<<< IQ สูง EQ ต่ำ >>>
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
<<< IQ สูง EQ ต่ำ >>>
โพสต์ที่ 1
:lol: :lol: :lol: :lol:
ผมรู้จัก Mr.Market มาสามปี เขามาหาทุกวันยกเว้นก็วันหยุด และผมคงจะได้เจอและซื้อขายกับเขาอีกตลอดชีวิต จึงอยากจะทำความรู้จักเขาให้มากขึ้น เข้าทำนอง รู้เขารู้เรา หนะครับ
เท่าที่ผมรู้จัก ผมว่าเขาเป็นคนที่มีไอคิวสูงมากคนหนึ่ง เพราะตัวเขาประกอบไปด้วยมหาชนจำนวนมากหลากหลายอาชีพหลากหลายความชำนาญ และก็มีทั้งส่วนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญมากๆและผู้ที่ไม่ชำนาญเลยแถมยังมีเงินจำนวนมหาศาลที่จะกำหนดหรือสร้างราคา หรือทุบราคา
บัฟเฟตต์บอกว่า "ผมคงจะต้องถือกระป๋อง ขอทานไปตามท้องถนน ถ้าหากว่าตลาดมีประสิทธิภาพ" ผมคิดว่าคำพูดนี้เป็นคำพูดเพียงด้านเดียวที่เราหยิบยกมา
ในส่วนที่จริงก็จะพิสูจน์จากการที่ เขาร่ำรวยมหาศาลจากการเล่นหุ้น ถ้าตลาดมีประสิทธิภาพ แล้วเขาจะเลือกซื้อหุ้นที่มีราคาถูกกว่าที่ควรจะเป็นได้อย่างไร แสดงว่าตลาดไม่มีประสิทธิภาพ เขาจึงสามารถทำได้
ในส่วนที่ไม่จริงก็พิสูจน์จากการที่เขาร่ำรวยมากเช่นเดียวกัน ( เรื่องเดียวกันแท้ แต่ตีความได้ต่างกัน 180 องศาเลย ) ก็ถ้าตลาดไม่มีประสิทธิภาพหุ้นที่เขาซื้อก็คงจะไม่มีการปรับราคาสูงขึ้นมามหาศาล ตอนนี้เขาก็คงยังยากจนอยู่ ก็แสดงว่า ตลาดมีประสิทธิภาพ เขาจึงสามารถร่ำรวยได้มากขนาดนี้
คำพูดที่เป็นสองด้านของบัฟเฟตต์ คือ เขาคิดว่าตลาดไม่มีประสิทธิภาพในระยะสั้นๆ แต่มีประสิทธิภาพในระยะยาว
ดังนั้นถ้าตลาดมีประสิทธิภาพก็แสดงว่า Mr.Market จะต้องเป็นคนที่มีไอคิวสูงมากพอสมควร จึงสามารถก่อให้เกิดผลงานเช่นนี้ได้
จุดอ่อนของ Mr.Market ที่ผมเห็น คือ เป็นคนที่มีอารมภ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เดี๋ยวดีใจ เดี๋ยวเสียใจ เดี๋ยวลิงโลด เดี๋ยวเศร้าซึม เข้าทำนองเป็นคนที่มีอีคิวต่ำนั่นเอง นี่เป็นที่มาว่าทำไมเขาถึงทำให้ตลาดไม่มีประสิทธิภาพในระยะสั้นๆ แต่มีประสิทธิภาพในระยะเวลาที่ยาวนาน
สามปีที่ได้รู้จักเขาผมว่าเขาเป็นคนอย่างนี้ เพื่อนๆว่าเขาเป็นคนยังไงครับ
:lol: :lol: :lol: :lol:
ผมรู้จัก Mr.Market มาสามปี เขามาหาทุกวันยกเว้นก็วันหยุด และผมคงจะได้เจอและซื้อขายกับเขาอีกตลอดชีวิต จึงอยากจะทำความรู้จักเขาให้มากขึ้น เข้าทำนอง รู้เขารู้เรา หนะครับ
เท่าที่ผมรู้จัก ผมว่าเขาเป็นคนที่มีไอคิวสูงมากคนหนึ่ง เพราะตัวเขาประกอบไปด้วยมหาชนจำนวนมากหลากหลายอาชีพหลากหลายความชำนาญ และก็มีทั้งส่วนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญมากๆและผู้ที่ไม่ชำนาญเลยแถมยังมีเงินจำนวนมหาศาลที่จะกำหนดหรือสร้างราคา หรือทุบราคา
บัฟเฟตต์บอกว่า "ผมคงจะต้องถือกระป๋อง ขอทานไปตามท้องถนน ถ้าหากว่าตลาดมีประสิทธิภาพ" ผมคิดว่าคำพูดนี้เป็นคำพูดเพียงด้านเดียวที่เราหยิบยกมา
ในส่วนที่จริงก็จะพิสูจน์จากการที่ เขาร่ำรวยมหาศาลจากการเล่นหุ้น ถ้าตลาดมีประสิทธิภาพ แล้วเขาจะเลือกซื้อหุ้นที่มีราคาถูกกว่าที่ควรจะเป็นได้อย่างไร แสดงว่าตลาดไม่มีประสิทธิภาพ เขาจึงสามารถทำได้
ในส่วนที่ไม่จริงก็พิสูจน์จากการที่เขาร่ำรวยมากเช่นเดียวกัน ( เรื่องเดียวกันแท้ แต่ตีความได้ต่างกัน 180 องศาเลย ) ก็ถ้าตลาดไม่มีประสิทธิภาพหุ้นที่เขาซื้อก็คงจะไม่มีการปรับราคาสูงขึ้นมามหาศาล ตอนนี้เขาก็คงยังยากจนอยู่ ก็แสดงว่า ตลาดมีประสิทธิภาพ เขาจึงสามารถร่ำรวยได้มากขนาดนี้
คำพูดที่เป็นสองด้านของบัฟเฟตต์ คือ เขาคิดว่าตลาดไม่มีประสิทธิภาพในระยะสั้นๆ แต่มีประสิทธิภาพในระยะยาว
ดังนั้นถ้าตลาดมีประสิทธิภาพก็แสดงว่า Mr.Market จะต้องเป็นคนที่มีไอคิวสูงมากพอสมควร จึงสามารถก่อให้เกิดผลงานเช่นนี้ได้
จุดอ่อนของ Mr.Market ที่ผมเห็น คือ เป็นคนที่มีอารมภ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เดี๋ยวดีใจ เดี๋ยวเสียใจ เดี๋ยวลิงโลด เดี๋ยวเศร้าซึม เข้าทำนองเป็นคนที่มีอีคิวต่ำนั่นเอง นี่เป็นที่มาว่าทำไมเขาถึงทำให้ตลาดไม่มีประสิทธิภาพในระยะสั้นๆ แต่มีประสิทธิภาพในระยะเวลาที่ยาวนาน
สามปีที่ได้รู้จักเขาผมว่าเขาเป็นคนอย่างนี้ เพื่อนๆว่าเขาเป็นคนยังไงครับ
:lol: :lol: :lol: :lol:
- คัดท้าย
- Verified User
- โพสต์: 2917
- ผู้ติดตาม: 0
<<< IQ สูง EQ ต่ำ >>>
โพสต์ที่ 2
สำหรับผม ผมมองว่า Mr. Market ในตลาดแต่ละที่ แต่ละประเทศนั้นนิสัยคล้ายกันแต่ในบางจุดก็แตกต่างกันบ้างเล็กน้อยครับ
ผมรู้จักแต่ Mr.Market ของไทย ... ผมสรุปสภาวะของเค้าในปัจจุบันได้ดังนี้ครับ
1. เค้าไม่ใช่คนที่ไม่มีเหตุผล ผมว่าเค้ามีเหตุผลพอสมควรเลยนะ แต่เค้าเป็นเด็กตัวเล็กผอมแห้งเมื่อเทียบกับ Mr.Market ที่อื่นๆ เค้าจึงถูกรังแกและชักจูงได้ง่าย จากเด็กเกเร ที่ตัวใหญ่กว่า และมีความกำยำล่ำสัน ไม่ว่าจะเป็นผู้คุมราคา หัวแดง หัวดำ ทั้งหลาย ตบซ้าย ตบขวา ดึงแขน เค้าแล้วเหวียงได้สบายๆ (ผมว่าข้อนี้คือ จุดต่างที่แท้จริงระหว่าง Mr.Market ไทย กับ อเมริกา)
2. สมบัติที่เค้าเสนอขาย ดูหลายๆคนไม่ค่อยจะมั่นใจในมูลค่าเท่าไหร่ จึงให้ P/E ที่ยอมรับได้ค่อนข้างต่ำ ( แต่จะว่าไปเพราะธุรกิจส่วนใหญ่เป็น Commodity ด้วย P/E จึงไม่สูง ) ดูคนทั่วไปเชื่อถือฉลาก(งบ) ที่ติดอยู่บนสินค้าที่เค้าเสนอน้อยกว่าฉลากของสินค้า Mr.Market คนอื่น ... บ้างก็ว่า ตาชั่งเค้าเอียง .. อาจต้องพกตาชั่งไปเองถ้าจะซื้อของของเค้า
3. เจ้านายของเค้า ( กลต ตลท รัฐบาล) ก็บีบคั้นเค้าเหลือเกิน แต่ก็ทำไปด้วยความรักเค้า โดยพยายาม ประกาศไปว่าสินค้าของเค้ามีราคาถูกกว่าที่อื่น .. แต่ก็โดนผู้ซื้อหลายๆคนคัดค้านว่า ที่ต้องขายถูกเพราะสินค้าส่วนใหญ่ เป็นพวกคอมโมดิตี้ ไม่มี DCA ทั้งนั้น ... แถมเจ้านายของเค้า( กลต ตลท รัฐบาล) ยังให้เค้าเขียนฉลากแบบหมกเม็ด โดย P/E ร้าน ( P/E รวมของตลาดตลาด) ถูกคำนวณ P/E แต่บริษัทที่กำไร ขาดทุนไม่เอามารวม ... เท่านั้นไม่พอมาปีนี้สินค้าหลายตัวต้องเริ่มเสียภาษี ทำให้ P/E ดูจะต้องสูงขึ้น เจ้าขายของเค้า( กลต ตลท รัฐบาล) ยังออกเคยออกมาพูดแว่วๆว่า อยากออกดัชนีชี้วัดที่ใช้กำไรก่อนจ่ายภาษี เพราะว่าไม่อยากให้คนมองว่า P/E แพงขึ้น เนื่องจากปีนี้เค้าต้องเริ่มจ่ายภาษี
4. ไม่รู้ว่าเจ้านายเค้า ( กลต ตลท รัฐบาล) คิดยังไง แต่ว่า 1-2 ปีหลังๆมานี้ .. พยายามเพิ่มสินค้า(IPO)ให้เค้า(Mr.Market) เข้ามาเพียบ ทั้งๆที่กำลังซื้อไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่ดันมีสินค้ามากขึ้น Mr.Market ก็น่าจะลำบากใจพอดู ...
5. เจ้านายของเค้า( กลต ตลท รัฐบาล) ให้แผนกการตลาด ทำการตลาดให้ความรู้กับผู้ซื้อในละแวกบ้าน (รายย่อยในประเทศ) ซื้อสินค้าของเค้าโดยอ่านฉลากก่อนซื้อ อย่าซื้อสินค้าของเค้าแบบเก็งกำไร โดยบอกว่าซื้อแบบอ่านฉลาดซื้อแล้วดี มีกำไร (แต่จริงๆไม่รู้เหมือนกัน ว่าจะเป็นยังไง แต่ผมว่ายังไงก็ดีกว่าไม่อ่านนะ)
สรุป : ผมคิดว่าความแตกต่างระหว่างตลาดแต่ละที่ ไม่ใช่ Mr.Market .... แต่เป็นคุณภาพที่ Mr.Market ขายมากกว่าครับ ว่าเป็นของดีแค่ไหน น่าเชื่อถือฉลากแค่ไหน อันนั้นผมว่าสำคัญมากกว่า Mr.Market ครับ
ผมว่าปัญหาของตลาดไทย อยู่ที่สินค้า ไม่ใช้ Mr.Market.. ซึ่งสินค้าที่ Mr.Market ไทยส่วนใหญ่ เป็นคอมโมดิตี้ และ สินค้าที่มีไซเคิ้ล ซะเยอะ จะหาสินค้าที่มี DCA ก็เหมือนต้องงมเข็มในมหาสมุทร (แล้วไม่รู้จะเจอหรือเปล่า)
คิดเล่นๆตะกี้เองครับ 555 ไม่มีอะไรครับพี่สามัญชน มาร่วมสนุกครับ :lovl: :lovl: :lovl:
ผมรู้จักแต่ Mr.Market ของไทย ... ผมสรุปสภาวะของเค้าในปัจจุบันได้ดังนี้ครับ
1. เค้าไม่ใช่คนที่ไม่มีเหตุผล ผมว่าเค้ามีเหตุผลพอสมควรเลยนะ แต่เค้าเป็นเด็กตัวเล็กผอมแห้งเมื่อเทียบกับ Mr.Market ที่อื่นๆ เค้าจึงถูกรังแกและชักจูงได้ง่าย จากเด็กเกเร ที่ตัวใหญ่กว่า และมีความกำยำล่ำสัน ไม่ว่าจะเป็นผู้คุมราคา หัวแดง หัวดำ ทั้งหลาย ตบซ้าย ตบขวา ดึงแขน เค้าแล้วเหวียงได้สบายๆ (ผมว่าข้อนี้คือ จุดต่างที่แท้จริงระหว่าง Mr.Market ไทย กับ อเมริกา)
2. สมบัติที่เค้าเสนอขาย ดูหลายๆคนไม่ค่อยจะมั่นใจในมูลค่าเท่าไหร่ จึงให้ P/E ที่ยอมรับได้ค่อนข้างต่ำ ( แต่จะว่าไปเพราะธุรกิจส่วนใหญ่เป็น Commodity ด้วย P/E จึงไม่สูง ) ดูคนทั่วไปเชื่อถือฉลาก(งบ) ที่ติดอยู่บนสินค้าที่เค้าเสนอน้อยกว่าฉลากของสินค้า Mr.Market คนอื่น ... บ้างก็ว่า ตาชั่งเค้าเอียง .. อาจต้องพกตาชั่งไปเองถ้าจะซื้อของของเค้า
3. เจ้านายของเค้า ( กลต ตลท รัฐบาล) ก็บีบคั้นเค้าเหลือเกิน แต่ก็ทำไปด้วยความรักเค้า โดยพยายาม ประกาศไปว่าสินค้าของเค้ามีราคาถูกกว่าที่อื่น .. แต่ก็โดนผู้ซื้อหลายๆคนคัดค้านว่า ที่ต้องขายถูกเพราะสินค้าส่วนใหญ่ เป็นพวกคอมโมดิตี้ ไม่มี DCA ทั้งนั้น ... แถมเจ้านายของเค้า( กลต ตลท รัฐบาล) ยังให้เค้าเขียนฉลากแบบหมกเม็ด โดย P/E ร้าน ( P/E รวมของตลาดตลาด) ถูกคำนวณ P/E แต่บริษัทที่กำไร ขาดทุนไม่เอามารวม ... เท่านั้นไม่พอมาปีนี้สินค้าหลายตัวต้องเริ่มเสียภาษี ทำให้ P/E ดูจะต้องสูงขึ้น เจ้าขายของเค้า( กลต ตลท รัฐบาล) ยังออกเคยออกมาพูดแว่วๆว่า อยากออกดัชนีชี้วัดที่ใช้กำไรก่อนจ่ายภาษี เพราะว่าไม่อยากให้คนมองว่า P/E แพงขึ้น เนื่องจากปีนี้เค้าต้องเริ่มจ่ายภาษี
4. ไม่รู้ว่าเจ้านายเค้า ( กลต ตลท รัฐบาล) คิดยังไง แต่ว่า 1-2 ปีหลังๆมานี้ .. พยายามเพิ่มสินค้า(IPO)ให้เค้า(Mr.Market) เข้ามาเพียบ ทั้งๆที่กำลังซื้อไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่ดันมีสินค้ามากขึ้น Mr.Market ก็น่าจะลำบากใจพอดู ...
5. เจ้านายของเค้า( กลต ตลท รัฐบาล) ให้แผนกการตลาด ทำการตลาดให้ความรู้กับผู้ซื้อในละแวกบ้าน (รายย่อยในประเทศ) ซื้อสินค้าของเค้าโดยอ่านฉลากก่อนซื้อ อย่าซื้อสินค้าของเค้าแบบเก็งกำไร โดยบอกว่าซื้อแบบอ่านฉลาดซื้อแล้วดี มีกำไร (แต่จริงๆไม่รู้เหมือนกัน ว่าจะเป็นยังไง แต่ผมว่ายังไงก็ดีกว่าไม่อ่านนะ)
สรุป : ผมคิดว่าความแตกต่างระหว่างตลาดแต่ละที่ ไม่ใช่ Mr.Market .... แต่เป็นคุณภาพที่ Mr.Market ขายมากกว่าครับ ว่าเป็นของดีแค่ไหน น่าเชื่อถือฉลากแค่ไหน อันนั้นผมว่าสำคัญมากกว่า Mr.Market ครับ
ผมว่าปัญหาของตลาดไทย อยู่ที่สินค้า ไม่ใช้ Mr.Market.. ซึ่งสินค้าที่ Mr.Market ไทยส่วนใหญ่ เป็นคอมโมดิตี้ และ สินค้าที่มีไซเคิ้ล ซะเยอะ จะหาสินค้าที่มี DCA ก็เหมือนต้องงมเข็มในมหาสมุทร (แล้วไม่รู้จะเจอหรือเปล่า)
คิดเล่นๆตะกี้เองครับ 555 ไม่มีอะไรครับพี่สามัญชน มาร่วมสนุกครับ :lovl: :lovl: :lovl:
The crowd, the world, and sometimes even the grave, step aside for the man who knows where he's going, but pushes the aimless drifter aside. -- Ancient Roman Saying
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6483
- ผู้ติดตาม: 1
<<< IQ สูง EQ ต่ำ >>>
โพสต์ที่ 3
นายตลาดน่าจะเป็นอย่างนี้จริงๆครับคำพูดที่เป็นสองด้านของบัฟเฟตต์ คือ เขาคิดว่าตลาดไม่มีประสิทธิภาพในระยะสั้นๆ แต่มีประสิทธิภาพในระยะยาว
ดังนั้นถ้าตลาดมีประสิทธิภาพก็แสดงว่า Mr.Market จะต้องเป็นคนที่มีไอคิวสูงมากพอสมควร จึงสามารถก่อให้เกิดผลงานเช่นนี้ได้
จุดอ่อนของ Mr.Market ที่ผมเห็น คือ เป็นคนที่มีอารมภ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เดี๋ยวดีใจ เดี๋ยวเสียใจ เดี๋ยวลิงโลด เดี๋ยวเศร้าซึม เข้าทำนองเป็นคนที่มีอีคิวต่ำนั่นเอง นี่เป็นที่มาว่าทำไมเขาถึงทำให้ตลาดไม่มีประสิทธิภาพในระยะสั้นๆ แต่มีประสิทธิภาพในระยะเวลาที่ยาวนาน
สิ่งที่เราควรทำคือเข้าใจและหาประโยชน์จากนายตลาด
และที่สำคัญที่สุด อย่าทำตัวเป็นนายตลาดเสียเอง.. :lol:
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 9795
- ผู้ติดตาม: 0
<<< IQ สูง EQ ต่ำ >>>
โพสต์ที่ 4
ตามความเข้าใจของผมนะครับ
ตลาดที่มีประสิทธิภาพ คือตลาดที่ราคาได้สะท้อนข่าวสารตามความเป็นจริงไปหมดแล้ว
แสดงว่า ตลาดที่ไม่มีประสิทธิภาพ (คือความเป็นจริงในขณะนี้) ไม่ได้สะท้อน
ราคาที่แท้จริงสักเท่าใด
ซึ่งหมายความว่า ราคาที่แท้จริงอาจจะ ถูกกว่า หรือ แพงกว่า
ความเป็นจริงก็ได้
ผมก็ยังเห็นว่า Buffett พูดถูกอยู่ดีครับ
ตลาดที่มีประสิทธิภาพ คือตลาดที่ราคาได้สะท้อนข่าวสารตามความเป็นจริงไปหมดแล้ว
แสดงว่า ตลาดที่ไม่มีประสิทธิภาพ (คือความเป็นจริงในขณะนี้) ไม่ได้สะท้อน
ราคาที่แท้จริงสักเท่าใด
ซึ่งหมายความว่า ราคาที่แท้จริงอาจจะ ถูกกว่า หรือ แพงกว่า
ความเป็นจริงก็ได้
ผมก็ยังเห็นว่า Buffett พูดถูกอยู่ดีครับ
กล. Eugene F. Fama คือคนที่คิด Efficient Market Theory และ Random Walk TheoryEugene F. Fama เขียน:"An 'efficient' market is defined as a market where there are large numbers of rational, profit-maximizers actively competing, with each trying to predict future market values of individual securities, and where important current information is almost freely available to all participants. In an efficient market, competition among the many intelligent participants leads to a situation where, at any point in time, actual prices of individual securities already reflect the effects of information based both on events that have already occurred and on events which, as of now, the market expects to take place in the future. In other words, in an efficient market at any point in time the actual price of a security will be a good estimate of its intrinsic value."
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
<<< IQ สูง EQ ต่ำ >>>
โพสต์ที่ 5
โค้ด: เลือกทั้งหมด
เขาคิดว่าตลาดไม่มีประสิทธิภาพในระยะสั้นๆ แต่มีประสิทธิภาพในระยะยาว
เหตุผลคื วันนี้เป็นระยะยาวของอดีตที่ผ่านมา ถ้าวันนี้ตลาดไม่มีประสิทธิภาพ อนาคต ตลาดก็ไม่มีประสิทธิภาพครับ
แล้วทำไมวอเรนพูดแบบนั้น คือ ผมคิดว่าวอเรนไม่อยากทะเลาะด้วย และให้ความหวังว่า วันนึง หุ้นที่ต่ำกว่าพื้นฐาน จะกลับมาที่พื้นฐาน ซึ่งข้อนี้เห็นด้วย
แต่สรุปได้อย่างเดียวครับ คือ ตลาดไม่มีประสิทธิภาพครับ
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
<<< IQ สูง EQ ต่ำ >>>
โพสต์ที่ 6
:lol: :lol: :lol: :lol:
สมมติว่ามีหุ้นอยู่ 100 ตัว ณ.วันนี้
1. มีหุ้นตัวอยู่ 3 ตัวที่ตลาดให้ราคาต่ำกว่าที่ควรมาก
2. มี 7 ตัวค่อนข้างต่ำแต่ก็ไม่มาก
3. มี 80 ตัวที่สมน้ำสมเนื้อ
4. มี 7 ตัวค่อนข้างแพง
5. และมีอีก 3 ตัวที่แพงมาก
บัฟเฟตต์ก็ซื้อสามตัวแรก แล้วบอกเราว่าตลาดไม่มีประสิทธิภาพ ( ไม่งั้นไปเป็นขอทานแล้ว )
ผ่านไปห้าปี
ตลาดก็ยังมีการกระจายความสมเหตุผลในลักษณะระฆังคว่ำเหมือนเดิม คือ
1. มีหุ้นตัวอยู่ 3 ตัวที่ตลาดให้ราคาต่ำกว่าที่ควรมาก
2. มี 7 ตัวค่อนข้างต่ำแต่ก็ไม่มาก
3. มี 80 ตัวที่สมน้ำสมเนื้อ
4. มี 7 ตัวค่อนข้างแพง
5. และมีอีก 3 ตัวที่แพงมาก
แต่ตัวหุ้นเปลี่ยนที่อยู่กันไปแล้ว ข้อ 5 อาจจะย้ายมาอยู่ข้อ 1หรือ 2 สลับกันไปมา และหุ้นที่บัฟเฟตต์ซื้อทั้ง 3 ตัว ย้ายไปอยู่ข้อ 3,4 หรือ 5 ช่วงนี้บัฟเฟตต์ก็ขายหุ้น และบัฟเฟตต์เรียกช่วงนี้ว่าตลาดมีประสิทธิภาพในระยะยาว ( ต่อให้บัฟเฟตต์ไม่พูด ก็ต้องยอมรับว่าช่วงนี้เรียกว่าตลาดมีประสิทธิภาพ เพราะบัฟเฟตต์รวยขึ้นมาก็เพราะเหตการณ์มันเป็นแบบนี้ ถ้าไม่เป็นแบบนี้(ตลาดไม่มีประสิทธิภาพ)บัฟเฟตต์จะรวยได้ยังไง คงต้องเป็นขอทานอยู่ดี ) ข้อ 4 , 5 อาจจะเตลิดความสมน้ำสมเนื้อก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้และบัฟเฟตต์ก็ไม่รังเกียจ และน่าจะชอบด้วย
เรื่องของเรื่องก็คือ บัฟเฟตต์ อาจจะเหมาเอาหุ้นที่ตัวเองสนใจ เป็นตัวแทนของตลาดทั้งตลาด ซึ่งไม่เสียหายอะไร หลายๆคนก็เป็นกัน ทำนอง เธอคือทุกๆสิ่ง เธอคือลมหายใจ , โลกทั้งใบให้นาย(เธอ)คนเดียว เป็นต้น อิอิอิ
:lol: :lol: :lol: :lol:
อาจจะหมายถึงอย่างนี้ได้ใหมครับ คือเป็นในลักษณะ dynamic และ Q uantitative ไม่ใช่ ตรรกกะที่เป็น all or none หรือ Qualitative มีทั้งหุ้นที่สมเหตุสมผลและไม่สมเหตุผลในเวลาเดียวกัน ในแต่ละช่วงเวลา เมื่อเวลาผ่านไป ตัวที่ไม่สมเหตุผลก็กลายไปเป็นสมเหตุสมผลเหตุผลคือ วันนี้เป็นระยะยาวของอดีตที่ผ่านมา ถ้าวันนี้ตลาดไม่มีประสิทธิภาพ อนาคต ตลาดก็ไม่มีประสิทธิภาพครับ
สมมติว่ามีหุ้นอยู่ 100 ตัว ณ.วันนี้
1. มีหุ้นตัวอยู่ 3 ตัวที่ตลาดให้ราคาต่ำกว่าที่ควรมาก
2. มี 7 ตัวค่อนข้างต่ำแต่ก็ไม่มาก
3. มี 80 ตัวที่สมน้ำสมเนื้อ
4. มี 7 ตัวค่อนข้างแพง
5. และมีอีก 3 ตัวที่แพงมาก
บัฟเฟตต์ก็ซื้อสามตัวแรก แล้วบอกเราว่าตลาดไม่มีประสิทธิภาพ ( ไม่งั้นไปเป็นขอทานแล้ว )
ผ่านไปห้าปี
ตลาดก็ยังมีการกระจายความสมเหตุผลในลักษณะระฆังคว่ำเหมือนเดิม คือ
1. มีหุ้นตัวอยู่ 3 ตัวที่ตลาดให้ราคาต่ำกว่าที่ควรมาก
2. มี 7 ตัวค่อนข้างต่ำแต่ก็ไม่มาก
3. มี 80 ตัวที่สมน้ำสมเนื้อ
4. มี 7 ตัวค่อนข้างแพง
5. และมีอีก 3 ตัวที่แพงมาก
แต่ตัวหุ้นเปลี่ยนที่อยู่กันไปแล้ว ข้อ 5 อาจจะย้ายมาอยู่ข้อ 1หรือ 2 สลับกันไปมา และหุ้นที่บัฟเฟตต์ซื้อทั้ง 3 ตัว ย้ายไปอยู่ข้อ 3,4 หรือ 5 ช่วงนี้บัฟเฟตต์ก็ขายหุ้น และบัฟเฟตต์เรียกช่วงนี้ว่าตลาดมีประสิทธิภาพในระยะยาว ( ต่อให้บัฟเฟตต์ไม่พูด ก็ต้องยอมรับว่าช่วงนี้เรียกว่าตลาดมีประสิทธิภาพ เพราะบัฟเฟตต์รวยขึ้นมาก็เพราะเหตการณ์มันเป็นแบบนี้ ถ้าไม่เป็นแบบนี้(ตลาดไม่มีประสิทธิภาพ)บัฟเฟตต์จะรวยได้ยังไง คงต้องเป็นขอทานอยู่ดี ) ข้อ 4 , 5 อาจจะเตลิดความสมน้ำสมเนื้อก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้และบัฟเฟตต์ก็ไม่รังเกียจ และน่าจะชอบด้วย
เรื่องของเรื่องก็คือ บัฟเฟตต์ อาจจะเหมาเอาหุ้นที่ตัวเองสนใจ เป็นตัวแทนของตลาดทั้งตลาด ซึ่งไม่เสียหายอะไร หลายๆคนก็เป็นกัน ทำนอง เธอคือทุกๆสิ่ง เธอคือลมหายใจ , โลกทั้งใบให้นาย(เธอ)คนเดียว เป็นต้น อิอิอิ
:lol: :lol: :lol: :lol:
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
<<< IQ สูง EQ ต่ำ >>>
โพสต์ที่ 7
โค้ด: เลือกทั้งหมด
สมมติว่ามีหุ้นอยู่ 100 ตัว ณ.วันนี้
1. มีหุ้นตัวอยู่ 3 ตัวที่ตลาดให้ราคาต่ำกว่าที่ควรมาก
2. มี 7 ตัวค่อนข้างต่ำแต่ก็ไม่มาก
3. มี 80 ตัวที่สมน้ำสมเนื้อ
4. มี 7 ตัวค่อนข้างแพง
5. และมีอีก 3 ตัวที่แพงมาก
ต่อมา 5 ปี
โค้ด: เลือกทั้งหมด
1. มีหุ้นตัวอยู่ 3 ตัวที่ตลาดให้ราคาต่ำกว่าที่ควรมาก
2. มี 7 ตัวค่อนข้างต่ำแต่ก็ไม่มาก
3. มี 80 ตัวที่สมน้ำสมเนื้อ
4. มี 7 ตัวค่อนข้างแพง
5. และมีอีก 3 ตัวที่แพงมาก
ส่วนคำที่บัพเฟตใช้ ตลาดจะมีประสิทธิภาพในระยะยาว อาจจะหมายถึงว่า ให้สบายใจได้ ถ้าซื้อหุ้นพื้นฐานดี ในราคาที่เหมาะสม เมื่อถือไว้ยาวๆ ตลาดจะทำการปรับราคาให้เหมาะสม เพราะตลาดมีประสิทธิภาพ สรุปคือคล้ายๆ บัพเฟต กำลังแซว ทฤษฎีนี้
- Mon money
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 3134
- ผู้ติดตาม: 0
<<< IQ สูง EQ ต่ำ >>>
โพสต์ที่ 8
ผมว่าบัฟเฟตต์พูดถูกนะครับ เขาไม่ได้บอกว่า ตลาดไม่มีประสิทธิภาพตลอดเวลา แต่เป็นบางเวลา คือบางทีก็ให้ราคาต่ำมากๆ บางที่ก็ให้ราคาสูงมากๆ
บัฟเฟตต์ใช้ประโยชน์จากนายตลาดตอนที่เขา เสนอขายของดีราคาถูกครับ
สำหรับผมแล้ว ตลาดไม่มีประสิทธิภาพแน่นอน โดยเฉพาะในบ้านเรา
ตลท. เคยมีข้อมูลพอสมควรที่จะให้นลท.เข้าไปดูและศึกษา ปัจจุบันมีแค่สองไตรมาส นอกจากนั้น ตลท.ให้settradeเอาไปขาย และขายแพงซะอีก ที่สำคัญคือมันไม่ได้อย่างที่นักลงทุนต้องการ
ในตลาดบ้านเราต้องมี นักลงทุนที่มีเหตุผลมากๆ และตลท. กลต.สนับสนุนเรื่องข้อมูลการลงทุน
ที่ผ่านมา กลต. ทำหน้าที่ปราบปราม มิได้ป้องกัน ผมพูดชัดในที่ประชุมว่า คุณตามจับพวกปั่นได้ไม่ทันเขาหรอก แต่คุณต้องทำให้นักลงทุนรู้ทันพวกนั้นให้มากที่สุด
แต่ถึงอย่างไรตลาดก็ไม่มีประสิทธิภาพตลอดเวลาแน่นอน เพราะอารมณ์ กลัว กับ กล้า และ โลภ มีในมนุษย์ทุกคนครับ
บัฟเฟตต์ใช้ประโยชน์จากนายตลาดตอนที่เขา เสนอขายของดีราคาถูกครับ
สำหรับผมแล้ว ตลาดไม่มีประสิทธิภาพแน่นอน โดยเฉพาะในบ้านเรา
ตลท. เคยมีข้อมูลพอสมควรที่จะให้นลท.เข้าไปดูและศึกษา ปัจจุบันมีแค่สองไตรมาส นอกจากนั้น ตลท.ให้settradeเอาไปขาย และขายแพงซะอีก ที่สำคัญคือมันไม่ได้อย่างที่นักลงทุนต้องการ
ในตลาดบ้านเราต้องมี นักลงทุนที่มีเหตุผลมากๆ และตลท. กลต.สนับสนุนเรื่องข้อมูลการลงทุน
ที่ผ่านมา กลต. ทำหน้าที่ปราบปราม มิได้ป้องกัน ผมพูดชัดในที่ประชุมว่า คุณตามจับพวกปั่นได้ไม่ทันเขาหรอก แต่คุณต้องทำให้นักลงทุนรู้ทันพวกนั้นให้มากที่สุด
แต่ถึงอย่างไรตลาดก็ไม่มีประสิทธิภาพตลอดเวลาแน่นอน เพราะอารมณ์ กลัว กับ กล้า และ โลภ มีในมนุษย์ทุกคนครับ
เป็นบุญหนักหนาเหลือเกินที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย เป็นคนไทยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ