ผมดูสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ช่วงเวลาเกิดช่วงวิกฤตอย่างนี้ เป็นโอกาสสำหรับคนที่สนใจ “ความไร้ระเบียบ” เป้นพิเศษ
สำหรับในเว็บ THAIVI ท่านจะคุ้นกับคำว่า “MR. MARKET” มากกว่า มันก็ไม่ต่างกันหรอกครับ ทำความเข้าใจ “ความเสียง” ให้มากที่สุด “ความเสี่ยง” ในตัวมันเอง ไม่มีความเสี่ยงอยู่เลย ขึ้นกับมุมมองของคนทั้งนั้น ผมจะอธิบายในทางปฎิบัติให้ชัดเจนกว่านี้
ตอนนี้ในหมู๋บ้านผมน้ำท่วมสูงเท่าเข่าแล้ว แต่ละที่น้ำท่วมไม่เท่ากัน หน้าหมู๋บ้านกับหลังไม่เท่ากัน เห็นได้ชัดเลย มันเทไปทางหลังหมู๋บ้านสูงเท่าเอวแล้ว แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้น ไม่ว่าข้าวของเสียหายบ้านโน้น บ้านนี้เป้นตัวเลขเท่าใด มันไม่ได้ขึ้นกับขนาดของน้ำว่ามาสูงเร็วดำขาวขนาดไหน มันขึ้นกับว่าเราเตรียมใจ เตรีมกายรับมือกับมันมากแค่ไหน
ในฐานะนักลงทุน พวก X-Men อยู่แล้ว พวกเราทราบเรื่อง "ความเสี่ยง" ดีกว่าคนอื่นอยู่แล้ว อย่างเรื่องน้ำท่วมนี่ เราเข้าใจกันดีว่า SIZE ของภัยธรรมชาติที่มา "ต้นทาง" มีมากแค่ไหน ถึงเจอปริมาณน้ำที่มากเท่ากันนะครับ แต่พอมาถึง "ปลายทาง" มันขึ้นกับอยู๋กับคนที่เจอมัน
น้ำท่วมครั้งนี้ถึงแม้ใครบอกว่าร้ายแรงที่สุดตั้งแต่เจอกันมา ผมก็จำกัดให้ตัวเลขมันแค่ 20-30 % เท่านั้นเพราะผมเคยเจอทั้งแผ่นดินไหว พายุหิมะ โทเนโด ผมเลยให้ตัวเลขน้ำท่วมมันต่ำ ดี่ยวนี้เจอหนักหนาแค่ไหน ผมก็ให้มันแค่นี้ ไม่เกิน 30 อีก 60-70% อยู่ที่ตัวเราครับ ผมให้ความสำคัญกับ "ปลายทาง" มากกว่า มาเตรียมวิธีรับมื่อกับมันดีกว่า ก่อน ระหว่าง หลัง จะทำอย่างไรบ้าง
ถ้าซึนามิมาเกิดเมื่องไทย คนเจเปนเขาตายแค่หมื่น คนไทยตายเป็นแสน
อย่าผมโกรธผมที่พูดอย่างนั้น
มันเทียบกันไมได้เพราะเขาเจอภัยธรรมชาติเยอะมาก
ข้อดีคือมันสร้างค่านิยมที่ดีให้แก่ประเทศของเขา
SIZE ของภัยภิบัติของเราน้อยกว่าพี่ยุ่นเขาเยอะ
แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นของเรากลับสูสีกับเขา
บางทีผมว่ามากกว่าด้วยซ้ำ
ตอนนี้ท่านพอทราบแล้วว่า
"ทำไมตลาดหุ้นไทยถึงผันผวนมากกว่าที่อื่น"
เราจัดการกับความเสี่ยงไม่เก่งกันนั่นเองครับ
โทษใครละครับ
โทษที่ภัยธรรมชาติครับ
ถ้าเกิดบ่อยๆ พวกเราคนเก่งมากกว่านี้
อย่างแรก ยอมรับก่อนครับ
ปัญหาของธรรมชาติ ห้ามมันไม่ได้
แต่แก้ที่นิสัยคนไทยให้เปิดรับกับความเสี่ยงให้มากกว่านี้ได้
เปิดอย่างไรครับ
หนึ่ง สอนตัวเองให้วัดค่าความเสี่ยงให้เป็น ความเสี่ยงในไทยมันน้อยกว่าเจเปนก็จริง มองทางสถิติไม่ได้เลยว่าเกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน มองผลกระทบดีกว่าครับ ถ้าไปยึดติดข้อมูลย้อนหลังมากเกินไป มองความเสี่ยงผิดเพี่ยนหมดเลย อย่างเหตุการณ์บางอย่างมันมีโอกาสน้อย 10 20 50 ปีโผล่มาทีอย่างนี้ เลยไม่สนใจ เวลามันมาจริง ผลกระทบมันรุนแรงมากกว่า คราวนี้พอทราบแล้วว่า
"ทำไมข้อมูลซื้อ/ชายต่างชาติถึงต้องเป็นตัวเลขบวกในช่วง bearish ตอนนี้"
เวลาทุกอย่างทางลบมันจบ ผลกระทบทางบวกมันถึงแรง
เขาเล่นกับนิสัยคนไทยนั่นเองครับ
สอง สอนตัวเองให้เรื่องเวลาและความเสี่ยงแต่บริษัทไหนเป็นอย่างไร ความเสี่ยงเรื่องอะไรมันมันกระทบกับบริษัทมันก็ต่างกันนะครับ แต่ละบริษัทไม่ได้เสี่ยงเหมือนกันทุกเรื่อง ทุกที่ ทุกเวลา บางบริษัทอาจจะเสี่ยงเรื่องนี้เรื่องนั้นและเฉพาะในช่วงเวลานี้ เวลานั้นของปีอีกด้วย เราต้องรู้ให้ได้
"คราวนี้พอทราบแล้วว่าทำไมหุ้นอ้อยหวานถึงได้รับความสนใจเป็นพิเศษในช่วงนี้"
สาม เตรียมรับมือกับความเสี่ยงที่ท่านไป copy วิธีคนอื่นมา ปัญหาของคนไทยคือ เห้นเขามีเป็นดุ้นก็อยากมีแบบเขา ลอกเอาวิธีมาทั้งแท่ง แต่ไม่ได้ปรับให้สอดคล้องกับตัวเอง การใช้ชีวิตของเรา ข้อจำกัดของเรา ความเชื่อของเรา และ “วัฒนธรรม”ของนักลงทุนแต่ละท่านก็ไม่เหมือนกัน
"ท่านพอทราบมากขึ้นแล้วว่า ความผันผวนเกิดจากอะไร"
สี่ สอนตัวเองให้มองภาพใหญ่ครับ เสียน้อยเสียง่าย เสียมากเสียยาก ป้องกันดีกว่าแก้ปัญหา การเล่นระยะสั้นนั้นเหมือนการหาวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่คนไทยเก้งเรื่องนี้มาก
แต่การลงทุนระยะยาวเมือนการลงทุนการป้องกันที่เป็นภาพของปัญหาในมุมกว้าง
ท่านพอทราบมากขึ้นแล้วว่า ความผันผวนเกิดจากอะไร
ข้อจำกัดที่ต้องยอมรับ
คนกรุงเทพขาดอะไรครับตอนนี้?
ขาดเวทีครับ
ชกกันไปเลยครับ
ไม่ใช่อย่างนั้นครับ
แล้วจะสอนลูกหลานในระยะยาวได้อย่างไร
เวทีนี้อยู๋ในใจเราทุกคน
ไปดูคนเจเปนไหมครับ เอาข้อดีของเขามา
ผมทราบว่า เขาก็มีข้อเสีย แต่มามองข้อดีกันครับ
ข้อเสียของเราก็มี อย่างหนึ่งนิสัยคนกรุงเทพใจแคบเกินไป
มันไม่หลอมแบบคนเจเปนเขา
แต่มันก็ไม่เหมือนกันอีก คนเขามีค่านิยมทุกคนต้องทำอะไรเหมือนกัน
ต่างออกไปมันแปลกกว่าชาวบ้าน เขาปลูกฝังว่าต้องทำอะไรเพื่อส่วนรวม
แล้วได้รับความชื่นชนมากด้วย อย่างเมื่อวานผมดูข่าว
ที่เสปนราชวงศ์เขามอบรางวัลอะไรสักอย่าง
ให้กับคนญี่ปุ่นที่เข้าไปต่อสู่กับการรั่วไหลของสารกันมันตภาพ
เสปนทำไปทำไม เขากำลังปลุกค่านิยมให้คนในประเทศเสปน
" THAIVI ก็เคยปลูกฝังค่านิยมอย่างนี้มานานแล้ว เสียดายค่านิยมนี้ไม่ต่อเนื่อง"
ท่านพอทราบมากขึ้นแล้วว่า ความผันผวนเกิดจากอะไร?
บ้านเราไม่มีค่านิยมแบบนั้น การทำอะไรเพื่อคนอื่นถือว่าแปลก
มัน invert กับคนเจเปนเขา
การทำเพื่อส่วนรวมไม่ได้เป็นสิ่งที่ได้รับการชื่นชมมากเทาที่ควร
มันสะท้อนออกมาในสังคมไทยนานแล้ว
เรากลับไปให้การชื่นชมและยอมรับกับคนที่เด่นดัง
ที่ญี่ปุ่นไม่มีใครเด่นแต่รวมพลังกันถึงขับเคลื่อนอะไรไปได้อย่างนั้น
ถ้าญี่ปุ่นต่างคนต่างเด่นคงก้าวมาไม่ถึงขนาดนี้
"ความตระหนักส่วนตัวในข้อนี้จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อรู้จักความเสียสละเท่านั้น"
เปลี่ยนพื้นฐานนิสัยคนไทยได้ไหม?
ถ้าเปลี่ยนได้ ความผันผวนจะน้อยกว่านี้?
เปลี่ยนยากครับ ผมว่าเปลี่ยนไม่ได้เลย
นอกจากเปลี่ยนค่านิยมกันใหม่
ลงข่าวใหม่หมด คนไหนช่วยคนอื่นเขา
จับมาลงข่าวเลย สร้างค่านิยมใหม่ๆ ให้เด็กชื่นชมคนที่เสียสละ
แล้วจัดเป็นหลักสูตรการเรียนเลย การแก้ปัญหาเรื่องภัยธรรมชาติ
" สอนให้เด็กๆ เปิดรับเรื่องความเสี่ยงกันมากกว่านี้ ความผันผวนจะน้อยกว่านี้"
เหมือน WARREN BUFFETT และ George Soros สอนให้ยอมรับเรื่องการขาดทุน
ความผันผวนในใจพวกเขามันเลยน้อยมาก"
สุดท้ายไม่ว่าเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับความเสี่ยงได้ดีแค่ไหน
ทั้งระหว่าง ทั้งหลัง ดีแค่ไหน
ทำไปก็แค่นั้นครับ
ถ้ามันมีการเมืองเข้ามาเกี่ยว
การเมืองแบบไหนครับ
ทั้งการเมืองในจิตใจของเรา
การเมืองของท้องถิ่น
การเมืองของประเทศ
แต่ THAIVI ทำได้นี่ครับ
นอกจากว่าเรามีการเมืองเช่นเดียวกัน
ทำไมบ้านเราถึงผันผวนมากกว่าที่อื่น
ตอนนี้ท่านพอทราบแล้วว่า ความผันผวนเกิดจากอะไร
“เกิดจากนิสัยคนไทยอย่างท่านละครับ”
ทำไมความผันผวนในตลาดหุ้นไทยจึงมากกว่าที่อื่น?
- Rocker
- Verified User
- โพสต์: 4886
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมความผันผวนในตลาดหุ้นไทยจึงมากกว่าที่อื่น?
โพสต์ที่ 2
พี่โหน่งครับ ผมขอ ชมพี่ที่เขียนบทความต่างๆสอนพวกเรานะครับ
ผมก็เห็นเช่นเดียวกับพี่ครับ
" คนไทยสมัยนี้หลายคน เป็นทาสวัตถุ"ครับ คิดไม่ค่อยได้ ห้ามใจไม่ค่อยได้ ค่านิยม ทําตามๆกัน โดยเฉพาะ ผู้นําในแต่ละกลุ่มของตน เช่นเค้ามีiPhone เราก็ต้องซื้อตาม ไม่งั้นจะไม่ได้รับการยอมรับ Herd Instinct หรือ บางคน กู้เงินมาซื้อ Benz Bmw เพื่อให้คนกราบไหว้ก็ยังมี
สังคมเรายังนับถือ คนที่ วัตถุเป็นหลักครับ วัดคุณค่าคนที่ ฐานะ ซึ่งต่างจากเมืองนอกที่ ศิวิไลแล้ว
ครับ คุณจะ ขับ Benz Bmw ก็ได้รับการปฎิบัติ เท่าเที่ยม กัน บ้านเรา มัน หลายStandard ตาม ฐานะ
ถ้ามีตังค์ มีอํานาจ แม้ยิงตํารวจตาย ยังรอดเลยครับ
คนไทยส่วนใหญ่จึง มุ่งแสวงหาประโยชน์ เข้าตัวเองมากกว่าส่วนรวม เพราะคิดว่า ถ้าข้า รวย ข้าก็จะมีความสุข
คนก็จะเข้าหา กราบไหว้ Expectation เรื่องผลตอบแทนส่วนตัวของ เค้าจึงสูงงงงมากครับ ความคิดส่วนรวม
จึงไม่มาก ขนาดนํ้าท่วมช่อง 7 ออกข่าว ยังมี ชกต่อย ตี กัน แย่งของบริจาคเลยครับ ขณะที่ ญี่ปุ่่น
เมื่อต้นปี แผ่นดินไหว แม้แต่โจร ปล้น ยังไม่มีข่าวสักนิดครับ เพราะเค้ามีความละอายใจครับ ว่าพี่น้องร่วมชาติเดือดร้อนแล้วยังมาทําแบบนี้
สาเหตุหลักต้นตอ ผมว่า เพราะ การศึกษาไทยไม่สอนให้คิดครับ ยังเป็นระบบท่องจําอยู่ ให้คะแนน ผิด กับ ถูก เท่านั้น ระบบสอบยัง X อยู่คําถามเปิดน้อย แม้แต่ใน มหาลัย ก็ตาม ซึ่งต่างจาก ตปท ที่ ระบบคําถามจะเปิดมากกว่าทําให้อธิบายคําตอบได้ มาก คําตอบเดียวกัน Logic วิธีคิด ที่มายังต่างกันเลยครับ 5+5= 10 หรือ 7+3 ก็ = 10
ที่ ตปท บาง U แม้ตอบถูก แต่ Logic ผิด เค้าก็ให้ผิดครับดังนั้นถ้า ระบบการศึกษาไทยยังไม่แก้ไข ปรับปรุง คุณภาพคนและสังคมที่ออกมา ก็จะเป็นแบบ ปัจจุบันครับ
ดูได้จากคุณภาพ บัณฑิต เรา ความต่างระหว่าง ม.รัฐ เอกชน ราชภัฎ เวลาไปสมัครงาน คุณว่า HR จะ Screen ม ไหนใครเข้าก่อน และ ออกก่อน เพราะอะไร
ขณะที่ ต่างประเทศ us uk aus canada new japan etc คุณภาพการศึกษาระหว่าง
Top University กับ University ระดับทั่วไปที่ไม่ดัง ไม่ได้ต่างกันขนาดบ้านเราครัับ
นักลงทุนซื้อขายหุ้นตัวเดียวกัน ราคาเดียวกัน Logic ก็ยังต่างกันเลย อั๊วซื้อลงทุน 10 บาท ขึ้น 5 บาทขายดีก่า Overvalue อั๊วซื้อเก็งกําไร 10 บาท ขึ้น 5 บาทขาย พอใจแล้วกําไรบาน 50%
และ ผมก็คิดว่า การศึกษาไทย ก็คงยังไม่แก้ไขหรอกครับ เพราะ นักการเมือง อาจไม่ต้องการให้คนส่วนใหญ่ คิดเป็น ก็ได้มั้งครับ แน่นอน ถ้าคนคิดได้ ผิด ถูก ก็ยากต่อการปกครอง แถมกลับ มาค้านต่อต้าน ขัดผลประโยชน์ของ ผู้มีส่วนได้เสีย บางกลุ่มอีก ถ้าคิดได้ก็จะเลิกเสพวัตถุนิยม แบบผิดๆ รู้ว่าอะไรควรซื้อไม่ควร ซื้อ นายทุนต่างๆก็เสียประโยชน์ ขายได้น้อยลง ถ้าคิดไม่ได้ก็ต้องเป็นทาสของเงิน ทํางานรับใช้หาเลี้ยงนายทุนต่อไป ครับ
ผมก็เห็นเช่นเดียวกับพี่ครับ
" คนไทยสมัยนี้หลายคน เป็นทาสวัตถุ"ครับ คิดไม่ค่อยได้ ห้ามใจไม่ค่อยได้ ค่านิยม ทําตามๆกัน โดยเฉพาะ ผู้นําในแต่ละกลุ่มของตน เช่นเค้ามีiPhone เราก็ต้องซื้อตาม ไม่งั้นจะไม่ได้รับการยอมรับ Herd Instinct หรือ บางคน กู้เงินมาซื้อ Benz Bmw เพื่อให้คนกราบไหว้ก็ยังมี
สังคมเรายังนับถือ คนที่ วัตถุเป็นหลักครับ วัดคุณค่าคนที่ ฐานะ ซึ่งต่างจากเมืองนอกที่ ศิวิไลแล้ว
ครับ คุณจะ ขับ Benz Bmw ก็ได้รับการปฎิบัติ เท่าเที่ยม กัน บ้านเรา มัน หลายStandard ตาม ฐานะ
ถ้ามีตังค์ มีอํานาจ แม้ยิงตํารวจตาย ยังรอดเลยครับ
คนไทยส่วนใหญ่จึง มุ่งแสวงหาประโยชน์ เข้าตัวเองมากกว่าส่วนรวม เพราะคิดว่า ถ้าข้า รวย ข้าก็จะมีความสุข
คนก็จะเข้าหา กราบไหว้ Expectation เรื่องผลตอบแทนส่วนตัวของ เค้าจึงสูงงงงมากครับ ความคิดส่วนรวม
จึงไม่มาก ขนาดนํ้าท่วมช่อง 7 ออกข่าว ยังมี ชกต่อย ตี กัน แย่งของบริจาคเลยครับ ขณะที่ ญี่ปุ่่น
เมื่อต้นปี แผ่นดินไหว แม้แต่โจร ปล้น ยังไม่มีข่าวสักนิดครับ เพราะเค้ามีความละอายใจครับ ว่าพี่น้องร่วมชาติเดือดร้อนแล้วยังมาทําแบบนี้
สาเหตุหลักต้นตอ ผมว่า เพราะ การศึกษาไทยไม่สอนให้คิดครับ ยังเป็นระบบท่องจําอยู่ ให้คะแนน ผิด กับ ถูก เท่านั้น ระบบสอบยัง X อยู่คําถามเปิดน้อย แม้แต่ใน มหาลัย ก็ตาม ซึ่งต่างจาก ตปท ที่ ระบบคําถามจะเปิดมากกว่าทําให้อธิบายคําตอบได้ มาก คําตอบเดียวกัน Logic วิธีคิด ที่มายังต่างกันเลยครับ 5+5= 10 หรือ 7+3 ก็ = 10
ที่ ตปท บาง U แม้ตอบถูก แต่ Logic ผิด เค้าก็ให้ผิดครับดังนั้นถ้า ระบบการศึกษาไทยยังไม่แก้ไข ปรับปรุง คุณภาพคนและสังคมที่ออกมา ก็จะเป็นแบบ ปัจจุบันครับ
ดูได้จากคุณภาพ บัณฑิต เรา ความต่างระหว่าง ม.รัฐ เอกชน ราชภัฎ เวลาไปสมัครงาน คุณว่า HR จะ Screen ม ไหนใครเข้าก่อน และ ออกก่อน เพราะอะไร
ขณะที่ ต่างประเทศ us uk aus canada new japan etc คุณภาพการศึกษาระหว่าง
Top University กับ University ระดับทั่วไปที่ไม่ดัง ไม่ได้ต่างกันขนาดบ้านเราครัับ
นักลงทุนซื้อขายหุ้นตัวเดียวกัน ราคาเดียวกัน Logic ก็ยังต่างกันเลย อั๊วซื้อลงทุน 10 บาท ขึ้น 5 บาทขายดีก่า Overvalue อั๊วซื้อเก็งกําไร 10 บาท ขึ้น 5 บาทขาย พอใจแล้วกําไรบาน 50%
และ ผมก็คิดว่า การศึกษาไทย ก็คงยังไม่แก้ไขหรอกครับ เพราะ นักการเมือง อาจไม่ต้องการให้คนส่วนใหญ่ คิดเป็น ก็ได้มั้งครับ แน่นอน ถ้าคนคิดได้ ผิด ถูก ก็ยากต่อการปกครอง แถมกลับ มาค้านต่อต้าน ขัดผลประโยชน์ของ ผู้มีส่วนได้เสีย บางกลุ่มอีก ถ้าคิดได้ก็จะเลิกเสพวัตถุนิยม แบบผิดๆ รู้ว่าอะไรควรซื้อไม่ควร ซื้อ นายทุนต่างๆก็เสียประโยชน์ ขายได้น้อยลง ถ้าคิดไม่ได้ก็ต้องเป็นทาสของเงิน ทํางานรับใช้หาเลี้ยงนายทุนต่อไป ครับ
- Rocker
- Verified User
- โพสต์: 4886
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมความผันผวนในตลาดหุ้นไทยจึงมากกว่าที่อื่น?
โพสต์ที่ 3
ที่กล่าวข้างบน หาก การศึกษาไทย สอนให้เด็กไทยคิดเป็น ปลูกฝังการเสียสละ เพื่อส่วนรวม ให้คุณค่ากับจิตใจของคนมากกว่าวัตถุจะช่วย ลดความเสี่ยงได้เยอะนะครับ
เพราะเมื่อ ทุกคนสามัคคีกัน ก็ระดมสมองหาทางออกได้ในที่สุดเองแหละครับ โดยคิดถึงส่วนรวมเป็นหลัก ไม่งั้น ป้องกันไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะการป้องกัน ขัดผลประโยชน์ส่วนตัว
ก็จะได้รับการต่อต้านและไม่ร่วมมือ แม้มันจะดีต่อ ส่วนรวมรับ
ถ้าผู้จัดการร้านร่วมมือ กับ Cashier ในร้านโกง ถึงมีระบบกันความเสี่ยง ก็กันยากครับ
อยู่ที่ความร่วมมือครับ
เพราะเมื่อ ทุกคนสามัคคีกัน ก็ระดมสมองหาทางออกได้ในที่สุดเองแหละครับ โดยคิดถึงส่วนรวมเป็นหลัก ไม่งั้น ป้องกันไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะการป้องกัน ขัดผลประโยชน์ส่วนตัว
ก็จะได้รับการต่อต้านและไม่ร่วมมือ แม้มันจะดีต่อ ส่วนรวมรับ
ถ้าผู้จัดการร้านร่วมมือ กับ Cashier ในร้านโกง ถึงมีระบบกันความเสี่ยง ก็กันยากครับ
อยู่ที่ความร่วมมือครับ