นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวสุนทรพจน
- บูรพาไม่แพ้
- Verified User
- โพสต์: 2533
- ผู้ติดตาม: 0
นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวสุนทรพจน
โพสต์ที่ 1
ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 19 ตุลาคม 2554 09:12:49 น.
นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวสุนทรพจน์ที่เมืองบอสตัน มลรัฐแมสซาชูเซทส์ ว่า วิกฤตการเงินที่เกิดขึ้นรอบล่าสุดจะรุนแรงขึ้นอีก และจะส่งผลกระทบอย่างยาวนานต่อเศรษฐกิจสหรัฐในทุกๆด้าน
"วิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้มีแนวโน้มว่าจะรุนแรงขึ้นและจะส่งผลกระทบอย่างยาวนานต่อเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของเรา นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาในระยะยาวแล้ว วิกฤตการณ์จะส่งผลกระทบต่อกรอบงานด้านความรู้ ซึ่งรวมถึงแนวทางในการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาคและสถานการณ์ด้านการเงิน" เบอร์นันเก้กล่าว
นอกจากนี้ เบอร์นันเก้กล่าวว่า วิกฤตการเงินได้เข้ามามีอิทธิพลต่อทฤษฎีและการดำเนินการที่ทันสมัยในภาคธนาคาร และคาดว่าจะยังคงมีอิทธิพลมากขึ้นในวันข้างหน้า สำนักข่าวซินหัวรายงาน
นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวสุนทรพจน์ที่เมืองบอสตัน มลรัฐแมสซาชูเซทส์ ว่า วิกฤตการเงินที่เกิดขึ้นรอบล่าสุดจะรุนแรงขึ้นอีก และจะส่งผลกระทบอย่างยาวนานต่อเศรษฐกิจสหรัฐในทุกๆด้าน
"วิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้มีแนวโน้มว่าจะรุนแรงขึ้นและจะส่งผลกระทบอย่างยาวนานต่อเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของเรา นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาในระยะยาวแล้ว วิกฤตการณ์จะส่งผลกระทบต่อกรอบงานด้านความรู้ ซึ่งรวมถึงแนวทางในการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาคและสถานการณ์ด้านการเงิน" เบอร์นันเก้กล่าว
นอกจากนี้ เบอร์นันเก้กล่าวว่า วิกฤตการเงินได้เข้ามามีอิทธิพลต่อทฤษฎีและการดำเนินการที่ทันสมัยในภาคธนาคาร และคาดว่าจะยังคงมีอิทธิพลมากขึ้นในวันข้างหน้า สำนักข่าวซินหัวรายงาน
- nasesus
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1278
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวสุนท
โพสต์ที่ 2
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 06997.html ขอแถมกระทู้นี้ด้วยครับน่าอ่านมากๆ
ทางที่ไม่มีไฟ ใช่ว่าไม่มีทาง เพียงแค่การก้าวไปข้างหน้าต้องใช้มากกว่าการหวังพึ่งแค่ดวงตา
- บูรพาไม่แพ้
- Verified User
- โพสต์: 2533
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวสุนท
โพสต์ที่ 4
ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม 2554 09:17:43 น.
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงาน Beige Book ซึ่งเป็นรายงานสำรวจภาวะเศรษฐกิจจากเฟดทั้ง 12 เขตในสหรัฐ ครั้งล่าสุดเมื่อคืนนี้ (19 ต.ค.) ตามเวลาไทย โดยระบุว่า ภาคธุรกิจในหลายเขตของสหรัฐ "อ่อนแอลง หรือ มีแนวโน้มอ่อนแอลง"
รายงานระบุว่า แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวมยังคงมีการขยายตัวในเดือนก.ย. แต่เศรษฐกิจในหลายเขตของสหรัฐมีการขยายตัว "เพียงปานกลาง" หรือ "ขยายตัวเพียงเล็กน้อย"
ส่วนตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภค "ขยับขึ้นเล็กน้อยในเกือบทุกเขต" เพราะได้แรงหนุนจากยอดขายรถยนต์และธุรกิจการท่องเที่ยว โดยยอดขายรถยนต์ปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากปัญหาสะดุดในส่วนห่วงโซ่อุปทานอันเนื่องมาจากเหตุแผ่นดินไหวในญี่ปุ่นเมื่อเดือนมี.ค.นั้น เริ่มทุเลาลง
ขณะที่ตัวเลขการจ้างงานในบางเขตของสหรัฐ เช่นบอสตันและแอตแลนต้านั้น ปรับตัวลดลงเนื่องจาก "ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ หรือ การปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจในอนาคต"
กิจกรรมด้านอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้างไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากการรายงานครั้งหลังสุดเมื่อวันที่ 7 ก.ย. โดยตัวเลขการก่อสร้างที่อยู่อาศัยยังคงเคลื่อนไหวในระดับต่ำ และยอดขายบ้านยังคงอ่อนแอ
ส่วนตัวเลขการใช้จ่ายในภาคธุรกิจ "ปรับตัวเพิ่มขึ้นในบางเขต" ขณะที่หลายเขตรายงานว่าภาคธุรกิจวางแผนลดการใช้จ่ายด้านทุนและการจ้างงาน
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า Beige Book เป็นรายงานที่จัดเตรียมไว้เพื่อช่วยประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟดในการประชุมครั้งต่อไปซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 1-2 พ.ย.นี้ โดยเฟดจะเปิดเผยรายงาน Beige Book ปีละ 8 ครั้ง
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงาน Beige Book ซึ่งเป็นรายงานสำรวจภาวะเศรษฐกิจจากเฟดทั้ง 12 เขตในสหรัฐ ครั้งล่าสุดเมื่อคืนนี้ (19 ต.ค.) ตามเวลาไทย โดยระบุว่า ภาคธุรกิจในหลายเขตของสหรัฐ "อ่อนแอลง หรือ มีแนวโน้มอ่อนแอลง"
รายงานระบุว่า แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวมยังคงมีการขยายตัวในเดือนก.ย. แต่เศรษฐกิจในหลายเขตของสหรัฐมีการขยายตัว "เพียงปานกลาง" หรือ "ขยายตัวเพียงเล็กน้อย"
ส่วนตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภค "ขยับขึ้นเล็กน้อยในเกือบทุกเขต" เพราะได้แรงหนุนจากยอดขายรถยนต์และธุรกิจการท่องเที่ยว โดยยอดขายรถยนต์ปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากปัญหาสะดุดในส่วนห่วงโซ่อุปทานอันเนื่องมาจากเหตุแผ่นดินไหวในญี่ปุ่นเมื่อเดือนมี.ค.นั้น เริ่มทุเลาลง
ขณะที่ตัวเลขการจ้างงานในบางเขตของสหรัฐ เช่นบอสตันและแอตแลนต้านั้น ปรับตัวลดลงเนื่องจาก "ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ หรือ การปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจในอนาคต"
กิจกรรมด้านอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้างไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากการรายงานครั้งหลังสุดเมื่อวันที่ 7 ก.ย. โดยตัวเลขการก่อสร้างที่อยู่อาศัยยังคงเคลื่อนไหวในระดับต่ำ และยอดขายบ้านยังคงอ่อนแอ
ส่วนตัวเลขการใช้จ่ายในภาคธุรกิจ "ปรับตัวเพิ่มขึ้นในบางเขต" ขณะที่หลายเขตรายงานว่าภาคธุรกิจวางแผนลดการใช้จ่ายด้านทุนและการจ้างงาน
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า Beige Book เป็นรายงานที่จัดเตรียมไว้เพื่อช่วยประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟดในการประชุมครั้งต่อไปซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 1-2 พ.ย.นี้ โดยเฟดจะเปิดเผยรายงาน Beige Book ปีละ 8 ครั้ง
- Financeseed
- Verified User
- โพสต์: 1304
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวสุนท
โพสต์ที่ 5
nasesus เขียน:http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 06997.html ขอแถมกระทู้นี้ด้วยครับน่าอ่านมากๆ
- บูรพาไม่แพ้
- Verified User
- โพสต์: 2533
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวสุนท
โพสต์ที่ 6
ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- เสาร์ที่ 22 ตุลาคม 2554 14:15:00 น.
นายเดวิด มานน์ นักวิจัยของธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยังไม่ประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบ 3 (QE3) ในปีนี้ แต่จะนำมาใช้ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2555 เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐในช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 มีแนวโน้มขยายตัว 2% ซึ่งแข็งแกร่งกว่าในช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งอาจทำให้เฟดมองว่ายังไม่มีความจำเป็นที่จะใช้ QE3 ในปีนี้
นักวิจัยของสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ดคาดว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัวลงอย่างมากในช่วงครึ่งแรกของปี 2555 โดยคาดว่าเศรษฐกิจในไตรมาสแรก และไตรมาส 2 จะขยายตัวไม่ถึง 1% ขณะที่อัตราว่างงานจะอยู่ที่ระดบ 9.3% หรือมากกว่า ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เฟดตัดสินใจใช้มาตรการ QE3 ในช่วงเวลาดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม นักวิจัยคนดังกล่าวเตือนว่า หากเฟดตัดสินใจใช้มาตรการ QE3 ในปีหน้า ก็อาจทำให้ราคาสินทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้น และนำไปสู่ภาวะฟองสบู่ในที่สุด แต่ถึงกระนั้นก็ตามนักวิจัยเชื่อว่าเฟดจะดำเนินมาตรการโดยไม่สนใจความวิตกกังวลของประเทศอื่นๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า เฟดต้องการจะแก้ปัญหาภายใประเทศเป็นลำดับแรก
นายเดวิด มานน์ นักวิจัยของธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยังไม่ประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบ 3 (QE3) ในปีนี้ แต่จะนำมาใช้ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2555 เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐในช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 มีแนวโน้มขยายตัว 2% ซึ่งแข็งแกร่งกว่าในช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งอาจทำให้เฟดมองว่ายังไม่มีความจำเป็นที่จะใช้ QE3 ในปีนี้
นักวิจัยของสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ดคาดว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัวลงอย่างมากในช่วงครึ่งแรกของปี 2555 โดยคาดว่าเศรษฐกิจในไตรมาสแรก และไตรมาส 2 จะขยายตัวไม่ถึง 1% ขณะที่อัตราว่างงานจะอยู่ที่ระดบ 9.3% หรือมากกว่า ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เฟดตัดสินใจใช้มาตรการ QE3 ในช่วงเวลาดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม นักวิจัยคนดังกล่าวเตือนว่า หากเฟดตัดสินใจใช้มาตรการ QE3 ในปีหน้า ก็อาจทำให้ราคาสินทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้น และนำไปสู่ภาวะฟองสบู่ในที่สุด แต่ถึงกระนั้นก็ตามนักวิจัยเชื่อว่าเฟดจะดำเนินมาตรการโดยไม่สนใจความวิตกกังวลของประเทศอื่นๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า เฟดต้องการจะแก้ปัญหาภายใประเทศเป็นลำดับแรก
- บูรพาไม่แพ้
- Verified User
- โพสต์: 2533
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวสุนท
โพสต์ที่ 7
เฟดอาจคงนโยบายการเงินในการประชุมสัปดาห์นี้ เล็งหารือมาตรการใหม่
วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม 2554 เวลา 17:53:15 น.
ผู้เข้าชม : 198 คน
รอยเตอร์รายงานว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะจัดประชุมกำหนดนโยบายในวันที่ 1-2 พ.ย.ขณะที่เฟดกำลังหารือกันเกี่ยวกับการใช้วิธีการแบบพิเศษในการดำเนินนโยบายการเงินแต่เป็นวิธีการที่ไม่แข็งกร้าวมากเท่ากับมาตรการเข้าซื้อพันธบัตรที่เฟดเคยใช้ในช่วงที่ผ่านมา โดยวิธีการใหม่นี้คือการกำหนดสัญญาณชี้นำอัตราดอกเบี้ยโดยตั้งอยู่บนอัตราเงินเฟ้อและอัตราการว่างงาน อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายละเอียดออกมามากนักเกี่ยวกับมาตรการนี้ ดังนั้นนักลงทุนจึงคาดว่าเฟดจะยังไม่ประกาศมาตรการใหม่ใดๆ ออกมาในการประชุมสัปดาห์นี้ แต่เฟดแสดงออกอย่างชัดเจนว่ากำลังพิจารณาแนวคิดนี้อยู่ ซึ่งอาจส่งผลให้มีการปรับกรอบการทำงานในการกำหนดนโยบายเฟด
ทั้งนี้ ธนาคารกลางหลายประเทศทั่วโลกตั้งเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อโดยใช้วิธีการที่แตกต่างกันไป ซึ่งถ้าหากเฟดประกาศใช้ระบบการกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่ตั้งอยู่บนกฎเกณฑ์และมีความโปร่งใสมากยิ่งขึ้น สิ่งนี้ก็เท่ากับว่าเฟดได้วางแนวทางใหม่ในการกำหนดนโยบาย ซึ่งอาจก่อให้เกิดทั้งผลดีและผลเสียตามมา
นายชาร์ลส์ อีแวนส์ ประธานเฟดสาขาชิคาโก กล่าวสนับสนุนขั้นตอนในการสร้างความโปร่งใสแบบนี้ของเฟดในช่วงที่ผ่านมา โดยแผนการของนายอีแวนส์ระบุว่า เฟดจะให้สัญญาว่าจะตรึงอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับใกล้ 0 % ต่อไปจนกว่าตลาดแรงงานจะปรับตัวดีขึ้นอย่างแท้จริงหรือจนกว่าอัตราการว่างงานจะลดลงสู่ระดับ 7 % ตราบใดที่อัตราเงินเฟ้อยังไม่อยู่นอกเหนือการควบคุม
ภายใต้วิธีการเช่นนี้ เมื่อใดก็ตามที่มีการรายงานข่าวดีทางเศรษฐกิจออกมา ตลาดการเงินก็จะไม่ปรับตัวรับการคาดการณ์เรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในทันที ซึ่งการคาดการณ์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อนโยบายผ่อนคลายทางการเงินแบบพิเศษที่เฟดนำมาใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
นายเอริค โรเซนเกรน ประธานเฟดสาขาบอสตัน ซึ่งเป็นสมาชิกสายพิราบในเฟด กล่าวสนับสนุนแผนการเพิ่มความโปร่งใสแบบนี้ด้วย อย่างไรก็ดี สมาชิกเฟดแสดงความเห็นที่แตกต่างกันไปในช่วงที่ผ่านมา และเป็นที่เห็นได้ชัดว่าแนวคิดนี้จะยังไม่ได้รับการนำมาปฏิบัติในเร็วๆ นี้
นายแดเนียล ทารุลโล สมาชิกคณะกรรมการผู้ว่าการเฟด กล่าวในสัปดาห์ที่แล้วว่า เฟดควรเข้าซื้อตราสารหนี้จำนองปริมาณมากอีกครั้ง ขณะที่นายวิลเลียม ดัดลีย์ประธานเฟดสาขานิวยอร์คเสนอแนะว่า อาจมีการพิจารณาเรื่องการเข้าซื้อสินทรัพย์และเขาแสดงความกังวลต่อข้อเสนอของนายอีแวนส์
ในขณะที่ประเด็นนี้มีแนวโน้มว่าจะได้รับการหารือกันในการประชุมกำหนดนโยบายของเฟดในวันอังคารและวันพุธนี้ การที่เจ้าหน้าที่เฟดแสดงความเห็นที่แตกต่างกันออกไปเกี่ยวกับมาตรการถัดไปที่เฟดควรนำมาใช้ ก็บ่งชี้ว่าเจ้าหน้าที่เฟดอาจเลือกที่จะรอดูสถานการณ์ต่อไป โดยอ้างว่าตัวเลขเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยในช่วงนี้
นางเจเน็ต เยลเลน รองประธานคณะกรรมการผู้ว่าการเฟด เคยตั้งคำถามว่า มาตรการใหม่นี้จะมีประสิทธิภาพมากเพียงใด และมีความเสี่ยงที่ตลาดอาจเข้าใจผิดว่า นโยบายใหม่นี้สะท้อนให้เห็นถึงระดับอัตราการว่างงานและอัตราเงินเฟ้อที่เจ้าหน้าที่ต้องการจะบรรลุ มีความเสี่ยงที่เฟดอาจจะถูกผูกมัดเข้ากับเป้าหมายที่ไม่สามารถทำได้จริงด้วย เช่น การปรับลดอัตราการว่างงานลง ในขณะที่อัตราการว่างงานได้รับอิทธิพลจากปัจจัยอื่นๆ ที่เฟดไม่สามารถควบคุมได้
นักวิเคราะห์บางรายเชื่อว่า การกำหนดเป้าหมายในนโยบายแบบนี้อาจนำไปสู่มาตรการเข้าซื้อพันธบัตรในอนาคต เพราะเฟดไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการจ้างงานอยู่แล้วในปัจจุบัน
นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟด ยังไม่ได้ส่งสัญญาณบ่งชี้ว่าเฟดจะปรับเปลี่ยนนโยบายครั้งใหญ่ อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์อาจจะเข้าใจเป้าหมายของผู้กำหนดนโยบายได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้นในสัปดาห์นี้ เพราะเฟดจะเปิดเผยรายงานคาดการณ์เศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงรายงานคาดการณ์ภาวะเงินเฟ้อและภาวะการว่างงานในระยะยาว
http://www.kaohoon.com/online/23408/เฟด ... รใหม่-.htm
วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม 2554 เวลา 17:53:15 น.
ผู้เข้าชม : 198 คน
รอยเตอร์รายงานว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะจัดประชุมกำหนดนโยบายในวันที่ 1-2 พ.ย.ขณะที่เฟดกำลังหารือกันเกี่ยวกับการใช้วิธีการแบบพิเศษในการดำเนินนโยบายการเงินแต่เป็นวิธีการที่ไม่แข็งกร้าวมากเท่ากับมาตรการเข้าซื้อพันธบัตรที่เฟดเคยใช้ในช่วงที่ผ่านมา โดยวิธีการใหม่นี้คือการกำหนดสัญญาณชี้นำอัตราดอกเบี้ยโดยตั้งอยู่บนอัตราเงินเฟ้อและอัตราการว่างงาน อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายละเอียดออกมามากนักเกี่ยวกับมาตรการนี้ ดังนั้นนักลงทุนจึงคาดว่าเฟดจะยังไม่ประกาศมาตรการใหม่ใดๆ ออกมาในการประชุมสัปดาห์นี้ แต่เฟดแสดงออกอย่างชัดเจนว่ากำลังพิจารณาแนวคิดนี้อยู่ ซึ่งอาจส่งผลให้มีการปรับกรอบการทำงานในการกำหนดนโยบายเฟด
ทั้งนี้ ธนาคารกลางหลายประเทศทั่วโลกตั้งเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อโดยใช้วิธีการที่แตกต่างกันไป ซึ่งถ้าหากเฟดประกาศใช้ระบบการกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่ตั้งอยู่บนกฎเกณฑ์และมีความโปร่งใสมากยิ่งขึ้น สิ่งนี้ก็เท่ากับว่าเฟดได้วางแนวทางใหม่ในการกำหนดนโยบาย ซึ่งอาจก่อให้เกิดทั้งผลดีและผลเสียตามมา
นายชาร์ลส์ อีแวนส์ ประธานเฟดสาขาชิคาโก กล่าวสนับสนุนขั้นตอนในการสร้างความโปร่งใสแบบนี้ของเฟดในช่วงที่ผ่านมา โดยแผนการของนายอีแวนส์ระบุว่า เฟดจะให้สัญญาว่าจะตรึงอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับใกล้ 0 % ต่อไปจนกว่าตลาดแรงงานจะปรับตัวดีขึ้นอย่างแท้จริงหรือจนกว่าอัตราการว่างงานจะลดลงสู่ระดับ 7 % ตราบใดที่อัตราเงินเฟ้อยังไม่อยู่นอกเหนือการควบคุม
ภายใต้วิธีการเช่นนี้ เมื่อใดก็ตามที่มีการรายงานข่าวดีทางเศรษฐกิจออกมา ตลาดการเงินก็จะไม่ปรับตัวรับการคาดการณ์เรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในทันที ซึ่งการคาดการณ์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อนโยบายผ่อนคลายทางการเงินแบบพิเศษที่เฟดนำมาใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
นายเอริค โรเซนเกรน ประธานเฟดสาขาบอสตัน ซึ่งเป็นสมาชิกสายพิราบในเฟด กล่าวสนับสนุนแผนการเพิ่มความโปร่งใสแบบนี้ด้วย อย่างไรก็ดี สมาชิกเฟดแสดงความเห็นที่แตกต่างกันไปในช่วงที่ผ่านมา และเป็นที่เห็นได้ชัดว่าแนวคิดนี้จะยังไม่ได้รับการนำมาปฏิบัติในเร็วๆ นี้
นายแดเนียล ทารุลโล สมาชิกคณะกรรมการผู้ว่าการเฟด กล่าวในสัปดาห์ที่แล้วว่า เฟดควรเข้าซื้อตราสารหนี้จำนองปริมาณมากอีกครั้ง ขณะที่นายวิลเลียม ดัดลีย์ประธานเฟดสาขานิวยอร์คเสนอแนะว่า อาจมีการพิจารณาเรื่องการเข้าซื้อสินทรัพย์และเขาแสดงความกังวลต่อข้อเสนอของนายอีแวนส์
ในขณะที่ประเด็นนี้มีแนวโน้มว่าจะได้รับการหารือกันในการประชุมกำหนดนโยบายของเฟดในวันอังคารและวันพุธนี้ การที่เจ้าหน้าที่เฟดแสดงความเห็นที่แตกต่างกันออกไปเกี่ยวกับมาตรการถัดไปที่เฟดควรนำมาใช้ ก็บ่งชี้ว่าเจ้าหน้าที่เฟดอาจเลือกที่จะรอดูสถานการณ์ต่อไป โดยอ้างว่าตัวเลขเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยในช่วงนี้
นางเจเน็ต เยลเลน รองประธานคณะกรรมการผู้ว่าการเฟด เคยตั้งคำถามว่า มาตรการใหม่นี้จะมีประสิทธิภาพมากเพียงใด และมีความเสี่ยงที่ตลาดอาจเข้าใจผิดว่า นโยบายใหม่นี้สะท้อนให้เห็นถึงระดับอัตราการว่างงานและอัตราเงินเฟ้อที่เจ้าหน้าที่ต้องการจะบรรลุ มีความเสี่ยงที่เฟดอาจจะถูกผูกมัดเข้ากับเป้าหมายที่ไม่สามารถทำได้จริงด้วย เช่น การปรับลดอัตราการว่างงานลง ในขณะที่อัตราการว่างงานได้รับอิทธิพลจากปัจจัยอื่นๆ ที่เฟดไม่สามารถควบคุมได้
นักวิเคราะห์บางรายเชื่อว่า การกำหนดเป้าหมายในนโยบายแบบนี้อาจนำไปสู่มาตรการเข้าซื้อพันธบัตรในอนาคต เพราะเฟดไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการจ้างงานอยู่แล้วในปัจจุบัน
นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟด ยังไม่ได้ส่งสัญญาณบ่งชี้ว่าเฟดจะปรับเปลี่ยนนโยบายครั้งใหญ่ อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์อาจจะเข้าใจเป้าหมายของผู้กำหนดนโยบายได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้นในสัปดาห์นี้ เพราะเฟดจะเปิดเผยรายงานคาดการณ์เศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงรายงานคาดการณ์ภาวะเงินเฟ้อและภาวะการว่างงานในระยะยาว
http://www.kaohoon.com/online/23408/เฟด ... รใหม่-.htm
- บูรพาไม่แพ้
- Verified User
- โพสต์: 2533
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวสุนท
โพสต์ที่ 8
ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 23 พฤศจิกายน 2554 10:20:59 น.
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานการประชุมซึ่งมีขึ้นเมื่อวันที่ 1-2 พ.ย. โดยระบุว่า นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟด ได้เสนอให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (เอฟโอเอ็มซี) ทำการศึกษาความเป็นไปได้ในการออกแถลงการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายระยะยาวของเฟด เพื่อให้การสื่อสารกับตลาดการเงินเป็นไปในทางที่ดีขึ้น
รายงานการประชุมระบุว่า เฟดคาดการณ์ว่าในระยะใกล้นี้ การเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐจะแข็งแกร่งกว่าในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ เนื่องจากข้อมูลในด้านบวกจากตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคและการลงทุนในภาคธุรกิจ อย่างไรก็ตาม คาดว่าเศรษฐกิจจะยังคงเผชิญกับอุปสรรคต่างๆในระยะกลาง
ทั้งนี้ เฟดคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวราว 1.6-1.7% ในปี 2554 และ 2.5-2.9% ในปี 2555
ในการประชุมเมื่อวันที่ 1-2 พ.ย.ที่ผ่านมา เฟดมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed funds rate) ที่ระดับ 0-0.25% พร้อมระบุว่าสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันของสหรัฐมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนให้เฟดสามารถคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำเป็นพิเศษอย่างน้อยไปจนถึงกลางปี 2556
นอกจากนี้ เฟดยังได้ย้ำถึงความพร้อมที่จะใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติม โดยกล่าวว่า "เฟดพร้อมที่จะใช้เครื่องมือต่างๆเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง ควบคู่ไปกับการรักษาเสถียรภาพด้านราคา ในขณะเดียวกันเฟดจะทำการทบทวนขนาดและองค์ประกอบของหลักทรัพย์ที่เฟดถือครองอยู่อย่างสม่ำเสมอ และพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนการถือครองหลักทรัพย์ตามความเหมาะสม"
ส่วนการประชุมเฟดครั้งต่อไปจะมีขึ้นในวันที่ 13 ธ.ค.นี้ สำนักข่าวเกียวโดรายงาน
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช/ปนัยดา โทร.02-2535000 ต่อ 323 อีเมล์: [email protected]--
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานการประชุมซึ่งมีขึ้นเมื่อวันที่ 1-2 พ.ย. โดยระบุว่า นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟด ได้เสนอให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (เอฟโอเอ็มซี) ทำการศึกษาความเป็นไปได้ในการออกแถลงการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายระยะยาวของเฟด เพื่อให้การสื่อสารกับตลาดการเงินเป็นไปในทางที่ดีขึ้น
รายงานการประชุมระบุว่า เฟดคาดการณ์ว่าในระยะใกล้นี้ การเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐจะแข็งแกร่งกว่าในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ เนื่องจากข้อมูลในด้านบวกจากตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคและการลงทุนในภาคธุรกิจ อย่างไรก็ตาม คาดว่าเศรษฐกิจจะยังคงเผชิญกับอุปสรรคต่างๆในระยะกลาง
ทั้งนี้ เฟดคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวราว 1.6-1.7% ในปี 2554 และ 2.5-2.9% ในปี 2555
ในการประชุมเมื่อวันที่ 1-2 พ.ย.ที่ผ่านมา เฟดมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed funds rate) ที่ระดับ 0-0.25% พร้อมระบุว่าสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันของสหรัฐมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนให้เฟดสามารถคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำเป็นพิเศษอย่างน้อยไปจนถึงกลางปี 2556
นอกจากนี้ เฟดยังได้ย้ำถึงความพร้อมที่จะใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติม โดยกล่าวว่า "เฟดพร้อมที่จะใช้เครื่องมือต่างๆเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง ควบคู่ไปกับการรักษาเสถียรภาพด้านราคา ในขณะเดียวกันเฟดจะทำการทบทวนขนาดและองค์ประกอบของหลักทรัพย์ที่เฟดถือครองอยู่อย่างสม่ำเสมอ และพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนการถือครองหลักทรัพย์ตามความเหมาะสม"
ส่วนการประชุมเฟดครั้งต่อไปจะมีขึ้นในวันที่ 13 ธ.ค.นี้ สำนักข่าวเกียวโดรายงาน
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช/ปนัยดา โทร.02-2535000 ต่อ 323 อีเมล์: [email protected]--
- บูรพาไม่แพ้
- Verified User
- โพสต์: 2533
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวสุนท
โพสต์ที่ 10
ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 23 พฤศจิกายน 2554 12:01:49 น.
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศว่าจะทำการทดสอบภาวะวิกฤต (stress test) ของสถาบันการเงินรายใหญ่สุด 31 แห่งในสหรัฐ รอบใหม่ในปีหน้า เพื่อกำหนดว่าธนาคารเหล่านี้มีฐานเงินทุนแข็งแกร่งพอที่จะต้านทานภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยรุนแรงได้หรือไม่
การทดสอบภาวะวิกฤตรอบใหม่ซึ่งมีรายชื่อสถาบันการเงินใหม่ๆเข้ามาเพิ่มเติมนั้น เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับที่กระแสความวิตกกังวลของนักลงทุนเรื่องการลุกลามของวิกฤตหนี้ยูโรโซนและความเสียหายที่สถาบันการเงินได้รับจากวิกฤตหนี้ ได้สร้างความปั่นป่วนในตลาดเมื่อไม่นานมานี้
ทั้งนี้ เฟดได้เพิ่มรายชื่อสถาบันการเงินอีก 12 แห่งที่จะต้องเข้ารับการทดสอบภาวะวิกฤต หลังจากที่เฟดได้ทำการทดสอบสถาบันการเงินไปแล้ว 19 แห่งในปี 2554 โดยเฟดระบุว่า สถาบันการเงินใดที่มีทรัพย์สินมูลค่ามากกว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์จะต้องเข้ารับการทดสอบ เพราะถือเป็นสถาบันการเงินที่มีความสำคัญในเชิงระบบตามที่กฎหมายปฏิรูปการเงินด็อด-แฟรงค์กำหนดไว้
เฟดระบุว่า ระดับของการให้รายละเอียดและการวิเคราะห์ฐานเงินทุนของสถาบันการเงินแต่ละแห่งนั้น จะขึ้นอยู่กับขนาด ความซับซ้อน ประวัติความเสี่ยง และขอบข่ายของการดำเนินงาน ของสถาบันการเงิน โดยสถาบันการเงินเหล่านี้จะต้องยื่นแผนเงินทุนต่อคณะกรรมการเฟดก่อนวันที่ 9 ต.ค.ปีหน้า เพื่อแสดงหลักฐานว่าสถาบันการเงินมีเงินทุนสำรองที่เพียงพอต่อการรับมือกับภาวะหนี้สูญที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเมื่อเศรษฐกิจถดถอย
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เฟดได้เริ่มดำเนินการทดสอบภาวะวิกฤตของสถาบันการเงินรายใหญ่ในสหรัฐเป็นรายปีมานับตั้งแต่ปี 2552 หลังจากที่เกิดวิกฤตการณ์การเงินไปทั่วโลก
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช/ปนัยดา โทร.02-2535000 ต่อ 323 อีเมล์: [email protected]--
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศว่าจะทำการทดสอบภาวะวิกฤต (stress test) ของสถาบันการเงินรายใหญ่สุด 31 แห่งในสหรัฐ รอบใหม่ในปีหน้า เพื่อกำหนดว่าธนาคารเหล่านี้มีฐานเงินทุนแข็งแกร่งพอที่จะต้านทานภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยรุนแรงได้หรือไม่
การทดสอบภาวะวิกฤตรอบใหม่ซึ่งมีรายชื่อสถาบันการเงินใหม่ๆเข้ามาเพิ่มเติมนั้น เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับที่กระแสความวิตกกังวลของนักลงทุนเรื่องการลุกลามของวิกฤตหนี้ยูโรโซนและความเสียหายที่สถาบันการเงินได้รับจากวิกฤตหนี้ ได้สร้างความปั่นป่วนในตลาดเมื่อไม่นานมานี้
ทั้งนี้ เฟดได้เพิ่มรายชื่อสถาบันการเงินอีก 12 แห่งที่จะต้องเข้ารับการทดสอบภาวะวิกฤต หลังจากที่เฟดได้ทำการทดสอบสถาบันการเงินไปแล้ว 19 แห่งในปี 2554 โดยเฟดระบุว่า สถาบันการเงินใดที่มีทรัพย์สินมูลค่ามากกว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์จะต้องเข้ารับการทดสอบ เพราะถือเป็นสถาบันการเงินที่มีความสำคัญในเชิงระบบตามที่กฎหมายปฏิรูปการเงินด็อด-แฟรงค์กำหนดไว้
เฟดระบุว่า ระดับของการให้รายละเอียดและการวิเคราะห์ฐานเงินทุนของสถาบันการเงินแต่ละแห่งนั้น จะขึ้นอยู่กับขนาด ความซับซ้อน ประวัติความเสี่ยง และขอบข่ายของการดำเนินงาน ของสถาบันการเงิน โดยสถาบันการเงินเหล่านี้จะต้องยื่นแผนเงินทุนต่อคณะกรรมการเฟดก่อนวันที่ 9 ต.ค.ปีหน้า เพื่อแสดงหลักฐานว่าสถาบันการเงินมีเงินทุนสำรองที่เพียงพอต่อการรับมือกับภาวะหนี้สูญที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเมื่อเศรษฐกิจถดถอย
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เฟดได้เริ่มดำเนินการทดสอบภาวะวิกฤตของสถาบันการเงินรายใหญ่ในสหรัฐเป็นรายปีมานับตั้งแต่ปี 2552 หลังจากที่เกิดวิกฤตการณ์การเงินไปทั่วโลก
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช/ปนัยดา โทร.02-2535000 ต่อ 323 อีเมล์: [email protected]--