อยากทราบความเห็นของพี่ IH เกี่ยวกับดำรงชีวิตหน่อยครับ
- maxdesign
- Verified User
- โพสต์: 8
- ผู้ติดตาม: 0
อยากทราบความเห็นของพี่ IH เกี่ยวกับดำรงชีวิตหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1
อยากทราบความเห็นของพี่ IH เกี่ยวกับดำรงชีวิตหน่อยครับ (คัดลอกจากเว็บกระทิงเขียว)
(ขอบคุณ คุณ ichbinpao มากนะครับที่ตั้งกระทู้ให้พวกเราได้อ่านกัน)
##ichbinpao ถาม
คือ อยากถามมุมมองพี่ของ IH เกี่ยวกับการลงทุนกับการใช้ชีวิตครับ คือตอนนี้ทำเป็นมนุษย์เงินเดือนอยู่ซึ่งตอนนี้ผมคิดว่าอยากจะออกมาจากวงจรมนุษย์เงินเดือนให้เร็วที่สุด ซึ่งก็คิดว่ามี 2 วิธีคือเจ้าของกิจการกับนักลงทุน คำถามผมคือ
1. ถ้าต้องการออกจากวงจรมนุษย์เงินเดือนจะต้องเป็นนักลงทุนสไตล์ไหนครับ ถ้าเงินต้นประมาณ 1 ล้านบาทแต่ต้องการออกจากมนุษย์เงินเดือนภายใน 10 ปีครับ
(สไตล์คือ vi แบบไหนงะครับ คือลาออกจากงานและทุ่มชีวิตกับการลงทุน หรือว่าทำมนุษย์เงินเดือนควบคู่กับการลงทุนไปด้วย)
2. และนักลงทุนแบบพี่ IH , พี่โจลูกอีสาน หรือ พี่หมอบำรุง ต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับห้นในแต่ละวันเยอะขนาดไหนครับ (กี่ชมต่อวันครับ)
3. ผมลองคำนวณผลตอบแทนต่อปี ถ้าเงินต้นน้อยประมาณ 1 ล้านบาทจะต้องลงทุนได้ผลตอบแทนเกิน 30 % ต่อปีซึ่งมีความเป็นไปได้มากน้อยขนาดไหนครับ เพราะผมคิดว่า 15 % ต่อปีก็ยากมากแล้วนะครับ
ขอบพระคุณล่วงหน้าครับ
----------------------------------------------
##Invisible_hand ตอบ
1. ถ้าต้องการออกจากวงจรมนุษย์เงินเดือนจะต้องเป็นนักลงทุนสไตล์ไหนครับ ถ้าเงินต้นประมาณ 1 ล้านบาทแต่ต้องการออกจากมนุษย์เงินเดือนภายใน 10 ปีครับ
(สไตล์คือ vi แบบไหนงะครับ คือลาออกจากงานและทุ่มชีวิตกับการลงทุน หรือว่าทำมนุษย์เงินเดือนควบคู่กับการลงทุนไปด้วย)
- การลาออกจากงานแล้วลงทุนอย่างเดียวก็ควรจะมีเงินลงทุนก้อนหนึ่งที่มากพอที่เราจะนำเงินปันผลมาใช้จ่ายได้ การคาดหวังว่าจะนำกำไรหรือ capital gain มาใช้จ่ายนั้นจะทำไม่ได้ในปีที่ผลตอบแทนติดลบ และทำให้เราเกิดความกดดันและความเครียดมากเกินไปแล้วส่งผลต่อทั้งสุขภาพและประสิทธิภาพการตัดสินใจได้ครับ ดังนั้นหลักคำนวณง่ายๆ คือ เงินปันผลที่คาดว่าจะได้รับเช่น 4-5% ต่อปีนั้นควรจะเพียงพอกับรายจ่ายของครอบครัวเราครับ และควรจะมากกว่าในระดับหนึ่งเผื่อในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดีแล้วเงินปันผลอาจจะลดลงด้วยครับ ดังนั้น ถ้าจะถามว่าต้องมีเงินเท่าไหร่ถึงจะลาออกจากงานประจำมาเป็นนักลงทุนเต็มตัว คำตอบก็คือ ไม่มีจำนวนเงินที่ตายตัวครับขึ้นอยู่กับรายจ่ายและ lifestyle ของเราครับ
อนึ่ง ผมคิดว่าคนที่เหมาะกับทางเลือกในการที่จะออกจากงานประจำมาเป็นนักลงทุนเต็มตัวนั้นน่าจะเป็นนักลงทุนที่อาจจะไม่ค่อยมีความสุขกับงานประจำ งานที่ทำมีความเครียดและความกดดันสูง ไม่สามารถหางานที่ทำแล้วมีความสุขหรือสนุกกับงานได้ ซึ่งจะว่าไปงานที่ทำแล้วสนุกและมีความสุขแบบที่ว่านี้ก็เริ่มหายากขึ้นทุกทีภายใต้สังคมและระบบเศรษฐกิจที่มีการแข่งขันสูง แต่สำหรับคนที่โชคดีที่รักและมีความสุขกับงานที่ทำในระดับหนึ่ง รวมถึงมีความสุขกับสังคมที่ทำงาน รวมถึงการลงทุนไม่ได้ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง คนที่โชคดีเหล่านี้ผมคิดว่าแม้มีเงินลงทุนเท่าไหร่ผมก็ไม่เห็นความจำเป็นจะต้องลาออกจากงานประจำมาลงทุนอย่างเดียวนะครับ
2. และนักลงทุนแบบพี่ IH , พี่โจลูกอีสาน หรือ พี่หมอบำรุง ต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับห้นในแต่ละวันเยอะขนาดไหนครับ (กี่ชมต่อวันครับ)
- สำหรับตัวผมนั้นไม่ได้บังคับตัวเองว่าแต่ละวันต้องอ่านอะไรบ้างหรืออย่างน้อยวันละกี่ชั่วโมงนะครับ นอกจากนี้ ปัจจุบันผมเองไม่ได้ถึงกับลงทุนเป็น full time เนื่องจากรับเป็นที่ปรึกษาให้กับโรงเรียนแห่งหนึ่งโดยที่ไม่ได้รับเงินเดือน ซึ่งประเด็นนี้ผมมองว่าเป็นข้อดีอย่างหนึ่งของการมีอิสรภาพทางการเงิน การมีอิสระทางการเงินในความหมายของผมนั้น ผมมองว่าการมีอิสระทางการเงินไม่ได้หมายถึงการที่จะไม่ต้องทำงานเสมอไป แต่หมายรวมถึงการที่แม้เราจะมีอิสรภาพทางการเงิน เราก็ยังทำงานประจำต่อไป หรือทำงาน part-time อะไรก็ได้ ที่เราสามารถเลือกทำงานในสิ่งที่เรารัก โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องให้เงินเดือนหรือผลตอบแทนเป็นปัจจัยหลักในการเลือกงานอีกต่อไป การมีอิสรภาพทางการเงินทำให้ เราไม่จำเป็นจะต้องสิ่งที่เราไม่ชอบ หรือทำสิ่งที่ฝืนกับความรู้สึกตัวเอง หรืออดทนกับสิ่งที่ไม่น่าจะต้องอดทนในการทำงาน เพียงด้วยเหตุผลว่ากลัวจะต้องตกงานครับ
ถ้าตอบคำถามนี้ ผมพยายามให้การลงทุนมาเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตครับ เวลาขับรถ เดินห้าง หรือพูดคุยกับเพื่อนๆ หรือคุยงาน ผมพยายามจะสังเกตและวิเคราะห์สิ่งต่างๆ เพื่อดูว่าสิ่งที่ผมได้เห็น ได้ฟังในแต่ละวันนั้นมันมีอะไรที่เกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์กับการลงทุนบ้าง แต่สิ่งที่จำเป็นที่สุดอย่างหนึ่งก็คือการอ่านข้อมูล ความรู้ต่างๆ ทั้งในหนังสือพิมพ์และทาง website ต่างๆ ครับ
3 ผมลองคำนวณผลตอบแทนต่อปี ถ้าเงินต้นน้อยประมาณ 1 ล้านบาทจะต้องลงทุนได้ผลตอบแทนเกิน 30 % ต่อปีซึ่งมีความเป็นไปได้มากน้อยขนาดไหนครับ เพราะผมคิดว่า 15 % ต่อปีก็ยากมากแล้วนะครับ
- ทุกอย่างมีความเป็นไปได้ครับ แต่การลงทุนให้ได้ผลตอบแทน 30% ต่อปีติดต่อกัน 10 ปีก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งพอร์ตใหญ่ขึ้นก็จะยิ่งทำยากขึ้นเพราะจำนวนหุ้นที่สามารถซื้อได้ก็จะลดลง และการลงทุนเมื่อพอร์ตเล็กหน่อยก็อาจจะสามารถ focus คือ ลงทุนในหุ้น 2-3 ตัวได้ แต่เมื่อพอร์ตใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ก็อาจจะต้องกระจายการลงทุนในหุ้นมากตัวขึ้น หรือไม่สามารถซื้อหุ้นตัวเล็กๆ ที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนสูงแต่ สภาพคล่องไม่มากนักได้ แม้แต่ในช่วง 5 ปีแรก การทำผลตอบแทนในบางปีให้ได้ 30% คงจะไม่ใช่เรื่องยากเกินไปนัก แต่การทำผลตอบแทน “ เฉลี่ย “ ให้ได้ 30% ต่อปีนั้นก็ไม่ง่าย เพราะคำว่า “ เฉลี่ย “ นั้นรวมถึงผลตอบแทนในปีที่ไม่ดีด้วย ดังนั้นถ้ามีปีที่ผลตอบแทนติดลบก็เท่ากับว่าในปีต่อๆ ไปผลตอบแทนก็ต้องทำให้ได้สูงกว่า 30% ไปพอสมควรครับ ส่วนการที่จะให้ผลตอบแทนสูงนั้นก็คงต้องถือหลัก ฟิสิกส์ที่ว่า action = reaction ครับ คือ ออกแรงเท่าไหร่ผลที่ได้รับกลับมาก็ตามที่ได้ลงแรงไปครับ ไม่มีสูตรลัดหรือสูตรสำเร็จสำหรับการลงทุนครับทุกอย่างจะต้องได้มาด้วยความพยายามครับ
สำหรับคนที่ทำงานหนักจนถึงอายุ 40 กว่าหรือ 50 กว่าแล้วมีอิสรภาพทางการเงินถ้าจะออกมาลงทุน พักผ่อน ใช้เวลาทีเหลือหาความสุขให้กับชีวิตให้คุ้มค่ากับที่ได้ทำงานหนักมาผมคิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไรครับ แต่ที่ผมเป็นห่วงคือปัจจุบันนักลงทุนที่มีฝีมือจำนวนไม่น้อยมีอิสรภาพทางการเงินตั้งแต่อายุ 20 กว่าๆ หรือ 30 กว่าๆ ซึ่งผมคิดว่าเป็นวัยที่เร็วเกินไปที่จะไม่ต้องทำงานครับ เพราะยังเหลือเวลาในชีวิตอีกมาก และยังมีกำลังเหลือที่จะทำอะไรให้กับโลกหรือประเทศไทยเรานี้อีกมากเช่นกัน บางทีพอร์ตที่ใหญ่โตก็ไม่ได้รับประกันว่าชีวิตจะต้องมีความสุขเสมอไปและมีสิ่งต่างๆ ในโลกนี้อีกมากที่เงินซื้อไม่ได้ และผมมองว่าการทำงานไม่ว่าจะเป็นงานประจำหรืองานอิสระต่างๆ ก็เป็นการฝึกตัวเราเองหลายๆ อย่างและทำให้ชีวิตเรามีคุณค่ามากขึ้นด้วยครับ
ขอบคุณทั้งสองท่านมากๆครับ
(ขอบคุณ คุณ ichbinpao มากนะครับที่ตั้งกระทู้ให้พวกเราได้อ่านกัน)
##ichbinpao ถาม
คือ อยากถามมุมมองพี่ของ IH เกี่ยวกับการลงทุนกับการใช้ชีวิตครับ คือตอนนี้ทำเป็นมนุษย์เงินเดือนอยู่ซึ่งตอนนี้ผมคิดว่าอยากจะออกมาจากวงจรมนุษย์เงินเดือนให้เร็วที่สุด ซึ่งก็คิดว่ามี 2 วิธีคือเจ้าของกิจการกับนักลงทุน คำถามผมคือ
1. ถ้าต้องการออกจากวงจรมนุษย์เงินเดือนจะต้องเป็นนักลงทุนสไตล์ไหนครับ ถ้าเงินต้นประมาณ 1 ล้านบาทแต่ต้องการออกจากมนุษย์เงินเดือนภายใน 10 ปีครับ
(สไตล์คือ vi แบบไหนงะครับ คือลาออกจากงานและทุ่มชีวิตกับการลงทุน หรือว่าทำมนุษย์เงินเดือนควบคู่กับการลงทุนไปด้วย)
2. และนักลงทุนแบบพี่ IH , พี่โจลูกอีสาน หรือ พี่หมอบำรุง ต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับห้นในแต่ละวันเยอะขนาดไหนครับ (กี่ชมต่อวันครับ)
3. ผมลองคำนวณผลตอบแทนต่อปี ถ้าเงินต้นน้อยประมาณ 1 ล้านบาทจะต้องลงทุนได้ผลตอบแทนเกิน 30 % ต่อปีซึ่งมีความเป็นไปได้มากน้อยขนาดไหนครับ เพราะผมคิดว่า 15 % ต่อปีก็ยากมากแล้วนะครับ
ขอบพระคุณล่วงหน้าครับ
----------------------------------------------
##Invisible_hand ตอบ
1. ถ้าต้องการออกจากวงจรมนุษย์เงินเดือนจะต้องเป็นนักลงทุนสไตล์ไหนครับ ถ้าเงินต้นประมาณ 1 ล้านบาทแต่ต้องการออกจากมนุษย์เงินเดือนภายใน 10 ปีครับ
(สไตล์คือ vi แบบไหนงะครับ คือลาออกจากงานและทุ่มชีวิตกับการลงทุน หรือว่าทำมนุษย์เงินเดือนควบคู่กับการลงทุนไปด้วย)
- การลาออกจากงานแล้วลงทุนอย่างเดียวก็ควรจะมีเงินลงทุนก้อนหนึ่งที่มากพอที่เราจะนำเงินปันผลมาใช้จ่ายได้ การคาดหวังว่าจะนำกำไรหรือ capital gain มาใช้จ่ายนั้นจะทำไม่ได้ในปีที่ผลตอบแทนติดลบ และทำให้เราเกิดความกดดันและความเครียดมากเกินไปแล้วส่งผลต่อทั้งสุขภาพและประสิทธิภาพการตัดสินใจได้ครับ ดังนั้นหลักคำนวณง่ายๆ คือ เงินปันผลที่คาดว่าจะได้รับเช่น 4-5% ต่อปีนั้นควรจะเพียงพอกับรายจ่ายของครอบครัวเราครับ และควรจะมากกว่าในระดับหนึ่งเผื่อในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดีแล้วเงินปันผลอาจจะลดลงด้วยครับ ดังนั้น ถ้าจะถามว่าต้องมีเงินเท่าไหร่ถึงจะลาออกจากงานประจำมาเป็นนักลงทุนเต็มตัว คำตอบก็คือ ไม่มีจำนวนเงินที่ตายตัวครับขึ้นอยู่กับรายจ่ายและ lifestyle ของเราครับ
อนึ่ง ผมคิดว่าคนที่เหมาะกับทางเลือกในการที่จะออกจากงานประจำมาเป็นนักลงทุนเต็มตัวนั้นน่าจะเป็นนักลงทุนที่อาจจะไม่ค่อยมีความสุขกับงานประจำ งานที่ทำมีความเครียดและความกดดันสูง ไม่สามารถหางานที่ทำแล้วมีความสุขหรือสนุกกับงานได้ ซึ่งจะว่าไปงานที่ทำแล้วสนุกและมีความสุขแบบที่ว่านี้ก็เริ่มหายากขึ้นทุกทีภายใต้สังคมและระบบเศรษฐกิจที่มีการแข่งขันสูง แต่สำหรับคนที่โชคดีที่รักและมีความสุขกับงานที่ทำในระดับหนึ่ง รวมถึงมีความสุขกับสังคมที่ทำงาน รวมถึงการลงทุนไม่ได้ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง คนที่โชคดีเหล่านี้ผมคิดว่าแม้มีเงินลงทุนเท่าไหร่ผมก็ไม่เห็นความจำเป็นจะต้องลาออกจากงานประจำมาลงทุนอย่างเดียวนะครับ
2. และนักลงทุนแบบพี่ IH , พี่โจลูกอีสาน หรือ พี่หมอบำรุง ต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับห้นในแต่ละวันเยอะขนาดไหนครับ (กี่ชมต่อวันครับ)
- สำหรับตัวผมนั้นไม่ได้บังคับตัวเองว่าแต่ละวันต้องอ่านอะไรบ้างหรืออย่างน้อยวันละกี่ชั่วโมงนะครับ นอกจากนี้ ปัจจุบันผมเองไม่ได้ถึงกับลงทุนเป็น full time เนื่องจากรับเป็นที่ปรึกษาให้กับโรงเรียนแห่งหนึ่งโดยที่ไม่ได้รับเงินเดือน ซึ่งประเด็นนี้ผมมองว่าเป็นข้อดีอย่างหนึ่งของการมีอิสรภาพทางการเงิน การมีอิสระทางการเงินในความหมายของผมนั้น ผมมองว่าการมีอิสระทางการเงินไม่ได้หมายถึงการที่จะไม่ต้องทำงานเสมอไป แต่หมายรวมถึงการที่แม้เราจะมีอิสรภาพทางการเงิน เราก็ยังทำงานประจำต่อไป หรือทำงาน part-time อะไรก็ได้ ที่เราสามารถเลือกทำงานในสิ่งที่เรารัก โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องให้เงินเดือนหรือผลตอบแทนเป็นปัจจัยหลักในการเลือกงานอีกต่อไป การมีอิสรภาพทางการเงินทำให้ เราไม่จำเป็นจะต้องสิ่งที่เราไม่ชอบ หรือทำสิ่งที่ฝืนกับความรู้สึกตัวเอง หรืออดทนกับสิ่งที่ไม่น่าจะต้องอดทนในการทำงาน เพียงด้วยเหตุผลว่ากลัวจะต้องตกงานครับ
ถ้าตอบคำถามนี้ ผมพยายามให้การลงทุนมาเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตครับ เวลาขับรถ เดินห้าง หรือพูดคุยกับเพื่อนๆ หรือคุยงาน ผมพยายามจะสังเกตและวิเคราะห์สิ่งต่างๆ เพื่อดูว่าสิ่งที่ผมได้เห็น ได้ฟังในแต่ละวันนั้นมันมีอะไรที่เกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์กับการลงทุนบ้าง แต่สิ่งที่จำเป็นที่สุดอย่างหนึ่งก็คือการอ่านข้อมูล ความรู้ต่างๆ ทั้งในหนังสือพิมพ์และทาง website ต่างๆ ครับ
3 ผมลองคำนวณผลตอบแทนต่อปี ถ้าเงินต้นน้อยประมาณ 1 ล้านบาทจะต้องลงทุนได้ผลตอบแทนเกิน 30 % ต่อปีซึ่งมีความเป็นไปได้มากน้อยขนาดไหนครับ เพราะผมคิดว่า 15 % ต่อปีก็ยากมากแล้วนะครับ
- ทุกอย่างมีความเป็นไปได้ครับ แต่การลงทุนให้ได้ผลตอบแทน 30% ต่อปีติดต่อกัน 10 ปีก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งพอร์ตใหญ่ขึ้นก็จะยิ่งทำยากขึ้นเพราะจำนวนหุ้นที่สามารถซื้อได้ก็จะลดลง และการลงทุนเมื่อพอร์ตเล็กหน่อยก็อาจจะสามารถ focus คือ ลงทุนในหุ้น 2-3 ตัวได้ แต่เมื่อพอร์ตใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ก็อาจจะต้องกระจายการลงทุนในหุ้นมากตัวขึ้น หรือไม่สามารถซื้อหุ้นตัวเล็กๆ ที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนสูงแต่ สภาพคล่องไม่มากนักได้ แม้แต่ในช่วง 5 ปีแรก การทำผลตอบแทนในบางปีให้ได้ 30% คงจะไม่ใช่เรื่องยากเกินไปนัก แต่การทำผลตอบแทน “ เฉลี่ย “ ให้ได้ 30% ต่อปีนั้นก็ไม่ง่าย เพราะคำว่า “ เฉลี่ย “ นั้นรวมถึงผลตอบแทนในปีที่ไม่ดีด้วย ดังนั้นถ้ามีปีที่ผลตอบแทนติดลบก็เท่ากับว่าในปีต่อๆ ไปผลตอบแทนก็ต้องทำให้ได้สูงกว่า 30% ไปพอสมควรครับ ส่วนการที่จะให้ผลตอบแทนสูงนั้นก็คงต้องถือหลัก ฟิสิกส์ที่ว่า action = reaction ครับ คือ ออกแรงเท่าไหร่ผลที่ได้รับกลับมาก็ตามที่ได้ลงแรงไปครับ ไม่มีสูตรลัดหรือสูตรสำเร็จสำหรับการลงทุนครับทุกอย่างจะต้องได้มาด้วยความพยายามครับ
สำหรับคนที่ทำงานหนักจนถึงอายุ 40 กว่าหรือ 50 กว่าแล้วมีอิสรภาพทางการเงินถ้าจะออกมาลงทุน พักผ่อน ใช้เวลาทีเหลือหาความสุขให้กับชีวิตให้คุ้มค่ากับที่ได้ทำงานหนักมาผมคิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไรครับ แต่ที่ผมเป็นห่วงคือปัจจุบันนักลงทุนที่มีฝีมือจำนวนไม่น้อยมีอิสรภาพทางการเงินตั้งแต่อายุ 20 กว่าๆ หรือ 30 กว่าๆ ซึ่งผมคิดว่าเป็นวัยที่เร็วเกินไปที่จะไม่ต้องทำงานครับ เพราะยังเหลือเวลาในชีวิตอีกมาก และยังมีกำลังเหลือที่จะทำอะไรให้กับโลกหรือประเทศไทยเรานี้อีกมากเช่นกัน บางทีพอร์ตที่ใหญ่โตก็ไม่ได้รับประกันว่าชีวิตจะต้องมีความสุขเสมอไปและมีสิ่งต่างๆ ในโลกนี้อีกมากที่เงินซื้อไม่ได้ และผมมองว่าการทำงานไม่ว่าจะเป็นงานประจำหรืองานอิสระต่างๆ ก็เป็นการฝึกตัวเราเองหลายๆ อย่างและทำให้ชีวิตเรามีคุณค่ามากขึ้นด้วยครับ
ขอบคุณทั้งสองท่านมากๆครับ
ผลตอบแทนขึ้นอยู่กับความพยายาม
- 1154
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 894
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากทราบความเห็นของพี่ IH เกี่ยวกับดำรงชีวิตหน่อยครับ
โพสต์ที่ 5
ขอบคุณที่แบ่งปันครับ
- simpleBE
- Verified User
- โพสต์: 2335
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากทราบความเห็นของพี่ IH เกี่ยวกับดำรงชีวิตหน่อยครับ
โพสต์ที่ 8
เป็นประโยชน์มากๆ
ขอบคุณทั้งคนถาม คนตอบ และคนเอามาโพสนะครับ
ขอบคุณทั้งคนถาม คนตอบ และคนเอามาโพสนะครับ