pak เขียน:ผมกำลังพยายามเขียนบทความที่ดีที่สุดชิ้นหนึ่งของผม เรื่อง "อะลาดินกับตะเกียงวิเศษ...กับมุมมองเรื่องหุ้น Turnaround"
...เร็วๆนี้ครับผม
$$ รวมหุ้น Turnaround $$
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 242
บทความ : เรื่อง "อะลาดินกับตะเกียงวิเศษ...กับมุมมองเรื่องหุ้น Turnaround"
By pak, 15 ธ.ค. 54
"อะลาดินกับตะเกียงวิเศษ"...คือความทรงจำในวัยเด็กที่ถูกปัดฝุ่นขึ้นมาในความทรงจำของผม
สำหรับผมแล้ว...
"อะลาดิน" เป็นเด็กยากจนที่เต็มไปด้วย "ความฝัน, ความเชื่อ และความมุ่งมั่น"
เรื่องราวอันน่ามหัศจรรย์ของเค้า กับตะเกียงวิเศษที่เมื่อถูแล้วจะมียักษ์จินนี่ปรากฏตัวออกมา และพรมวิเศษที่สามารถพาเค้าไปได้ทุกที่
แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง และโลกของการลงทุนนั้น
คงไม่มี "ของวิเศษ" ใดๆจะมาช่วยเหลือเราได้อย่างแน่นอน
นอกจาก การหมั่นฝึกฝน, เรียนรู้, ขยันขวนขวายหาความรู้ใหม่ๆ และได้รับคำแนะนำที่ดีจากกัลยาณมิตร
แต่อะลาดินผุดขึ้นมาในเรื่องราวของการลงทุนของผมก็เพราะคำว่า "Valuation" อ่ะนะครับ
แน่นอนครับว่า "ตะเกียงวิเศษ" คือ ทรัพย์สินของอะลาดิน
และเค้าก็รู้ถึง "คุณค่า" หรือ "มูลค่า" ของมันว่า..."ตะเกียงวิเศษใบนั้น มันมีคุณค่ามากมายเพียงใด?"
ดังนั้น เค้าจึงเก็บรักษามันไว้เป็นอย่างดี
และแม้ว่า ใครจะเอาทรัพย์สินมากมายมาแลกกับตะเกียงเก่าๆของเค้า เค้าจึงไม่ยอม!!!
แต่ในทางกลับกัน คนรับใช้ของอะลาดินนั้น เค้ากลับไม่รู้คุณค่าของตะเกียงวิเศษนั้นเลย
เค้ากลับเห็นเป็นเพียงตะเกียงเก่าๆที่ไม่น่าจะมีคุณค่าใดๆ
ดังนั้น เพียงแค่พ่อมดปลอมตัวมาเป็นคนแลกซื้อของเก่า
คนรับใช้คนนั้น ก็ยอมแลกตะเกียงเก่าๆอันแสนมีค่านั้น กับของที่ไม่ได้มีราคาค่างวดอะไรมากมายนักทีนที
นั่นเป็นเพราะ...เค้าไม่รู้จักมูลค่าของมันอย่างแท้จริง!!!
คุณค่า หรือ Valuation คือ สิ่งที่แตกต่างกันไปตามมุมมองและประสบการณ์ของแต่ละคน
ผมมองว่า "นี่คือความไม่มีประสิทธิภาพของตลาดฯ" และเป็น "โอกาสสำหรับนักลงทุน VI"
ตะเกียงใบเดียวกัน...แต่กลับถูกตีราคาแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง!!!
ผมจึงมักเขียนไว้ในมุมของการลงทุนเสมอๆว่า...
คนส่วนใหญ่...มักจะมองแต่ "Market Price" และ "Unrealized P/L"
นั่นเป็นเพราะ เค้ายังไม่รู้ "มูลค่าที่แท้จริง" ของบริษัทฯของเค้าเอง จึงต้องคอยให้คนภายนอกมาเป็นผู้ตัดสินให้!!!
แต่คนส่วนน้อย...เค้าจะเฝ้ามองแต่ "Actual Vol." ในพอร์ตของตนเอง และไม่สนใจราคาที่ผู้อื่นเป็นผู้ตั้งให้
นั่นเป็นเพราะ "ราคาที่แท้จริง" มันอยู่ในหัวใจของเค้าอยู่แล้ว
บทสรุปของผมก็คือ...
"ราคาหุ้นคือสิ่งที่คุณต้องกำหนดเอง หาใช่ให้ผู้อื่นหรือตลาดมาเป็นผู้กำหนดไม่!!!"
และสำหรับเรื่องราวของอะลาดินกับหุ้น Turnaround นั้น คงจะเหมือนในเพลงที่ผมยกมาข้างต้น
กล่าวคือ...
หุ้น Turnaround ก็คงเปรียบเสมือนอะลาดิน ที่ยื่นมือมาหาเรา แล้วเอ่ยปากถามเราขึ้นว่า..."Do you Trust me?"
และนักลงทุนก็คงเปรียบเสมือน เจ้าหญิงจัสมิน ที่อาจจะเลือกตอบได้ว่า..."Yes" หรือ "No" ก็เท่านั้นเอง
แต่ถ้าเราเป็นนักลงทุนหุ้น Turnaround ที่ได้ผ่านการทำการบ้าน และวิเคราะห์มาเป็นอย่างดีแล้ว
ภาพของการ Turnaround จะไม่ใช่เป็นสิ่งที่ดูคลุมเครือ!!!
แต่มันกลับจะยิ่งชัดเจน เหมือนในความรู้สึกของบทเพลงที่กล่าวว่า...
"It's crystal clear that now I'm in a whole new world with you..."
ผมเองก็รู้สึกแบบนั้นจริงๆครับ
pak
By pak, 15 ธ.ค. 54
"อะลาดินกับตะเกียงวิเศษ"...คือความทรงจำในวัยเด็กที่ถูกปัดฝุ่นขึ้นมาในความทรงจำของผม
สำหรับผมแล้ว...
"อะลาดิน" เป็นเด็กยากจนที่เต็มไปด้วย "ความฝัน, ความเชื่อ และความมุ่งมั่น"
เรื่องราวอันน่ามหัศจรรย์ของเค้า กับตะเกียงวิเศษที่เมื่อถูแล้วจะมียักษ์จินนี่ปรากฏตัวออกมา และพรมวิเศษที่สามารถพาเค้าไปได้ทุกที่
แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง และโลกของการลงทุนนั้น
คงไม่มี "ของวิเศษ" ใดๆจะมาช่วยเหลือเราได้อย่างแน่นอน
นอกจาก การหมั่นฝึกฝน, เรียนรู้, ขยันขวนขวายหาความรู้ใหม่ๆ และได้รับคำแนะนำที่ดีจากกัลยาณมิตร
แต่อะลาดินผุดขึ้นมาในเรื่องราวของการลงทุนของผมก็เพราะคำว่า "Valuation" อ่ะนะครับ
แน่นอนครับว่า "ตะเกียงวิเศษ" คือ ทรัพย์สินของอะลาดิน
และเค้าก็รู้ถึง "คุณค่า" หรือ "มูลค่า" ของมันว่า..."ตะเกียงวิเศษใบนั้น มันมีคุณค่ามากมายเพียงใด?"
ดังนั้น เค้าจึงเก็บรักษามันไว้เป็นอย่างดี
และแม้ว่า ใครจะเอาทรัพย์สินมากมายมาแลกกับตะเกียงเก่าๆของเค้า เค้าจึงไม่ยอม!!!
แต่ในทางกลับกัน คนรับใช้ของอะลาดินนั้น เค้ากลับไม่รู้คุณค่าของตะเกียงวิเศษนั้นเลย
เค้ากลับเห็นเป็นเพียงตะเกียงเก่าๆที่ไม่น่าจะมีคุณค่าใดๆ
ดังนั้น เพียงแค่พ่อมดปลอมตัวมาเป็นคนแลกซื้อของเก่า
คนรับใช้คนนั้น ก็ยอมแลกตะเกียงเก่าๆอันแสนมีค่านั้น กับของที่ไม่ได้มีราคาค่างวดอะไรมากมายนักทีนที
นั่นเป็นเพราะ...เค้าไม่รู้จักมูลค่าของมันอย่างแท้จริง!!!
คุณค่า หรือ Valuation คือ สิ่งที่แตกต่างกันไปตามมุมมองและประสบการณ์ของแต่ละคน
ผมมองว่า "นี่คือความไม่มีประสิทธิภาพของตลาดฯ" และเป็น "โอกาสสำหรับนักลงทุน VI"
ตะเกียงใบเดียวกัน...แต่กลับถูกตีราคาแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง!!!
ผมจึงมักเขียนไว้ในมุมของการลงทุนเสมอๆว่า...
คนส่วนใหญ่...มักจะมองแต่ "Market Price" และ "Unrealized P/L"
นั่นเป็นเพราะ เค้ายังไม่รู้ "มูลค่าที่แท้จริง" ของบริษัทฯของเค้าเอง จึงต้องคอยให้คนภายนอกมาเป็นผู้ตัดสินให้!!!
แต่คนส่วนน้อย...เค้าจะเฝ้ามองแต่ "Actual Vol." ในพอร์ตของตนเอง และไม่สนใจราคาที่ผู้อื่นเป็นผู้ตั้งให้
นั่นเป็นเพราะ "ราคาที่แท้จริง" มันอยู่ในหัวใจของเค้าอยู่แล้ว
บทสรุปของผมก็คือ...
"ราคาหุ้นคือสิ่งที่คุณต้องกำหนดเอง หาใช่ให้ผู้อื่นหรือตลาดมาเป็นผู้กำหนดไม่!!!"
และสำหรับเรื่องราวของอะลาดินกับหุ้น Turnaround นั้น คงจะเหมือนในเพลงที่ผมยกมาข้างต้น
กล่าวคือ...
หุ้น Turnaround ก็คงเปรียบเสมือนอะลาดิน ที่ยื่นมือมาหาเรา แล้วเอ่ยปากถามเราขึ้นว่า..."Do you Trust me?"
และนักลงทุนก็คงเปรียบเสมือน เจ้าหญิงจัสมิน ที่อาจจะเลือกตอบได้ว่า..."Yes" หรือ "No" ก็เท่านั้นเอง
แต่ถ้าเราเป็นนักลงทุนหุ้น Turnaround ที่ได้ผ่านการทำการบ้าน และวิเคราะห์มาเป็นอย่างดีแล้ว
ภาพของการ Turnaround จะไม่ใช่เป็นสิ่งที่ดูคลุมเครือ!!!
แต่มันกลับจะยิ่งชัดเจน เหมือนในความรู้สึกของบทเพลงที่กล่าวว่า...
"It's crystal clear that now I'm in a whole new world with you..."
ผมเองก็รู้สึกแบบนั้นจริงๆครับ
pak
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 243
รอบรู้เรื่องภาษี : เรื่อง ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (หรือ Withholding Tax)
การที่เราเป็นนักลงทุนที่มุ่งเน้นหุ้น Turnaround นั้น เราก็มักจะต้องพบกับ "ภาวะขาดทุนของบริษัทฯ" อยู่เสมอๆ!!!
ดังนั้น มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องมีความรู้เกี่ยวกับ "ภาษี" เอาไว้บ้างอ่ะนะครับ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าบริษัทฯของเราอยู่ในภาคธุรกิจ "การให้บริการ" ซึ่งจะต้องไปเกี่ยวข้องกับ ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ด้วยอ่ะนะครับ
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (หรือ Withholding Tax) คือ ภาษีที่หักไว้จาก บุคคล (ภงด 3), นิติบุคคล (ภงด 53)
เมื่อมีการใช้บริการต่างๆ โดยมีอัตราไม่เท่ากัน มีรายละเอียดโดยหยาบๆคือ :-
- ค่าเช่าหักได้ 5%
- ค่าบริการ ค่าจ้างทำของ 3%
- ค่าโฆษณา 2%
ฯลฯ
( โดยอัตราภาษีดังกล่าวแบบละเอียด สามารถค้นหาเพิ่มเติมได้ที่ http://www.bangkokbiznews.com/home/medi ... 5528_1.xls )
สิ่งที่ควรรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ WH Tax คือ :-
1) ในเรื่องภาษีหัก ณ. ที่จ่าย ผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ. ที่จ่าย คือ บุคคล ห้างหุ้นส่วน บริษัท สมาคม หรือคณะบุคคล ที่เป็นผู้จ่ายเงินได้ ต้องมีหน้าที่ตามกฎหมายต้องทำการหักภาษี ณ. ที่จ่ายไว้เสมอ ถ้าถามว่า เงินที่หักภาษี ณ. ที่จ่ายนี้เป็นเงินอะไรในทางภาษี คำตอบคือเป็นเงินภาษีรายได้ของผู้ถูกหักภาษี(ผู้มีรายได้)นั้นเอง ที่เมื่อกลางปี สิ้นปี ครบรอบบัญชี แล้ว ผู้มีรายได้ต้องไปยื่นแบบเสียภาษีต่อกรมสรรพกร
และหากคำนวณแล้วไม่มีภาษีต้องเสีย หรือภาษีสุทธิน้อยกว่าภาษีหัก ณ. ที่จ่ายไว้ ท่านก็ไม่ต้องเสียเงินชำระภาษีอีก
ในขณะเดียวกันถ้ามีภาษีหัก ณ. ที่จ่ายมากกว่าภาษีที่ต้องชำระเมื่อคำนวณแล้ว ท่านก็จะสามารถขอคืนภาษีได้ครับ แต่ท่านต้องยื่นแบบขอคืนให้ถูกต้อง แต่ถ้าท่านรวยมากไม่ขอคืนภาษี ก็เท่ากับว่าท่านทำความดียกเงินคืนนั้นให้ประเทศครับ ดังนี้เมื่อผู้มีรายได้ถูกผู้จ่ายเงินได้ หักภาษี ณ. ที่จ่ายไว้แล้ว ผู้มีรายได้ต้องเก็บใบหัก ณ. ที่จ่ายไว้ครับ และที่สำคัญควรตรวจดูชื่อ สกุล ที่อยู่ต้องให้ตรงกับทะเบียนบ้านทุกตัวอักษร (เวลารับเงินได้ ควรจดชื่อ นามสกุล ที่อยู่ให้ผู้จ่ายเงินได้ จะได้ไม่ผิดพลาด) และหากรายการใดผิดพลาดจะใช้ไม่ได้ครับ และถ้าข้อความผิดไม่ต้องตกใจ รีบกลับไปให้ผู้จ่ายเงินได้ออกใบหักภาษี ณ. ที่จ่ายให้ใหม่โดยทันที ครับ
2) อายุความการขอคืนภาษี มีรายละเอียดคร่าวๆ คือ...
"กำหนดระยะเวลาในการขอคืนภาษีอากรและภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายและได้มีการนำส่งไว้เป็นจำนวนเงินที่เกินกว่าที่ควรต้องเสีย หรือไม่มีหน้าที่ต้องเสีย ให้ผู้มีสิทธิขอคืนภายใน 3 ปีนับแต่วันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นรายการภาษีตามที่กฏหมายกำหนด(มาตรา 27 ตรี วรรคแรก)"
แต่ถ้ายังงงๆอยู่ ผมก็ขออนุญาตแนะนำให้ดูคลิปนี้อ่ะนะขอรับ
หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้างนะขอรับ
Source :
http://www.sahanetilaw.com/index.php?la ... 02&Ntype=2
http://www.pattanakit.net/index.php?lay ... &Ntype=134
การที่เราเป็นนักลงทุนที่มุ่งเน้นหุ้น Turnaround นั้น เราก็มักจะต้องพบกับ "ภาวะขาดทุนของบริษัทฯ" อยู่เสมอๆ!!!
ดังนั้น มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องมีความรู้เกี่ยวกับ "ภาษี" เอาไว้บ้างอ่ะนะครับ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าบริษัทฯของเราอยู่ในภาคธุรกิจ "การให้บริการ" ซึ่งจะต้องไปเกี่ยวข้องกับ ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ด้วยอ่ะนะครับ
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (หรือ Withholding Tax) คือ ภาษีที่หักไว้จาก บุคคล (ภงด 3), นิติบุคคล (ภงด 53)
เมื่อมีการใช้บริการต่างๆ โดยมีอัตราไม่เท่ากัน มีรายละเอียดโดยหยาบๆคือ :-
- ค่าเช่าหักได้ 5%
- ค่าบริการ ค่าจ้างทำของ 3%
- ค่าโฆษณา 2%
ฯลฯ
( โดยอัตราภาษีดังกล่าวแบบละเอียด สามารถค้นหาเพิ่มเติมได้ที่ http://www.bangkokbiznews.com/home/medi ... 5528_1.xls )
สิ่งที่ควรรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ WH Tax คือ :-
1) ในเรื่องภาษีหัก ณ. ที่จ่าย ผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ. ที่จ่าย คือ บุคคล ห้างหุ้นส่วน บริษัท สมาคม หรือคณะบุคคล ที่เป็นผู้จ่ายเงินได้ ต้องมีหน้าที่ตามกฎหมายต้องทำการหักภาษี ณ. ที่จ่ายไว้เสมอ ถ้าถามว่า เงินที่หักภาษี ณ. ที่จ่ายนี้เป็นเงินอะไรในทางภาษี คำตอบคือเป็นเงินภาษีรายได้ของผู้ถูกหักภาษี(ผู้มีรายได้)นั้นเอง ที่เมื่อกลางปี สิ้นปี ครบรอบบัญชี แล้ว ผู้มีรายได้ต้องไปยื่นแบบเสียภาษีต่อกรมสรรพกร
และหากคำนวณแล้วไม่มีภาษีต้องเสีย หรือภาษีสุทธิน้อยกว่าภาษีหัก ณ. ที่จ่ายไว้ ท่านก็ไม่ต้องเสียเงินชำระภาษีอีก
ในขณะเดียวกันถ้ามีภาษีหัก ณ. ที่จ่ายมากกว่าภาษีที่ต้องชำระเมื่อคำนวณแล้ว ท่านก็จะสามารถขอคืนภาษีได้ครับ แต่ท่านต้องยื่นแบบขอคืนให้ถูกต้อง แต่ถ้าท่านรวยมากไม่ขอคืนภาษี ก็เท่ากับว่าท่านทำความดียกเงินคืนนั้นให้ประเทศครับ ดังนี้เมื่อผู้มีรายได้ถูกผู้จ่ายเงินได้ หักภาษี ณ. ที่จ่ายไว้แล้ว ผู้มีรายได้ต้องเก็บใบหัก ณ. ที่จ่ายไว้ครับ และที่สำคัญควรตรวจดูชื่อ สกุล ที่อยู่ต้องให้ตรงกับทะเบียนบ้านทุกตัวอักษร (เวลารับเงินได้ ควรจดชื่อ นามสกุล ที่อยู่ให้ผู้จ่ายเงินได้ จะได้ไม่ผิดพลาด) และหากรายการใดผิดพลาดจะใช้ไม่ได้ครับ และถ้าข้อความผิดไม่ต้องตกใจ รีบกลับไปให้ผู้จ่ายเงินได้ออกใบหักภาษี ณ. ที่จ่ายให้ใหม่โดยทันที ครับ
2) อายุความการขอคืนภาษี มีรายละเอียดคร่าวๆ คือ...
"กำหนดระยะเวลาในการขอคืนภาษีอากรและภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายและได้มีการนำส่งไว้เป็นจำนวนเงินที่เกินกว่าที่ควรต้องเสีย หรือไม่มีหน้าที่ต้องเสีย ให้ผู้มีสิทธิขอคืนภายใน 3 ปีนับแต่วันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นรายการภาษีตามที่กฏหมายกำหนด(มาตรา 27 ตรี วรรคแรก)"
แต่ถ้ายังงงๆอยู่ ผมก็ขออนุญาตแนะนำให้ดูคลิปนี้อ่ะนะขอรับ
หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้างนะขอรับ
Source :
http://www.sahanetilaw.com/index.php?la ... 02&Ntype=2
http://www.pattanakit.net/index.php?lay ... &Ntype=134
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 32
- ผู้ติดตาม: 0
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 244
TGPRO ถือเป็นหุ้น Turn Around ไหมครับ?
พอดีเข้าไปดูผ่านๆใน Set แล้วเห็นจากที่ขาดทุน ราว 700ล้านปีที่แล้ว กลับมากำไรได้ 700 ล้านปีนี้ครับ
ROE ก็อลังการมากเลยครับ
http://www.set.or.th/set/companyhighlig ... country=TH
พอดีเข้าไปดูผ่านๆใน Set แล้วเห็นจากที่ขาดทุน ราว 700ล้านปีที่แล้ว กลับมากำไรได้ 700 ล้านปีนี้ครับ
ROE ก็อลังการมากเลยครับ
http://www.set.or.th/set/companyhighlig ... country=TH
มันต้องมีวันนั้น..........
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 245
บทความ : เรื่อง "ทุ่งบางกะปิ"
By pak, 19 ธ.ค. 54
บทเพลงในอดีตบางเพลง มันดังแว่วเข้ามา และทำให้ผมคิดอะไรไปได้ไกลมากมาย
ใช่แล้วครับ...บทเพลง "แสนแสบ" เพลงดังของนวนิยายอมตะที่ชื่อว่า "แผลเก่า" ของ "ไม้ เมืองเดิม"
ทำให้ผมนึกไปถึงภาพของ "ขวัญ" กับ "เรียม" ลงเล่นน้ำในคลองแสนแสบ ของทุ่งบางกะปิในยุคนั้น
ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 ที่ท่านทรงโปรดฯให้เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) เป็นแม่ทัพไปปราบกบฎจนสำเร็จ
และได้กวาดต้อนผู้คนตามหัวเมืองรายทางมาตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณทุ่งบางกะปินั่นเอง
ในยุครัชกาลที่ 7 นั้่น ท้องทุ่งบางกะปิ ก็ยังคงสวยมาก ชีวิตของชาวบ้านก็ดูเรียบง่าย
ท้องทุ่งบางกะปิ...เต็มไปด้วยท้องทุ่งนาที่มองไกลไปจนสุดลูกหูลูกตา ห่างไกลความเจริญ
ในยุคนั้น การเดินทางไปถือว่ายากลำบากมากครับ บ้างกลัวโจร บ้างกลัวผี ก็ว่ากันไป
จนช่วงปี 2515 อาม๊าของผมได้มาซื้อที่ดินเอาไว้ที่ "ทุ่งบางกะปิ" แห่งนี้นั่นเอง
ในราคาไร่ละ 3 - 4 พันบาท!!!
แต่เนื่องจากท่านจนครับ และมีเงินไม่มากนัก ท่านจึงซื้อที่ดินไว้เพียงเล็กน้อย ให้พอที่จะปลูกบ้านที่ผมอาศัยอยู่ในปัจจุบันได้เท่านั้นเอง
บรรพบุรุษของผมเป็นคนจีนครับ ครอบครัวของเราก็ถือว่ายากจน
ด้วยเงินเก็บเพียงเล็กน้อยที่ท่านพอจะมี จากการสะสมเงินมา อาม๊าก็ตัดสินใจมาซื้อที่ดินแปลงเล็กๆที่ "ทุ่งบางกะปิ" แห่งนี้เอาไว้
ในวันนั้น มีแต่คนว่าท่านเป็นได้แค่ 2 อย่าง คือ "ไม่โง่" ก็ "บ้า" ครับ!!!
เพราะไม่มีใครในยุคนั้น จะให้ความสนใจมาซื้่อที่ดินที่ห่างไกลความเจริญเช่นนี้
ถ้าเราเปรียบเทียบ อาม๊าหรือคุณย่าของผม กับการลงทุน
ณ เวลานั้น ตัวเลขต่างๆ หรือ Quantitative Analysis ทุกตัว ต่างชี้ไปว่า ไม่ควรซื้อที่ดินแปลงนั้น!!!
...ราคาประเมินก็ต่ำ
...จำนวนประชากรก็เบาบาง
...รายได้ประชากร
...ตัวเลขการจ้างงาน
...จำนวนกิจการห้างร้านในพื้นที่
...โอกาสขายต่อที่แทบจะเป็นศูนย์
ฯลฯ
สรุปได้ว่า แทบจะ "สอบตก" ทุกตัว!!!
แต่ในมุมมองของผมนั้น ท่านไม่ได้ซื้อปัจจุบันครับ แต่ท่านเลือกที่จะซื้ออนาคต
ท่านมองเห็นว่า "พวกเราต้องมีที่อยู่ ครอบครัวควรจะมีบ้านเป็นของตัวเอง จะได้ไม่ต้องไปเช่าใครเค้าอยู่"
เหตุการณ์เหล่านี้ เกิดขึ้นก่อนผมจะเกิดมาเสียอีกนะขอรับ
ถ้าคุณย่าผมไม่ซื้อที่ดินแปลงนี้ไว้ ก็ยังไม่รู้ว่า ป่านนี้ ครอบครัวของผมจะเป็นเช่นไร
ผมไม่รู้ว่า นี่ควรจะเรียกว่า Qualitative Analysis ของอาม๊าผมได้หรือไม่?
ความคิดที่ฟุ้งเข้ามาในหัวของผม ทำให้ผมนึกถึงหุ้น Turnaround ขึ้นมา
ตัวเลขทุกตัว และ Ratio ทุกประเภท...ต่างชี้ว่า หุ้นเหล่านี้ คือหุ้นที่ "ไม่น่าลงทุน!!!" เอาเสียเลย
แม้จะเป็นเหตุการณ์ที่ต่างกรรมต่างวาระกัน แต่ก็มีบางอารมณ์ที่คล้ายกันอยู่ไม่น้อยทีเดียว
หุ้น Turnaround ที่ดี คือ หุ้นที่คุณสามารถซื้อได้ในราคาถูกเหลือเชื่อในปัจจุบัน
แต่นั่นเราต้องไม่หลอกตัวเองนะครับ เราต้องมองอนาคตให้ออก
เราต้องมองให้เห็น "Growth" และ "เหตุปัจจัยที่จะทำให้บริษัทฯสามารถกลับฟื้นตัวได้อย่างมั่นคง"
ด้วยหลักการที่ว่า...
ก่อนลงทุน เราจะต้องตอบ 2 คำถามให้ได้ชัดเจนก่อนว่า...
"ในอดีตบริษัทฯเจ๊งเพราะอะไร? และในอนาคตบริษัทฯจะฟื้นตัวอย่างยั่งยืนได้เพราะอะไร?"
จงอย่าซื้อเพียงเพราะมีคนบอก จงอย่าซื้อเพียงเพราะเดาเอาว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
แต่จงซื้อด้วย "เหตุผล" และต้องเป็นเหตุผลที่มีน้ำหนักเพียงพอและคำนึงถึง "ความเสี่ยง" ต่างๆประกอบด้วยนะครับ
การคาดการณ์คือสิ่งที่เราคาดว่ามันควรจะเป็น
และสิ่งที่จะมาตรวจการบ้านของเราก็คือ "ผลประกอบการ" ว่ามันเป็นไปในทิศทางเดียวกัน(Align)กับที่เราคาดการณ์ไว้หรือไม่?
ถ้าคุณมีวิสัยทัศน์ และมุมมองที่ดี รวมทั้งมีการติดตามผลอย่างใกล้ชิดสำหรับแนวโน้มผลประกอบการ
ของที่ดู "ไร้ค่า" ในวันนี้ มันอาจจะกลายเป็นมรดกที่ยิ่งใหญ่ให้แก่ลูกหลานของคุณในอนาคตก็เป็นได้!!!
ผมไม่เคยมองอาม๊าว่า "โง่หรือบ้า"
แต่กลับกัน...
ผมมองว่าอาม๊าคือ "VI จำเป็น" และเป็น "นักลงทุน Role Model โดยไม่ตั้งใจ" ให้กับผมในวันนี้
ขอบคุณอาม๊า...ที่ทำให้ครอบครัวผมมีบ้านเป็นของตนเอง
เสียงเพลง "แสนแสบ" ของชรินทร์ นันทนาครจบลงไปแล้ว แต่ความฝันมันจะยังดังกังวาลอยู่ในใจของผมไม่เคยหยุดเลยนะขอรับ
pak
Reference :
1. http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80% ... B%E0%B8%B4
2. http://www.reurnthai.com/index.php?topic=4405.150
3. http://www.codi.or.th/baanmankong/index ... =5&lang=th
By pak, 19 ธ.ค. 54
บทเพลงในอดีตบางเพลง มันดังแว่วเข้ามา และทำให้ผมคิดอะไรไปได้ไกลมากมาย
ใช่แล้วครับ...บทเพลง "แสนแสบ" เพลงดังของนวนิยายอมตะที่ชื่อว่า "แผลเก่า" ของ "ไม้ เมืองเดิม"
ทำให้ผมนึกไปถึงภาพของ "ขวัญ" กับ "เรียม" ลงเล่นน้ำในคลองแสนแสบ ของทุ่งบางกะปิในยุคนั้น
ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 ที่ท่านทรงโปรดฯให้เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) เป็นแม่ทัพไปปราบกบฎจนสำเร็จ
และได้กวาดต้อนผู้คนตามหัวเมืองรายทางมาตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณทุ่งบางกะปินั่นเอง
ในยุครัชกาลที่ 7 นั้่น ท้องทุ่งบางกะปิ ก็ยังคงสวยมาก ชีวิตของชาวบ้านก็ดูเรียบง่าย
ท้องทุ่งบางกะปิ...เต็มไปด้วยท้องทุ่งนาที่มองไกลไปจนสุดลูกหูลูกตา ห่างไกลความเจริญ
ในยุคนั้น การเดินทางไปถือว่ายากลำบากมากครับ บ้างกลัวโจร บ้างกลัวผี ก็ว่ากันไป
จนช่วงปี 2515 อาม๊าของผมได้มาซื้อที่ดินเอาไว้ที่ "ทุ่งบางกะปิ" แห่งนี้นั่นเอง
ในราคาไร่ละ 3 - 4 พันบาท!!!
แต่เนื่องจากท่านจนครับ และมีเงินไม่มากนัก ท่านจึงซื้อที่ดินไว้เพียงเล็กน้อย ให้พอที่จะปลูกบ้านที่ผมอาศัยอยู่ในปัจจุบันได้เท่านั้นเอง
บรรพบุรุษของผมเป็นคนจีนครับ ครอบครัวของเราก็ถือว่ายากจน
ด้วยเงินเก็บเพียงเล็กน้อยที่ท่านพอจะมี จากการสะสมเงินมา อาม๊าก็ตัดสินใจมาซื้อที่ดินแปลงเล็กๆที่ "ทุ่งบางกะปิ" แห่งนี้เอาไว้
ในวันนั้น มีแต่คนว่าท่านเป็นได้แค่ 2 อย่าง คือ "ไม่โง่" ก็ "บ้า" ครับ!!!
เพราะไม่มีใครในยุคนั้น จะให้ความสนใจมาซื้่อที่ดินที่ห่างไกลความเจริญเช่นนี้
ถ้าเราเปรียบเทียบ อาม๊าหรือคุณย่าของผม กับการลงทุน
ณ เวลานั้น ตัวเลขต่างๆ หรือ Quantitative Analysis ทุกตัว ต่างชี้ไปว่า ไม่ควรซื้อที่ดินแปลงนั้น!!!
...ราคาประเมินก็ต่ำ
...จำนวนประชากรก็เบาบาง
...รายได้ประชากร
...ตัวเลขการจ้างงาน
...จำนวนกิจการห้างร้านในพื้นที่
...โอกาสขายต่อที่แทบจะเป็นศูนย์
ฯลฯ
สรุปได้ว่า แทบจะ "สอบตก" ทุกตัว!!!
แต่ในมุมมองของผมนั้น ท่านไม่ได้ซื้อปัจจุบันครับ แต่ท่านเลือกที่จะซื้ออนาคต
ท่านมองเห็นว่า "พวกเราต้องมีที่อยู่ ครอบครัวควรจะมีบ้านเป็นของตัวเอง จะได้ไม่ต้องไปเช่าใครเค้าอยู่"
เหตุการณ์เหล่านี้ เกิดขึ้นก่อนผมจะเกิดมาเสียอีกนะขอรับ
ถ้าคุณย่าผมไม่ซื้อที่ดินแปลงนี้ไว้ ก็ยังไม่รู้ว่า ป่านนี้ ครอบครัวของผมจะเป็นเช่นไร
ผมไม่รู้ว่า นี่ควรจะเรียกว่า Qualitative Analysis ของอาม๊าผมได้หรือไม่?
ความคิดที่ฟุ้งเข้ามาในหัวของผม ทำให้ผมนึกถึงหุ้น Turnaround ขึ้นมา
ตัวเลขทุกตัว และ Ratio ทุกประเภท...ต่างชี้ว่า หุ้นเหล่านี้ คือหุ้นที่ "ไม่น่าลงทุน!!!" เอาเสียเลย
แม้จะเป็นเหตุการณ์ที่ต่างกรรมต่างวาระกัน แต่ก็มีบางอารมณ์ที่คล้ายกันอยู่ไม่น้อยทีเดียว
หุ้น Turnaround ที่ดี คือ หุ้นที่คุณสามารถซื้อได้ในราคาถูกเหลือเชื่อในปัจจุบัน
แต่นั่นเราต้องไม่หลอกตัวเองนะครับ เราต้องมองอนาคตให้ออก
เราต้องมองให้เห็น "Growth" และ "เหตุปัจจัยที่จะทำให้บริษัทฯสามารถกลับฟื้นตัวได้อย่างมั่นคง"
ด้วยหลักการที่ว่า...
ก่อนลงทุน เราจะต้องตอบ 2 คำถามให้ได้ชัดเจนก่อนว่า...
"ในอดีตบริษัทฯเจ๊งเพราะอะไร? และในอนาคตบริษัทฯจะฟื้นตัวอย่างยั่งยืนได้เพราะอะไร?"
จงอย่าซื้อเพียงเพราะมีคนบอก จงอย่าซื้อเพียงเพราะเดาเอาว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
แต่จงซื้อด้วย "เหตุผล" และต้องเป็นเหตุผลที่มีน้ำหนักเพียงพอและคำนึงถึง "ความเสี่ยง" ต่างๆประกอบด้วยนะครับ
การคาดการณ์คือสิ่งที่เราคาดว่ามันควรจะเป็น
และสิ่งที่จะมาตรวจการบ้านของเราก็คือ "ผลประกอบการ" ว่ามันเป็นไปในทิศทางเดียวกัน(Align)กับที่เราคาดการณ์ไว้หรือไม่?
ถ้าคุณมีวิสัยทัศน์ และมุมมองที่ดี รวมทั้งมีการติดตามผลอย่างใกล้ชิดสำหรับแนวโน้มผลประกอบการ
ของที่ดู "ไร้ค่า" ในวันนี้ มันอาจจะกลายเป็นมรดกที่ยิ่งใหญ่ให้แก่ลูกหลานของคุณในอนาคตก็เป็นได้!!!
ผมไม่เคยมองอาม๊าว่า "โง่หรือบ้า"
แต่กลับกัน...
ผมมองว่าอาม๊าคือ "VI จำเป็น" และเป็น "นักลงทุน Role Model โดยไม่ตั้งใจ" ให้กับผมในวันนี้
ขอบคุณอาม๊า...ที่ทำให้ครอบครัวผมมีบ้านเป็นของตนเอง
เสียงเพลง "แสนแสบ" ของชรินทร์ นันทนาครจบลงไปแล้ว แต่ความฝันมันจะยังดังกังวาลอยู่ในใจของผมไม่เคยหยุดเลยนะขอรับ
pak
Reference :
1. http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80% ... B%E0%B8%B4
2. http://www.reurnthai.com/index.php?topic=4405.150
3. http://www.codi.or.th/baanmankong/index ... =5&lang=th
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re:
โพสต์ที่ 246
หลักทรัพย์ SETpak เขียน:ถ้านึกอะไรออกจะกลับมาเขียนอีกครั้งนะครับ (^_^)
ปล.
จบสิ้นการรอคอยอันยาวนานซักที เพราะ...วันนี้งบของหุ้นผมออกแล้วขอรับ
ผมซื้อลงทุนหุ้นถุงน่องเชอรีล่อน หรือหุ้น NC เอาไว้
(หลังจากการขายหุ้น BATA ออกไปทั้งหมด)
ทุกๆเวลาที่ผ่านไป...
หลายๆสัญญาณ...
มันกำลังค่อยๆ Confirm การเป็นหุ้น Turnaround ของ NC อย่างช้าๆ ทีละเล็ก ทีละน้อย
ผมถือหุ้นตัวนี้มา 9 เดือนแล้ว
แต่กระนั้น ผมก็ยังมิอาจพูดได้เต็มปากอย่าง 100% ว่า บริษัทฯนี้ Turnaround แล้ว
แต่จากผลประกอบการที่ดีขึ้น ฐานะการเงิน และราคาซื้อขายบนกระดาน
มันก็เป็นเพียงหนึ่งสัญญาณเท่านั้น แต่ไม่ใช่ทั้งหมดในการสรุป
ผมมองว่า...
"ทีมผู้บริหาร และกลยุทธ์ขององค์กร" ต่างหาก ที่จะเป็นสัญญาณ Turnaround อย่างยั่งยืนที่แท้จริง
หุ้น NC ราคาขึ้นมามากแล้ว การซื้อขายต้องใช้วิจารณญาณส่วนตัวของแต่ละท่าน
แต่ถ้าเพื่อ "การศึกษาเฉยๆ" ตัวนี้น่าสนใจครับผม
เพราะบริษัทฯต้องผ่านมรสุมต่างๆ อาทิเช่น
- วิกฤตค่าเงินปี 40 กับหนี้สินที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
- ต้องผ่านมรสุมการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นๆเช่นจีนและเวียดนาม
- ต้องผ่านมรสุมกับ Change สำคัญ คือ การเปลี่ยนแปลงพฤตกรรมของผู้บริโภค คือ การที่ผู้หญิงทำงาน ลดความนิยมในการใส่ถุงน่อง โดยหันมาให้ความสำคัญกับเรียวขาธรรมชาติกันมากขึ้น รวมทั้งการเพนต์เล็บเท้าแฟชั่นด้วย
- บริษัทฯมีบริษัทฯร่วมฯที่เข้าข่ายเพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์ แต่สุดท้ายบริษัทฯร่วมนั้น ก็สามารถฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ โดยสามารถปรับโครงสร้างหนี้ได้สำเร็จ และกำลังจะกลับเข้ามาเทรดในตลาดอีกครั้งหนึ่ง ท่ามกลางคำมั่นของผู้บริหารที่ประกาศกร้าวอย่างแน่วแน่ว่า...
"เราจะไม่ปล่อยให้บริษัทฯของเราล้มละลาย แต่เราจะกอบกู้มันกลับคืนมา"
ทุกๆปัญหา ท้าทายทีมผู้บริหารอย่างแสนสาหัส
แต่วันนี้ ฟ้ากำลังเปิดอย่างช้าๆ พายุ เมฆฝน ค่อยๆจางหายไป
"ถ้าคุณเฝ้ามองหุ้น Turnaround ตัวใดซักตัว ไม่ว่าจะเป็นตัวใดก็ตาม
คุณจะรู้สึกเหมือนดูหนังที่มี Story ที่น่าสนใจทีเดียว"
ขอให้ทุกท่านมีความสุขในการลงทุนนะครับ (^_^)
แหล่งข่าว SET
หัวข้อข่าว ตลท.ให้ NPK พ้นเหตุเพิกถอนและให้ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ตั้งแต่ 29 ธันวาคม 2554
วันที่/เวลา 20 ธ.ค. 2554 17:24:21
การปลดเครื่องหมาย
เรื่อง : การปลดเครื่องหมาย SP
ชื่อย่อหลักทรัพย์
- บริษัท นิวพลัสนิตติ้ง จำกัด (มหาชน) (NPK)
ปลดเครื่องหมาย : SP
วันที่ปลดเครื่องหมาย : 29 ธ.ค. 2554
รอบ : เช้า
เหตุผล :
ปฏิบัติตามข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์แล้ว
______________________________________________________________________
การปลดเครื่องหมาย
เรื่อง : การปลดเครื่องหมาย NC
ชื่อย่อหลักทรัพย์
- บริษัท นิวพลัสนิตติ้ง จำกัด (มหาชน) (NPK)
ปลดเครื่องหมาย : NC
วันที่ปลดเครื่องหมาย : 29 ธ.ค. 2554
รอบ : เช้า
เหตุผล :
ปฏิบัติตามข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์แล้ว
หมายเหตุ :
ตลาดหลักทรัพย์ให้ NPK พ้นเหตุอาจถูกเพิกถอนและให้หลักทรัพย์ของบริษัทซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ
ไอ ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2554 เป็นต้นไป
ตลาดหลักทรัพย์ให้หลักทรัพย์ของบริษัท นิวพลัสนิตติ้ง จำกัด (มหาชน) (NPK) พ้นเหตุอาจถูกเพิกถอน
โดยปลดเครื่องหมาย "SP" (Suspension) และ "NC" (Non-Compliance) และอนุญาตให้หลักทรัพย์ของ NPK
ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ได้ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2554 เป็นต้นไป
รายละเอียดเพิ่มเติมที่ http://www.set.or.th/dat/prsnews/news/0 ... 10062T.pdf
===========================================================
^
^
^
ผมขอร่วมยินดีกับบริษัทฯ NC และ NPK รวมทั้งผู้บริหารและพนักงานของบริษัทฯทุกๆท่าน
ที่ท่านสามารถนำพาเรือลำนี้ ผ่านพายุคลื่นลมแรงมาได้อย่างงดงามและน่าภาคภูมิใจยิ่งนัก
นี่เป็นอีก Case ที่คลาสสิคสำหรับการ Turnaround ของบริษัทฯ
ขอร่วมแสดงความยินดีกับผู้ถือหุ้นทุกๆท่านจากใจจริง
นักลงทุนต้องการบริษัทฯที่มีความตั้งใจจริง, ซื่อสัตย์ และมีธรรมมาภิบาลที่ดีเช่นนี้ครับผม
ผมขอขอบคุณแทนนักลงทุนทุกๆท่าน
ด้วยความเคารพ
pak
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 248
จากการตอบกระทู้เรื่อง "มีไหมครับคนที่เริ่มลงทุนในหุ้นจากเงินหลักหมื่นงอกเงยเป็นล้าน"
ที่ http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=50734
ที่ http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=50734
pak เขียน:ถนนสายนี้...มีคนเดินเข้ามามากหน้าหลายตาครับ
บ้างก็อยู่กับที่...ไม่ไปไหนเอาเสียเลย
บ้างก็เดินถอยหลังลงคลอง...อาจจะต้องตอบสวนความรู้สึกของกระทู้นี้ด้วยซ้ำไปว่า "มีไหมครับคนที่เริ่มลงทุนในหุ้นจากเงินหลักล้านถดถอยเป็นหลักหมื่น!!!"
แต่ก็มีไม่น้อยครับ...ที่สามารถใช้ถนนเส้นนี้ก้าวเดินไปสู่ประสบความสำเร็จกันมาแล้วมากมาย
ถนนเส้นเดียวกัน แต่ผลลัพธ์ของแต่ละคนไม่เหมือนกันนะครับ
แต่เท่าที่ผมได้สัมผัสมา คนที่ประสบความสำเร็จ คือ คนที่ยึดหลักแนว VI นะครับ (นี่ถ้าไปพูดพูดเว็บอื่น โดนด่าตายห๊า ฮ่า ฮ่า ฮ่า)
"VI ก็คล้ายๆกัยพระพุทธศาสนาครับ" คือ "หลักการง่าย...แต่ทำจริงไม่ง่ายเลย"
เพราะมันมีสิ่งที่เรียกว่า "กิเลส รัก โลภ โกรธ หลง อารมณ์ต่างๆ และอวิชชามากมายที่ถาโถมเข้าหาเรา"
ยกตัวอย่างให้ง่ายกว่านั้น...
"อานาปานสติ"...หลักการง่ายเหลือเกิน คือ "ตามรู้ลมหายใจ"
เห็นภาพใช่ไหมครับ? ว่า...หลักการเรียบง่าย แต่ทำได้ยากสำหรับผู้ที่ไม่เคยฝึกฝน
เช่นเดียวกันครับ "แนวการลงทุนแบบ VI"...หลักการก็ง่ายเหลือเกิน คือ "ซื้อหุ้นที่มี mos(Margin Of Safety)"
หลักการง่าย แต่ก็ยากในการปฏิบัติเช่นกัน
ด้วยหลักการง่ายๆแค่นี้แหล่ะครับ แต่มันทรงพลังยิ่งนัก
ยึดหลัก mos ให้มั่นๆนะครับ
เพราะด้วย Margin Of Safety ที่เป็นบวก จะทำให้เราไม่ขาดทุน และสามารถปกป้องเงินต้นไว้ได้
และด้วย Margin Of Story ของตลาดหุ้น จะทำให้เราสามารถทำให้เรามีเงินหลักล้านได้อย่างไม่ยากเย็น(ไอ้ประโยคหลังนี้ ผมคิดเองนะครับ หลักการเค้าไม่มีหรอกนะครับ เดี๋ยวจะพามือใหม่ลงทะเลกันไปเปล่า)
การเติบโตของพอร์ต เราสามารถประมาณการเบื้องต้นได้ตามที่ K.Skyforever ทำตัวอย่างไว้ได้ครับ
แต่ชีวิตจริง แม่มมันส์กว่านั้นเยอะครับ 555+
เพราะแทบไม่มีสมการคณิตศาสตร์ใดในโลกจะสามารถอธิบายการเติบโตของพอร์ตเราได้ดีไปกว่า หลักความไม่แน่นอนของไฮเซนแบร์ก (Heisenberg uncertainty principle)มั้งครับ
เพราะ มันไม่ใช่สมการเส้นตรง, มันไม่ใช่ Exponential ตรงๆ, มันคือสมการอะไรก็ไม่รู้ซินะ
บางทีมาเป็นคลื่น อย่างกับ sinusoidal pattern เลยก็มี
"ตลาดหุ้น" แฝงไปด้วย "คณิตศาสตร์" มากมายทุกหนแห่ง
และคณิตศาสตร์นี่เอง ที่ปกปิดความลับ และสามารถลวงตาพวกเราได้มากมาย!!
วิชาของไอสไตน์ บอกเราได้ดีในเรื่องราวเหล่านี้
สิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้เลย...แต่วิชาคณิตศาสตร์กลับเปิดเผยความจริงของโลก และบอกว่า มันสามารถเป็นไปได้
ตลาดหุ้นเอง...ก็เป็นเช่นนั้น
สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ แต่มันกลับเป็นไปได้แบบง่ายดายจริงๆ
ถึงตรงนี้แล้ว...
ผมขอตอบคุณ sous2011 ชัดๆก่อนเลยครับว่า "มันสามารถเป็นไปได้อย่างแน่นอน!!!"
ถ้าคุณลงทุน 5,000 บาท โดยซื้อจำนวน 10,000 หุ้น ในราคา 0.50 บาท
ใน Stage ที่ 1 การเปลี่ยนแปลงราคาหุ้น จาก 0.5 บาท ไปสู่ 1 บาท ก็โต 100% แต่เงินเพิ่มเพียง 5,000 บาท
และใน Stage ที่ 2 จาก 1 บาท ไปสู่ 2 บาท ก็โต 100% เช่นกัน แต่เงินเพิ่ม 10,000 บาท
และใน Stage ที่ 3 จาก 2 บาท ไปสู่ 4 บาท ก็โต 100% เช่นกัน แต่เงินเพิ่ม 20,000 บาท
และใน Stage ที่ 4 จาก 4 บาท ไปสู่ 8 บาท ก็โต 100% เช่นกัน แต่เงินเพิ่ม 40,000 บาท
100% เท่ากันในแต่ละ Stage...แต่กลับได้เม็ดเงินออกมาไม่เท่ากัน...นี่คือตัวอย่างเบื้องต้นหนึ่ง!!!
และเป็นที่มาของคำว่า "การรอคอย...คือกำไร"
ราคาหุ้น ก็คือ คณิตศาสตร์เช่นกัน
ราคาหุ้น หรือ Pricing Strategy ฝากไว้กับตัวเลขเพียงไม่กี่ตัว ที่สามารถหลอกคนได้เกือบทั้งตลาด
นั่นก็คือ p/e
p/e ตัวเลขที่สุดแสนจะทรงพลัง แต่มันกลับเปลี่ยนแปลงได้อย่างง่ายดาย
เพราะการเปลี่ยนแปลงของ p/e นี่เองครับ จะทำให้เรารวยได้ง่ายๆ
p คือ Price และ e คือ Earning
ไอ้ตัว e นี่แหล่ะครับ มันคือ "ตัวจี๊ด" เลยหล่ะ
ตัวจี๊ด แปลว่า มันไม่เคยหยุดนิ่ง และมันสามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่ายมาก
หุ้น Commodity ก็ใช้ประโยชน์จากตัวนี้
หุ้นปั่นแบบไม่มีพื้นฐาน แต่มีกำไรพิเศษ ก็ใช้ประโยชน์จากตรงนี้
หุ้น Turnaround ก็ใช้ประโยชน์ตจาก earning หรือ ตัวจี๊ดตัวนี้เช่นกัน
ดังนั้น Earning คือสิ่งที่สำคัญที่สุด และเป็นที่มาของการทำ DCF อะไรทำนองนั้นอ่ะนะ(ผมก็ทำละเอียดยังไม่ค่อยเป็นเช่นกัน)
ตลาดหุ้น มันไม่ง่ายดาย เพราะมันมีผู้เข้ามาแสวงหาประโยชน์มากมาย
ผมนิยามว่า "เจ้ามือ" คือ "ใครก็ได้ ที่เค้าแกร่งกว่าเรา"
เจ้ามือจะเล่นกับอารมณ์ของเรา ด้วยตัวละครง่าย คือ...
"5 ช่อง 2 ข้าง 3 สี"
แค่นี้จริงๆนะครับ
2 ข้าง คือ ฝั่งบิด และฝั่งออฟเฟอร์
และเค้ามีพื้นที่การแสดงเพียงฝั่งละ 5 ช่องราคา
และ 3 สี คือ เขียว เหลือง และแดง
แต่ไอ้ของง่ายนี้แหล่ะครับ "5 ช่อง 2 ข้าง 3 สี" ที่มันทำให้คน ตกรถ, ติดดอย, ขายหมู
และของง่ายๆนี้ก็ทำให้คนหมดตัว และกระโดดตึกตายมาแล้วเช่นกัน
ถ้านึกภาพไม่ออก ลองไปนั่งดูการเทรดของหุ้นร้อนดูละกันครับ
แล้วถามตัวเองว่า หัวใจของคุณรู้สึกอะไรบ้าง???
แต่โจทย์ใหญ่ของความสำเร็จ คือ คุณต้องก้าวข้ามอารมณ์เหล่านี้ไปให้ได้นะครับ
คนที่ประสบความสำเร็จนั้น
นอกจากจะต้องทำการบ้านอย่างหนักเพื่อที่จะซื้อหุ้นให้ถูกตัว ถูกเวลา แล้ว
เค้ายังต้องผ่าน "การทดสอบ" นับครั้งไม่ถ้วน
เจ้าลากขึ้น...เสมือนจะถามเราว่า มรึงจะขายไหม?
เจ้าทุบลง...เสมือนจะถามเราว่า มรึงจะขายไหม?
ตลาดฯสร้างช่องว่างแห่งความโลภและความกลัวให้เราตลอดเวลา
แต่คนที่ประสบความสำเร็จ เค้าเชื่อมั่นในอะไรบางอย่าง มากกว่าอารมณ์ที่ตลาดสร้างให้เรา
ยิ่งเขียนก็ยื่งฟุ้ง
สรุปดีกว่าครับว่า...
"เงินล้าน ถ้าเราคนเดียว คงอาศัยเวลายาวนานเหลือเกิน"
แต่ด้วยบริษัทฯจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้เรามีผู้ช่วยเยอะครับ
"CEO , บอร์ดบริหาร และพนักงานทุกคน" คือตัวช่วยของเรา ที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จอย่างงดงามจากเงินลงทุนของเรา
แต่การจะเลือกตัวช่วยที่ดี นั่นก็คือ "เราต้องใช้หลักการของ VI" มาเป็นตัวคัดกรอง
สรุปสั้นๆได้ว่า...คุณมาถูกทางแล้วขอรับ (^_^)
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
- SupachaiZ594
- Verified User
- โพสต์: 834
- ผู้ติดตาม: 0
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 249
NPK เข้าเทรดแล้วจะมีผลอย่างไรกับ NC บ้างครับพี่ pak
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 1
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 250
pak เขียน:คนส่วนมากมักจะคิดในเรื่องราวที่ผ่านไปแล้ว
เช่น "ในวิกฤตรอบที่ผ่านๆมา คนรวยกันไปเยอะเลยนะ!!!"
ซึ่งเป็นเรื่องจริงครับว่า...
"วิกฤต เท่ากับ โอกาส
ความกลัว เท่ากับ โอกาส
การอคอย เท่ากับ โอกาส"
คำถามในอนาคตที่ดีจำนวน 3 คำถาม คือ...
"คุณมองเห็นวิกฤตและความกลัวของนักลงทุนในบริษัทฯไหนบ้างหรือเปล่า?
และคุณเชื่อมั่นแค่ไหนว่าบริษัทฯนั้นจะสามารถฟันฝ่าและผ่านพ้นวิกฤตนั้นไปได้?
และที่สำคัญ คุณรู้จักการรอคอยด้วยจิตใจสงบบ้างหรือเปล่า?"
นั่นแหล่ะครับ..."แก่นแท้ของ Turnaround Stock"
(^_^)
อ่านซ้ำๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 251
บทความ : เรื่อง "เสน่ห์...ของตลาดหุ้น"
By pak, 23 ธ.ค. 54
เคยถามตัวเองบ้างไหม ว่า...
ทำไมเราถึงติดตลาดหุ้น? หรือ ทำไมเราถึงรู้สึกหงุดหงิดเวลาที่ตลาดหุ้นปิดทำการติดต่อกันหลายๆวัน?
อะไรคือ เสน่ห์ของตลาดหุ้นกันแน่นะ?...ผมคิดในใจ
ระหว่างที่ยังคิดอะไรไม่ออกนั้น ผมบังเอิญได้ดูคลิปด้านล่างนี้อ่ะนะขอรับ
และด้วยคลิปนี้เอง ผมจึงถึง "บางอ้อ" เลยทันทีครับ!!!
ว่า "เสน่ห์ของตลาดหุ้น" และ "เสน่ห์ของละครเวที" คือสิ่งเดียวกัน นั่นก็คือ "พลังแห่งการแสดงสด" นั่นเอง
เวทีของตลาดหุ้น แม้จะไม่ได้กว้างขวางอะไร!!!
เหมือนที่ผมเคยบอกไว้แล้วว่า "5ช่อง 2ข้าง 3สี" เท่านั้นเอง
แต่แค่ตัวละครเพียงไม่กี่ตัวนี่แหล่ะครับ มันสร้างความน่าตื่นเต้นชนิดที่เรานับชีพจรหัวใจของตัวเองแทบจะไม่ทัน
เสียงหัวเราะ และน้ำตา...มันท่วมเวทีเล็กๆแห่งนี้มานักต่อนักแล้วครับ
ตัวละครไม่กี่ตัวนั้น ทุกๆตัวสามารถแสดงอารมณ์ได้อย่างน่ามหัศจรรย์!!!
ในยามที่มีการไล่ซื้อยกแถวกันอย่างรุนแรง ก็เปรียบเสมือนอารมณ์แห่งความฮึกเหิม
ในยามที่มีการทุบขายทีละหลายๆช่อง ก็เปรียบเสมือนอารมณ์แห่งความหวาดกลัว
...ที่ตัวละครไม่กี่ตัวเหล่านั้นหยิบยื่นให้แก่เรา
"พลังแห่งการแสดงสด"...คือเสน่ห์ของตลาดหุ้นครับ
เพราะเราไม่รู้เลยว่า มันจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบนเวทีบ้าง เราไม่รู้ว่าวันนี้ตลาดหรือหุ้นของเราจะเขียวหรือแดง
ขนาด "น้ำท่วมแถมยุโรปแดง"...แต่เรายังเขียวอยู่บ่อยไป!!!
"ความไม่รู้(อนาคต)" นี่เองแหล่ะครับ...ที่ทำให้คนส่วนใหญ่ติดตลาดหุ้นอย่างงอมแงม
ตลาดหุ้นก็เหมือนเวทีละครที่มีอารมณ์ต่างแบบ "ครบรส" ทั้ง "สุข สนุก ทุกข์ รัก และโศกเศร้าเคล้าน้ำตา"
และเสน่ห์เล็กๆของมันอีกอย่างหนึ่งก็คือ "ความผิดพลาดเล็กๆน้อยๆ" ครับ
"เจ้ามือ" ที่ว่าซ้อมมาเป็นอย่างดีดี บางทีก็มี "พลาดหกล้ม" หรือ "หักหลัง" กันเองก็บ่อยไป
"มาร์ฯ" ที่ว่าเก่งๆ กลับตั้งราคาขายผิดบ้าง หรือบางทีก็ยังมีแอบโชว์เปิ่น คือ "จะเคาะขายแต่ดันเผลอไปเคาะซื้อ!!!"
ส่วนพวกเรา "เม่า"...ก็เป็นตัวประกอบที่สำคัญของละครเลยหล่ะครับ แสดงอะไรโก๊ะๆบ่อยสุด โดยมักยึดหลัก "ซื้อแพงขายถูกอยู่บ่อยไป"
อุบัติเหตุเล็กๆน้อยๆโดยไม่ตั้งใจเหล่านี้แหล่ะครับ คือ พลังแห่งการแสดงสด(หรือ Live)
...ซึ่งก็คือเสน่ห์ของตลาดทุนแห่งนี้ และไม่ได้แตกต่างไปจากการแสดงสดของละครเวทีเลย
ทั้งตลาดหุ้นและละครเวที มีอะไรหลายๆอย่างที่คล้ายกัน
จนบางทีผมเผลอตั้งชื่อเปรียบเทียบกันเอาไว้ว่า "ละครเวทีกับปาหี่ตลาดทุนฯ" อ่ะนะครับ
แต่อย่าลืมนะครับ ว่า...
ละครเวทีเหล่านี้ เค้ามักจะมี ผู้กำกับ เขียน Story เอาไว้ทั้งหมดอยู่แล้ว!!!
แล้วคุณหล่ะ..."เวลาดูละครเวทีแล้ว เคยมักจะเดาเหตุการณ์ล่วงหน้าในละครได้อย่างถูกต้องบ่อยหรือเปล่าหล่ะครับ?"
pak
ปล.
ขอบคุณ Trailer จาก "สี่แผ่นดิน เดอะ มิวสิคัล" ด้วยนะขอรับ
By pak, 23 ธ.ค. 54
เคยถามตัวเองบ้างไหม ว่า...
ทำไมเราถึงติดตลาดหุ้น? หรือ ทำไมเราถึงรู้สึกหงุดหงิดเวลาที่ตลาดหุ้นปิดทำการติดต่อกันหลายๆวัน?
อะไรคือ เสน่ห์ของตลาดหุ้นกันแน่นะ?...ผมคิดในใจ
ระหว่างที่ยังคิดอะไรไม่ออกนั้น ผมบังเอิญได้ดูคลิปด้านล่างนี้อ่ะนะขอรับ
และด้วยคลิปนี้เอง ผมจึงถึง "บางอ้อ" เลยทันทีครับ!!!
ว่า "เสน่ห์ของตลาดหุ้น" และ "เสน่ห์ของละครเวที" คือสิ่งเดียวกัน นั่นก็คือ "พลังแห่งการแสดงสด" นั่นเอง
เวทีของตลาดหุ้น แม้จะไม่ได้กว้างขวางอะไร!!!
เหมือนที่ผมเคยบอกไว้แล้วว่า "5ช่อง 2ข้าง 3สี" เท่านั้นเอง
แต่แค่ตัวละครเพียงไม่กี่ตัวนี่แหล่ะครับ มันสร้างความน่าตื่นเต้นชนิดที่เรานับชีพจรหัวใจของตัวเองแทบจะไม่ทัน
เสียงหัวเราะ และน้ำตา...มันท่วมเวทีเล็กๆแห่งนี้มานักต่อนักแล้วครับ
ตัวละครไม่กี่ตัวนั้น ทุกๆตัวสามารถแสดงอารมณ์ได้อย่างน่ามหัศจรรย์!!!
ในยามที่มีการไล่ซื้อยกแถวกันอย่างรุนแรง ก็เปรียบเสมือนอารมณ์แห่งความฮึกเหิม
ในยามที่มีการทุบขายทีละหลายๆช่อง ก็เปรียบเสมือนอารมณ์แห่งความหวาดกลัว
...ที่ตัวละครไม่กี่ตัวเหล่านั้นหยิบยื่นให้แก่เรา
"พลังแห่งการแสดงสด"...คือเสน่ห์ของตลาดหุ้นครับ
เพราะเราไม่รู้เลยว่า มันจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบนเวทีบ้าง เราไม่รู้ว่าวันนี้ตลาดหรือหุ้นของเราจะเขียวหรือแดง
ขนาด "น้ำท่วมแถมยุโรปแดง"...แต่เรายังเขียวอยู่บ่อยไป!!!
"ความไม่รู้(อนาคต)" นี่เองแหล่ะครับ...ที่ทำให้คนส่วนใหญ่ติดตลาดหุ้นอย่างงอมแงม
ตลาดหุ้นก็เหมือนเวทีละครที่มีอารมณ์ต่างแบบ "ครบรส" ทั้ง "สุข สนุก ทุกข์ รัก และโศกเศร้าเคล้าน้ำตา"
และเสน่ห์เล็กๆของมันอีกอย่างหนึ่งก็คือ "ความผิดพลาดเล็กๆน้อยๆ" ครับ
"เจ้ามือ" ที่ว่าซ้อมมาเป็นอย่างดีดี บางทีก็มี "พลาดหกล้ม" หรือ "หักหลัง" กันเองก็บ่อยไป
"มาร์ฯ" ที่ว่าเก่งๆ กลับตั้งราคาขายผิดบ้าง หรือบางทีก็ยังมีแอบโชว์เปิ่น คือ "จะเคาะขายแต่ดันเผลอไปเคาะซื้อ!!!"
ส่วนพวกเรา "เม่า"...ก็เป็นตัวประกอบที่สำคัญของละครเลยหล่ะครับ แสดงอะไรโก๊ะๆบ่อยสุด โดยมักยึดหลัก "ซื้อแพงขายถูกอยู่บ่อยไป"
อุบัติเหตุเล็กๆน้อยๆโดยไม่ตั้งใจเหล่านี้แหล่ะครับ คือ พลังแห่งการแสดงสด(หรือ Live)
...ซึ่งก็คือเสน่ห์ของตลาดทุนแห่งนี้ และไม่ได้แตกต่างไปจากการแสดงสดของละครเวทีเลย
ทั้งตลาดหุ้นและละครเวที มีอะไรหลายๆอย่างที่คล้ายกัน
จนบางทีผมเผลอตั้งชื่อเปรียบเทียบกันเอาไว้ว่า "ละครเวทีกับปาหี่ตลาดทุนฯ" อ่ะนะครับ
แต่อย่าลืมนะครับ ว่า...
ละครเวทีเหล่านี้ เค้ามักจะมี ผู้กำกับ เขียน Story เอาไว้ทั้งหมดอยู่แล้ว!!!
แล้วคุณหล่ะ..."เวลาดูละครเวทีแล้ว เคยมักจะเดาเหตุการณ์ล่วงหน้าในละครได้อย่างถูกต้องบ่อยหรือเปล่าหล่ะครับ?"
pak
ปล.
ขอบคุณ Trailer จาก "สี่แผ่นดิน เดอะ มิวสิคัล" ด้วยนะขอรับ
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
- raynus
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 720
- ผู้ติดตาม: 0
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 252
ขอถามคุณ pak
การลงทุนแนว Turn around
หมายถึง
การประเมินว่าบริษัทสามารถพลิกฟื้นผ่านวิกฤต ที่เต็มไปด้วยความกลัวของนักลงทุน ไปได้หรือไม่
ในวิธีแบบนี้
คุณ pak ได้มีการประเมิน "ราคาเต็มมูลค่า" ไว้ด้วยวิธีใดครับ ?
ผมเองคิดว่า DCF ไม่น่าจะใช้ได้ เพราะ สมมุติฐานจะคาดเดาได้ยาก
เนื่องจากการ turn around น่าจะหมายถึงเปลี่ยนพื้นฐานของบริษัทไปเลย
ต่อให้ตั้งสมมุติฐานตามคำกล่าวอ้างของ CEO ว่ารายได้จะเพิ่มเท่านั้นเท่านี้
ผมก็ว่ามันออกจะ bias(ตามคำพูดของ CEO) ไปซะหน่อย
ขอบคุณครับ
การลงทุนแนว Turn around
หมายถึง
การประเมินว่าบริษัทสามารถพลิกฟื้นผ่านวิกฤต ที่เต็มไปด้วยความกลัวของนักลงทุน ไปได้หรือไม่
ในวิธีแบบนี้
คุณ pak ได้มีการประเมิน "ราคาเต็มมูลค่า" ไว้ด้วยวิธีใดครับ ?
ผมเองคิดว่า DCF ไม่น่าจะใช้ได้ เพราะ สมมุติฐานจะคาดเดาได้ยาก
เนื่องจากการ turn around น่าจะหมายถึงเปลี่ยนพื้นฐานของบริษัทไปเลย
ต่อให้ตั้งสมมุติฐานตามคำกล่าวอ้างของ CEO ว่ารายได้จะเพิ่มเท่านั้นเท่านี้
ผมก็ว่ามันออกจะ bias(ตามคำพูดของ CEO) ไปซะหน่อย
ขอบคุณครับ
สายปันผลครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 253
>> ยินดีที่ได้แลกเปลี่ยนครับผม (^_^)raynus เขียน:ขอถามคุณ pak
การลงทุนแนว Turn around
หมายถึง
การประเมินว่าบริษัทสามารถพลิกฟื้นผ่านวิกฤต ที่เต็มไปด้วยความกลัวของนักลงทุน ไปได้หรือไม่
>> "ไปได้หรือไม่?" ยังไม่สำคัญเท่ากับ "ไปได้อย่างไร?" นะครับ
คำถามที่เป็น How to จะมีความสำคัญและตอบยากมากกว่าเสมอๆ
ที่ผมมักเขียนซ้ำๆอยู่เสมอว่า...
เราต้องตอบ 2 คำถามคำคัญให้ได้ก่อนว่า
1. ในอดีต บริษัทฯเจ๊งเพราะอะไร?
2. ในอนาคต บริษัทฯจะสามารถพลิกฟื้นได้เพราะอะไร?
ในวิธีแบบนี้
คุณ pak ได้มีการประเมิน "ราคาเต็มมูลค่า" ไว้ด้วยวิธีใดครับ ?
ผมเองคิดว่า DCF ไม่น่าจะใช้ได้ เพราะ สมมุติฐานจะคาดเดาได้ยาก
>> เห็นด้วยบางส่วนครับ
เพราะหุ้น Turnaround คือบริษัทฯที่เคยผ่านจุดที่กำลังจะเจ๊ง เปรียบเสมือนเรือใกล้อัปปางกลางพายุใหญ่ หรือเสมือนคนไข้ใน ICU
"ตัวเลขต่างๆ...ไม่ได้วัดเพื่อดูว่าคนคนนั้นมีสุขภาพดีหรือไม่?
แต่กลับกัน ตัวเลขต่างๆนั้น มันวัดเพียงเพื่อจะบอกว่า คนคนนั้นจะรอดตายได้หรือไม่?...มากกว่า"
ดังนั้น เราจะใช้ความเข้าใจเดิมๆของหุ้นทั่วไป กับหุ้น Turnaround ทั้งหมดไม่ได้ครับ
เนื่องจากการ turn around น่าจะหมายถึงเปลี่ยนพื้นฐานของบริษัทไปเลย
>> ใช่ครับ แต่ถ้าภาพยังไม่ชัดพอ ผมไม่เคยตัดสินใจลงทุนนะครับ!!!
ผมต้องมีข้อมูลมากพอ และเห็นภาพอนาคตที่ชัดเจนดีพอเสียก่อน
นั่นคือ การทำการบ้านอย่างหนัก รวมไปถึงการพยายามเข้าไปสัมผัสตัวตนของผู้บริหารหรือ CEO โดยตรง ในวัน AGM หรือ OPP Day
ทั้งนี้เพราะ การทำให้บริษัทฯ Turnaround นั้น มันต้องใช้ทั้ง "กำลังภายนอก" และ "กำลังภายใน"
เช่น...
ถ้าเป็นที่เมืองนอก การไล่คนออก ช่างเป็นเรื่องง่ายดาย!!!
แต่ในเมืองไทย ทำไม่ดี โดนนักข่าวด่า โดนฟ้องศาลได้ง่ายๆเลยนะครับ
เพราะ วัฒนธรรม มันต่างกัน
สรุปว่า ค่อนข้างเหนื่อยครับ ที่จะทำให้บริษัทฯฟื้นขึ้นมาได้จริงๆ
ต่อให้ตั้งสมมุติฐานตามคำกล่าวอ้างของ CEO ว่ารายได้จะเพิ่มเท่านั้นเท่านี้
ผมก็ว่ามันออกจะ bias(ตามคำพูดของ CEO) ไปซะหน่อย
>> จินตนาการสำคัญกว่าความคิดครับ
ตัวเลขต่างๆ เป็นเพียง Indicator ตามเท่านั้นเอง กล่าวคือ...
"เราต้องสามารถหลับตา และคาดการณ์เหตุการณ์ที่ควรจะเกิดขึ้นในอนาคตไว้ทั้งหมดแล้ว นั่นคือ "Indicator นำ"
แต่ตัวเลขต่างเช่น รายได้, กำไร, ค่าใช้จ่ายหนักงาน, Gross Progit Margin ไอ้ตัวเลขพวกนี้ เป็นเพียง "Indicator ตาม" คือเราเอาไว้ใช้เป็นแค่ "ตัว Cross Check" ความคิดเราเท่านั้นเอง
ว่าสิ่งที่เราคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า...ถูกต้องหรือไม่? เรายังคงเชื่อมั่นบริษัทฯได้เหมือนเดิมหรือไม่?
ถ้าถูกต้องก็ผ่านไป(Let Profit Run) แต่ถ้าไม่ถูกต้องต้องรีบหาสาเหตุทันที!!! เพราะถ้าเราคิดอะไรผิดแรงๆ เราอาจต้องตัดสินใจอะไรใหญ่ๆก็ได้
สรุปว่า..."ตัวเลขต่างใน DCF เป็นแค่ตัวตามครับ หาใช่ตัวนำไม่!!!"
ขอบคุณครับ
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 254
ในเว็บพันทิพ มีคนตั้งคำถามไว้ว่า "รายชื่อหุ้น turn around สามารถหาได้จากไหนครับ..."
มีอยู่ 2 ท่านที่ตอบได้ดีมากๆครับ
คือ...
1) คุณ ยางบง (B_byHand)
ตอบไว้ว่า...
"ถ้ามีใครบอกชื่อหุ้นได้ ก็ไม่ได้หมายความว่า หุ้นเหล่านั้น กิจการจะฟื้นคืนได้ภายใน วันสองวันสักหน่อย
บางทีกว่าจะฟื้น ก็เป็นปี เลยนะครับ จขกท. หากจะเล่นหุ้น Trun around
คุณต้องเป็นคนใจเย็นมาก ๆ รอหุ้นได้เป็นปี ๆ
แล้วถ้าวิเคราะห์ผิด ก็ต้องยอมที่จะ cut ไปหา หุ้น trun around ตัวใหม่ครับ
หากไม่ใช่แล้ว เล่นหุ้นพื้นฐานทั่ว ๆ ไปดีกว่าครับ
สบายใจกว่าเยอะ ถือสัก เดือนสองเดือน ก็พอได้ลำใย ไปกินเล่นครับท่าน"
2) คุณ Gethsemane
ตอบไว้ว่า...
"หุ้น Turn Around คือ หุ้นที่พลิก การดำเนินกิจการ แบบหน้ามือหลังมือ
โดยส่วนมากจะพูดในทางบวก เช่น ขาดทุน มามีกำไร และมีศักยภาพทำกำไรต่อเนื่อง ส่งผลให้มีโอกาสที่ราคาหุ้นเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ไม่ค่อยแนะนำให้ ดูจากโพยอย่างเดียว ควรดูจาก ตัวเลขทางการเงิน หลายๆ อย่างครับ
ที่สำคัญอาจจะต้องเข้าไปศึกษาในตัวของธุรกิจด้วย ว่ามีความสามารถในการ ทำกำไรระยะยาวหรือไม่"
ทั้ง 2 ท่านตอบได้โดนใจ จนผมต้องขออนุญาตนำมุมมองดีๆมาเก็บไว้ในกระทู้นี้อ่ะนะขอรับ
(^_^)
มีอยู่ 2 ท่านที่ตอบได้ดีมากๆครับ
คือ...
1) คุณ ยางบง (B_byHand)
ตอบไว้ว่า...
"ถ้ามีใครบอกชื่อหุ้นได้ ก็ไม่ได้หมายความว่า หุ้นเหล่านั้น กิจการจะฟื้นคืนได้ภายใน วันสองวันสักหน่อย
บางทีกว่าจะฟื้น ก็เป็นปี เลยนะครับ จขกท. หากจะเล่นหุ้น Trun around
คุณต้องเป็นคนใจเย็นมาก ๆ รอหุ้นได้เป็นปี ๆ
แล้วถ้าวิเคราะห์ผิด ก็ต้องยอมที่จะ cut ไปหา หุ้น trun around ตัวใหม่ครับ
หากไม่ใช่แล้ว เล่นหุ้นพื้นฐานทั่ว ๆ ไปดีกว่าครับ
สบายใจกว่าเยอะ ถือสัก เดือนสองเดือน ก็พอได้ลำใย ไปกินเล่นครับท่าน"
2) คุณ Gethsemane
ตอบไว้ว่า...
"หุ้น Turn Around คือ หุ้นที่พลิก การดำเนินกิจการ แบบหน้ามือหลังมือ
โดยส่วนมากจะพูดในทางบวก เช่น ขาดทุน มามีกำไร และมีศักยภาพทำกำไรต่อเนื่อง ส่งผลให้มีโอกาสที่ราคาหุ้นเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ไม่ค่อยแนะนำให้ ดูจากโพยอย่างเดียว ควรดูจาก ตัวเลขทางการเงิน หลายๆ อย่างครับ
ที่สำคัญอาจจะต้องเข้าไปศึกษาในตัวของธุรกิจด้วย ว่ามีความสามารถในการ ทำกำไรระยะยาวหรือไม่"
ทั้ง 2 ท่านตอบได้โดนใจ จนผมต้องขออนุญาตนำมุมมองดีๆมาเก็บไว้ในกระทู้นี้อ่ะนะขอรับ
(^_^)
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 255
มุมคิดเรื่อง : วลี "ลวกชาม เททิ้งสามชาม ยังมีกำไร!!!"
By pak, 5 ม.ค. 54
หุ้นไร้แนวต้าน...ก็ไม่ใช่ว่า จะไม่น่ากลัวนะครับ!!!
รถแจ๊ส...ก็เคยคว่ำให้เราเห็นกันจะจะคาตากันมาแล้ว!!!
เวลาพวกวีไอเค้าแห่เทขายกัน ด้วยกันเหตุผลสั้นๆง่ายๆและหรูหราที่ว่า...
"ราคานี้สูงเกินกว่าปัจจัยพื้นฐานแล้ว!!!"
...ณ ห้วงเวลานั้น ช่างน่ากลัว และสยดสยองยิ่งนัก
กำไรที่ค่อยๆสร้างมาอย่างช้าๆร่วมเดือน กลับหายวับไปกับตาภายในไม่กี่นาที!!!
พวกที่ใช้มาร์จิ้น ขายทิ้งแบบไม่ต้องคิด เพราะเค้ากำไรทั้งนั้น
เข้าทำนองเหมือนลวกก๋วยเตี๋ยวที่ว่า...
"ลวกชาม เททิ้งสามชาม ยังมีกำไร!!!"
พวกวีไอที่ต้นทุนเค้าต่ำมากๆ ก็เป็นเช่นวลีนั้นแล...
*** ขอบคุณภาพประกอบโดย น้อง yacht7
By pak, 5 ม.ค. 54
หุ้นไร้แนวต้าน...ก็ไม่ใช่ว่า จะไม่น่ากลัวนะครับ!!!
รถแจ๊ส...ก็เคยคว่ำให้เราเห็นกันจะจะคาตากันมาแล้ว!!!
เวลาพวกวีไอเค้าแห่เทขายกัน ด้วยกันเหตุผลสั้นๆง่ายๆและหรูหราที่ว่า...
"ราคานี้สูงเกินกว่าปัจจัยพื้นฐานแล้ว!!!"
...ณ ห้วงเวลานั้น ช่างน่ากลัว และสยดสยองยิ่งนัก
กำไรที่ค่อยๆสร้างมาอย่างช้าๆร่วมเดือน กลับหายวับไปกับตาภายในไม่กี่นาที!!!
พวกที่ใช้มาร์จิ้น ขายทิ้งแบบไม่ต้องคิด เพราะเค้ากำไรทั้งนั้น
เข้าทำนองเหมือนลวกก๋วยเตี๋ยวที่ว่า...
"ลวกชาม เททิ้งสามชาม ยังมีกำไร!!!"
พวกวีไอที่ต้นทุนเค้าต่ำมากๆ ก็เป็นเช่นวลีนั้นแล...
*** ขอบคุณภาพประกอบโดย น้อง yacht7
แนบไฟล์
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 256
มุมคิด เรื่อง : จงสร้าง "วงสวิงที่ดีที่สุดสำหรับตัวเราเอง"
By pak, 4 ม.ค. 54
จงสร้าง "วงสวิงที่ดีที่สุดสำหรับตัวเราเอง"
โดย "วงสวิงของคนอื่น" นั้น เราเพียงแค่ "เรียนรู้" มิใช่ "ลอกเลียน"!!!
วงสวิงที่ดี ต้องมีการผสมผสาน และมีสัดส่วนที่กลมกล่อมลงตัวสำหรับตัวเราเองเท่านั้น
หลับตาลง และจงสร้างวงสวิงที่ดีที่สุดและเหมาะสมที่สุดสำหรับตัวเราเอง
... ... ถ้าเราสามารถทำได้อย่างดีตามที่เราวางแผนไว้แล้ว
เหตุใดเราจะต้องนำไปเปรียบเทียบกับผู้อื่น...จริงไหมครับ?
"วงสวิง KAMART" หรือ "วงสวิง APCO"...ช่างน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก
แต่ผมมักท่องในใจเสมอ ว่า...
"มันไม่ใช่วงสวิงของเรา!!!
และเราควรจะพลอยมีความสุขไปกับผู้อื่นด้วย เมื่อเห็นว่าเค้าได้ดี(โดยพยายามให้ปราศจากความโลภและความอิจฉาทั้งปวง)"
...และเมื่อคิดได้แค่นี้ เราก็จะกลับมามีสมาธิที่ "วงสวิง" ของเราเอง
โดยเก็บบทเรียนจากวงสวิงของเค้าไว้...เท่านั้นเอง
...ผมคิดแบบนั้นนะ
By pak, 4 ม.ค. 54
จงสร้าง "วงสวิงที่ดีที่สุดสำหรับตัวเราเอง"
โดย "วงสวิงของคนอื่น" นั้น เราเพียงแค่ "เรียนรู้" มิใช่ "ลอกเลียน"!!!
วงสวิงที่ดี ต้องมีการผสมผสาน และมีสัดส่วนที่กลมกล่อมลงตัวสำหรับตัวเราเองเท่านั้น
หลับตาลง และจงสร้างวงสวิงที่ดีที่สุดและเหมาะสมที่สุดสำหรับตัวเราเอง
... ... ถ้าเราสามารถทำได้อย่างดีตามที่เราวางแผนไว้แล้ว
เหตุใดเราจะต้องนำไปเปรียบเทียบกับผู้อื่น...จริงไหมครับ?
"วงสวิง KAMART" หรือ "วงสวิง APCO"...ช่างน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก
แต่ผมมักท่องในใจเสมอ ว่า...
"มันไม่ใช่วงสวิงของเรา!!!
และเราควรจะพลอยมีความสุขไปกับผู้อื่นด้วย เมื่อเห็นว่าเค้าได้ดี(โดยพยายามให้ปราศจากความโลภและความอิจฉาทั้งปวง)"
...และเมื่อคิดได้แค่นี้ เราก็จะกลับมามีสมาธิที่ "วงสวิง" ของเราเอง
โดยเก็บบทเรียนจากวงสวิงของเค้าไว้...เท่านั้นเอง
...ผมคิดแบบนั้นนะ
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 257
มุมคิด เรื่อง : "Fast-Track" และ "Rising Star"
By pak
แม้จะอยู่ภายใต้ VI Concept เหมือนๆกัน แต่มันก็มีสิ่งที่เรียกว่า "Fast-Track" แอบแฝงอยู่
"เพชรในตม" หรือ "บริษัทฯที่จะมาเป็น Rising Star ในอนาคต" มีอยู่จริง!!!
แต่มันต้องอาศัยความพยายาม, ความขยัน, ความมานะ และความใส่ใจมากมายในการ "คัดสรร" และ "เลือกเฟ้น" อย่างพิถีพิถันครับ
วันที่อนาคตยังเดินทางมาไม่ถึงนั้น เทพนาธานกับคนตาถึง มันห่างกันแค่เส้นด้ายบางๆเท่านั้นเองอ่ะนะขอรับ
...ผมคิดแบบนั้นนะ
By pak
แม้จะอยู่ภายใต้ VI Concept เหมือนๆกัน แต่มันก็มีสิ่งที่เรียกว่า "Fast-Track" แอบแฝงอยู่
"เพชรในตม" หรือ "บริษัทฯที่จะมาเป็น Rising Star ในอนาคต" มีอยู่จริง!!!
แต่มันต้องอาศัยความพยายาม, ความขยัน, ความมานะ และความใส่ใจมากมายในการ "คัดสรร" และ "เลือกเฟ้น" อย่างพิถีพิถันครับ
วันที่อนาคตยังเดินทางมาไม่ถึงนั้น เทพนาธานกับคนตาถึง มันห่างกันแค่เส้นด้ายบางๆเท่านั้นเองอ่ะนะขอรับ
...ผมคิดแบบนั้นนะ
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 1024
- ผู้ติดตาม: 0
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 258
หุ้น turn around ต้องใช้เวลาพอสมควรในการยืนยันว่า turn around จริงหรือไม่
อาจนานถึง 2-4 ปีเลยก็ได้
หากบริษัทขาดทุนเละเทะติดต่อกันมาหลายปี หนี้สินเพียบ แล้วปีนี้มามีกำไร แต่พอปีต่อไปกลับขาดทุนอีก
ปีต่อไปกำไรบ้าง ขาดทุนบ้าง หนี้ก็ไม่ได้ลดอะไรมากมาย อะไรแบบนี้
ไม่น่าจะใช่คำว่า turn around ซึ่งหมายถึงพลิกกลับ
แต่หากสามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างองกรณ์ ซึ่งมีรายละเอียดเยอะแยะมากมายใหม่
ที่ดีเก็บไว้ ที่ร้ายตัดทิ้งหรือปรับปรุงแก้ไข พัฒนาต่อยอด จนสามารถดำเนินงานและ turn around ได้จริง
ยิ่งบริษัืทที่ขาดทุนหนักๆหลายๆปีติดต่อกัน จนราคาทิ้งดิ่งลงมามากเท่าไหร่
หากสามารถ turn around ได้จริงนั้น ผลตอบแทนที่ได้รับกลับคืน ก็ยิ่งสูงมากพอกับความเสี่ยงที่ผู้ถือหุ้นได้รับ
อาจนานถึง 2-4 ปีเลยก็ได้
หากบริษัทขาดทุนเละเทะติดต่อกันมาหลายปี หนี้สินเพียบ แล้วปีนี้มามีกำไร แต่พอปีต่อไปกลับขาดทุนอีก
ปีต่อไปกำไรบ้าง ขาดทุนบ้าง หนี้ก็ไม่ได้ลดอะไรมากมาย อะไรแบบนี้
ไม่น่าจะใช่คำว่า turn around ซึ่งหมายถึงพลิกกลับ
แต่หากสามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างองกรณ์ ซึ่งมีรายละเอียดเยอะแยะมากมายใหม่
ที่ดีเก็บไว้ ที่ร้ายตัดทิ้งหรือปรับปรุงแก้ไข พัฒนาต่อยอด จนสามารถดำเนินงานและ turn around ได้จริง
ยิ่งบริษัืทที่ขาดทุนหนักๆหลายๆปีติดต่อกัน จนราคาทิ้งดิ่งลงมามากเท่าไหร่
หากสามารถ turn around ได้จริงนั้น ผลตอบแทนที่ได้รับกลับคืน ก็ยิ่งสูงมากพอกับความเสี่ยงที่ผู้ถือหุ้นได้รับ
"เพราะเรียบง่าย จึงชนะ"
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 259
ขอบคุณมากครับ คุณ untrataro25 สำหรับคำตอบและคำแนะนำที่ดีๆ
ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งครับ ว่าบางอย่างนั้นต้องใช้ระยะเวลายาวนาน
บ้างต้องใช้เวลาบ่มเพาะจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม
ดังคำกล่าวของ คุณ Bluesea ในห้อง "ร้อยคนร้อนหุ้น" ที่เขียนเปรียบเปรยไว้อย่างน่าอ่านมากๆ
และคิดว่าหลายท่านอาจจะยังไม่ได้อ่าน ดังนี้ครับ...
...วลีของคุณ Bulesea ที่ผมมักจะมานั่งอ่านซ้ำอยู่บ่อยครั้งครับผม
(^_^)
ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งครับ ว่าบางอย่างนั้นต้องใช้ระยะเวลายาวนาน
บ้างต้องใช้เวลาบ่มเพาะจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม
ดังคำกล่าวของ คุณ Bluesea ในห้อง "ร้อยคนร้อนหุ้น" ที่เขียนเปรียบเปรยไว้อย่างน่าอ่านมากๆ
และคิดว่าหลายท่านอาจจะยังไม่ได้อ่าน ดังนี้ครับ...
"ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์หุ้น"bluesea เขียน:เพื่อนๆ ชาว VI ขอรับ กระผมมีต้นไม้อยู่ต้นหนึ่งในสวนของกระผม หลายปีที่ผ่านมา มันค่อยๆ เหี่ยวลงไปเรื่อยๆ จนถึงปีที่แล้ว กระผมคิดว่าคงจะถึงจุดจบของมันแล้ว เพราะนอกจากจะเหี่ยวแล้ว ยังแห้งอีกต่างหาก
จนกระทั่งปลายปีที่แล้ว กระผมได้ทีมคนสวนชุดใหม่เข้ามาดูแลต้นไม้ต้นนี้ ทันทีที่เริ่มงานหัวหน้าคนสวนได้จัดการตัดกิ่งที่ตายแล้วออก, ปลิดใบไม้ที่ไม่ดูดก๊าซคาร์บอน, คลุมหน้าดินเพื่อเก็บรักษาความชื้นเดิม และเตรียมดินสำหรับความชื้นใหม่ เพื่อฟื้นฟูให้รากแก้ว และรากฝอย ได้ค่อยๆงอกใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง ปรากฏว่าเจ้าต้นไม้ต้นนี้รอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด ชนิดที่ว่าเส้นยาแดงผ่าสามสิบสองเลยทีเดียว เพราะผ่าแปดมันธรรมดาเกินไป
วันนี้ทีมคนสวนชุดนี้ ได้แจ้งว่าต้นไม้ต้นนี้ ได้แตกยอดอ่อนแล้วแต่เป็นยอดอ่อนที่ยังเล็กอยู่ สำหรับกระผมนี่เป็นสัญญานที่ดี ที่แสดงว่าต้นไม้ต้นนี้กำลังจะมีชีวิตชีวาอีกครั้ง
แต่ถ้าวันนี้ทีมคนสวนมาแจ้งว่าต้นไม้ต้นนี้ ออกดอกออกผลมากมาย กระผมคงต้องสงสัยไว้ก่อนว่า คนสวนแอบไปเอาดอกผลปลอมๆ มาแขวนไว้ เพื่อหลอกให้กระผมชื่นใจ เพราะมันผิดธรรมชาติสำหรับสิ่งที่ใกล้จะตายแต่สามารถออกดอกออกผลได้มากมายในทันที ที่ได้รับการดูแล แม้ว่าจะเป็นการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญก็ตามที
ดังนั้น วันนี้กระผมจึงรู้สึกสบายใจที่ได้เห็นยอดอ่อนเล็กๆ แต่เป็นยอดอ่อนที่งอกออกมาจากต้นจริงๆ ของมัน ระหว่างนี้กระผมคิดว่า กระผมควรให้เวลาอีกนิดหน่อยแก่ต้นไม้ต้นนี้เพื่อให้รากแก้ว และรากฝอยได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่ มันจึงเร็วไปที่กระผมจะสรุปอะไรเกี่ยวกับต้นไม้ต้นนี้ ในเมื่อทุกส่วนของต้นเพิ่งเริ่มฟื้นตัวได้ไม่กี่วัน
ปล. หัวหน้าคนสวนแจ้งว่า แม้แต่การใส่ปุ๋ยก็ต้องรอเวลาที่เหมาะสม
***** ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์หุ้น และเพื่อนๆชาวVI ทุกท่าน*****
...วลีของคุณ Bulesea ที่ผมมักจะมานั่งอ่านซ้ำอยู่บ่อยครั้งครับผม
(^_^)
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 260
ถ้าผมจะเขียนหนังสือสักเล่มหนึ่ง
หนังสือเล่มนั้น น่าจะชื่อว่า...
"Passion of Turnaround Stock"
เพราะการลงทุนมีความเสี่ยง แต่ก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ
ทั้งนี้เพราะ การลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ ความรู้อย่างเดียว...ไม่พอครับ!!!
มันต้องอาศัยสิ่งที่เรียกว่า "Passion"
ผมไม่แน่ใจว่าจะใช้คำได้ถูกต้องไหมนะครับ ประมาณว่า "ความลุ่มหลง, ความชื่นชมอย่างมาก, ความปรารถนาอยากเป็นเจ้าของ, ความรู้สึกว่ามันมีเสน่ห์อย่างมาก"
อาจจะมากไปถึงความว่า "ความหวัง, ความเชื่อ และความศรัทธา"
PAK อาจไม่มีชื่อเรียกอ่านออกเสียงที่ชัดเจน
บางท่านอาจเรียกว่า "แป๊ก, แพ็ค, ภาค, หรือ ผัก ฯลฯ"
แต่จริงๆแล้วมันสามารถตีความหมายได้ว่า "Passion And Knowledge"
หรือ หัวใจของหุ้น Turnaround ที่ว่า "มันต้องอาศัยทั้งสองอย่างนี้เพื่อจะประสบความสำเร็จ ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง...ไม่ได้เลย!!!"
แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น หนังสือเล่มนี้จะยังไม่เกิดขึ้นมาอย่างแน่นอน
ถ้าผมยังไม่สามารถตกผลึกได้เพียงพอ!!!
เพราะผมคิดว่า "หนังสือจะมีคุณค่าได้ ผู้เขียนต้องมีประสบการณ์มากพอ" ครับ
มี 2 บทในหนังสือ ที่ผมใฝ่ฝันอยากจะเขียนมากๆ ถ้าผมพร้อม คือ...
1) State of Turnaround Stock
เป็นการวิเคราะห์ว่า หุ้น Turnaround โดยมาก จะแบ่งการฟื้นตัวออกเป็นกี่ Phase
และข้อสังเกตว่า ปัจจุบันมันน่าจะอยู่ในช่วงไหน? แอละอนาคตมันน่าจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร?
2) Class of Turnaround Stock
หมายความว่า เราควรจะมี Criteria ต่างๆที่ชัดเจนพอสมควร เพื่อที่จะสามารถแบ่งหุ้นฟื้นตัวออกเป็น Class ต่างๆได้ เช่น...
หุ้น Turnaround Class A , Class B , Class C ฯลฯ
ถ้าผมมีประสบการณ์มากพอที่จะเขียน 2 เรื่องนี้ได้ วันนั้นคงจะพร้อมที่จะเขียนหนังสือสักเล่มหนึ่ง
แต่ที่แน่ๆ วันนี้ผมยังไม่พร้อมครับ เนื่องจากยังไม่เก่งพอ
และยังอยู่ระหว่างการเรียนรู้ครับผม
...เล่าสู่กันฟังวันอาทิตย์ครับผม
(^_^)
หนังสือเล่มนั้น น่าจะชื่อว่า...
"Passion of Turnaround Stock"
เพราะการลงทุนมีความเสี่ยง แต่ก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ
ทั้งนี้เพราะ การลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ ความรู้อย่างเดียว...ไม่พอครับ!!!
มันต้องอาศัยสิ่งที่เรียกว่า "Passion"
ผมไม่แน่ใจว่าจะใช้คำได้ถูกต้องไหมนะครับ ประมาณว่า "ความลุ่มหลง, ความชื่นชมอย่างมาก, ความปรารถนาอยากเป็นเจ้าของ, ความรู้สึกว่ามันมีเสน่ห์อย่างมาก"
อาจจะมากไปถึงความว่า "ความหวัง, ความเชื่อ และความศรัทธา"
PAK อาจไม่มีชื่อเรียกอ่านออกเสียงที่ชัดเจน
บางท่านอาจเรียกว่า "แป๊ก, แพ็ค, ภาค, หรือ ผัก ฯลฯ"
แต่จริงๆแล้วมันสามารถตีความหมายได้ว่า "Passion And Knowledge"
หรือ หัวใจของหุ้น Turnaround ที่ว่า "มันต้องอาศัยทั้งสองอย่างนี้เพื่อจะประสบความสำเร็จ ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง...ไม่ได้เลย!!!"
แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น หนังสือเล่มนี้จะยังไม่เกิดขึ้นมาอย่างแน่นอน
ถ้าผมยังไม่สามารถตกผลึกได้เพียงพอ!!!
เพราะผมคิดว่า "หนังสือจะมีคุณค่าได้ ผู้เขียนต้องมีประสบการณ์มากพอ" ครับ
มี 2 บทในหนังสือ ที่ผมใฝ่ฝันอยากจะเขียนมากๆ ถ้าผมพร้อม คือ...
1) State of Turnaround Stock
เป็นการวิเคราะห์ว่า หุ้น Turnaround โดยมาก จะแบ่งการฟื้นตัวออกเป็นกี่ Phase
และข้อสังเกตว่า ปัจจุบันมันน่าจะอยู่ในช่วงไหน? แอละอนาคตมันน่าจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร?
2) Class of Turnaround Stock
หมายความว่า เราควรจะมี Criteria ต่างๆที่ชัดเจนพอสมควร เพื่อที่จะสามารถแบ่งหุ้นฟื้นตัวออกเป็น Class ต่างๆได้ เช่น...
หุ้น Turnaround Class A , Class B , Class C ฯลฯ
ถ้าผมมีประสบการณ์มากพอที่จะเขียน 2 เรื่องนี้ได้ วันนั้นคงจะพร้อมที่จะเขียนหนังสือสักเล่มหนึ่ง
แต่ที่แน่ๆ วันนี้ผมยังไม่พร้อมครับ เนื่องจากยังไม่เก่งพอ
และยังอยู่ระหว่างการเรียนรู้ครับผม
...เล่าสู่กันฟังวันอาทิตย์ครับผม
(^_^)
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 261
บทความเรื่อง : มองหุ้น Turnaround เป็นการลงทุนอย่างแท้จริง
By pak, 8 ม.ค. 54
การลงทุนในหุ้น Turnaround สำหรับผม
มันไม่ใช่ "การเล่นหุ้น" หรือ "การซื้อมาขายไปอย่างรวดเร็ว"
แต่ผมทำมันเป็น "โครงการ" หรือ "Project" กันเลยทีเดียว
มันหมายถึง...
ผมมองหุ้น Turnaround เป็นการลงทุนอย่างแท้จริง
หากเราเปรียบเทียบการลงทุนในหุ้น Turnaround ของเรา เป็นเสมือน "Project การเปิดร้านอาหาร" สักแห่งหนึ่ง
ผมจะสมมุติตัวเองเป็น ผู้จัดการฝ่ายสินเชื่อของธนาคารแห่งหนึ่ง ที่จะเข้ามานั่งประชุมเพื่อตัดสินใจว่า "ธนาคารของเราจะปล่อยสินเชื่อหรือเข้าร่วมทุนกับโครงการดังกล่าวหรือไม่???"
สิ่งที่เราต้องดูนอกจาก ตัวเลข และ Ratio ต่างๆ ที่ถือว่าเป็น "ข้อมูลพื้นฐาน" แล้ว
แต่แค่นั้นไม่เพียงพอครับ
ผมต้องขอฟัง "Business Plan, Strategy และ Marketing" ของบริษัทฯนั้นๆด้วย
ถ้าจะเทียบไปแล้ว
"CEO" น่าจะเปรียบเทียบได้กับ "ผู้จัดการร้านอาหาร"
"ผู้บริหารและบอร์ดของบริษัทฯ" ก็น่าจะเปรียบเทียบได้กับ "พ่อครัว"
"หมวดอุตสาหกรรม"ก็น่าจะเปรียบเทียบได้กับ "ชนิดของอาหารที่เราจะทำขาย"
และ "Business Plan, Strategy และ Marketing" ก็น่าจะเปรียบเทียบได้กับ "ทำเลที่ตั้งของร้าน, จุดเด่นและจุดด้อยของร้าน และความสามารถในการแข่งขันที่มีเหนือคู่แข่ง"
แล้วเราก็เพียงพิจารณาว่า "ร้านอาหารแห่งนี้...น่าจะขายดีในอนาคตหรือไม่?"
จึงไม่น่าแปลกใจครับ ที่การตัดสินใจดังกล่าว มันคือ การลงทุนระยะยาวอย่างแท้จริง
จึงไม่ค่อยมีการซื้อๆขายๆหุ้นออกไป
และสิ่งที่เราควรทำมากกว่า คือ เฝ้ามองว่า "ร้านอาหารนั้นขายดีไหม? ลูกค้าเข้าร้านเยอะไหม? แล้วลูกค้าพึงพอใจกับสินค้าและบริการของร้านเราหรือไม่?"
และที่สำคัญ "ผลประกอบการของร้านนั้น เป็นไปตามที่เราคาดหมายหรือไม่?"
ร้านอาหารในช่วงแรกๆ ไม่จำเป็นต้องขายดีมากมายอะไร
แต่เราเพียงพอ "Trend ของผลการดำเนินงาน" เทียบกับสิ่งที่เราคาดหมาย...ก็เพียงพอแล้วครับ
ที่ขาดไม่ได้คือ "ความซื่อสัตย์ของกิจการ" นั้นๆ
เพราะต่อให้กิจการดีเพียงใด แต่ถ้ามีการโกงกัน หรือบริหารจัดการภายในไม่ดี
สุดท้ายกิจการนั้นก็ไปไม่รอดครับ
ดังนั้น "ความไว้ใจ" และ "ธรรมมาภิบาล" จึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งครับ
ถ้าไม่ไว้ใจกัน ก็อย่าลงทุน
ความจริงข้อหนึ่ง คือ ผลประกอบการของร้านอาหารนั้นๆ จะแจ้งให้เราทราบเพียงไตรมาสละ 1 ครั้ง
ดังนั้น แท้จริงแล้ว การซื้อขายหุ้น เราทำเพียง "ปีละ 4 ครั้ง" นั่นคือมากที่สุดแล้วครับ!!!
แต่นี่ เราอยู่ในตลาดหุ้น ที่เปิดทำการทุกวันในวันจันทร์ถึงศุกร์ มันจึงมากเหลือเกิน มากเกินพอดี
มากจนทำให้ Speculator หรือนักเก็งกำไร เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ในกิจการของเรา
โดยอาศัย ข่าวปล่อยต่างๆ และอารมณ์ของตลาดโลกต่างๆทั้งความโลภและความกลัว
ถามซักคำว่า "ถ้ายุโรปมีปัญหา ร้านอาหารของเรากระทบหรือไม่?"
อืมมม จริงๆแล้ว มันแทบไม่เกี่ยวกันเลยนะครับ
แต่นักเก็งกำไร เค้าดึงให้มันมาเกี่ยวกันได้ครับ เพราะมันเป็นเรื่องของ "อารมณ์" ล้วนๆ
เค้าสร้างช่องว่างแห่งผลประโยชน์ เค้าทำให้เงินวิ่งไปวิ่งมาผ่านหน้าเราไป
เค้าเล่นกันสิ่งที่เรียกว่า ความโลภ และ ความกลัว ของเราครับ
ผมจึงมักบอกเสมอๆว่า...
ถ้าตลาดหลักทรัพย์เปิดเพียงปีละ 1 วัน...ผมก็ไม่เดือดร้อน
ถ้าตลาดหลักทรัพย์เปิดปีละ 4 ครั้ง...นั่นก็ถือว่ากำลังดี
แต่โลกแห่งความเป็นจริง มันไม่ใช่ครับ
"ภาพของการลงทุน" ถูกซ้อนอยู่กับ "ภาพของการเก็งกำไร" อย่างแทบจะแยกกันไม่ออก
มันคือ "2 เรื่อง" ที่เดินคู่ขนานกันจนมองเสมือนเป็นภาพเดียวกัน
แต่เราสามารถ "แยกได้" ครับ
เราสามารถแยกภาพทั้งสองออกจากกันได้
เราสามารถแยก "เหตุผล" ออกมาให้เหนือ "อารมณ์" ได้เสมอ
เพราะมันอยู่ที่ "มุมมอง" ของนักลงทุนเท่านั้นครับ
ใช่ครับ...
ผมขอย้ำอีกครั้งครับว่า "ผมคือนักลงทุนระยะยาวที่แท้จริง"
แต่คำว่า Project มันก็มีเวลาจบสิ้นนะครับ
ในฐานะของนักลงทุนหุ้น Turnaround นั้น
เมื่อบริษัทฯนั้นสามารถเริ่มคลาน, เดิน และออกวิ่งได้แล้ว ผมถือว่า "ภาระกิจของผม...ก็จบสิ้นลง" เช่นกัน
ส่วนจะอยู่กับเค้าต่อไป หรือจะไปเปิด Project ใหม่
"เหตุปัจจัย"ในเวลานั้นเท่านั้นครับ...ที่จะเป็นคำตอบ
pak
By pak, 8 ม.ค. 54
การลงทุนในหุ้น Turnaround สำหรับผม
มันไม่ใช่ "การเล่นหุ้น" หรือ "การซื้อมาขายไปอย่างรวดเร็ว"
แต่ผมทำมันเป็น "โครงการ" หรือ "Project" กันเลยทีเดียว
มันหมายถึง...
ผมมองหุ้น Turnaround เป็นการลงทุนอย่างแท้จริง
หากเราเปรียบเทียบการลงทุนในหุ้น Turnaround ของเรา เป็นเสมือน "Project การเปิดร้านอาหาร" สักแห่งหนึ่ง
ผมจะสมมุติตัวเองเป็น ผู้จัดการฝ่ายสินเชื่อของธนาคารแห่งหนึ่ง ที่จะเข้ามานั่งประชุมเพื่อตัดสินใจว่า "ธนาคารของเราจะปล่อยสินเชื่อหรือเข้าร่วมทุนกับโครงการดังกล่าวหรือไม่???"
สิ่งที่เราต้องดูนอกจาก ตัวเลข และ Ratio ต่างๆ ที่ถือว่าเป็น "ข้อมูลพื้นฐาน" แล้ว
แต่แค่นั้นไม่เพียงพอครับ
ผมต้องขอฟัง "Business Plan, Strategy และ Marketing" ของบริษัทฯนั้นๆด้วย
ถ้าจะเทียบไปแล้ว
"CEO" น่าจะเปรียบเทียบได้กับ "ผู้จัดการร้านอาหาร"
"ผู้บริหารและบอร์ดของบริษัทฯ" ก็น่าจะเปรียบเทียบได้กับ "พ่อครัว"
"หมวดอุตสาหกรรม"ก็น่าจะเปรียบเทียบได้กับ "ชนิดของอาหารที่เราจะทำขาย"
และ "Business Plan, Strategy และ Marketing" ก็น่าจะเปรียบเทียบได้กับ "ทำเลที่ตั้งของร้าน, จุดเด่นและจุดด้อยของร้าน และความสามารถในการแข่งขันที่มีเหนือคู่แข่ง"
แล้วเราก็เพียงพิจารณาว่า "ร้านอาหารแห่งนี้...น่าจะขายดีในอนาคตหรือไม่?"
จึงไม่น่าแปลกใจครับ ที่การตัดสินใจดังกล่าว มันคือ การลงทุนระยะยาวอย่างแท้จริง
จึงไม่ค่อยมีการซื้อๆขายๆหุ้นออกไป
และสิ่งที่เราควรทำมากกว่า คือ เฝ้ามองว่า "ร้านอาหารนั้นขายดีไหม? ลูกค้าเข้าร้านเยอะไหม? แล้วลูกค้าพึงพอใจกับสินค้าและบริการของร้านเราหรือไม่?"
และที่สำคัญ "ผลประกอบการของร้านนั้น เป็นไปตามที่เราคาดหมายหรือไม่?"
ร้านอาหารในช่วงแรกๆ ไม่จำเป็นต้องขายดีมากมายอะไร
แต่เราเพียงพอ "Trend ของผลการดำเนินงาน" เทียบกับสิ่งที่เราคาดหมาย...ก็เพียงพอแล้วครับ
ที่ขาดไม่ได้คือ "ความซื่อสัตย์ของกิจการ" นั้นๆ
เพราะต่อให้กิจการดีเพียงใด แต่ถ้ามีการโกงกัน หรือบริหารจัดการภายในไม่ดี
สุดท้ายกิจการนั้นก็ไปไม่รอดครับ
ดังนั้น "ความไว้ใจ" และ "ธรรมมาภิบาล" จึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งครับ
ถ้าไม่ไว้ใจกัน ก็อย่าลงทุน
ความจริงข้อหนึ่ง คือ ผลประกอบการของร้านอาหารนั้นๆ จะแจ้งให้เราทราบเพียงไตรมาสละ 1 ครั้ง
ดังนั้น แท้จริงแล้ว การซื้อขายหุ้น เราทำเพียง "ปีละ 4 ครั้ง" นั่นคือมากที่สุดแล้วครับ!!!
แต่นี่ เราอยู่ในตลาดหุ้น ที่เปิดทำการทุกวันในวันจันทร์ถึงศุกร์ มันจึงมากเหลือเกิน มากเกินพอดี
มากจนทำให้ Speculator หรือนักเก็งกำไร เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ในกิจการของเรา
โดยอาศัย ข่าวปล่อยต่างๆ และอารมณ์ของตลาดโลกต่างๆทั้งความโลภและความกลัว
ถามซักคำว่า "ถ้ายุโรปมีปัญหา ร้านอาหารของเรากระทบหรือไม่?"
อืมมม จริงๆแล้ว มันแทบไม่เกี่ยวกันเลยนะครับ
แต่นักเก็งกำไร เค้าดึงให้มันมาเกี่ยวกันได้ครับ เพราะมันเป็นเรื่องของ "อารมณ์" ล้วนๆ
เค้าสร้างช่องว่างแห่งผลประโยชน์ เค้าทำให้เงินวิ่งไปวิ่งมาผ่านหน้าเราไป
เค้าเล่นกันสิ่งที่เรียกว่า ความโลภ และ ความกลัว ของเราครับ
ผมจึงมักบอกเสมอๆว่า...
ถ้าตลาดหลักทรัพย์เปิดเพียงปีละ 1 วัน...ผมก็ไม่เดือดร้อน
ถ้าตลาดหลักทรัพย์เปิดปีละ 4 ครั้ง...นั่นก็ถือว่ากำลังดี
แต่โลกแห่งความเป็นจริง มันไม่ใช่ครับ
"ภาพของการลงทุน" ถูกซ้อนอยู่กับ "ภาพของการเก็งกำไร" อย่างแทบจะแยกกันไม่ออก
มันคือ "2 เรื่อง" ที่เดินคู่ขนานกันจนมองเสมือนเป็นภาพเดียวกัน
แต่เราสามารถ "แยกได้" ครับ
เราสามารถแยกภาพทั้งสองออกจากกันได้
เราสามารถแยก "เหตุผล" ออกมาให้เหนือ "อารมณ์" ได้เสมอ
เพราะมันอยู่ที่ "มุมมอง" ของนักลงทุนเท่านั้นครับ
ใช่ครับ...
ผมขอย้ำอีกครั้งครับว่า "ผมคือนักลงทุนระยะยาวที่แท้จริง"
แต่คำว่า Project มันก็มีเวลาจบสิ้นนะครับ
ในฐานะของนักลงทุนหุ้น Turnaround นั้น
เมื่อบริษัทฯนั้นสามารถเริ่มคลาน, เดิน และออกวิ่งได้แล้ว ผมถือว่า "ภาระกิจของผม...ก็จบสิ้นลง" เช่นกัน
ส่วนจะอยู่กับเค้าต่อไป หรือจะไปเปิด Project ใหม่
"เหตุปัจจัย"ในเวลานั้นเท่านั้นครับ...ที่จะเป็นคำตอบ
pak
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 1024
- ผู้ติดตาม: 0
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 262
หวัดดีครับ P'Pak
ช่วงหลังมานี้ผมได้ยินคำว่า Turnaround บ่อยมาก
ประมาณว่าบริษัทนั้น บริษัทนี้จะ turnaround เพราะว่าปีหน้าจะกลับมามีกำไร อะไรประมาณนี้
ผมเลยนึกสงสัยขึ้นในใจทุกครั้ง
ว่าผลประกอบการณ์ปีหน้ากลับมามีกำไรเป็นปีแรก หลังจากขาดทุนมาหลายปี
ใช้เวลาเพียงแค่ปีเดียว สามารถบ่งบอกได้เลยหรือว่าบริษัทนั้น turnaround
และหากปีต่อๆไปไม่สามารถมีกำไรต่อเนื่องและเติบโตได้นั้น ไม่น่าใช่คำว่า turnaround
ที่หมายถึงว่าพลิกกลับ หน้ามือเป็นหลังมือ
เพราะฉะนั้นบริษัทที่ turnaround ควรใช้ระยะเวลาสักประมาณนึงเพื่อยืนยันว่า turnaround ได้หรือไม่
ไม่ใช่พอมีกำไรปีเดียวแล้วบอกว่า turnaround
ผมเลยคิดว่านักลงทุนใช้คำว่า turnaround กันเกร่อมากเกินไปรึเปล่าหว่า
ช่วงหลังมานี้ผมได้ยินคำว่า Turnaround บ่อยมาก
ประมาณว่าบริษัทนั้น บริษัทนี้จะ turnaround เพราะว่าปีหน้าจะกลับมามีกำไร อะไรประมาณนี้
ผมเลยนึกสงสัยขึ้นในใจทุกครั้ง
ว่าผลประกอบการณ์ปีหน้ากลับมามีกำไรเป็นปีแรก หลังจากขาดทุนมาหลายปี
ใช้เวลาเพียงแค่ปีเดียว สามารถบ่งบอกได้เลยหรือว่าบริษัทนั้น turnaround
และหากปีต่อๆไปไม่สามารถมีกำไรต่อเนื่องและเติบโตได้นั้น ไม่น่าใช่คำว่า turnaround
ที่หมายถึงว่าพลิกกลับ หน้ามือเป็นหลังมือ
เพราะฉะนั้นบริษัทที่ turnaround ควรใช้ระยะเวลาสักประมาณนึงเพื่อยืนยันว่า turnaround ได้หรือไม่
ไม่ใช่พอมีกำไรปีเดียวแล้วบอกว่า turnaround
ผมเลยคิดว่านักลงทุนใช้คำว่า turnaround กันเกร่อมากเกินไปรึเปล่าหว่า
"เพราะเรียบง่าย จึงชนะ"
-
- Verified User
- โพสต์: 1024
- ผู้ติดตาม: 0
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 263
คำว่า "อาจจะ turnaround" หรือ "น่าจะ turnaround"
กับคำว่า " turnaround "
แค่ใส่ "อาจจะ" หรือ "น่าจะ"
เพิ่มมาแค่ 2 คำ แต่ความหมายต่างกันกับคำว่า turnaround ราวฟ้ากับเหว เลยจริงๆครับ
ชอบแนวคิดนี้ของ p'pak มากครับ
กับคำว่า " turnaround "
แค่ใส่ "อาจจะ" หรือ "น่าจะ"
เพิ่มมาแค่ 2 คำ แต่ความหมายต่างกันกับคำว่า turnaround ราวฟ้ากับเหว เลยจริงๆครับ
ชอบแนวคิดนี้ของ p'pak มากครับ
"เพราะเรียบง่าย จึงชนะ"
- ake3004
- Verified User
- โพสต์: 511
- ผู้ติดตาม: 0
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 264
1) State of Turnaround Stock
เป็นการวิเคราะห์ว่า หุ้น Turnaround โดยมาก จะแบ่งการฟื้นตัวออกเป็นกี่ Phase
และข้อสังเกตว่า ปัจจุบันมันน่าจะอยู่ในช่วงไหน? แอละอนาคตมันน่าจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร?
2) Class of Turnaround Stock
หมายความว่า เราควรจะมี Criteria ต่างๆที่ชัดเจนพอสมควร เพื่อที่จะสามารถแบ่งหุ้นฟื้นตัวออกเป็น Class ต่างๆได้ เช่น...
หุ้น Turnaround Class A , Class B , Class C ฯลฯ
ถ้าผมมีประสบการณ์มากพอที่จะเขียน 2 เรื่องนี้ได้ วันนั้นคงจะพร้อมที่จะเขียนหนังสือสักเล่มหนึ่ง
แต่ที่แน่ๆ วันนี้ผมยังไม่พร้อมครับ เนื่องจากยังไม่เก่งพอ
และยังอยู่ระหว่างการเรียนรู้ครับผม
...เล่าสู่กันฟังวันอาทิตย์ครับผม
u can write it soon kab p.We r waiting^^
เป็นการวิเคราะห์ว่า หุ้น Turnaround โดยมาก จะแบ่งการฟื้นตัวออกเป็นกี่ Phase
และข้อสังเกตว่า ปัจจุบันมันน่าจะอยู่ในช่วงไหน? แอละอนาคตมันน่าจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร?
2) Class of Turnaround Stock
หมายความว่า เราควรจะมี Criteria ต่างๆที่ชัดเจนพอสมควร เพื่อที่จะสามารถแบ่งหุ้นฟื้นตัวออกเป็น Class ต่างๆได้ เช่น...
หุ้น Turnaround Class A , Class B , Class C ฯลฯ
ถ้าผมมีประสบการณ์มากพอที่จะเขียน 2 เรื่องนี้ได้ วันนั้นคงจะพร้อมที่จะเขียนหนังสือสักเล่มหนึ่ง
แต่ที่แน่ๆ วันนี้ผมยังไม่พร้อมครับ เนื่องจากยังไม่เก่งพอ
และยังอยู่ระหว่างการเรียนรู้ครับผม
...เล่าสู่กันฟังวันอาทิตย์ครับผม
u can write it soon kab p.We r waiting^^
One up on SET
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 266
ตอบยากมากๆครับ เพราะผมรู้สึก "รัก" ทั้ง 3 บริษัทฯเลยครับwarlord เขียน:อยากขอความเห็นคุณ pak ครับว่า สมมติถ้า BATA, NC และ PAE ณ วันนี้ ยังไม่ได้ turnaround คุณ pak จะเลือกลงทุนตัวไหน? ทำไม? สมมติิพิจารณาเน้นหนักไปทางข้อมูลด้านคุณภาพ(เอาเฉพาะประเด็นที่โดดเน่นก็พอครับ)
แต่โดยข้อเท็จจริงแล้ว
BATA เป็นครูให้ผม และส่งผลมาถึงการลงทุนใน NC
และ NC ก็เป็นครูให้ผมเช่นกัน ในการผลักดันให้ผมมาลงทุนใน PAE
มันเป็นครูของกันและกันอ่ะนะครับ
แต่ที่เหมือนกันทั้ง 3 บริษัท คือ...
แต่ละบริษัทฯใช้ระยะเวลายาวนานมากในการ Turnaround บริษัทฯของตนเอง
ยาวนานเหลือเกิน กว่าจะกลับมาจ่ายปันผลได้อีกครั้งหนึ่ง
BATA โดดเด่นเหลือเกินในเรื่อง Brand และการประสบความสำเร็จอย่างมากๆๆๆในช่องทางการขายแบบ Modern Trade (วันนี้ร้าน Bata ในห้าง Lotus จ.ปราจีนบุรี คนแน่นร้าน และขายดีมากๆครับ)
NC โดดเด่นในเรื่องของ Brand และความเข้มแข็งทางการจัดจำหน่ายของเครือสหพัฒน์
แต่ยังมีโจทย์ที่ต้องตีให้แตกในเรื่อง การขยายไลน์สินค้า และ Shop ของตนเอง
PAE คือ น้องคนสุดท้อง เพราะ 2 บริษัทฯแรก ผ่าน State ที่ยาวนานในการ Turnaround ไปแล้ว
แต่ PAE ยังคงอยู่ระหว่างการพิสูจน์ตัวเอง และปรับเปลี่ยนพื้นฐานของบริษัทฯอย่างช้าๆ
New Business Model ไม่ได้สามารถเปลี่ยนกันได้อย่างง่ายดาย
แต่จุดเด่นของ PAE คือ การที่บริษัทฯอยู่ในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ คือ Oil&Gas
และผู้บริหารมีความรู้, ประสบการณ์ และต้นทุนทางสังคมสูง
อยู่หรือไป...ร่วงหรือรุ่ง...ยังไม่ชัดเจน!!!
แต่ผมดู "ทรง" แล้ว...ก็แค่รู้สึกว่ามันน่าสนใจ ก็เท่านั้นเองครับ
ปล.
แต่ถ้าจะให้เรียงความชอบ โดยไม่สนใจราคา ก็คงจะเรียงได้ คือ PAE , BATA และ NC
ทั้งนี้เพราะผมทำงานในบริษัทฯ Oil&Gas อยู่แล้ว จึงไม่แปลกที่ผมจะมีความปรารถนาลึกๆ อยากเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมนี้ครับผม
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 39
- ผู้ติดตาม: 0
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 267
กำไร (ขาดทุน) สะสม 317.38
กำไรสะสม - จัดสรรแล้ว 61.68
สำรองตามกฎหมาย 61.68
กำไร (ขาดทุน) สะสม
- ยังไม่ได้จัดสรร 255.70
http://www.set.or.th/set/companyfinance ... country=TH
JTS
กำไรสะสม - จัดสรรแล้ว 61.68
สำรองตามกฎหมาย 61.68
กำไร (ขาดทุน) สะสม
- ยังไม่ได้จัดสรร 255.70
http://www.set.or.th/set/companyfinance ... country=TH
JTS
-
- Verified User
- โพสต์: 60
- ผู้ติดตาม: 0
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 268
longterminvest เขียน:กำไร (ขาดทุน) สะสม 317.38
กำไรสะสม - จัดสรรแล้ว 61.68
สำรองตามกฎหมาย 61.68
กำไร (ขาดทุน) สะสม
- ยังไม่ได้จัดสรร 255.70
http://www.set.or.th/set/companyfinance ... country=TH
JTS
JTS ผลประกอบการ 9 เดือนมีขาดทุน 89 ล้านบาท แต่เป็นการขาดทุนจากรายการปรับโครงสร้างหนี้ของ ttnt เกือบ 120 ล้านบาท นั่นหมายความว่าผลการดำเนินงานรวมมีกำไร
-
- Verified User
- โพสต์: 60
- ผู้ติดตาม: 0
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 269
niranam เขียน:longterminvest เขียน:กำไร (ขาดทุน) สะสม 317.38
กำไรสะสม - จัดสรรแล้ว 61.68
สำรองตามกฎหมาย 61.68
กำไร (ขาดทุน) สะสม
- ยังไม่ได้จัดสรร 255.70
http://www.set.or.th/set/companyfinance ... country=TH
JTS
JTS พุ่ง 24.44% บริษัทมองรีบาวน์กลับหลังลงไปมาก-ราคาหุ้นยังต่ำกว่า BV. ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2554หุ้น JTS ราคาพุ่งพรวดขึ้น 24.44% มาอยู่ที่ 1.68 บาท เพิ่มขึ้น 0.33 บาท มูลค่าซื้อขาย 175.65 ล้านบาท เมื่อเวลา 15.38 น. โดยเปิดตลาดที่ 1.42 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 1.70 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 1.40 บาท
แหล่งข่าวระดับบริหารจาก บมจ.จัสมิน เทเลคอม ซิสเต็มส์(JTS)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ราคาหุ้น JTS วันนี้ปรับตัวขึ้นสูงด้วยวอลุ่มเทรดหนาแน่น น่าจะเป็นการรีบาวน์หลังจากราคาปรับลงไปมากจากระดับก่อนหน้านี้ที่เคยอยู่แถว 1.8-2.0 บาท และราคาหุ้นปัจจุบันก็ยังต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี(Book value)ของบริษัทที่ประมาณ 2.40 บาท/หุ้น
ส่วนกระแสข่าวที่ออกมาในห้องค้าหลักทรัพย์ว่า JTS มีโอกาสที่จะเพิ่มทุนพร้อมแจกวอแรนต์นั้น แหล่งข่าว กล่าวว่า ไม่เคยทราบเรื่องมาก่อน ซึ่งก็อาจอยู่ระหว่างการศึกษาโอกาสความเป็นไปได้ แต่ยังไม่มีอะไรชัดเจนในขณะนี้
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าในปีหน้าบริษัทมีงานใหญ่ที่กำลังพิจารณาอยู่และเชื่อว่าน่าจะได้รับส่วนแบ่งบ้าง อย่างเช่นงาน Next-Generation Network(NGN)เป็นอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงของ บมจ.ทีโอที(TOT)ซึ่งเป็นโครงข่ายอัจฉริยะ มูลค่าสัญญาเต็มที่ 12,000 ล้านบาท และโครงการไซเบอร์ ทู โฮม ของ บมจ.กสท.โทรคมนาคม มูลค่า 5,000 ล้านบาท แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องรอดูว่าจะมีการแบ่งย่อยงานออกมาหรือไม่ รวมทั้งปลายปี 55 ก็ยังมีงานประมูลไลเซ่นต์ 3G ด้วย
"บริษัททำธุรกิจเกี่ยวกับการสื่อสาร ดังนั้นเราก็ดูงานทั้งหมดของ TOT และการสื่อสารฯ ซึ่งก็ต้องดูว่างานตรงไหนบ้างที่เราทำได้ เราก็จะทำ"แหล่งข่าว JTS กล่าว
แหล่งข่าว JTS กล่าวต่อว่า การดำเนินธุรกิจในปีนี้เป็นไปตาม Business plan ที่วางไว้ ซึ่งทางบริษัทฯจะพิจารณางานต่าง ๆ จากอัตรากำไรเทียบจากรายได้(มาร์จิ้น) ซึ่งจะเห็นได้ว่าทำได้มากขึ้น โดยบริษัทจะไม่เน้นที่การเติบโตของยอดขาย แต่จะเน้นที่มาร์จินที่จะได้รับจากงานมากกว่า
"ธุรกิจของเราเป็นธุรกิจโครงการ ซึ่งต้องทยอยรับรู้รายได้ ดังนั้นเราจะไม่เน้น Growth แต่จะดูการบริหารให้ Stable และมีเงินสดอยู่ในบริษัทฯให้มากพอ รวมถึงมีการดำเนินธุรกิจไปอย่างยั่งยืนจะดีกว่า"แหล่งข่าว กล่าว
--อินโฟเควสท์ โดย พรเพ็ญ ดวงเฉลิมวงศ์/ศศิธร โทร.02-2535000 ต่อ 345 อีเมล์: [email protected]--
JTS ผลประกอบการ 9 เดือนมีขาดทุน 89 ล้านบาท แต่เป็นการขาดทุนจากรายการปรับโครงสร้างหนี้ของ ttnt เกือบ 120 ล้านบาท นั่นหมายความว่าผลการดำเนินงานรวมมีกำไร
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: $$ รวมหุ้น Turnaround $$
โพสต์ที่ 270
นี่เป็นอีก "หนึ่งแหล่งข้อมูล" ที่รวมเนื้อหาดีๆไว้อย่างมากมาย...ควรค่าแก่การเข้าไปค้นคว้ายิ่งนัก
ต้องขออนุยาญคุณ i_sarut ในการนำมาเผยแพร่บอกต่อด้วยนะครับ
เพราะมันเยี่ยมจริงๆครับผม
ที่ http://www.sarut-homesite.net/
pak
ต้องขออนุยาญคุณ i_sarut ในการนำมาเผยแพร่บอกต่อด้วยนะครับ
เพราะมันเยี่ยมจริงๆครับผม
ที่ http://www.sarut-homesite.net/
pak
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."