CEO ไทย ท่านไหนเก่งกว่าหรือพอๆ กับ Steve Jobs บ้างครับ?
-
- Verified User
- โพสต์: 95
- ผู้ติดตาม: 0
CEO ไทย ท่านไหนเก่งกว่าหรือพอๆ กับ Steve Jobs บ้างครับ?
โพสต์ที่ 1
เท่าที่นึกออกมีคุณตัน แต่หลายๆ อย่างผมว่า Steve Jobs ยังเก่งกว่า ไม่ว่าในเรื่องนวตกรรม การผ่านจุดต่ำสุดในชีวิต การเป็นสัญลักษณ์ไม่ใช่เฉพาะกับบริษัทของตัวเองเท่านั้น เป็นเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นผู้นำในด้านต่างๆ
- thaloengsak
- Verified User
- โพสต์: 2716
- ผู้ติดตาม: 1
Re: CEO ไทย ท่านไหนเก่งกว่าหรือพอๆ กับ Steve Jobs บ้างครับ?
โพสต์ที่ 2
คุณตันนี่เก่งเรื่องบริหารหรือไม่ไม่ทราบ แต่เก่งการพรีเซ็นเทชันตัวเองแน่นอนครับ
ผมขอแนะนำคุณ วิลเลียม เอ็ลล์วู๊ด ไฮเน็ค CEOของMINTครับ
ผมขอแนะนำคุณ วิลเลียม เอ็ลล์วู๊ด ไฮเน็ค CEOของMINTครับ
ลงทุนเพื่อชีวิต
-
- Verified User
- โพสต์: 95
- ผู้ติดตาม: 0
Re: CEO ไทย ท่านไหนเก่งกว่าหรือพอๆ กับ Steve Jobs บ้างครับ?
โพสต์ที่ 3
thaloengsak เขียน:คุณตันนี่เก่งเรื่องบริหารหรือไม่ไม่ทราบ แต่เก่งการพรีเซ็นเทชันตัวเองแน่นอนครับ
ผมขอแนะนำคุณ วิลเลียม เอ็ลล์วู๊ด ไฮเน็ค CEOของMINTครับ
รู้สึกท่านจะขอสัญชาติไทยด้วยนิครับ คงรักเมืองไทยมาก เป็นคนที่น่านับถือจริงๆ ครับ ขอบคุณครับ เดี๋ยวจะขอไปศึกษาประวัติเพิ่มเติม
-
- Verified User
- โพสต์: 297
- ผู้ติดตาม: 0
Re: CEO ไทย ท่านไหนเก่งกว่าหรือพอๆ กับ Steve Jobs บ้างครับ?
โพสต์ที่ 4
คุณวิลเลียม เอ็ลล์วู๊ด ไฮเน็ค เหมือนกันครับ เป็นบุคคลที่น่านับถือคนหนึ่ง แม้ไม่ใช่คนไทย แต่สิ่งที่ทำให้เมืองไทยพัฒนา มีเยอะแยะทีเดียวครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2141
- ผู้ติดตาม: 0
Re: CEO ไทย ท่านไหนเก่งกว่าหรือพอๆ กับ Steve Jobs บ้างครับ?
โพสต์ที่ 5
ทั้ง คุณตัน ไฮเนกกี้ บริหารองค์กรคนละระดับกับ jobs เลยครับ...
เอาง่ายๆ
carlos slim helu
bill gates
warren buffett
เอาง่ายๆ
carlos slim helu
bill gates
warren buffett
M aterial catalyst
A ttitude & Perception
D isclipine
A ttitude & Perception
D isclipine
-
- Verified User
- โพสต์: 297
- ผู้ติดตาม: 0
Re: CEO ไทย ท่านไหนเก่งกว่าหรือพอๆ กับ Steve Jobs บ้างครับ?
โพสต์ที่ 6
จขกท ไม่ได้พูดถึงขนาดขององค์กรนะครับ ฉะนั้น ใครที่เป็น CEO ในไทย ก็แข่งได้ทั้งนั้นmultipleceilings เขียน:ทั้ง คุณตัน ไฮเนกกี้ บริหารองค์กรคนละระดับกับ jobs เลยครับ...
เอาง่ายๆ
carlos slim helu
bill gates
warren buffett
-
- Verified User
- โพสต์: 2141
- ผู้ติดตาม: 0
Re: CEO ไทย ท่านไหนเก่งกว่าหรือพอๆ กับ Steve Jobs บ้างครับ?
โพสต์ที่ 7
อืม .... ขนาดขององค์กร มันวัดความสามารถด้วยไงครับ ....twentyfour เขียน:จขกท ไม่ได้พูดถึงขนาดขององค์กรนะครับ ฉะนั้น ใครที่เป็น CEO ในไทย ก็แข่งได้ทั้งนั้นmultipleceilings เขียน:ทั้ง คุณตัน ไฮเนกกี้ บริหารองค์กรคนละระดับกับ jobs เลยครับ...
เอาง่ายๆ
carlos slim helu
bill gates
warren buffett
M aterial catalyst
A ttitude & Perception
D isclipine
A ttitude & Perception
D isclipine
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4254
- ผู้ติดตาม: 1
Re: CEO ไทย ท่านไหนเก่งกว่าหรือพอๆ กับ Steve Jobs บ้างครับ?
โพสต์ที่ 9
ตอนนี้ยังคงไม่มีมั้งครับ
สุดยอดอัจฉริยะอย่าง Steve Jobs นอกจาก Product
Design ที่เข้าถึงการใช้งานแบบที่ง่ายและสะดวก
สำหรับ User [เขาลงทุนเยอะมากๆ นะครับ ไม่ใช่
อยู่ๆ คิดได้มาเอง ต้องทำการวิจัย] วิธีการ สร้าง
Model ในการทำเงิน นี่ซิ ผมว่าอีกหนึ่งสุดยอด ที่คนอื่น
คิดไม่ถึง (วันนี้ APPLE กลายเป็น เสือนอนกิน เป็น
ตลาด MP3, MP4, และล่าสุด บรรดา App ต่างๆ ทั้ง
บน iPhone, iPad, Mac ที่ใหญ่ที่สุดในโลก)
APPLE อาจจะไม่ได้คิดอะไรเอง แต่เอาสิ่งนั้นสิ่งนี้
ที่เกิดขึ้น มาปรับปรุงและประยุกต์ ได้อย่างยอดเยี่ยม
Jobs สามารถสร้าง บ. ที่เคยตกต่ำแทบกลับบ้านเก่า
ภายในเวลา 14 ปี จนกระทั่ง กลายเป็น บ. ที่ Market
Cap ใหญ่ที่สุดในโลก (บ. ที่มีมูลค่ามากที่สุด) แซงหน้า
EXXON ไป และ เขาก็ก้าวลงจากตำแหน่ง CEO ได้
อย่างน่าภูมิใจ (ถึงแม้ว่าสุขภาพจะเป็นปัญหาที่ทำให้
เขาก้าวลงจากตำแหน่งก็ตาม) ตลอดระยะเวลา 14 ปี
เขารับเงินเดือน ปีละ US$1, รวมทั้งสิ้น US$14 และ
APPLE ตั้งแต่ตั้ง บ. มา ยังไม่เคยปันผลแม้แต่ Cent เดียว
Steve Jobs มองขาดถึงเทคโนโลยี่ต่างๆ มองขาดถึง
ตัวสินค้า และองค์ประกอบ มองขาดถึง User Experience
มองขาดถึง Money Making Model
ส่วน บ. ที่ยิ่งใหญ่และน่ายกย่องอีกแห่งหนึ่งก็คือ Google
ครับ อาจไม่เก่งเท่า Steve Jobs แต่ก็ถือว่าเก่งมากๆ
Money Making Model ที่ทำให้ผมต้องอึ้งไปอีกนาน ...
และคู่ปรับที่น่ากลัวที่สุดของ APPLE ก็คือ Google นี่เอง
... โลกคงขาดคนที่จะมีคิดสร้างโปรดักส์ที่พลิกโลกไปอีกนาน ...
สุดยอดอัจฉริยะอย่าง Steve Jobs นอกจาก Product
Design ที่เข้าถึงการใช้งานแบบที่ง่ายและสะดวก
สำหรับ User [เขาลงทุนเยอะมากๆ นะครับ ไม่ใช่
อยู่ๆ คิดได้มาเอง ต้องทำการวิจัย] วิธีการ สร้าง
Model ในการทำเงิน นี่ซิ ผมว่าอีกหนึ่งสุดยอด ที่คนอื่น
คิดไม่ถึง (วันนี้ APPLE กลายเป็น เสือนอนกิน เป็น
ตลาด MP3, MP4, และล่าสุด บรรดา App ต่างๆ ทั้ง
บน iPhone, iPad, Mac ที่ใหญ่ที่สุดในโลก)
APPLE อาจจะไม่ได้คิดอะไรเอง แต่เอาสิ่งนั้นสิ่งนี้
ที่เกิดขึ้น มาปรับปรุงและประยุกต์ ได้อย่างยอดเยี่ยม
Jobs สามารถสร้าง บ. ที่เคยตกต่ำแทบกลับบ้านเก่า
ภายในเวลา 14 ปี จนกระทั่ง กลายเป็น บ. ที่ Market
Cap ใหญ่ที่สุดในโลก (บ. ที่มีมูลค่ามากที่สุด) แซงหน้า
EXXON ไป และ เขาก็ก้าวลงจากตำแหน่ง CEO ได้
อย่างน่าภูมิใจ (ถึงแม้ว่าสุขภาพจะเป็นปัญหาที่ทำให้
เขาก้าวลงจากตำแหน่งก็ตาม) ตลอดระยะเวลา 14 ปี
เขารับเงินเดือน ปีละ US$1, รวมทั้งสิ้น US$14 และ
APPLE ตั้งแต่ตั้ง บ. มา ยังไม่เคยปันผลแม้แต่ Cent เดียว
Steve Jobs มองขาดถึงเทคโนโลยี่ต่างๆ มองขาดถึง
ตัวสินค้า และองค์ประกอบ มองขาดถึง User Experience
มองขาดถึง Money Making Model
ส่วน บ. ที่ยิ่งใหญ่และน่ายกย่องอีกแห่งหนึ่งก็คือ Google
ครับ อาจไม่เก่งเท่า Steve Jobs แต่ก็ถือว่าเก่งมากๆ
Money Making Model ที่ทำให้ผมต้องอึ้งไปอีกนาน ...
และคู่ปรับที่น่ากลัวที่สุดของ APPLE ก็คือ Google นี่เอง
... โลกคงขาดคนที่จะมีคิดสร้างโปรดักส์ที่พลิกโลกไปอีกนาน ...
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
- Pathfinder
- Verified User
- โพสต์: 89
- ผู้ติดตาม: 0
Re: CEO ไทย ท่านไหนเก่งกว่าหรือพอๆ กับ Steve Jobs บ้างครับ?
โพสต์ที่ 11
เทียบความสามารถกันตัวต่อตัวคงหาตัวเปรียบยาก วัดจากผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาแทนดีไหมครับ
Focusing on quality and cheapness simultaneously helps investors beat the market!
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: CEO ไทย ท่านไหนเก่งกว่าหรือพอๆ กับ Steve Jobs บ้างครับ?
โพสต์ที่ 12
GamoX เขียน:thaloengsak เขียน:คุณตันนี่เก่งเรื่องบริหารหรือไม่ไม่ทราบ แต่เก่งการพรีเซ็นเทชันตัวเองแน่นอนครับ
ผมขอแนะนำคุณ วิลเลียม เอ็ลล์วู๊ด ไฮเน็ค CEOของMINTครับ
รู้สึกท่านจะขอสัญชาติไทยด้วยนิครับ คงรักเมืองไทยมาก เป็นคนที่น่านับถือจริงๆ ครับ ขอบคุณครับ เดี๋ยวจะขอไปศึกษาประวัติเพิ่มเติม
http://www.gotomanager.com/news/details.aspx?id=58770
นิตยสารผู้จัดการ พฤษภาคม 2550
ลำดับเหตุการณ์สำคัญของไฮเนคกี้และไมเนอร์
โดย สุภัทธา สุขชู
ปี ลำดับเหตุการณ์สำคัญของไฮเนคกี้และไมเนอร์
2492 - วิลเลี่ยม อี.ไฮเนคกี้ ถือกำเนิดที่รัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา
2506 - ครอบครัวย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ
2508 - เริ่มเขียนคอลัมน์เกี่ยวกับรถแข่งและขายโฆษณาในหนังสือพิมพ์บางกอกเวิลด์
2510 - สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนานาชาติ กรุงเทพฯ
- ตั้งบริษัทอินเตอร์-เอเชียน เอนเทอร์ไพรซ์ เป็นบริษัทรับจ้างทำความสะอาด
- ตั้งบริษัทอินเตอร์-เอเชียน พับลิซิตี้ เป็นบริษัทสื่อโฆษณาวิทยุ
2511 - สมรสกับแคธลีน แอนน์ เวิร์ธเธน
2513 - ตั้งบริษัท ไมเนอร์ โฮลดิ้งส์ (ไทย) จำกัด
2517 - ขายบริษัทอินเตอร์-เอเชียน พับลิซิตี้ ให้กับโอกิลวี่ แอนด์ เมเธอร์ โดยไฮเนคกี้ยังดำรงตำแหน่งเป็นประธานกรรมการบริหารบริษัท
- ร่วมกับกลุ่มจิราธิวัฒน์เปิดร้านมิสเตอร์ แฟรงกลิน เป็นการชิมลางธุรกิจฟาสต์ฟู้ด แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
2518 - ร่วมกับกลุ่มจิราธิวัฒน์เปิดร้านมิสเตอร์ โดนัท แห่งแรกที่สยามเซ็นเตอร์ ถือเป็นความสำเร็จในการแนะนำให้คนไทยรู้จักร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด
2519 - ลงทุนในธุรกิจโรงแรมเป็นครั้งแรก ด้วยการควบกิจการโรงแรมรอยัล การ์เด้น รีสอร์ท ที่พัทยา
2520 - ซื้อกิจการซูเปอร์มาร์เก็ต แดรี่ฟาร์ม บนถนนสุขุมวิท
2521 - ลาออกจากโอกิลวี่ฯ
2522 - เปิดและปิดร้านมิสเตอร์ โดนัท ในมาเลเซีย
- ได้รับสิทธิ์ขายสื่อการศึกษา ไทม์ ไลฟ์ จาก AOL Time Warner จากอเมริกา อันเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจขายหนังสือชุดและสื่อการสอนสำหรับเด็ก โดยใช้ช่องทางขายตรง
2523 - เปิดร้านพิซซ่า ฮัท แห่งแรกในพัทยา
2524 - ขายกิจการมิสเตอร์ โดนัทแฟรนไชส์ในประเทศไทยให้กับกลุ่มเซ็นทรัล
2525 - ขายกิจการซูเปอร์มาร์เก็ต แดรี่ฟาร์ม
2526 - พลาดการซื้อกิจการ โรงแรมรถไฟ หัวหิน ให้แก่กลุ่มเซ็นทรัล
2527 - เปิดโรงแรมรอยัล การ์เด้น รีสอร์ท หัวหิน
2529 - เปิดร้านไอศกรีมสเวนเซ่นส์แห่งแรก
2531 - นำบริษัท เดอะ พิซซ่า จำกัด และ รอยัล การ์เด้น รีสอร์ท จำกัด ไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดโรงแรมรอยัล การ์เด้น วิลเลจ หัวหิน
- ซื้อหุ้น 25% ของบริษัทซาทชิ แอนด์ ซาทชิ (ประเทศไทย) จำกัด
- ร่วมลงทุนและทำสัญญากับเทเลอร์ส เทคนิคอล เซอร์วิสเซส ของอังกฤษ เพื่อให้บริการด้านอาหารให้กับองค์กรขุดเจาะน้ำมันในอ่าวไทย
2532 - นำบริษัท ไมเนอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
- เริ่มบริการส่งพิซซ่า ฮัท ถึงบ้าน
- ร่วมทุนเปิดบริษัทแอคูชเน็ท ฟุต-จอย (ประเทศไทย) โรงงานผลิตถุงมือกอล์ฟที่ใหญ่ที่สุดในโลก
2533 - เริ่มการลงทุนร่วมกับเอสปรี
2534 - ไฮเนคกี้เปลี่ยนเป็นสัญชาติไทย
2535 - เปิดโรงแรมรอยัล การ์เด้น ริเวอร์ไซด์ และรอยัล การ์เด้น ริเวอร์ไซด์ พลาซ่า ใกล้กัน
- เปิดโรงแรมรอยัล การ์เด้น รีสอร์ท พัทยา
- ตั้งบริษัท สยาม พาร์ บริษัทร่วมทุนเพื่อเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องสำอางและน้ำหอมลังโคม
- เปิดร้านซิซซ์เลอร์แห่งแรก
2536 - ตั้งโรงงานผลิตเนย และโรงงานผลิตไอศกรีม เพื่อป้อนให้กับธุรกิจอาหารของตัวเอง
2537 - เปิดธุรกิจแฟรนไชส์โรงแรมแห่งแรกร่วมกับกลุ่มแมริออท
- เปิดตัวเครื่องสำอาง เรด เอิร์ท
2538 - เปิดโรงแรมรีเจนท์ เชียงใหม่ รีสอร์ท และรอยัล การ์เด้น พลาซ่า พัทยา
- ลงนามเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องบินให้กับไปเปอร์
- เปิดพิพิธภัณฑ์ "เชื่อหรือไม่" ริปลีย์ที่พัทยา
2539 - เปิดแดรี่ควีนแห่งแรก
2540 - เปิดพิพิธภัณฑ์ "เชื่อหรือไม่" ริปลีย์ที่ฮ่องกง
2541 - เปิดโรงแรมแห่งแรกที่เมืองท่าไฮฟอง เวียดนาม
- ขายบริษัท สยาม พาร์
- ซื้อหุ้น 25% ของรีเจนท์ กรุงเทพฯ
2541 - Asia Money คัดเลือกให้เป็นบริษัทที่มีการบริหารเยี่ยมที่สุด และ Forbe จัดอันดับให้เป็น 1 ใน 300 บริษัทขนาดเล็กที่ผลการดำเนินงาน เยี่ยมที่สุดในโลก
2542 - ขายบริษัทแอคูชเน็ท ฟุต-จอย
- เปิดศึกควบกิจการโรงแรมรีเจนท์ กรุงเทพฯ กับโกลด์แมน แซคส์ วาณิชธนกิจดังระดับโลก
- ร่วมลงทุนกับแมนดารา สปา ในประเทศไทย
- เปิดและป”ดตัวร้านแฟรนไชส์ ชิคเก็น ทรีท และรับช่วงแฟรนไชส์ เบอร์เกอร์ คิง ต่อจากกลุ่มเซ็นทรัล
2543 - เป็นคดีความกับบริษัทไทรคอน กรณี พิซซ่า ฮัท ประเทศไทย
- เปิดตัวเดอะ พิซซ่า คอมปะนี
2544 - เปิดตัวเสื้อผ้า "บอสสินี่" เครื่องสำอาง "บลูม"
- เปิดตัวโรงแรม เจ ดับบลิว แมริออท ภูเก็ต รีสอร์ท แอนด์ สปา
- ขายหุ้นบริษัทซาทชิ แอนด์ ซาทชิ (ประเทศไทย) จำกัด
- เริ่มใช้แบรนด์ "อนันตรา" เป็นครั้งแรก โดยเปลี่ยนชื่อโรงแรมรอยัล การ์เด้น วิลเลจ เป็น "อนันตรา รีสอร์ท แอนด์ สปา หัวหิน"
- เลิกสัญญาเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องบินให้กับไปเปอร์
- ร่วมลงทุนในบริษัท เอส.จี.เอ. ดำเนินธุรกิจบริการด้านการบินเครื่องบินส่วนตัว
- ไฮเนคกี้เปิดตัวหนังสือ "เถ้าแก่มือโปร" พิมพ์ครั้งแรก
2545 - ได้รับสิทธิ์ตัวแทนบริษัทแซสนา แอร์คราฟท์ สำหรับประเทศไทย
- เปิดตัวแมริออทวาเคชั่น ไทม์แชร์ ที่ภูเก็ต
- ขายแฟรนไชส์ เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ในประเทศไทย
- ร่วมลงทุนในกองทุนรวมบริหารสินทรัพย์ไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
2546 - บริษัท รอยัล การ์เด้น รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) (RGR) ควบกิจการกับบริษัท ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (MFG) แล้วเสร็จ
ขยายแบรนด์ เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ไปในต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศตะวันออกกลางและจีน
- เปิดโรงแรมอนันตรา โกลเด้น ไทรแองเกิล เชียงราย
2547 - ลงทุนร้อยละ 100 ในแบรนด์มันดารา สปา
- ขยายแฟรนไชส์เดอะพิซซ่าฯ และสเวนเซ่นส์ระบบแฟรนไชส์ในประเทศคูเวต กัมพูชา ฟิลิปปินส์ การ์ตา โอมาน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
- โรงแรมอนันตรา โคโค้ ปาล์ม รีสอร์ท แอนด์ สปา เสียหายอย่างหนักจากเหตุการณ์สึนามิ
- นำเข้าและจำหน่ายเครื่องสำอาง "ลาเนจ" และผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางสำหรับใช้ในสปา "อิลิมีส"
2548 - เปลี่ยนชื่อบริษัท รอยัล การ์เด้น รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) (RGR) เป็นบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (MINT) และ ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปลี่ยนการจัดกลุ่มให้ MINT จากกลุ่มการท่องท่องเที่ยวและสันทนาการ เป็นกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม
- ซื้อกิจการทั้งหมดของบริษัท เลอ แจ๊ส ปักกิ่ง เจ้าของแฟรนไชส์ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดแบรนด์ "เลอ แจ๊ส" และใช้เป็นฐานในการขยาย แฟรนไชส์เดอะ พิซซ่าฯ และซิซซ์เล่อร์ ในกรุงปักกิ่ง
- ลงนามจำหน่ายแฟรนไชส์เดอะ พิซซ่าฯ และสเวนเซ่นส์ กับบริษัท F.A. AI Hokair บริษัทในประเทศซาอุดีอาระเบีย
- ลงนามในสัญญากับบริษัทเดวาฟู้ดส์ จำกัด เจ้าของลิขสิทธิ์แฟรนไชส์ของสเวนเซ่นส์เพื่อซื้อแฟรนไชส์เพิ่มเป็น 33 ประเทศทั่วโลก รวมประเทศอินเดีย
- ร่วมลงทุนพัฒนาโรงแรมและรีสอร์ท 3 แห่งในประเทศมัลดีฟส์ และลงนามในสัญญาบริหารโรงแรมให้กับเจ้าของโรงแรมในดูไบและบาหลี
- เปิดให้บริการสปาในประเทศแทนซาเนียและมัลดีฟส์
- เป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์รองเท้าและเสื้อผ้า "ทิมเบอร์แลนด์" และ "ชาร์ลส์ แอนด์ คีธ"
- นำเข้าและยกเลิกการจัดจำหน่ายชุดว่ายน้ำ "พานอส เอ็มพริโอ"
- ไมเนอร์คอร์ปฯ ลงทุนซื้อหุ้นใน MINT เพิ่มจากร้อยละ 4.3 เป็นร้อยละ 19.6
- Forbes จัดอันดับให้ MINT เป็น 1 ใน 200 บริษัทจดทะเบียนยอดเยี่ยมในภูมิภาคเอเชียที่มียอดขายต่ำกว่า 1,000 พันล้านเหรียญสหรัฐ
2549 - ตลาดหลักทรัพย์ฯ พิจารณารวมหุ้น MINT ไว้ใน SET100 และ SET50
- เข้าซื้อหุ้นร้อยละ 18.31 ในบริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท เพื่อความร่วมมือทางธุรกิจในอนาคต
- เปิดโฟร์ซีซั่นส์ เต็นท์แคมป์ เชียงราย และโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ รีสอร์ท สมุย พร้อมกับโครงการที่พักอาศัยระดับหรู "สมุย บีช เรสซิเดนซ์" เฉลี่ยยูนิตละ 100 ล้านบาทขึ้นไป
- เพิ่มการลงทุนในบริษัท โรงแรมราชดำริ จำกัด (มหาชน) จนเป็นร้อยละ 95.8
- ลงนามความเข้าใจกับ Hemas Holdings Ltd. เพื่อร่วมลงทุนและบริหารโรงแรม ในศรีลังกา
2550 - Asian Money ยกย่องให้เป็นบริษัทดีเด่นด้านวิสัยทัศน์ กลยุทธ์ และการจัดการ ในกลุ่มบริษัทที่มีมูลค่าทางการตลาดขนาดเล็ก
อ่านหนังสือที่คุณบิลเขียนเอง เล่มนี้ครับ
เมื่อก่อนเป็น "เถ้าแก่มือโปร : เคล็ดลับ 21 ข้อ สำหรับผู้บริหาร โลกไร้พรมแดน"
ตอนหลังมี 25 ข้อ
ไม่รู้ยังมีขายรึเปล่า ผมซื้อตั้งแต่พิมพ์ครั้งแรกๆ ตอนนั้นยังไม่สนใจเรื่องหุ้นเลย แต่สนใจตอนเป็นข่าวออกมาบี้กับเจ้าตำหรับ Pizza Hut
ฉบับภาษาอังกฤษวางขาย amazon
http://www.amazon.com/Entrepreneur-Twen ... 0471835579
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: CEO ไทย ท่านไหนเก่งกว่าหรือพอๆ กับ Steve Jobs บ้างครับ?
โพสต์ที่ 14
เรืิ่องใครเก่งกว่าใครโดยเทียบขนาดธุรกิจนั้น
บางทีก็เหมือนกับที่นายห้างเก่งเทียม โชควัฒนาบอกว่าต้องเก่งบวกเฮง
อย่างปู่บัฟเฟต์ก็บอกว่า ตัวเองที่รวยติดอันดับได้ขนาดนี้ เป็นเพราะเกิดถูกจังหวะถูกที่ถูกเวลา อุปมาแบบชาวบ้าน สมมติไปเกิดกลางป่าเผ่าแอฟริกา จะให้มาเป็นผู้นำโลกนักลงทุนคงเป็นไปได้ยาก แต่ก็อาจจะเด่นในหมู่เผ่าแอฟริกาที่อยู่นั้น เป็นนักสะสมวัวใหญ่เต็มท้องทุ่ง (วัวใช้เป็นเครื่องแสดงฐานะ ของทุนนิยมแบบเผ่าแอฟริกาหลายเผ่า)
เหมืิอนกับที่ไทยเราเปรียบเพชรที่อยู่ในตม ต้องบังเอิญเป็นเพชรมีคนขุดถึงจะส่องแสงมีมูลค่าได้
ผมว่ามันคือจังหวะชีวิตบวกความสามารถต้องไปพร้อมๆ กันด้วย บางทีผู้นำองค์กรเล็กๆ ที่เราเห็น ถ้าบังเอิญจังหวะทำให้ไปได้โอกาสทำอะไรในองค์กรใหญ่ๆ หรือโอกาสได้สร้างอะไรใหญ่ๆ ก็อาจโดดเด่นได้...
น้า Jobs นี่ แกคิดอะไรเองอยู่เรื่อยๆ เกิดในโลกเสรี ทุนนิยม เหมืิอนกับ Larry Page+Sergey Brin, Mark Zuckerberg, Bill Gates(+Paul Allen) อเมริกาโลกใหม่ที่มีคนพร้อมจะถ่ายโอนเงินลงทุนให้สร้างตัว แล้ว boost หรือเร่งขยายทุนให้ใหญ่โตได้
น้า Jobs+ Steve Vozniak ประดิษฐ์คอมพิวเตอร์ได้ ถ้ามาเกิดเมืองไทยในเวลาเดียวกันนั้น คงได้แค่ขึ้นหน้าหนังสือ "ชัียพฤกษ์วิทยาศาสตร์" แล้วก็เงียบๆ ไป
ชัียพฤกษ์วิทยาศาสตร์...คนรุ่นใหม่อาจไม่รู้จักแล้ว เพราะปิดตัวไปแล้ว ยิ่งใหญ่เปรียบเสมือนไทยรัฐในวงการวิทยาศาสตร์และการประดิษฐ์ไทยสมัยนั้นนะครับ
บางทีก็เหมือนกับที่นายห้างเก่งเทียม โชควัฒนาบอกว่าต้องเก่งบวกเฮง
อย่างปู่บัฟเฟต์ก็บอกว่า ตัวเองที่รวยติดอันดับได้ขนาดนี้ เป็นเพราะเกิดถูกจังหวะถูกที่ถูกเวลา อุปมาแบบชาวบ้าน สมมติไปเกิดกลางป่าเผ่าแอฟริกา จะให้มาเป็นผู้นำโลกนักลงทุนคงเป็นไปได้ยาก แต่ก็อาจจะเด่นในหมู่เผ่าแอฟริกาที่อยู่นั้น เป็นนักสะสมวัวใหญ่เต็มท้องทุ่ง (วัวใช้เป็นเครื่องแสดงฐานะ ของทุนนิยมแบบเผ่าแอฟริกาหลายเผ่า)
เหมืิอนกับที่ไทยเราเปรียบเพชรที่อยู่ในตม ต้องบังเอิญเป็นเพชรมีคนขุดถึงจะส่องแสงมีมูลค่าได้
ผมว่ามันคือจังหวะชีวิตบวกความสามารถต้องไปพร้อมๆ กันด้วย บางทีผู้นำองค์กรเล็กๆ ที่เราเห็น ถ้าบังเอิญจังหวะทำให้ไปได้โอกาสทำอะไรในองค์กรใหญ่ๆ หรือโอกาสได้สร้างอะไรใหญ่ๆ ก็อาจโดดเด่นได้...
น้า Jobs นี่ แกคิดอะไรเองอยู่เรื่อยๆ เกิดในโลกเสรี ทุนนิยม เหมืิอนกับ Larry Page+Sergey Brin, Mark Zuckerberg, Bill Gates(+Paul Allen) อเมริกาโลกใหม่ที่มีคนพร้อมจะถ่ายโอนเงินลงทุนให้สร้างตัว แล้ว boost หรือเร่งขยายทุนให้ใหญ่โตได้
น้า Jobs+ Steve Vozniak ประดิษฐ์คอมพิวเตอร์ได้ ถ้ามาเกิดเมืองไทยในเวลาเดียวกันนั้น คงได้แค่ขึ้นหน้าหนังสือ "ชัียพฤกษ์วิทยาศาสตร์" แล้วก็เงียบๆ ไป
ชัียพฤกษ์วิทยาศาสตร์...คนรุ่นใหม่อาจไม่รู้จักแล้ว เพราะปิดตัวไปแล้ว ยิ่งใหญ่เปรียบเสมือนไทยรัฐในวงการวิทยาศาสตร์และการประดิษฐ์ไทยสมัยนั้นนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 135
- ผู้ติดตาม: 0
Re: CEO ไทย ท่านไหนเก่งกว่าหรือพอๆ กับ Steve Jobs บ้างครับ?
โพสต์ที่ 16
เห็นด้วยครับ เก่งอย่างเดียวไม่พอ ต้องเฮงด้วย ถึงจะประสบความสำเร็จIi'8N เขียน:เรืิ่องใครเก่งกว่าใครโดยเทียบขนาดธุรกิจนั้น
บางทีก็เหมือนกับที่นายห้างเก่งเทียม โชควัฒนาบอกว่าต้องเก่งบวกเฮง
อย่างปู่บัฟเฟต์ก็บอกว่า ตัวเองที่รวยติดอันดับได้ขนาดนี้ เป็นเพราะเกิดถูกจังหวะถูกที่ถูกเวลา อุปมาแบบชาวบ้าน สมมติไปเกิดกลางป่าเผ่าแอฟริกา จะให้มาเป็นผู้นำโลกนักลงทุนคงเป็นไปได้ยาก แต่ก็อาจจะเด่นในหมู่เผ่าแอฟริกาที่อยู่นั้น เป็นนักสะสมวัวใหญ่เต็มท้องทุ่ง (วัวใช้เป็นเครื่องแสดงฐานะ ของทุนนิยมแบบเผ่าแอฟริกาหลายเผ่า)
เหมืิอนกับที่ไทยเราเปรียบเพชรที่อยู่ในตม ต้องบังเอิญเป็นเพชรมีคนขุดถึงจะส่องแสงมีมูลค่าได้
ผมว่ามันคือจังหวะชีวิตบวกความสามารถต้องไปพร้อมๆ กันด้วย บางทีผู้นำองค์กรเล็กๆ ที่เราเห็น ถ้าบังเอิญจังหวะทำให้ไปได้โอกาสทำอะไรในองค์กรใหญ่ๆ หรือโอกาสได้สร้างอะไรใหญ่ๆ ก็อาจโดดเด่นได้...
น้า Jobs นี่ แกคิดอะไรเองอยู่เรื่อยๆ เกิดในโลกเสรี ทุนนิยม เหมืิอนกับ Larry Page+Sergey Brin, Mark Zuckerberg, Bill Gates(+Paul Allen) อเมริกาโลกใหม่ที่มีคนพร้อมจะถ่ายโอนเงินลงทุนให้สร้างตัว แล้ว boost หรือเร่งขยายทุนให้ใหญ่โตได้
น้า Jobs+ Steve Vozniak ประดิษฐ์คอมพิวเตอร์ได้ ถ้ามาเกิดเมืองไทยในเวลาเดียวกันนั้น คงได้แค่ขึ้นหน้าหนังสือ "ชัียพฤกษ์วิทยาศาสตร์" แล้วก็เงียบๆ ไป
ชัียพฤกษ์วิทยาศาสตร์...คนรุ่นใหม่อาจไม่รู้จักแล้ว เพราะปิดตัวไปแล้ว ยิ่งใหญ่เปรียบเสมือนไทยรัฐในวงการวิทยาศาสตร์และการประดิษฐ์ไทยสมัยนั้นนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2141
- ผู้ติดตาม: 0
Re: CEO ไทย ท่านไหนเก่งกว่าหรือพอๆ กับ Steve Jobs บ้างครับ?
โพสต์ที่ 17
http://www.reuters.com/article/2011/08/ ... FD20110826
Analysis: Where does Jobs stand among America's iconic CEOs?
(Reuters) - The question is not whether Steve Jobs is an iconic CEO, but where Apple Inc's co-founder ranks in the pantheon of business leaders who have carved out a place in history.
Jobs would surely pass the Times Square test, meaning many people walking around the New York City tourist mecca would know who he is, while they might not recognize the names of other business legends such as General Electric's former Chief Executive Jack Welch.
And Jobs' technological innovations, among them the Mac computer, iPod, iPhone, and iPad, have brought him the same one-name recognition as Carnegie, Ford, Gates, Murdoch, and others.
But 50 years from now, will the Nano be considered as revolutionary as the Model T?
"What Ford did for the automobile -- just look at the suburbs and highways that developed from him, the assembly lines. Ford had a tremendous effect," said Mike Carrier, a professor at Rutgers School of Law in New Jersey, who has written extensively on innovation and intellectual property.
"I would put Jobs up in that category in terms of how he revolutionized our concept of music, of phones, of the computer, of literally everything."
But others say the jury is still out on the lasting influence of Jobs' creations, given the breakneck pace of technological innovations and the fickleness of consumers. Motorola's Razr, for example, was thought to be revolutionary just a few years ago.
"I'm not sure how all these innovations will stack up in the long-term," said Peter Cappelli, a management professor at the Wharton School of Business.
BETWEEN EDISON AND DISNEY
When Jobs first started out more than three decades ago, there were some who thought he would not make it.
Jeffrey Sonnenfeld, associate dean of the Yale School of Management, remembers vividly how Jobs awkwardly introduced himself to Polaroid CEO Ed Land during a lunch at Michela's in Cambridge, Massachusetts
in 1985.
"He came over to Ed to thank him for his wisdom in marrying progressive management with technological advancement," Sonnenfeld said. "After he left, Ed shook his head and said, 'That guy is never going to make it. He doesn't get technology. He's just a salesman.'"
Jobs is a salesman, one of the most successful of the last half century. But the magnitude of his technological brilliance -- The New York Times pointed out that his name appears as inventor on 313 patents -- and his penchant for theatrics place him on a historical spectrum somewhere between Thomas Edison and Walt Disney.
"There are few CEOs who can compare to Jobs in terms of breadth of activities, length of time in command, and connection with consumers," said Harvard Business School professor Anita Elberse.
Part of Jobs' mystique is owed to a confluence of factors either unique to him or to our times. The attention paid to CEOs by financial analysts and the media far exceeds what it was during Henry Ford's day, for instance.
And Jobs' career trajectory as a pioneer, failure, and comeback success has the narrative arc that journalists love. Walt Disney or William Randolph Hearst hit on one or two of those plot points, but not all three.
"You can't underestimate the massive impact the press has had in building up the concept of the celebrity CEO," said Eric Abrahamson, professor of management at Columbia Business School.
He pointed to the reinvention of Kimberly Clarke as a case in point. That company began as a lumber manufacturer, then moved on to pulp before hitting it big with gas masks during World War I. After the war, Kimberly Clarke's fortunes began a downward spiral and did not recover until the company introduced Kleenex.
Though that turnaround is akin to the one Jobs' pulled off after returning to Apple in 1996 -- its stock is up roughly 9,000 percent over that time -- Abrahamson said, "I couldn't tell you who the CEO was who led Kimberly Clarke's turnaround."
PIXIE DUST
Jobs diverges from his peer group in two key aspects: the number of industries his company's products have fundamentally changed and consumers' identification of him as the singular force behind those products.
Ford helped create the automobile industry. Alexander Graham Bell invented the telephone. Jobs designed aesthetically pleasing, easy-to-use devices that changed the way computing, music and movies were made and enjoyed.
By accident or design, consumers have made a visceral connection between Apple products and the guy in the blue jeans, black turtleneck, and wire-rimmed glasses. They know Jobs did not create the devices on his own, but they desperately want to believe that he did.
They have sprinkled some of Disney's pixie dust on him, in a manner of speaking.
"Consumers personally believe that Jobs is solely responsible for the products in their house," Elberse said. But they do not think that Murdoch alone puts out News Corp newspapers, for instance.
"Fifty or a hundred years from now they'll look back on Apple products and think, 'Steve Jobs made this,'" she said. "That's his cultural impact."
And his legacy.
M aterial catalyst
A ttitude & Perception
D isclipine
A ttitude & Perception
D isclipine
-
- Verified User
- โพสต์: 1252
- ผู้ติดตาม: 0
Re: CEO ไทย ท่านไหนเก่งกว่าหรือพอๆ กับ Steve Jobs บ้างครับ?
โพสต์ที่ 18
ผมคิดว่าCEOไทยบางท่านก็มีบางอย่างเหมือนsteve tobs ก็คือceo singerคับที่มีจิตวิญญาณนักประดิษฐ์เหมือนกัน
สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนโลกใบนี้คือความว่างเปล่า สูงจากว่างเปล่าคือก่อเกิดเปลี่ยนแปลง
http://www.fungdham.com/sound/popup-sou ... up-75.html
http://goo.gl/VjQ4cG
http://www.fungdham.com/sound/popup-sou ... up-75.html
http://goo.gl/VjQ4cG
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: CEO ไทย ท่านไหนเก่งกว่าหรือพอๆ กับ Steve Jobs บ้างครับ?
โพสต์ที่ 21
คอลัมน์: Mission CEO ภารกิจพิชิตเป้า
Source - กรุงเทพธุรกิจ (Th), Monday, February 13, 2012
Mission CEO ฉบับที่ 400 วันที่ 13-19 กุมภาพันธ์ 2555
>> ไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ปตท. เปิดเผยว่า นโยบายการลงทุนต่างประเทศของกลุ่มปตท.ในระยะ 5 ปีข้างหน้าจะเป็นการลงทุนโดยปตท.สผ.สัดส่วนกว่า 50% สำหรับแผนลงทุนโดยปตท.สผ.จะใช้เงินลงทุน 6 แสนล้านบาท โดย ปตท.ยังคงให้ความสำคัญต่อการลงทุนในอาเซียนอย่างต่อเนื่องทั้งในพม่า กัมพูชา และติมอร์เร็วๆนี้คณะของ นายซก อาน รองนายกรัฐมตรีกัมพูชาได้เดินทางมาเยือนไทยและจะมาดูงานกลุ่ม ปตท.ที่มาบตาพุด ซึ่งเป็นไปได้ที่จะหารือถึงพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา และหวังว่าในเร็วๆนี้จะมีข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนาร่วมกันทั้งนี้ ปตท.พร้อมลงทุนในกัมพูชาเพื่อพัฒนาให้เติบโตเช่นเดียวกับที่มาบตาพุด ปัจจุบัน ปตท.ได้ลงทุนสถานีบริการในกัมพูชาแล้ว และจะช่วยพัฒนาระบบก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์หรือเอ็นจีวี ขณะที่ไทยจะมีแหล่งพลังงานสำรองเพิ่มมากขึ้น
>> ธงชัย บุศราพันธ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ เปิดเผยว่าในปีนี้บริษัทจะขยายตลาดมาสู่กลุ่มผู้มีรายได้ระดับกลางมากขึ้น ด้วยราคาอาคารชุดต่ำสุดอยู่ที่ 7 หมื่นบาทต่อตารางเมตร จากเดิมที่เน้นตลาดกลุ่มผู้มีรายได้สูงมาโดยตลอดโดยแผนการลงทุนปีนี้ จะเปิดโครงการใหม่ 4 โครงการได้แก่ ย่านรัชดาภิเษกจำนวน 400-500 ยูนิต, โครงการย่านอารีย์-พหลโยธิน และอีก 2 โครงการอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อที่ดิน รวมมูลค่าโครงการทั้งสิ้น 5,000-6,000 ล้านบาท โดยปีนี้ บริษัทตั้งงบการซื้อที่ดิน 2,500 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดขายปี 2555 ไว้ที่ 5,000 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทยังมองถึงโอกาศในการร่วมพันธมิตรกับกลุ่มผู้ประกอบการโรงแรม ผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกเพื่อทำโครงการในแบบเพลินจิต ซิตี้อีก
>> ฮิโรโนบุ อิริยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.โตโย-ไทย คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่าบริษัทมีความยินดีกับความสำเร็จในปี 2554 ซึ่งมีรายได้เติบโตกว่า 30-40% และมีปริมาณงานในมือ (Backlog) สูงเป็นประวัติการณ์กว่า 2 หมื่นล้านบาท และมั่นใจว่าในปี 2555 รายได้จะเติบโตกว่า 30-40% เป็นปีที่ 2 ติดต่อกันโดยทิศทางธุรกิจของบริษัทคือการเติบโตทั้งในประเทศและนอกประเทศ จากธุรกิจรับเหมาแบบครบวงจร EPC และร่วมลงทุนในโครงการสาธรณูปโภคต่าง ซึ่งเป็นกลยุทธ์เพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงในระยะยาว ขณะเดียวกันธุรกิจในต่างประเทศของบริษัทก็เติบโตอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมีรายมากกว่า 50% ของรายได้ทั้งหมด และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้นเพราะบริษัทได้เข้าประมูลในโครงการใหญ่ๆอีกหลายโครงการ มูลค่ารวมกันมากกว่า 50,000 ล้านบาท
>> ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.การบินไทย เปิดเผยว่าผู้บริหารและพนักงานได้มีข้อตกลงร่วมกันที่จะลดเงินล่วงเวลาทุกส่วน 17% หรือประมาณ 414 ล้านบาท จากทั้งหมดปีละ 2,000 ล้านบาท โดยการบินไทยตั้งเป้าลดค่าใช้จ่ายให้ได้ 1,000 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาลดค่าใช้จ่ายสำนักงานใจต่างประเทศว่าจะลดส่วนใดได้บ้างส่วนผลการดำเนินงานปี 2555 มั่นใจว่าจะมีกำไรโดยตั้งเป้ารายได้ไว้ 2.07 แสนล้านบาท และยังมีรายได้จากเงินชดเชยประกันความเสี่ยงราคาน้ำมันขณะนี้แม้ราคาน้ำมันจะผันผวนแต่การบินไทยทำประกันความเสี่ยงราคาน้ำมันอัตราที่สบายใจต่อการดำเนินธุรกิจตลอดปีหากราคาน้ำมันโลกขึ้น 3 ดอลลาร์ต้นทุนน้ำมันของการบินไทยเพิ่มขึ้นแค่ 1 ดอลลาร์เท่านี้น
>> ชุติมา ตั้งมติธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายการเงิน-บัญชี บมต.มั่นคงเคหะการ เปิดเผยว่า เหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อปลทยปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ยอดขายโครงการในไตรมาส 4/2554 ชะลอตัวลงมาก ส่งผลให้ยอดขายรวมทั้งปี 2554 ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 2,800 ล้านบาทเหลือเพียง 2,080 ล้านบาทส่วนแผนธุรกิจในปี 2555 จึงมีการปรับเปลี่ยนโดยชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ออกไปก่อนจากเดิมตั้งเป้าจะเปิดโครงการใหม่ปีนี้อย่างน้อย 5 โครงการ เหลือเปิดเพียง 3 โครงการรวมมูลค่าโครงการทั้งสิ้น 1,900 ล้านบาทนอกจากนี้บริษัทจะเพิ่มสัดส่วนบ้านสร้างเสร็จพร้อมอยู่ให้มากขึ้นเพื่อให้มียอดรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปีโดยยังเชื่อว่าสถานการณ์ธุรกิจโดยภาพรวมในปีนี้จะดีขึ้นในปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายที่ 3,000 ล้านบาทหรือเติบโตจากปีที่ผ่านมา 40%
>> บุญชัย ปัณฑุรอัมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซาบีน่า เปิดเผยว่า ผลประกอบการปีนี้ ตั้งเป้าเติบโต 10% จากปีก่อนแม้จะมีปัจจัยเสี่ยงการปรับขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำ 300 บาทและต้องเผชิญกัลภาวะเศรษฐกิจแถบยุโรปชะลอตัวต่อเนื่องจากปีก่อน ทั้งนี้ลูกค้าแถบยุโรปเป็นกลุ่มลูกค้ารับจ้างผลิตกลุ่มสำคัญของบริษัท แต่บริษัทมีแนวนโยบายเพิ่มราคาขายสินค้า 5% เพื่อให้สอดรับกับต้นทุนที่เพิ่มซึ่งจะทำให้ผลประกอบการนี้เป็นไปตามเป้าสำหรับสัดส่วนรายได้ตัวหลักจะเป็นแบรนด์ของบริษัทเอง 80% และรับจ้างผลิตหรือ OEM ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ใกล้เคียงกับปี ก่อน โดยในปีนี้มีแผนเปิดสาขาใหม่อีก 40 สาขา คาดใช้เงินลงทุนสาขาละ 1 ล้านบาท ขณะที่งบการตลาดปีนี้ตั้งไว้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 80 ล้านบาท
>> ขวัญชัย ณัฎฐเศรษฐ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.สาลี่ คัลเล่อร์ เปิดเผยว่าบริษัทมีแผนขยายตลาดเพื่อรับกับกำลังการผลิตที่จะเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ผลิตอยู่ที่ 25,000 ตันต่อปีไปเป็น 40,000 ตันในปีนี้โดยจะเริ่มทดลองเดินเครื่องจักรเครื่องใหม่ในไตรมาศ1/2555 และคาดว่าจะแล้วเสร็จและสามารถเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในช่วงครึ่งหลังปี 2555 นอกจากนี้ยังมีแผนขยายฐานลูกค้าไปยังตลาดต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น จากเดิมที่มีการส่งออกไปยังประเทศเวียดนาม มาเลเซีย อินเดีย นาปาล และบังกลาเทศ โดยคาดว่าสัดส่วนการส่งออกปีนี้จะไม่น้อยกว่า 25% ของยอดขายทั้งปี สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2555 บริษัทตั้งเป้ารายได้จะมีอัตราเติบโตไม่น้อยกว่า 20-25% โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากโรงงานแห่งใหม่ที่มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
Source - กรุงเทพธุรกิจ (Th), Monday, February 13, 2012
Mission CEO ฉบับที่ 400 วันที่ 13-19 กุมภาพันธ์ 2555
>> ไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ปตท. เปิดเผยว่า นโยบายการลงทุนต่างประเทศของกลุ่มปตท.ในระยะ 5 ปีข้างหน้าจะเป็นการลงทุนโดยปตท.สผ.สัดส่วนกว่า 50% สำหรับแผนลงทุนโดยปตท.สผ.จะใช้เงินลงทุน 6 แสนล้านบาท โดย ปตท.ยังคงให้ความสำคัญต่อการลงทุนในอาเซียนอย่างต่อเนื่องทั้งในพม่า กัมพูชา และติมอร์เร็วๆนี้คณะของ นายซก อาน รองนายกรัฐมตรีกัมพูชาได้เดินทางมาเยือนไทยและจะมาดูงานกลุ่ม ปตท.ที่มาบตาพุด ซึ่งเป็นไปได้ที่จะหารือถึงพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา และหวังว่าในเร็วๆนี้จะมีข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนาร่วมกันทั้งนี้ ปตท.พร้อมลงทุนในกัมพูชาเพื่อพัฒนาให้เติบโตเช่นเดียวกับที่มาบตาพุด ปัจจุบัน ปตท.ได้ลงทุนสถานีบริการในกัมพูชาแล้ว และจะช่วยพัฒนาระบบก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์หรือเอ็นจีวี ขณะที่ไทยจะมีแหล่งพลังงานสำรองเพิ่มมากขึ้น
>> ธงชัย บุศราพันธ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ เปิดเผยว่าในปีนี้บริษัทจะขยายตลาดมาสู่กลุ่มผู้มีรายได้ระดับกลางมากขึ้น ด้วยราคาอาคารชุดต่ำสุดอยู่ที่ 7 หมื่นบาทต่อตารางเมตร จากเดิมที่เน้นตลาดกลุ่มผู้มีรายได้สูงมาโดยตลอดโดยแผนการลงทุนปีนี้ จะเปิดโครงการใหม่ 4 โครงการได้แก่ ย่านรัชดาภิเษกจำนวน 400-500 ยูนิต, โครงการย่านอารีย์-พหลโยธิน และอีก 2 โครงการอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อที่ดิน รวมมูลค่าโครงการทั้งสิ้น 5,000-6,000 ล้านบาท โดยปีนี้ บริษัทตั้งงบการซื้อที่ดิน 2,500 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดขายปี 2555 ไว้ที่ 5,000 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทยังมองถึงโอกาศในการร่วมพันธมิตรกับกลุ่มผู้ประกอบการโรงแรม ผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกเพื่อทำโครงการในแบบเพลินจิต ซิตี้อีก
>> ฮิโรโนบุ อิริยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.โตโย-ไทย คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่าบริษัทมีความยินดีกับความสำเร็จในปี 2554 ซึ่งมีรายได้เติบโตกว่า 30-40% และมีปริมาณงานในมือ (Backlog) สูงเป็นประวัติการณ์กว่า 2 หมื่นล้านบาท และมั่นใจว่าในปี 2555 รายได้จะเติบโตกว่า 30-40% เป็นปีที่ 2 ติดต่อกันโดยทิศทางธุรกิจของบริษัทคือการเติบโตทั้งในประเทศและนอกประเทศ จากธุรกิจรับเหมาแบบครบวงจร EPC และร่วมลงทุนในโครงการสาธรณูปโภคต่าง ซึ่งเป็นกลยุทธ์เพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงในระยะยาว ขณะเดียวกันธุรกิจในต่างประเทศของบริษัทก็เติบโตอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมีรายมากกว่า 50% ของรายได้ทั้งหมด และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้นเพราะบริษัทได้เข้าประมูลในโครงการใหญ่ๆอีกหลายโครงการ มูลค่ารวมกันมากกว่า 50,000 ล้านบาท
>> ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.การบินไทย เปิดเผยว่าผู้บริหารและพนักงานได้มีข้อตกลงร่วมกันที่จะลดเงินล่วงเวลาทุกส่วน 17% หรือประมาณ 414 ล้านบาท จากทั้งหมดปีละ 2,000 ล้านบาท โดยการบินไทยตั้งเป้าลดค่าใช้จ่ายให้ได้ 1,000 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาลดค่าใช้จ่ายสำนักงานใจต่างประเทศว่าจะลดส่วนใดได้บ้างส่วนผลการดำเนินงานปี 2555 มั่นใจว่าจะมีกำไรโดยตั้งเป้ารายได้ไว้ 2.07 แสนล้านบาท และยังมีรายได้จากเงินชดเชยประกันความเสี่ยงราคาน้ำมันขณะนี้แม้ราคาน้ำมันจะผันผวนแต่การบินไทยทำประกันความเสี่ยงราคาน้ำมันอัตราที่สบายใจต่อการดำเนินธุรกิจตลอดปีหากราคาน้ำมันโลกขึ้น 3 ดอลลาร์ต้นทุนน้ำมันของการบินไทยเพิ่มขึ้นแค่ 1 ดอลลาร์เท่านี้น
>> ชุติมา ตั้งมติธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายการเงิน-บัญชี บมต.มั่นคงเคหะการ เปิดเผยว่า เหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อปลทยปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ยอดขายโครงการในไตรมาส 4/2554 ชะลอตัวลงมาก ส่งผลให้ยอดขายรวมทั้งปี 2554 ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 2,800 ล้านบาทเหลือเพียง 2,080 ล้านบาทส่วนแผนธุรกิจในปี 2555 จึงมีการปรับเปลี่ยนโดยชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ออกไปก่อนจากเดิมตั้งเป้าจะเปิดโครงการใหม่ปีนี้อย่างน้อย 5 โครงการ เหลือเปิดเพียง 3 โครงการรวมมูลค่าโครงการทั้งสิ้น 1,900 ล้านบาทนอกจากนี้บริษัทจะเพิ่มสัดส่วนบ้านสร้างเสร็จพร้อมอยู่ให้มากขึ้นเพื่อให้มียอดรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปีโดยยังเชื่อว่าสถานการณ์ธุรกิจโดยภาพรวมในปีนี้จะดีขึ้นในปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายที่ 3,000 ล้านบาทหรือเติบโตจากปีที่ผ่านมา 40%
>> บุญชัย ปัณฑุรอัมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซาบีน่า เปิดเผยว่า ผลประกอบการปีนี้ ตั้งเป้าเติบโต 10% จากปีก่อนแม้จะมีปัจจัยเสี่ยงการปรับขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำ 300 บาทและต้องเผชิญกัลภาวะเศรษฐกิจแถบยุโรปชะลอตัวต่อเนื่องจากปีก่อน ทั้งนี้ลูกค้าแถบยุโรปเป็นกลุ่มลูกค้ารับจ้างผลิตกลุ่มสำคัญของบริษัท แต่บริษัทมีแนวนโยบายเพิ่มราคาขายสินค้า 5% เพื่อให้สอดรับกับต้นทุนที่เพิ่มซึ่งจะทำให้ผลประกอบการนี้เป็นไปตามเป้าสำหรับสัดส่วนรายได้ตัวหลักจะเป็นแบรนด์ของบริษัทเอง 80% และรับจ้างผลิตหรือ OEM ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ใกล้เคียงกับปี ก่อน โดยในปีนี้มีแผนเปิดสาขาใหม่อีก 40 สาขา คาดใช้เงินลงทุนสาขาละ 1 ล้านบาท ขณะที่งบการตลาดปีนี้ตั้งไว้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 80 ล้านบาท
>> ขวัญชัย ณัฎฐเศรษฐ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.สาลี่ คัลเล่อร์ เปิดเผยว่าบริษัทมีแผนขยายตลาดเพื่อรับกับกำลังการผลิตที่จะเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ผลิตอยู่ที่ 25,000 ตันต่อปีไปเป็น 40,000 ตันในปีนี้โดยจะเริ่มทดลองเดินเครื่องจักรเครื่องใหม่ในไตรมาศ1/2555 และคาดว่าจะแล้วเสร็จและสามารถเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในช่วงครึ่งหลังปี 2555 นอกจากนี้ยังมีแผนขยายฐานลูกค้าไปยังตลาดต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น จากเดิมที่มีการส่งออกไปยังประเทศเวียดนาม มาเลเซีย อินเดีย นาปาล และบังกลาเทศ โดยคาดว่าสัดส่วนการส่งออกปีนี้จะไม่น้อยกว่า 25% ของยอดขายทั้งปี สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2555 บริษัทตั้งเป้ารายได้จะมีอัตราเติบโตไม่น้อยกว่า 20-25% โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากโรงงานแห่งใหม่ที่มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 581
- ผู้ติดตาม: 0
Re: CEO ไทย ท่านไหนเก่งกว่าหรือพอๆ กับ Steve Jobs บ้างครับ?
โพสต์ที่ 22
ก่อนจะเทียบ เราน่าจะลิสท์ข้อดีของ SJ ออกมาก่อน เพื่อดูว่าในฐานะ CEO ที่เก่ง นั้นเก่งอย่างไร
(แน่นอนว่าหาก CEO ที่เก่งกว่า SJ จะมีด้านไหนที่เพิ่มขึ้นมาอีก)
หากเราสามารถสรุปลักษณะร่วมที่ดีของ CEO ได้ ก็จะมีประโยชน์กับ นลท. ในการนำไปมองบริษัทที่ตัวเองลงทุน
ในเมื่อผมเสนอ งั้นขอลองเริ่มต้นโดยเอาที่โดดเด่นสุดๆ ในสายตาผมครับ
1. Vision
ผมคิดว่า SJ เป็นคนที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลสุดๆ เหมือนกับว่าตัวเองวาดภาพนั้นขึ้นมาได้
ซึ่งต้องอาศัยความกระหายอยาก จินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ และความสามารถ ในขอบเขตที่จะเขียนภาพอนาคตได้
ผมคิดว่า วิสัยทัศน์ คือคุณสมบัติยิ่งยวดที่ CEO ชั้นเลิศทุกคนต้องมี
ให้เปรียบกับบริษัทต่างๆ บริษัทที่มีทรัพยากรทุนรอน ไพร่พลมากมายแต่ไร้ปัญญา ความรู้ ความสามารถ ก็สู้ไม่ได้กับ
บริษัทที่ทรัพยากรทุนรอน ไพร่พลน้อยนิด แต่เปี่ยมไปด้วยปัญญา ความรู้ความสามารถ
แต่บริษัทที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือบริษัทที่มีวิสัยทัศน์ล้ำเลิศท่ามกลางบริษัทที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถด้วยกัน
(ขอไม่ยกตัวอย่างบริษัทนะครับ)
และจากการที่ทำงานในองค์กรใหญ่ 3 แห่ง ผมคิดว่า วิสัยทัศน์ขององค์กรนั้นมาจากวิสัยทัศน์ของผู้นำสูงสุดในองค์กรนั้น
2. ความสามารถ
ถ้ามีเพียงความกระหายอยาก จินตนาการ แต่ไม่สามารถทำให้เป็นจริงได้
คงเป็นพวกที่มีแต่ความฝันลมๆ แล้งๆ หรือเก่งแต่ฝัน
ตรงข้อ 2 นี้ มีข้อปลีกย่อยมากมาย เพราะถ้าเปรียบเทียบเป็นลักษณะย่อยจะเทียบยากระหว่างกัน
ตัวอย่างเช่นธุรกิจที่เน้น Creativity ของคนเป็นหัวใจของความสามารถกับ ธุรกิจที่เน้น Cost leadership จากความสามารถในการผลิต
แต่ผมขอสรุปรวมว่า
ความสามารถของ CEO คือการกำกับให้องค์กรมีความสามารถ นำ input แปลงเป็น output ได้อย่างดีเยี่ยม ล่วงหน้าก่อนผู้อื่น
สอดรับกับวิสัยทัศน์
(แน่นอนว่าหาก CEO ที่เก่งกว่า SJ จะมีด้านไหนที่เพิ่มขึ้นมาอีก)
หากเราสามารถสรุปลักษณะร่วมที่ดีของ CEO ได้ ก็จะมีประโยชน์กับ นลท. ในการนำไปมองบริษัทที่ตัวเองลงทุน
ในเมื่อผมเสนอ งั้นขอลองเริ่มต้นโดยเอาที่โดดเด่นสุดๆ ในสายตาผมครับ
1. Vision
ผมคิดว่า SJ เป็นคนที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลสุดๆ เหมือนกับว่าตัวเองวาดภาพนั้นขึ้นมาได้
ซึ่งต้องอาศัยความกระหายอยาก จินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ และความสามารถ ในขอบเขตที่จะเขียนภาพอนาคตได้
ผมคิดว่า วิสัยทัศน์ คือคุณสมบัติยิ่งยวดที่ CEO ชั้นเลิศทุกคนต้องมี
ให้เปรียบกับบริษัทต่างๆ บริษัทที่มีทรัพยากรทุนรอน ไพร่พลมากมายแต่ไร้ปัญญา ความรู้ ความสามารถ ก็สู้ไม่ได้กับ
บริษัทที่ทรัพยากรทุนรอน ไพร่พลน้อยนิด แต่เปี่ยมไปด้วยปัญญา ความรู้ความสามารถ
แต่บริษัทที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือบริษัทที่มีวิสัยทัศน์ล้ำเลิศท่ามกลางบริษัทที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถด้วยกัน
(ขอไม่ยกตัวอย่างบริษัทนะครับ)
และจากการที่ทำงานในองค์กรใหญ่ 3 แห่ง ผมคิดว่า วิสัยทัศน์ขององค์กรนั้นมาจากวิสัยทัศน์ของผู้นำสูงสุดในองค์กรนั้น
2. ความสามารถ
ถ้ามีเพียงความกระหายอยาก จินตนาการ แต่ไม่สามารถทำให้เป็นจริงได้
คงเป็นพวกที่มีแต่ความฝันลมๆ แล้งๆ หรือเก่งแต่ฝัน
ตรงข้อ 2 นี้ มีข้อปลีกย่อยมากมาย เพราะถ้าเปรียบเทียบเป็นลักษณะย่อยจะเทียบยากระหว่างกัน
ตัวอย่างเช่นธุรกิจที่เน้น Creativity ของคนเป็นหัวใจของความสามารถกับ ธุรกิจที่เน้น Cost leadership จากความสามารถในการผลิต
แต่ผมขอสรุปรวมว่า
ความสามารถของ CEO คือการกำกับให้องค์กรมีความสามารถ นำ input แปลงเป็น output ได้อย่างดีเยี่ยม ล่วงหน้าก่อนผู้อื่น
สอดรับกับวิสัยทัศน์
- Guiman
- Verified User
- โพสต์: 320
- ผู้ติดตาม: 0
Re: CEO ไทย ท่านไหนเก่งกว่าหรือพอๆ กับ Steve Jobs บ้างครับ?
โพสต์ที่ 23
วัยรุ่นพันล้าน เจ้าของเถ้าแก่น้อย
พอสูสีไหมครับ
อาจจะเทียบไม่ได้ทั้งหมด เพราะธุรกิจคนละแบบ
แต่ส่วนที่คล้ายคือ เรียนไม่จบ เริ่มธุรกิจตั้งแต่เด็ก กล้าทำ
พอสูสีไหมครับ
อาจจะเทียบไม่ได้ทั้งหมด เพราะธุรกิจคนละแบบ
แต่ส่วนที่คล้ายคือ เรียนไม่จบ เริ่มธุรกิจตั้งแต่เด็ก กล้าทำ
http://guimanstock.blogspot.com/
บันทึกการลงทุน & รีวิวหนังสือ
บันทึกการลงทุน & รีวิวหนังสือ
-
- Verified User
- โพสต์: 224
- ผู้ติดตาม: 0
Re: CEO ไทย ท่านไหนเก่งกว่าหรือพอๆ กับ Steve Jobs บ้างครับ?
โพสต์ที่ 25
ผมว่า มันขึ้นอยู่กับว่า คุณจะ define และวัด คำว่า "ความเก่ง" นั้นยังไงนะครับ
คนเราเก่งในแต่ละด้านไม่เหมือนกัน steve job อาจจะไม่เก่งอย่างพิเศษมากๆในด้านบริหารก็ได้ ใครจะไปรู้
ตามความคิดผม การที่องค์กรจะประสบความสำเร็จได้นั้น มีปัจจัยหลายอย่างครับ
คนเราเก่งในแต่ละด้านไม่เหมือนกัน steve job อาจจะไม่เก่งอย่างพิเศษมากๆในด้านบริหารก็ได้ ใครจะไปรู้
ตามความคิดผม การที่องค์กรจะประสบความสำเร็จได้นั้น มีปัจจัยหลายอย่างครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: CEO ไทย ท่านไหนเก่งกว่าหรือพอๆ กับ Steve Jobs บ้างครับ?
โพสต์ที่ 29
คอลัมน์: Mission CEO ภารกิจพิชิตเป้า
Source - กรุงเทพธุรกิจ (Th), Monday, August 27, 2012 05:43
[email protected]
นพ.ชาตรี ดวงเนตร กรรมการรองผู้อำนวยการ ใหญ่ บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ ผู้บริหารเครือ โรงพยาบาลกรุงเทพ เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับเพิ่มเป้ารายได้ปีนี้โต 15% จากเดิมคาดจะเติบโต 11-12% และมีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิไม่น้อยกว่า 12% และเพิ่มเงินลงทุนเป็น 12% ของรายได้ จากแผนเดิมจะมีการลงทุนประมาณ 10% ของรายได้ เพื่อเพิ่มจำนวนเตียงรองรับจำนวนคนไข้ที่เข้ามาใช้บริการมากขึ้น รายได้ที่เพิ่มขึ้น จะมาจากจำนวนคนไข้และค่าบริการที่เพิ่มขึ้น เพราะคนไข้ต่างประเทศที่เข้ามาส่วนใหญ่จะมารักษาโรคที่มีความ ซับซ้อนมากขึ้น โดยบริษัทจะพยายามรักษาการเติบโตของรายได้ปี 2556 เติบโตในระดับ 15% เช่นเดียวกัน ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ 60% มาจากคนไข้ในประเทศ และ 40% มาจากคนไข้ต่างชาติ คาดหลังเปิด AEC รายได้ จากคนไข้ต่างชาติจะเพิ่มเป็น 50%
ชายนิด โง้วศิริมณี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เปิดเผยว่า ไตรมาส 4/2555 คาดว่าจะเป็นไตรมาสที่บริษัทมีผลการดำเนินงาน ดีที่สุดของปีนี้ จะมีทั้งยอดการโอนคอนโดมิเนียมและมีรายได้จากการโอนโครงการหอพักยูนิลอฟท์ เข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเลื่อนมาจากไตรมาส 2 ดังนั้นจึงมีความเชื่อมั่นว่า รายได้รวมปี 2555 จะทำได้มากกว่า 12,000 ล้านบาท โดยช่วงครึ่งปีหลังมีแผนเปิดโครงการใหม่ 9 โครงการ มูลค่ารวม 8,620 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยวและ ทาวน์เฮ้าส์ 7 โครงการ มูลค่า 7,420 ล้านบาท คอนโดมิเนียมและหอพักนักศึกษาอีก 2 โครงการ มูลค่า 1,200 ล้านบาท โดยบริษัทตั้งเป้าสัดส่วนรายได้จากคอนโดมิเนียมเพิ่มเป็น 40% ในปี 2556 ล่าสุดมีมติให้จัดตั้งบริษัทย่อย Property Perfect International (PPI) ในประเทศสิงคโปร์ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาช่องทางการออกไปลงทุนในต่างประเทศ
อาลก โลเฮีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท บมจ.อินโดรามา เวนเจอร์ส เปิดเผยว่า บริษัทไม่มีแผนเข้าซื้อกิจการในระยะ 18 เดือนจากนี้ ต้องการใช้เวลาในการปรับปรุงกระบวนการผลิตของกิจการ ที่เข้าไปลงทุนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เบื้องต้นจัดสรรงบลงทุนสำหรับการปรับปรุงสายการผลิตไว้ 800 ล้านดอลลาร์ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นเป็น 8 ล้านตันต่อปี ภายในปี 2557 จากปัจจุบันการผลิตรวมอยู่ที่ 6.5 ล้านตัน แหล่งเงินจะมาจากกระแสเงินสดของบริษัทและกู้สถาบันการเงินบางส่วน ปัจจุบันสัดส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 1 เท่า ด้านแนวโน้มผลประกอบการทั้งปีนี้ บริษัทเชื่อมั่นว่าจะมีรายได้รวม 8,000 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นการเติบโตจากปีที่แล้ว 25% ส่วนสถานการณ์ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ บริษัทคาดหวังว่าจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง จากช่วงครึ่งปีแรกที่ราคาค่อนข้างผันผวน
เผด็จ หงษ์ฟ้า ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ เปิดเผยว่า บริษัทปรับลดเป้าหมายกำไรปีนี้เหลือ 50 ล้านบาท จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 80 ล้านบาท สาเหตุเนื่องจากได้ปรับเปลี่ยนนโยบายการรับรู้ทางบัญชี ในส่วนของการตัดสิทธิเวลาการจัดจำหน่ายภาพยนตร์ หรือค่าเสื่อม ที่ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 80% จากปีก่อนที่อยู่ 70% ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น 19-20 ล้านบาท ขณะเดียวกันช่วงไตรมาส 2/2555 มีการยกเลิกสัญญาจากโซนี่ สตูดิโอ ซึ่งทำให้รายได้หายไป ช่วง ครึ่งปีหลังธุรกิจน่าจะพลิกฟื้นได้จากครึ่งปีแรกที่บริษัทมีผลขาดทุนราว 14 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้นทั้งปีนี้น่าจะอยู่ที่ 30% จากช่วงครึ่งปีแรก 27% เนื่องจากมีรายได้เพิ่มขึ้นจากสิทธิขายภาพยนตร์ผ่านช่องเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียม บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้ในปีนี้เติบโต 10-15% จากปีก่อน
ดนุชา น้อยใจบุญ กรรมการผู้จัดการ บมจ. เอกรัฐวิศวกรรม เปิดเผยว่า ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ การจำหน่ายหม้อแปลงไฟฟ้ามีรายได้ทั้งสิ้น 947 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% บริษัทตั้งเป้ารายได้ทั้งปีขั้นต่ำที่วางไว้ 2,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จะสูงสุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่ เปิดให้บริการมาถึง 31 ปี มาจาก 3 ปัจจัย คือ 1.ยอดคำสั่งซื้อ เข้ามาเป็นจำนวนมากหลังน้ำท่วม 2.บริษัทสามารถประมูลงาน กฟภ.และ กฟน.ได้มากกว่าปกติที่ 590 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 70% และ 3.ภาพรวมความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศไทยปีนี้เพิ่มขึ้นเกือบ 10% ทำให้เกิดความต้องการหม้อแปลงเพิ่มขึ้น ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่างานเข้ามาแล้วประมาณ 1,000 ล้านบาท จะทยอยส่งมอบได้ ภายในสิ้นปีนี้ โดยเป็นสัดส่วนลูกค้าเอกชน 70% อีก 30% เป็นลูกค้าราชการ
องอาจ ดำรงสกุลวงษ์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.อินเตอร์ไฮด์ เปิดเผยว่า แนวโน้มอุตสาหกรรม ยานยนต์ในครึ่งปีหลังคาดว่าจะเติบโตมากกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากค่ายรถยนต์ชั้นนำเร่งเดินสายการผลิตเต็มกำลัง เพื่อผลิตรถยนต์ส่งมอบให้ทันตามคำสั่งซื้อจากลูกค้า ซึ่งส่งผลดีต่อบริษัทในฐานะเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเบาะหนังรถยนต์ ประกอบกับ บริษัทได้รับคำสั่งซื้อจาก Wolverine World Wide Inc ซึ่งเป็นผู้ผลิตรองเท้าหนัง แบรนด์ชั้นนำของโลก เพิ่มอีก 100% ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ สนับสนุนให้ผลประกอบการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน จึงมั่นใจว่ารายได้รวมในปีนี้จะเติบโตจากปีก่อนไม่ต่ำกว่า 25-30% ตามเป้าหมายที่วางไว้ ที่ประชุมบริษัทจึงมีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตราหุ้นละ 0.15 บาท กำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 10 กันยายน 2555
นภารัตน์ ศรีวรรณวิทย์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายการเงิน บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา เปิดเผยว่า ปีนี้กำไร ของบริษัทน่าจะทำสถิติสูงสุดในรอบ 5 ปี และคาดว่ารายได้ จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 30% เนื่องจากรายได้เติบโตดีจากศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ และเซ็นทรัล ลาดพร้าว ขณะเดียวกันสามารถปรับขึ้นอัตราค่าเช่าพื้นที่ประมาณ 7-8% นอกจากนี้ ยังมีกำไรจากพิเศษจากกองทุนอสังหาริมทรัพย์กองใหม่ CPNCG มูลค่ารวม 4 พันล้านบาท จะเสนอขายช่วง 4-10 ก.ย.นี้ ทำให้มีการบันทึกกำไรพิเศษเข้ามาจะช่วยหนุนให้ภาพรวมกำไรโตขึ้นโดยเฉพาะไตรมาส 3 ปีนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้ระยะยาว 4 ปี จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 15% และตั้งงบลงทุนเฉลี่ย 5 ปี ไว้ที่ 11,000-13,000 ล้านบาท
ธนิตย์ ธารีรัตนาวิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอเชียน อินซูเลเตอร์ เปิดเผยว่า กำไรปีนี้ของบริษัทคาดว่าจะสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่า กำไรจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าครึ่งปีแรก เพราะยอดขาย ลูกถ้วยไฟฟ้ามีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับได้รับผลดีจากโรงงานแห่งใหม่กำลังการผลิต 6,000 ตันต่อปีซึ่งมีประสิทธิภาพและช่วยลดต้นทุนพลังงาน 30% ขณะที่รายได้รวมปีนี้ คาดทำได้สูงกว่า 3.5 พันล้านบาท โดยบริษัทปรับเป้ารายได้จากลูกถ้วยไฟฟ้าปีนี้ เพิ่มขึ้นเป็น 650-700 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายในมือรอส่งมอบ 700 ล้านบาท และแนวโน้มธุรกิจลูกถ้วยไฟฟ้าในปี 2556 คาดรายได้จะใกล้เคียงกับปีนี้ เมื่อผลประกอบการ ครึ่งปีหลังดีขึ้น บริษัทจะจ่ายเงินปันผลงวดครึ่งหลัง สูงกว่าครึ่งปีแรกที่จ่าย 0.10 บาทต่อหุ้น
ม.ร.ว.ศุภดิส ดิศกุล กรรมการผู้จัดการ บมจ.บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของยอดขายน้ำมันในปีนี้ ลง จากเดิมคาดว่าจะโต 3.8% จากปีก่อนหน้า เหลือ 1.2% หรือยอดขายน้ำมัน 4.66 พันล้านลิตร ซึ่งเป็นผลจาก วิกฤติเศรษฐกิจในยุโรป ทำให้หลายสายการบินลดจำนวนเที่ยวบิน และยกเลิกเที่ยวบินตรงหลายเส้นทาง แม้สายการบินต้นทุนต่ำจะเพิ่มเที่ยวบินในเอเชีย แต่ไม่สามารถชดเชยปริมาณน้ำมันที่ลดลงจากเส้นทางในยุโรปได้ ใน ส่วนของรายได้คาดว่าจะมีการเติบโตใกล้เคียงกับ ปีที่ผ่านมา ส่วนงบลงทุนนั้น ในปี 2556-2557 บริษัท ตั้งงบลงทุนไว้ที่ 500 ล้านบาท โดยเริ่มใช้ในปี 2555 ประมาณ 200-300 ล้านบาท
ชวลิต หวังธำรง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ผลธัญญะ เปิดเผยว่า ในครึ่งปีหลังบริษัทจะให้ความสำคัญกับการจัดจำหน่ายผ่านช่องทางค้าปลีกอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ปัจจุบันได้จัดตั้งสาขาแล้ว 2 แห่ง โดยล่าสุดจัดตั้งสาขาภูเก็ตเพิ่มขึ้นอีก 1 สาขา เพื่อเป็นโชว์รูมทดสอบตลาด ค้าปลีกซึ่งอนาคตมีแผนที่จะเปิดสาขาในภาคอีสานเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนสาขาละประมาณ 2 ล้านบาท ถึงแม้ว่ากำลังซื้อในช่วงครึ่งปีแรกยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่หลังจากที่โรงงานอุตสาหกรรมบางส่วนยังไม่สามารถเดินสาย การผลิตได้เต็มกำลังทำให้รายได้เติบโตราว 15% อย่างไรก็ตามบริษัท ยังคงเป้าหมายการเติบโตของรายได้ปี 2555 ไว้ที่ 20% และมั่นใจว่าจะสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการบริหาร บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 23-26 สิงหาคม 2555 บริษัทได้นำบ้านพร้อมอยู่และคอนโดมิเนียมรวม 13 โครงการมาร่วมจัดแคมเปญในงาน Home buyer Expo ตั้งเป้ายอดขายเอาไว้ที่ 84 ล้านบาท ขณะที่ช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ มีแผนจะเปิดโครงการใหม่เพิ่มขึ้นอีก 3 โครงการ ได้ตั้งเป้ายอดขายรวมของปีนี้เอาไว้ที่ระดับประมาณ 1,800 ล้านบาท ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้ของบริษัทในปี 2555 จะมาจากการขายบ้านและคอนโดมิเนียม 96% ค่าเช่าและค่าบริการ 4% อย่างไรก็ตามในปี 2556 จะเห็นการเปลี่ยนแปลงของ รายได้ที่เกิดจากค่าเช่าที่จะขยับเพิ่มขึ้น เนื่องจากปลายปีนี้ มีแผนที่จะเปิดโครงการคอมมูนิตี้มอลล์ชื่อ SENA fest ตั้งอยู่บนถนนเจริญนคร
ธีระชัย ประสิทธิรัตนพร กรรมการผู้จัดการ บมจ.ธีระมงคล อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า หลังจากที่รายได้รวมในไตรมาสสองที่ผ่านมามีการเติบโตกว่า 30% เป็นผลมาจากการขยายตัวของสินค้าที่จำหน่ายในห้างโมเดิร์นเทรดซึ่งขยายตัวกว่า 200% รวมถึงการกระจาย สินค้าที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่วนแนวโน้มธุรกิจใน ครึ่งปีหลัง ถ้าหากสถานการณ์ในยุโรปไม่ได้ย่ำแย่ไปมากกว่านี้ เชื่อว่ายังคงมีทิศทางการเติบโตเชิงบวกต่อเนื่อง จากแนวโน้มธุรกิจที่ยังไปได้ด้วยดีทั้งกลุ่ม โดยเฉพาะสินค้าคอนซูเมอร์อย่างหลอดตะเกียบ หลอดไฟฟ้า แบรนด์ กาต้า (GATA) ทำให้บริษัทตัดสินใจปรับเป้ารายได้ปีนี้จากเดิมโต 20% เป็นเติบโต 30%
ชัยรัตน์ โกวิทจินดาชัย ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักกรรมการผู้จัดการ บมจ.ปริญสิริ เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาสที่ 3-4 ของปีนี้ บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่อีก 7 โครงการ เป็นแนวราบ 5 โครงการ และคอนโดมิเนียม 2 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 4,000 ล้านบาท นอกจากนั้น จะมีการปรับราคาขายโดยเฉลี่ยขึ้นประมาณ 5% เพื่อครอบคลุมต้นทุนวัสดุก่อสร้างและค่าแรงที่ปรับเพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงเชื่อมั่นว่าทั้งปีนี้จะสามารถทำรายได้แตะ 3,200 ล้านบาท ได้ตามเป้าหมายอย่างแน่นอน และในช่วง 3 ปีนี้ต่อจากนี้ บริษัทจะยังคงเน้นรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ในแนวราบทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมที่บริษัทมีความถนัดในสัดส่วน 70% ของรายได้รวม
เจิมพล ภูมิตระกูล กรรมการบริหาร บมจ. โรงพยาบาลรามคำแหง เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนร่วมทุน กับโรงพยาบาลในเครือ 4 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลอมตะนคร, เทพารักษ์, ชัยปราการ และมหาชัย เพื่อให้ครอบคลุมการให้บริการคนไข้ประกันสังคมทั่วประเทศ ภายใต้ งบลงทุนรวม 500-600 ล้านบาท จับกลุ่มคนไข้ประกันสังคมที่มีจำนวนมากแต่กลับไม่ได้รับการบริการที่เพียงพอ ซึ่งจะทำให้มีโรงพยาบาลในเครือเพิ่มจาก 25 แห่งเป็น 29 แห่ง นอกจากนี้ ได้เตรียมงบลงทุน 400 ล้านบาท เปิดศูนย์ฉายแสงรักษาโรคมะเร็งคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในช่วงปลายปี 2556 ส่วนเป้ารายได้รวมปีนี้ ตั้งไว้ที่ 3,600 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 10-12% โดยตลอดช่วง 6 เดือนที่ผ่านมามีผู้ป่วยนอก 1,800-2,000 รายต่อวัน และผู้ป่วยใน 220-250 รายต่อวัน เป็นผู้ป่วยชาวไทย 98% และต่างชาติ 2%
เทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม เปิดเผยว่า การที่บริษัทยังไม่สามารถเพิ่มทุนได้สอดคล้องกับการจ่ายเงินค่าหุ้นในส่วนของโคฟ เอ็นเนอยี่ จะทำให้สัดส่วนหนี้ต่อทุนของ ปตท.สผ. เพิ่มจาก 0.4 ต่อ 1 เป็นประมาณ 0.6-0.7 ต่อ 1 ซึ่งทำให้ไม่สามารถไปซื้อกิจการที่เป็นดีลขนาดใหญ่ได้อีกในระยะนี้ โดยระยะเวลาในการเพิ่มทุน 3 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 9.8 หมื่นล้านบาท อาจจะต้องเลื่อนออกไปจากเดือน ต.ค.นี้ เป็นภายในปลายปีนี้ โดยจะขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับ ปตท. ไม่เกิน 403.3 ล้านหุ้น ขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปไม่เกิน 214.4 ล้านหุ้น และขายให้กับผู้จัดหาหุ้นส่วนเกินไม่เกิน 32.1 ล้านหุ้น
--จบ--
Source - กรุงเทพธุรกิจ (Th), Monday, August 27, 2012 05:43
[email protected]
นพ.ชาตรี ดวงเนตร กรรมการรองผู้อำนวยการ ใหญ่ บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ ผู้บริหารเครือ โรงพยาบาลกรุงเทพ เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับเพิ่มเป้ารายได้ปีนี้โต 15% จากเดิมคาดจะเติบโต 11-12% และมีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิไม่น้อยกว่า 12% และเพิ่มเงินลงทุนเป็น 12% ของรายได้ จากแผนเดิมจะมีการลงทุนประมาณ 10% ของรายได้ เพื่อเพิ่มจำนวนเตียงรองรับจำนวนคนไข้ที่เข้ามาใช้บริการมากขึ้น รายได้ที่เพิ่มขึ้น จะมาจากจำนวนคนไข้และค่าบริการที่เพิ่มขึ้น เพราะคนไข้ต่างประเทศที่เข้ามาส่วนใหญ่จะมารักษาโรคที่มีความ ซับซ้อนมากขึ้น โดยบริษัทจะพยายามรักษาการเติบโตของรายได้ปี 2556 เติบโตในระดับ 15% เช่นเดียวกัน ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ 60% มาจากคนไข้ในประเทศ และ 40% มาจากคนไข้ต่างชาติ คาดหลังเปิด AEC รายได้ จากคนไข้ต่างชาติจะเพิ่มเป็น 50%
ชายนิด โง้วศิริมณี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เปิดเผยว่า ไตรมาส 4/2555 คาดว่าจะเป็นไตรมาสที่บริษัทมีผลการดำเนินงาน ดีที่สุดของปีนี้ จะมีทั้งยอดการโอนคอนโดมิเนียมและมีรายได้จากการโอนโครงการหอพักยูนิลอฟท์ เข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเลื่อนมาจากไตรมาส 2 ดังนั้นจึงมีความเชื่อมั่นว่า รายได้รวมปี 2555 จะทำได้มากกว่า 12,000 ล้านบาท โดยช่วงครึ่งปีหลังมีแผนเปิดโครงการใหม่ 9 โครงการ มูลค่ารวม 8,620 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยวและ ทาวน์เฮ้าส์ 7 โครงการ มูลค่า 7,420 ล้านบาท คอนโดมิเนียมและหอพักนักศึกษาอีก 2 โครงการ มูลค่า 1,200 ล้านบาท โดยบริษัทตั้งเป้าสัดส่วนรายได้จากคอนโดมิเนียมเพิ่มเป็น 40% ในปี 2556 ล่าสุดมีมติให้จัดตั้งบริษัทย่อย Property Perfect International (PPI) ในประเทศสิงคโปร์ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาช่องทางการออกไปลงทุนในต่างประเทศ
อาลก โลเฮีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท บมจ.อินโดรามา เวนเจอร์ส เปิดเผยว่า บริษัทไม่มีแผนเข้าซื้อกิจการในระยะ 18 เดือนจากนี้ ต้องการใช้เวลาในการปรับปรุงกระบวนการผลิตของกิจการ ที่เข้าไปลงทุนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เบื้องต้นจัดสรรงบลงทุนสำหรับการปรับปรุงสายการผลิตไว้ 800 ล้านดอลลาร์ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นเป็น 8 ล้านตันต่อปี ภายในปี 2557 จากปัจจุบันการผลิตรวมอยู่ที่ 6.5 ล้านตัน แหล่งเงินจะมาจากกระแสเงินสดของบริษัทและกู้สถาบันการเงินบางส่วน ปัจจุบันสัดส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 1 เท่า ด้านแนวโน้มผลประกอบการทั้งปีนี้ บริษัทเชื่อมั่นว่าจะมีรายได้รวม 8,000 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นการเติบโตจากปีที่แล้ว 25% ส่วนสถานการณ์ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ บริษัทคาดหวังว่าจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง จากช่วงครึ่งปีแรกที่ราคาค่อนข้างผันผวน
เผด็จ หงษ์ฟ้า ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ เปิดเผยว่า บริษัทปรับลดเป้าหมายกำไรปีนี้เหลือ 50 ล้านบาท จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 80 ล้านบาท สาเหตุเนื่องจากได้ปรับเปลี่ยนนโยบายการรับรู้ทางบัญชี ในส่วนของการตัดสิทธิเวลาการจัดจำหน่ายภาพยนตร์ หรือค่าเสื่อม ที่ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 80% จากปีก่อนที่อยู่ 70% ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น 19-20 ล้านบาท ขณะเดียวกันช่วงไตรมาส 2/2555 มีการยกเลิกสัญญาจากโซนี่ สตูดิโอ ซึ่งทำให้รายได้หายไป ช่วง ครึ่งปีหลังธุรกิจน่าจะพลิกฟื้นได้จากครึ่งปีแรกที่บริษัทมีผลขาดทุนราว 14 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้นทั้งปีนี้น่าจะอยู่ที่ 30% จากช่วงครึ่งปีแรก 27% เนื่องจากมีรายได้เพิ่มขึ้นจากสิทธิขายภาพยนตร์ผ่านช่องเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียม บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้ในปีนี้เติบโต 10-15% จากปีก่อน
ดนุชา น้อยใจบุญ กรรมการผู้จัดการ บมจ. เอกรัฐวิศวกรรม เปิดเผยว่า ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ การจำหน่ายหม้อแปลงไฟฟ้ามีรายได้ทั้งสิ้น 947 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% บริษัทตั้งเป้ารายได้ทั้งปีขั้นต่ำที่วางไว้ 2,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จะสูงสุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่ เปิดให้บริการมาถึง 31 ปี มาจาก 3 ปัจจัย คือ 1.ยอดคำสั่งซื้อ เข้ามาเป็นจำนวนมากหลังน้ำท่วม 2.บริษัทสามารถประมูลงาน กฟภ.และ กฟน.ได้มากกว่าปกติที่ 590 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 70% และ 3.ภาพรวมความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศไทยปีนี้เพิ่มขึ้นเกือบ 10% ทำให้เกิดความต้องการหม้อแปลงเพิ่มขึ้น ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่างานเข้ามาแล้วประมาณ 1,000 ล้านบาท จะทยอยส่งมอบได้ ภายในสิ้นปีนี้ โดยเป็นสัดส่วนลูกค้าเอกชน 70% อีก 30% เป็นลูกค้าราชการ
องอาจ ดำรงสกุลวงษ์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.อินเตอร์ไฮด์ เปิดเผยว่า แนวโน้มอุตสาหกรรม ยานยนต์ในครึ่งปีหลังคาดว่าจะเติบโตมากกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากค่ายรถยนต์ชั้นนำเร่งเดินสายการผลิตเต็มกำลัง เพื่อผลิตรถยนต์ส่งมอบให้ทันตามคำสั่งซื้อจากลูกค้า ซึ่งส่งผลดีต่อบริษัทในฐานะเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเบาะหนังรถยนต์ ประกอบกับ บริษัทได้รับคำสั่งซื้อจาก Wolverine World Wide Inc ซึ่งเป็นผู้ผลิตรองเท้าหนัง แบรนด์ชั้นนำของโลก เพิ่มอีก 100% ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ สนับสนุนให้ผลประกอบการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน จึงมั่นใจว่ารายได้รวมในปีนี้จะเติบโตจากปีก่อนไม่ต่ำกว่า 25-30% ตามเป้าหมายที่วางไว้ ที่ประชุมบริษัทจึงมีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตราหุ้นละ 0.15 บาท กำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 10 กันยายน 2555
นภารัตน์ ศรีวรรณวิทย์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายการเงิน บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา เปิดเผยว่า ปีนี้กำไร ของบริษัทน่าจะทำสถิติสูงสุดในรอบ 5 ปี และคาดว่ารายได้ จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 30% เนื่องจากรายได้เติบโตดีจากศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ และเซ็นทรัล ลาดพร้าว ขณะเดียวกันสามารถปรับขึ้นอัตราค่าเช่าพื้นที่ประมาณ 7-8% นอกจากนี้ ยังมีกำไรจากพิเศษจากกองทุนอสังหาริมทรัพย์กองใหม่ CPNCG มูลค่ารวม 4 พันล้านบาท จะเสนอขายช่วง 4-10 ก.ย.นี้ ทำให้มีการบันทึกกำไรพิเศษเข้ามาจะช่วยหนุนให้ภาพรวมกำไรโตขึ้นโดยเฉพาะไตรมาส 3 ปีนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้ระยะยาว 4 ปี จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 15% และตั้งงบลงทุนเฉลี่ย 5 ปี ไว้ที่ 11,000-13,000 ล้านบาท
ธนิตย์ ธารีรัตนาวิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอเชียน อินซูเลเตอร์ เปิดเผยว่า กำไรปีนี้ของบริษัทคาดว่าจะสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่า กำไรจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าครึ่งปีแรก เพราะยอดขาย ลูกถ้วยไฟฟ้ามีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับได้รับผลดีจากโรงงานแห่งใหม่กำลังการผลิต 6,000 ตันต่อปีซึ่งมีประสิทธิภาพและช่วยลดต้นทุนพลังงาน 30% ขณะที่รายได้รวมปีนี้ คาดทำได้สูงกว่า 3.5 พันล้านบาท โดยบริษัทปรับเป้ารายได้จากลูกถ้วยไฟฟ้าปีนี้ เพิ่มขึ้นเป็น 650-700 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายในมือรอส่งมอบ 700 ล้านบาท และแนวโน้มธุรกิจลูกถ้วยไฟฟ้าในปี 2556 คาดรายได้จะใกล้เคียงกับปีนี้ เมื่อผลประกอบการ ครึ่งปีหลังดีขึ้น บริษัทจะจ่ายเงินปันผลงวดครึ่งหลัง สูงกว่าครึ่งปีแรกที่จ่าย 0.10 บาทต่อหุ้น
ม.ร.ว.ศุภดิส ดิศกุล กรรมการผู้จัดการ บมจ.บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของยอดขายน้ำมันในปีนี้ ลง จากเดิมคาดว่าจะโต 3.8% จากปีก่อนหน้า เหลือ 1.2% หรือยอดขายน้ำมัน 4.66 พันล้านลิตร ซึ่งเป็นผลจาก วิกฤติเศรษฐกิจในยุโรป ทำให้หลายสายการบินลดจำนวนเที่ยวบิน และยกเลิกเที่ยวบินตรงหลายเส้นทาง แม้สายการบินต้นทุนต่ำจะเพิ่มเที่ยวบินในเอเชีย แต่ไม่สามารถชดเชยปริมาณน้ำมันที่ลดลงจากเส้นทางในยุโรปได้ ใน ส่วนของรายได้คาดว่าจะมีการเติบโตใกล้เคียงกับ ปีที่ผ่านมา ส่วนงบลงทุนนั้น ในปี 2556-2557 บริษัท ตั้งงบลงทุนไว้ที่ 500 ล้านบาท โดยเริ่มใช้ในปี 2555 ประมาณ 200-300 ล้านบาท
ชวลิต หวังธำรง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ผลธัญญะ เปิดเผยว่า ในครึ่งปีหลังบริษัทจะให้ความสำคัญกับการจัดจำหน่ายผ่านช่องทางค้าปลีกอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ปัจจุบันได้จัดตั้งสาขาแล้ว 2 แห่ง โดยล่าสุดจัดตั้งสาขาภูเก็ตเพิ่มขึ้นอีก 1 สาขา เพื่อเป็นโชว์รูมทดสอบตลาด ค้าปลีกซึ่งอนาคตมีแผนที่จะเปิดสาขาในภาคอีสานเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนสาขาละประมาณ 2 ล้านบาท ถึงแม้ว่ากำลังซื้อในช่วงครึ่งปีแรกยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่หลังจากที่โรงงานอุตสาหกรรมบางส่วนยังไม่สามารถเดินสาย การผลิตได้เต็มกำลังทำให้รายได้เติบโตราว 15% อย่างไรก็ตามบริษัท ยังคงเป้าหมายการเติบโตของรายได้ปี 2555 ไว้ที่ 20% และมั่นใจว่าจะสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการบริหาร บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 23-26 สิงหาคม 2555 บริษัทได้นำบ้านพร้อมอยู่และคอนโดมิเนียมรวม 13 โครงการมาร่วมจัดแคมเปญในงาน Home buyer Expo ตั้งเป้ายอดขายเอาไว้ที่ 84 ล้านบาท ขณะที่ช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ มีแผนจะเปิดโครงการใหม่เพิ่มขึ้นอีก 3 โครงการ ได้ตั้งเป้ายอดขายรวมของปีนี้เอาไว้ที่ระดับประมาณ 1,800 ล้านบาท ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้ของบริษัทในปี 2555 จะมาจากการขายบ้านและคอนโดมิเนียม 96% ค่าเช่าและค่าบริการ 4% อย่างไรก็ตามในปี 2556 จะเห็นการเปลี่ยนแปลงของ รายได้ที่เกิดจากค่าเช่าที่จะขยับเพิ่มขึ้น เนื่องจากปลายปีนี้ มีแผนที่จะเปิดโครงการคอมมูนิตี้มอลล์ชื่อ SENA fest ตั้งอยู่บนถนนเจริญนคร
ธีระชัย ประสิทธิรัตนพร กรรมการผู้จัดการ บมจ.ธีระมงคล อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า หลังจากที่รายได้รวมในไตรมาสสองที่ผ่านมามีการเติบโตกว่า 30% เป็นผลมาจากการขยายตัวของสินค้าที่จำหน่ายในห้างโมเดิร์นเทรดซึ่งขยายตัวกว่า 200% รวมถึงการกระจาย สินค้าที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่วนแนวโน้มธุรกิจใน ครึ่งปีหลัง ถ้าหากสถานการณ์ในยุโรปไม่ได้ย่ำแย่ไปมากกว่านี้ เชื่อว่ายังคงมีทิศทางการเติบโตเชิงบวกต่อเนื่อง จากแนวโน้มธุรกิจที่ยังไปได้ด้วยดีทั้งกลุ่ม โดยเฉพาะสินค้าคอนซูเมอร์อย่างหลอดตะเกียบ หลอดไฟฟ้า แบรนด์ กาต้า (GATA) ทำให้บริษัทตัดสินใจปรับเป้ารายได้ปีนี้จากเดิมโต 20% เป็นเติบโต 30%
ชัยรัตน์ โกวิทจินดาชัย ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักกรรมการผู้จัดการ บมจ.ปริญสิริ เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาสที่ 3-4 ของปีนี้ บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่อีก 7 โครงการ เป็นแนวราบ 5 โครงการ และคอนโดมิเนียม 2 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 4,000 ล้านบาท นอกจากนั้น จะมีการปรับราคาขายโดยเฉลี่ยขึ้นประมาณ 5% เพื่อครอบคลุมต้นทุนวัสดุก่อสร้างและค่าแรงที่ปรับเพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงเชื่อมั่นว่าทั้งปีนี้จะสามารถทำรายได้แตะ 3,200 ล้านบาท ได้ตามเป้าหมายอย่างแน่นอน และในช่วง 3 ปีนี้ต่อจากนี้ บริษัทจะยังคงเน้นรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ในแนวราบทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมที่บริษัทมีความถนัดในสัดส่วน 70% ของรายได้รวม
เจิมพล ภูมิตระกูล กรรมการบริหาร บมจ. โรงพยาบาลรามคำแหง เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนร่วมทุน กับโรงพยาบาลในเครือ 4 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลอมตะนคร, เทพารักษ์, ชัยปราการ และมหาชัย เพื่อให้ครอบคลุมการให้บริการคนไข้ประกันสังคมทั่วประเทศ ภายใต้ งบลงทุนรวม 500-600 ล้านบาท จับกลุ่มคนไข้ประกันสังคมที่มีจำนวนมากแต่กลับไม่ได้รับการบริการที่เพียงพอ ซึ่งจะทำให้มีโรงพยาบาลในเครือเพิ่มจาก 25 แห่งเป็น 29 แห่ง นอกจากนี้ ได้เตรียมงบลงทุน 400 ล้านบาท เปิดศูนย์ฉายแสงรักษาโรคมะเร็งคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในช่วงปลายปี 2556 ส่วนเป้ารายได้รวมปีนี้ ตั้งไว้ที่ 3,600 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 10-12% โดยตลอดช่วง 6 เดือนที่ผ่านมามีผู้ป่วยนอก 1,800-2,000 รายต่อวัน และผู้ป่วยใน 220-250 รายต่อวัน เป็นผู้ป่วยชาวไทย 98% และต่างชาติ 2%
เทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม เปิดเผยว่า การที่บริษัทยังไม่สามารถเพิ่มทุนได้สอดคล้องกับการจ่ายเงินค่าหุ้นในส่วนของโคฟ เอ็นเนอยี่ จะทำให้สัดส่วนหนี้ต่อทุนของ ปตท.สผ. เพิ่มจาก 0.4 ต่อ 1 เป็นประมาณ 0.6-0.7 ต่อ 1 ซึ่งทำให้ไม่สามารถไปซื้อกิจการที่เป็นดีลขนาดใหญ่ได้อีกในระยะนี้ โดยระยะเวลาในการเพิ่มทุน 3 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 9.8 หมื่นล้านบาท อาจจะต้องเลื่อนออกไปจากเดือน ต.ค.นี้ เป็นภายในปลายปีนี้ โดยจะขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับ ปตท. ไม่เกิน 403.3 ล้านหุ้น ขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปไม่เกิน 214.4 ล้านหุ้น และขายให้กับผู้จัดหาหุ้นส่วนเกินไม่เกิน 32.1 ล้านหุ้น
--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4641
- ผู้ติดตาม: 0
Re: CEO ไทย ท่านไหนเก่งกว่าหรือพอๆ กับ Steve Jobs บ้างครับ?
โพสต์ที่ 30
โกเหลียว แห่ง Red Bull ครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/