริงของวิกฤตครั้งนี้คืออะไร
ดูต้นตอของปัญหาที่แท้จริง
ปัญหาที่แท้จริงนั้นได้ถูกแก้ไขไปไหม
ถูกแก้ไขอย่างไร
ปัญหาแท้จริงของวิกฤตครั้งนี้คืออะไร
ดูต้นตอของปัญหาที่แท้จริง
ปัญหาที่แท้จริงนั้นได้ถูกแก้ไขไปไหม
ถูกแก้ไขอย่างไร
ลงทุนเพื่อชีวิต
- ซุนเซ็ก
- Verified User
- โพสต์: 1104
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จบแล้วหรอ?
โพสต์ที่ 21
ตอบได้ดีthaloengsak เขียน:ลองพิจารณาดูนะครับ
ปัญหาแท้จริงของวิกฤตครั้งนี้คืออะไร
ดูต้นตอของปัญหาที่แท้จริง
ปัญหาที่แท้จริงนั้นได้ถูกแก้ไขไปไหม
ถูกแก้ไขอย่างไร
.....
เมื่อคืน FED เพียงแค่คงอัตราดอกเบี้ย ยังไม่เห็นมีมาตรการออกมากู้วิกฤตเลยครับ
ผมยังรอดูต่อไปว่าเค้าจะทำอะไรต่ออีกมั้ย หรือจะทำแค่นี้จริงๆ??
ส่วนเรื่องดัชนี มันลงมาตั้ง 6-7 แล้ว รีบาวซักวันก็ไม่เห็นแปลก, วันเดียวคงยังตัดสินอะไรไม่ได้
ผมไม่ได้อยู่ในเว็บนี้แล้ว, มีอะไรติดต่อได้ทาง FB - 27/9/2555
"วิธีการที่ถูกต้อง มีได้มากกว่าหนึ่งวิธี"
สมุดบันทึกของผม http://suntse.wordpress.com
Facebook https://www.facebook.com/giggswalk
"วิธีการที่ถูกต้อง มีได้มากกว่าหนึ่งวิธี"
สมุดบันทึกของผม http://suntse.wordpress.com
Facebook https://www.facebook.com/giggswalk
-
- Verified User
- โพสต์: 204
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จบแล้วหรอ?
โพสต์ที่ 22
+1 ครับ...ซุนเซ็ก เขียน:ตอบได้ดีthaloengsak เขียน:ลองพิจารณาดูนะครับ
ปัญหาแท้จริงของวิกฤตครั้งนี้คืออะไร
ดูต้นตอของปัญหาที่แท้จริง
ปัญหาที่แท้จริงนั้นได้ถูกแก้ไขไปไหม
ถูกแก้ไขอย่างไร
.....
เมื่อคืน FED เพียงแค่คงอัตราดอกเบี้ย ยังไม่เห็นมีมาตรการออกมากู้วิกฤตเลยครับ
ผมยังรอดูต่อไปว่าเค้าจะทำอะไรต่ออีกมั้ย หรือจะทำแค่นี้จริงๆ??
ส่วนเรื่องดัชนี มันลงมาตั้ง 6-7 แล้ว รีบาวซักวันก็ไม่เห็นแปลก, วันเดียวคงยังตัดสินอะไรไม่ได้
อเมริกากับยุโรปจะแก้ปัญหาการเงินของตัวเองยังไง
ญี่ปุ่นเองก็คงต้องพักรักษาตัวอีกพักใหญ่
จีนตอนนี้ก็ overheat พอสมควร ถ้าจะต้องรับบทพระเอกคนเดียวก็คงไม่ไหว
ทางออกของปัญหาคงแก้ไม่ได้ในเร็ววัน เพียงแต่ต้องดูว่าจะกระทบไทยเราแค่ไหนครับ
- Paul Octopus
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จบแล้วหรอ?
โพสต์ที่ 23
ผมมองนอกกรอบหน่อยหนึ่ง
ยังใง อเมริกา ยุโรป และ ญี่ปุ่น คงแก้ปัญหาไม่ได้ไปอีกนาน
ประวัติศาสตร์เคยบอกซ้ำๆกัน เมื่อมีการเปลี่ยนถ่ายความเจริญรุ่งเรื่องจากภูมิภาคหนี่งไปอีกที่หนึ่ง เราจะเห็นผู้ที่ถดถอยมาพร้อมกับผู้ที่ก้าวหน้าเสมอ
ครั้งนี้พวกเราคง Panic เพราะมันเป็นช่วงต้นๆของการเปลี่ยนถ่ายความเจริญนั้น
จีน อินเดีย ASEAN จะเป็นพลังขับเคลื่อนแทน อเมริกา ฯลฯ
ซี่งมันคงต้องใช้เวลาอีกนานนับสิบปี นั้นหมายถึงความเสื่อมถอยของผู้ที่เคยเจริญไปอีกนับ สิบปี
ตอนสงครามโลกครั้งที่สอง ยุโรป และ เอเซีย พังพินาศ โลกน่าจะพังไปแล้ว แต่กลับมีมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ของโลกคืออเมริกา เกิดขึ้น และ คงความมั่งคั่งมาได้ กว่า 60 ปี
ผมว่าพวกเราอดทนอีกหน่อย เราอาจไม่สนใจ อเมริกา และ ยุโรปมากอีก
วันนี้ จีนเป็นประเทศที่เราค้าขายมากที่สุด ไม่ใช่ อเมริกา ญี่ปุ่น เหมือนที่เราจำมาตลอดชั่วชีวิตเรา
เราคงรุ่งแน่ๆ ตามการเปลี่ยนแปลงของโลก ถ้าไม่ตีกันเองแบบที่ผ่านมาซะก่อน
ยังใง อเมริกา ยุโรป และ ญี่ปุ่น คงแก้ปัญหาไม่ได้ไปอีกนาน
ประวัติศาสตร์เคยบอกซ้ำๆกัน เมื่อมีการเปลี่ยนถ่ายความเจริญรุ่งเรื่องจากภูมิภาคหนี่งไปอีกที่หนึ่ง เราจะเห็นผู้ที่ถดถอยมาพร้อมกับผู้ที่ก้าวหน้าเสมอ
ครั้งนี้พวกเราคง Panic เพราะมันเป็นช่วงต้นๆของการเปลี่ยนถ่ายความเจริญนั้น
จีน อินเดีย ASEAN จะเป็นพลังขับเคลื่อนแทน อเมริกา ฯลฯ
ซี่งมันคงต้องใช้เวลาอีกนานนับสิบปี นั้นหมายถึงความเสื่อมถอยของผู้ที่เคยเจริญไปอีกนับ สิบปี
ตอนสงครามโลกครั้งที่สอง ยุโรป และ เอเซีย พังพินาศ โลกน่าจะพังไปแล้ว แต่กลับมีมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ของโลกคืออเมริกา เกิดขึ้น และ คงความมั่งคั่งมาได้ กว่า 60 ปี
ผมว่าพวกเราอดทนอีกหน่อย เราอาจไม่สนใจ อเมริกา และ ยุโรปมากอีก
วันนี้ จีนเป็นประเทศที่เราค้าขายมากที่สุด ไม่ใช่ อเมริกา ญี่ปุ่น เหมือนที่เราจำมาตลอดชั่วชีวิตเรา
เราคงรุ่งแน่ๆ ตามการเปลี่ยนแปลงของโลก ถ้าไม่ตีกันเองแบบที่ผ่านมาซะก่อน
-
- Verified User
- โพสต์: 69
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จบแล้วหรอ?
โพสต์ที่ 26
ตอนนี้ผมจับตาดูกลุ่มสถาบันการเงินอย่างเดียวเลยครับ
ถ้ามีการเททิ้งเมื่อไหร่ก็ตัวใครตัวมันเลยครับ
ถ้ามีการเททิ้งเมื่อไหร่ก็ตัวใครตัวมันเลยครับ
- ก๊วยเจ๋ง
- Verified User
- โพสต์: 101
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จบแล้วหรอ?
โพสต์ที่ 28
มีภาพปี 2008 ตามมาหลอกเหมือนผมเลยครับchaiwat_tra เขียน:ดูปี 2008 นะครับ
มันก็มีอะไรคล้าย ๆ กันอยู่บ้าง ออกข่าวดี ๆ เรียกกลับมาเชือดครับ
(แต่จริง ๆ ผมอาจจะวิตกไปเองก็ได้นะ เพราะว่า ผ่าน 2008 มามันหลอนเหมือนกัน)
ก็ระวัง ๆ นะครับ ไอ้จบไม่จบมันไม่ใช่วันสองวันหรอกครับ
จำได้ว่าช่วงก่อน Lehmann เจ๊งหุ้นทั่วโลกเหวี่ยงมาก วันนี้ลง 5% พรุ่งนี้ขึ้น 7% มะรืนลง 6% เป็นเรื่องปกติ จนพี่ที่ทำงานอยู่ตลาดหลักทรัพย์บอกว่าดูหุ้นมาเป็นสิบปีไม่เคยเห็นหุ้นทั้งโลกเหวี่ยงแบบนี้มาก่อน สุดท้ายอเมริกาก็แผลแตกจริงๆ
風林火山
- ก๊วยเจ๋ง
- Verified User
- โพสต์: 101
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จบแล้วหรอ?
โพสต์ที่ 30
Paul Octopus เขียน:ผมมองนอกกรอบหน่อยหนึ่ง
ยังใง อเมริกา ยุโรป และ ญี่ปุ่น คงแก้ปัญหาไม่ได้ไปอีกนาน
ประวัติศาสตร์เคยบอกซ้ำๆกัน เมื่อมีการเปลี่ยนถ่ายความเจริญรุ่งเรื่องจากภูมิภาคหนี่งไปอีกที่หนึ่ง เราจะเห็นผู้ที่ถดถอยมาพร้อมกับผู้ที่ก้าวหน้าเสมอ
ครั้งนี้พวกเราคง Panic เพราะมันเป็นช่วงต้นๆของการเปลี่ยนถ่ายความเจริญนั้น
จีน อินเดีย ASEAN จะเป็นพลังขับเคลื่อนแทน อเมริกา ฯลฯ
ซี่งมันคงต้องใช้เวลาอีกนานนับสิบปี นั้นหมายถึงความเสื่อมถอยของผู้ที่เคยเจริญไปอีกนับ สิบปี
ตอนสงครามโลกครั้งที่สอง ยุโรป และ เอเซีย พังพินาศ โลกน่าจะพังไปแล้ว แต่กลับมีมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ของโลกคืออเมริกา เกิดขึ้น และ คงความมั่งคั่งมาได้ กว่า 60 ปี
ผมว่าพวกเราอดทนอีกหน่อย เราอาจไม่สนใจ อเมริกา และ ยุโรปมากอีก
วันนี้ จีนเป็นประเทศที่เราค้าขายมากที่สุด ไม่ใช่ อเมริกา ญี่ปุ่น เหมือนที่เราจำมาตลอดชั่วชีวิตเรา
เราคงรุ่งแน่ๆ ตามการเปลี่ยนแปลงของโลก ถ้าไม่ตีกันเองแบบที่ผ่านมาซะก่อน
เห็นด้วยครับที่โลกอาจจะเปลี่ยนขั้ว
ในมุมมองผม ผมว่าการเปลี่ยนขั้วอำนาจของโลกต้องมีอย่างน้อย 3 ปัจจัยสำหรับมหาอำนาจใหม่ครับ คือ 1. Enlightment 2.Military power 3.Financial controllerอันนี้ผมคิดจากตอนที่ขั้วอำนาจโลกเปลี่ยนจากอังกฤษไปเป็นอเมริกา เพราะเมื่อสักปี 1800 ที่อังกฤษครองโลกจะเห็นว่าอังกฤษมีครบทั้ง 3 ปัจจัย
1. Enlightment อังกฤษเป็ฯประเทศแรกที่ปฏิวัติอุตสาหกรรม มีปัญญาชนที่ทำให้เศรษฐกิจและอุตสาหกรรมก้าวหน้าอย่าง เจมส์ วัตต, นิวตัน, นิวโคแมน, อดัม สมิทธ์
,ไมเคิล ฟราราเดย์
2.Military power กองทัพอังกฤษในยุคนั้นเป็นกองทัพที่ดีที่สุดในโลก มีพลังในการเข้าไปยึดครองดินแดนคนอื่นแล้วใช้ทรัพยากรอย่างเต็มที่
3.Financial controller อังกฤษตอนนั้นเป็นคนจัดระเบียบการเงินโลกเช่นเรื่องประกันภัยทางเรือ เงินปอนตอนนั้นก็เป็นสกุลเงินของโลก
ระหว่างทางก็มีหลายประเทศเข้ามาเป็ยผู้ท้าชิงอังกฤษ เช่นฝรั่งเศษ เยอรมัน สวีเดน รัสเซีย แต่เพราะองค์ประกอบไม่ครบเลยแย่งบัลลังค์จากอังกฤษไปไม่ได้
พอเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1,2 ในช่วงยุค 1900 อังกฤษก็ค่อยๆเสื่อมลง ไม่มีนักคิด นักประดิษย์เกิดใหม่ ค่อยๆเสียดินแดน เลยทำให้อเมริกาก้าวมาเป็นจ้าวโลกซึ่งก็มีครบทั้ง 3 ปัจจัย
1. Enlightment อเมริกามีนักประดิษฐ์ที่คิดค้นนวัตกรรมของยุคปัจจุบัน เช่น เอดิสัน หรืออเล็กซานเดอ เกรแฮม เบล และมีนักอุตสาหกรรมที่เปล่ยนโฉมโลก เช่น ฟอร์ด รอกกี้เฟลเลอ หรือยุคปัจจุบันเช่น บิล เกต
2.Military power อเมริกาก็ยังมีกองทัพที่ดีที่สุดในโลกแล้วก็กำลังล่าอาณานิคมแบบใหม่อยู่ อย่างสงครามอิรักสุดท้ายบริษัทอเมริกันก็ได้บ่อน้ำมันไปหมด
3.Financial ruler หลังสงครามโลก อเมริกาเป็นคนจัดระเบียบการเงินโลก กำหนดให้เงิน USD เป็นสกุลเงินของโลกที่ประเทศอื่นใช้พิมแบงค์โดยอ้างอิงกับทองคำที่ fix rate วันดีคืนดีพอพิมแบงค์มามากเกินไปจนไม่มีทองพอจะแลกก็เปลี่ยนกฏโลกใหม่ให้เงิน USD ไม่ต้อง fix rate กับทอง ซะงั้น
ดังนั้นถ้ามองใน framework นี้คงต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะมีการเปลี่ยนขั้วอำนาจโลก ซึ่งที่ผ่านมาก็มีหลายประเทศเข้ามาเป็ฯผู้ท้าชิงแต่ก็สู้อเมริกาไม่ได้เช่น รัสเซีย หรือญี่ปุ่น
ก็ต้องติดตามต่อไปว่าจีนจะไม่สะดุดขาตัวเองและสามารถสะสมปัจจัยต่างๆจนครบก็อาจจะได้เห็นการเปลี่ยนขั้วอำนาจโลกในยุคของพวกเราก็ได้ครับ
風林火山