วิธีที่วอเรนซื้อหุ้น

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
jaychou
ผู้ติดตาม: 0

วิธีที่วอเรนซื้อหุ้น

โพสต์ที่ 91

โพสต์

ใช่เลยพี่เจ๋ง :cheers: ไม่ได้ดื่มนานแล้ว อิๆๆ ชักเปรี้ยวปาก
Jeng
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 14784
ผู้ติดตาม: 1

วิธีที่วอเรนซื้อหุ้น

โพสต์ที่ 92

โพสต์

คัดท้าย ครับ ถ้า hmpro กำไรเท่าปัจจุบัน ตลอดไปอีก 10 ปี อีก 10 ปีข้างหน้า ราคาควรจะเป็นเท่าไร
ภาพประจำตัวสมาชิก
คัดท้าย
Verified User
โพสต์: 2917
ผู้ติดตาม: 0

วิธีที่วอเรนซื้อหุ้น

โพสต์ที่ 93

โพสต์

Jeng เขียน:คัดท้าย ครับ ถ้า hmpro กำไรเท่าปัจจุบัน ตลอดไปอีก 10 ปี อีก 10 ปีข้างหน้า ราคาควรจะเป็นเท่าไร
พี่ว่าราคานี้มี Margin of Safty พอมั้ยครับ ?
The crowd, the world, and sometimes even the grave, step aside for the man who knows where he's going, but pushes the aimless drifter aside. -- Ancient Roman Saying
jaychou
ผู้ติดตาม: 0

วิธีที่วอเรนซื้อหุ้น

โพสต์ที่ 94

โพสต์

เสาร์นี้ จองห้องต่อ 2 ชั่วโมงจะพอมั้ยนะ :B
miracle
Verified User
โพสต์: 18364
ผู้ติดตาม: 1

วิธีที่วอเรนซื้อหุ้น

โพสต์ที่ 95

โพสต์

มาเก็บความรู้ครับ
รอบนี้ไม่ขอออกความเห็นแต่ขอออกความเห็นนิดหน่อย

ว่าถ้าทำแบบที่เขียนไว้ในหนังสือทั้งหมด อาจจะไม่ได้ซื้อหุ้นเลยก็ได้
เพราะวิกฤติมันมาที่ มาเกือบทั้งตลาดตอนปี 2540-2541 ที่ผู้แข็งแกร่งอยู่รอดได้เท่านั้น ตอนนั้นเป็นช่วงที่VI น่าจะได้ผลดีที่สุด

เหมือนช่วง2546 ก่อนปลายปีอีกช่วงหนึ่ง ที่VIได้ผล และมาช่วงนี้อีกช่วงหนึ่งที่มีหุ้นบ้างตัว (เน้นว่าบ้างตัวและบ้างกลุ่ม) ที่ลงมาเกินพื้นฐานมันแล้ว แต่ไม่มีใครสังเกตเห็นเท่านั้นเอง

ถ้าวัดกันจริง การคาดการณ์ว่า ใครเป็นผู้นำตลาดนั้น คาดการณ์ยากเอาเรื่อง ยิ่งกว่านั้น ในบ้างธุรกิจ ผู้นำตลาด ดันไม่ยอมมาเป็นบริษัทมหาชน นี้ซิเป็นปัญหาว่า ไม่ยอมแบ่งกันรวย

และข้อสำคัญ ที่วอเลนต์ได้บอกไว้คือ เงินสดต้องมีมาก อันนี้หายากจริงๆๆ ที่บริษัทไหนมีเงินสดในมือมากๆ และมีหนี้น้อยๆๆ คิดแล้วปวดหัวในประเทศไทยจะมีบริษัทแบบนี้ด้วยหรือนั้น
:)
:)
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11444
ผู้ติดตาม: 1

วิธีที่วอเรนซื้อหุ้น

โพสต์ที่ 96

โพสต์

วิธีการลงทุนที่ประสบความสำเร็จก็มีหลายวิธีจากหลายท่าน

เราควรที่จะศึกษา แล้วนำไปเลือกใช้ให้เหมาะสมกับตัวเอง ให้เหมาะสมกับกับความรู้ ความสามารถของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องรวยล้นฟ้า เพียงแต่มีผลตอบแทนที่ดีพอควร และมีความสุขจากการลงทุนก็คงเพียงพอมั๊งครับ
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
Invisible hand
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 358
ผู้ติดตาม: 1

วิธีที่วอเรนซื้อหุ้น

โพสต์ที่ 97

โพสต์

สิ่งที่เราไม่มีทางทำได้แบบ Buffet คือ Berkshire มี cash flow เข้ามาเรื่อยๆ จากธุรกิจประกันและบริษัทที่ Berkshire เข้าไปถือ 100% แต่ในขณะที่ VI อย่างเราต้องรอเงินเดือนหรือเงินปันผล

สิ่งที่ยากมากอีกอย่างคือ Buffet ทำยังไงที่เข้าไปถือหุ้น 100% แล้วยังให้เจ้าของเดิมบริหารต่อแล้วไม่โดนโกง แถมยังสร้างให้ธุรกิจเติบโตได้อีก ถ้าเราทำอย่างนี้ในเมืองไทยแล้วไม่โดนโกงใน 3 ปีก็ถือว่าบุญจริงๆ แล้วล่ะครับ

แต่ Buffet ก็มีแง่มุมอีกจำนวนมากมหาศาลที่ให้ข้อคิดกับเราครับ โดยเฉพาะการลงทุนในธุรกิจที่เข้าใจได้ง่าย และคาดการณ์ผลประกอบการได้ง่าย ถือว่าจำเป็นสำหรับ VI จริงๆ ครับ

แต่ถ้าเราฉีกแนว VI ไปบ้าง นิดหน่อย คือ บางธุรกิจเข้าใจยาก แต่ถ้าเราพยายามศึกษาจนเข้าใจถ่องแท้ และค้นพบความ super undervalue ของมันในขณะที่คนอื่นยังไม่เห็นมัน อย่างนี้ก็ทำให้ได้กำไรเยอะได้เหมือนกันครับ เพราะพอผลประกอบการดีขึ้นมากๆ หุ้นมันขึ้นเยอะๆ volume เยอะๆ แล้วเดี๋ยวพวกนักวิเคราะห์จะมาทำความเข้าใจกันเองครับ อย่างเช่นหุ้นเรือหรือปิโตรเคมีในรอบที่ผ่านมาเป็นต้นครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ลุงขวด
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 2448
ผู้ติดตาม: 0

วิธีที่วอเรนซื้อหุ้น

โพสต์ที่ 98

โพสต์

ผมไม่ค่อยได้อ่านหนังสือลงทุนเท่าไหร่ เลยไม่รู้จัก Graham.... รู้แต่ Warren Buffet รู้ จัก ดร.นิเวศน์ ในตีแตก..... และ รู้ จัก คุณเทพ ใน ห่านทองคำ ที่ให้ไข่เป็นประจำ

เมืองไทย การทำธุรกิจ หามือ CEO อาชีพ ลำบาก ต้องให้เขามีหุ้นในกิจการด้วย.....จึงจะประสบความสำเร็จ ถ้านักลงทุนถือหุ้น 100% แบบที่คุณ IH ว่า และนักลงทุนไม่ได้มาบริหาร ภายในไม่เกิน 3 ปี จากกำไร อาจเป็นขาดทุนได้...... สิ่งที่ต้องแก้ ก็ คือ ให้ผู้บริหารมีส่วนในธุรกิจ รักธุรกิจที่ทำด้วย แต่ไม่ใช่ให้ ฟรี ๆ แบบ esop ให้เขาในราคาพาร์ (เสียเงินกันบ้างจึงจะรู้คุณค่า)..........บริษัทฯ ที่ผมมองอยู่ตอนนี้ เขาก็ให้หุ้นผู้บริหาร เขาบอกว่า ต้องซื้อในราคาพาร์ ผู้ถือหุ้นใหญ่ ต้องเสียสละในส่วนนี้ จึงจะรักษาฝ่ายบริหารได้..... มุมมองของผู้ถือหุ้นใหญ่นี้ ฉลาดมาก จากนั้นตนเอง ก็ค่อย ๆ ปรับไปอีกระดับหนึ่ง มองแต่นโยบายใหญ่ งานก็สบายขึ้น แถมยังจัดอบรม พนักงานให้รับผิดชอบในแต่ละผลิตภัณฑ์ เป็นการกระจายอำนาจได้เยี่ยมเลย..........สร้าง MD ขึ้นมา เรียกว่า MINI MD....ดูแลยอดขายให้ได้เป้าที่ตั้งไว้ ตอนนี้ มี 23 MD ไปแล้ว .......เห็นว่าจะสร้างถึง 50 MD เลยหรือนี่.........บริษัทเช่นนี้ น่าจะมีการเติบโต ได้ดี และ ต่อเนื่อง....... ถ้าระบบดีแล้ว ผมว่า เจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ ก็ แค่มองนโยบายใหม่ ๆ หรือ ทำเป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์ PR (Public Relation) เท่านั้นเอง
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่
ลูกอิสาน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 6483
ผู้ติดตาม: 1

วิธีที่วอเรนซื้อหุ้น

โพสต์ที่ 99

โพสต์

คัดท้าย เขียน:
ผมไม่ได้เถียงว่าบัฟเฟตเก่งจริงหรือเปล่าครับพี่ลูกอีสาน ...

ในนิทานของผม ผมยกให้บัฟเฟตเป็นเทวดานะ ... ผมไม่เคยสงสัยถึงความเก่งของบัฟเฟต ...

แต่คนที่ทำตามนี่ซิ ... ที่ผมสงสัย ... ว่าทำได้แบบบัฟเฟตทำหรือเปล่า ... ทำได้นี่ ทำได้แค่ไหน .... อะไรที่นำมาประยุกต์กับเมืองไทยได้บ้าง และ ... อย่างไร

นี่ตะหากครับ ประเด็นของผมครับพี่ ...


:P อ้าว ผมเข้าใจผิดไปเหรอครับเนี่ย.. :lol: :lol:

บัฟเฟตเป็นเทวดาหรือเปล่า
ผมมองเหมือนน้องคัดท้ายนะครับ ว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น
ดูจากผลตอบแทนล่าสุด 40 ปีของ Berkshire ทำผลตอบแทนได้เฉลี่ยปีละ 21.9% เปรียบเทียบกับดัชนี S&P 10.4% ทำได้ดีกว่าตลาด 11.5% ตลอด 40 ปี :shock:

เหมือนสถานการณ์สร้างยอดคน บัฟเฟตเป็นผลงานที่ลงตัวของหลายๆอย่าง หลักๆที่สำคัญคือเค้าเป็นคนฉลาดทั้งความรู้และอารมณ์ เกิดในประเทศที่มีโอกาสมาก มีเงินทุนที่ต้นทุนต่ำ มีเงินทุนจำนวนมากทำให้มีอำนาจต่อรองค่อนข้างสูง มีคนที่ร่ำรวยเพราะเขาจำนวนมาก เหล่านี้ทำให้บัฟเฟตเป็นยอดนักลงทุน ที่ยากจะเทียบ

น้องคัดท้ายถามว่า แล้วเราจะทำอย่างวอร์เรนได้หรือเปล่า และจะทำอย่างไร
คำถามนี้ผมก็จนด้วยเกล้า ไม่รู้จะตอบอย่างไร ผมเห็นด้วยว่านักลงทุนอย่างเราๆ จะไปเทียบกับบัฟเฟตเป็นเรื่องที่ยาก ถึงยากมาก

แต่ผมก็ไม่เห็นด้วยเช่นกันที่จะคิดว่า หากเราไม่สามารถเก่งได้เหมือนบัฟเฟต แล้วเราก็อย่าไปทำตามวิธีของเค้า

การไม่เก่งเท่าหรือทำผลตอบแทนได้ดีเท่าบัฟเฟต ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรเลย ที่จริงมีคนที่ทำผลตอบแทนได้ดีหรืออาจจะดีกว่าบัฟเฟตก็หลายคน แต่อาจจะไม่มีชื่อเสียงเท่า เช่นจอร์น เนฟ จอร์น เทมเปิลตัน บิล มิลเลอร์ หรือแม้กระทั้งนักลงทุนคนธรรมดา อย่าง แอน ไชเบอร์ หรืออีกคนที่ผมจำไม่ได้ อาศัยอยุ่ในโมเต็ล ซื้อแซนวิชน์ ลดราคา แต่มีเงินเกือบๆ 500 ล้านเหรียญ ที่ดร.นิเวศน์ เคยนำมาเขียนบทความ คนเหล่านี้ไม่เด่นดังเท่าบัฟเฟต แต่ผลงานการลงทุนไม่ได้ด้อยกว่ามากเลย

ถ้าคนธรรมดาคนอื่นๆ ทำได้ ผมก็คิดว่านักลงทุนอย่างเราก็น่าจะทำได้เช่นกัน แม้ไม่ดีเท่าแต่คงไม่ใช่เรื่องเสียหากอะไร หากจะรวยน้อยกว่า
จุดเด่นที่เรามีและควรจะนำมาใช้ได้ ก็มีหลายอย่างอย่างที่พี่เจ๋งพูดมา

-พอร์ตเล็กมีความคล่องตัวกว่า จะซื้อจะขาย อย่างวอร์เรนคงไม่สามารถซื้อหุ้นสภาพคล่องน้อยอย่าง TR ได้
-ตลาดเมืองไทยมีการเก็งกำไรค่อนข้างสูงมาก ดังนั้นโอกาสที่จะเจอหุ้นดีๆ ราคาถูกมีมากกว่าตลาดที่พัฒนาแล้ว
-เราสามารถลงทุนในหุ้นตัวเล็กๆ ที่วอร์เรนไม่สามารถลงทุนได้ หุ้นตัวเล็กที่มีโอกาสในการเติบโตสูง จะให้ผลตอบแทนที่สูงมาก


ที่พูดมาทั้งหมด คงไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายนัก เพราะไม่อย่างนั้นก็คงมีคนรวยเพราะหุ้นกันเยอะแยะ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ยากเย็นเข็ญใจ เพราะตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จก็มีให้เห็น สิ่งที่ต้องทำคือการบ้าน เพราะลำพังการมาถกเถียง แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในเวปบอร์ด คงไม่เพียงพอ ที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ
:o
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
ภาพประจำตัวสมาชิก
คัดท้าย
Verified User
โพสต์: 2917
ผู้ติดตาม: 0

วิธีที่วอเรนซื้อหุ้น

โพสต์ที่ 100

โพสต์

ผมว่าพี่ลูกอีสานอาจจะไม่ค่อยมีเวลา อาจไม่ได้อ่านข้อความของผมทุกข้อความนะครับ ...

จริงๆสิ่งที่ผมพยายามจะสื่อ ... คือ ...

ถ้าเราจะทำเหมือนบัฟเฟต ... สิ่งที่สำคัญ ไม่ใช่แค่รู้ว่าบัฟเฟตทำอะไรบ้างแบบหยาบๆ ...

ความสำคัญ ของความสำเร็จ มันคือ คุณภาพในการทำแบบที่บัฟเฟตทำตะหาก

ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลที่เราหา ... ความเชื่อถือได้ของข้อมูล มุมมองที่กว้างพอ ... ในการวิเคราะห์ข้อมูล

ผมว่าไอ้วิธีการที่พวกเราพูดถึงบัฟเฟตใน TVI นี่ ผมว่าเราจำได้กันทุกคนครับ แทบจะแต่งเป็นกลอนได้อยู่แล้วครับ และผมก็เชื่อว่ามันจริง ... แต่ไอ้คุณภาพของการที่จะทำตามหลักการนี่ซิ ที่ผมว่าต้องระวัง

พูดแบบเปิดใจ ผมว่าพวกเราพูดแต่ไอ้ตัวที่เราลงทุนกันแล้วประสบความสำเร็จ .. จริงๆผมลงทุนแล้วประสบความสำเร็จก็เยอะครับ แต่ผมก็ไม่ชอบจะขุดขึ้นมาพูด ไม่รู้จะพูดแล้วมันได้อะไรขึ้นมา ... แต่ที่เวลาเราล้มเหลว .. ผมว่าสำคัญ

แต่ไม่ยักมีใครใน TVI จะพูดกันเท่าไหร่ เหมือนกับมันแสลงใจนะ อย่าง METCO SE-ED CEI PL FANCY ... ทำไมเราการลงทุนของบางคนถึงพลาด ...

เวลาผมยกว่า ทำไม SE-ED ลง เราพลาดอะไรกันไปหรือเปล่า ... ผมกลับได้รับคำตอบว่า SE-ED ไม่มีอะไรไม่ดี มีแต่ว่าเราซื้อแพงไป ... (จริงๆผมไม่มี SE-ED เลย)

แค่นั้นเองเหรอครับ ? ถ้าสมมุติ เราซือ้ HMPRO BIGC หรือ CENTEL วันนี้ แล้วราคาขาดทุน ... ก็แค่บอกว่าเราซื้อแพงไปหรือเปล่า ?

เราพลาดอะไรกับ PL เรารู้ตัวหรือยัง เราพลาดอะไรกับ SE-ED เรารู้หรือยัง เราพลาดอะไรกับ METCO เรารู้หรือยัง เราพลาดอะไรกับ FANCY ... และ PAP ละ พลาดตรงไหน ?

ถามว่าทุกคนที่ซื้อเนี่ย คิดว่าตัวเองทำตามแบบ Warren Buffet หรือเปล่าละ ? ก็คิดว่าทำทุกคนแหละครับ แล้วทำไมมันออกมาแบบนี้ ?

นี่ตะหากครับ ที่ผมพยายามจะบอก

วิธีของ Buffet หนะ มีประโยชน์แน่ แต่ใน Detail นี่ ผมว่ามันสำคัญมากนะ แต่เราพูดกันมากขึ้นในรายละเอียดครับ
The crowd, the world, and sometimes even the grave, step aside for the man who knows where he's going, but pushes the aimless drifter aside. -- Ancient Roman Saying
Jeng
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 14784
ผู้ติดตาม: 1

วิธีที่วอเรนซื้อหุ้น

โพสต์ที่ 101

โพสต์

ใน detail ที่คัดท้ายพยายามบอกว่าพลาด มักจะเกี่ยวโยงเรื่องราคา

สมมุติว่า เราเลือกหุ้นอย่างดี และคิดว่ามีคูเมืองที่แข็งแกร่ง คือธุรกิจนี้จะไม่เจ๊งง่ายๆ และเมื่อเราได้ซื้อที่ราคาต่ำแล้ว

แต่สุดท้าย ถ้าราคามันต่ำลงไปอีก ถ้าเรายึดตามแนวลุงบัพ ลุงบัพก็เคยบอกว่า ถ้าทนไม่ได้ที่เห็นราคาลงไปครึ่งหนึ่ง ก็อย่าซื้อหุ้นเลย

สุดท้าย ราคาที่ลงไปวันนี้ ถ้าเรายึดตามหลักการซื้อหุ้นที่มีคุณภาพ ในราคาที่เหมาะสม ถ้าราคามันลง มันก็เป็นโอกาสในการซื้อเพิ่มนะครับ

se-ed พี่ไม่ซื้อพี่เคยดูห่างๆ แล้วเห็นว่าเจ้าของมีประวัติทำกิจการไม่มีกำไรมานาน แล้วเพิ่งจะมากำไร และเจ้าของก็ถือหุ้นน้อยมาก

cei พี่ไม่ซื้อเพราะ hunter fan เป็นเจ้าใหญ่เจ้าเดียว

becl พี่ไม่ซื้อเพราะจะขึ้นราคาที่ต้องรออนุมัติจากรัฐบาล

pl น่าซื้อตอน 29 เพราะผลตอบแทน ต่อเงินลงทุนตอนนั้นคุ้มค่ามาก เฉพาะปันผลก็ โอเค

metco พี่ว่าปัจจุบัน ยังน่าติดตาม ราคายิ่งลงยิ่งน่าศึกษา พี่ว่ามี DCA รับจ้างผลิตไม่มีความเสียงเรื่องการตลาด ถ้าสัญญาขาดทุนก็ไม่ต้องผลิต และ metco ก็กระจายผลิตให้หลายๆเจ้า ซึ่งเป็นญี่ปุ่นด้วยกัน บริษัทก็มีประสบการณ์ยาวนาน 60 ปี

FANCY ไม่ได้ซื้อเพราะ ยังมองไม่เห็นความได้เปรียบที่ชัดเจน และค่าเงินเริ่มไม่เป็นใจ

SSC เคยซื้อ แต่เห็นว่ายอดขายก็อยู่แถว 15000 มาโดยตลอด ไม่ค่อยโต

BEC ไม่ซื้อเพราะตอนโน้น ราคา 200 อัพ จนกระทั่งมีการอภิมหาปันผล หลังจากนั้น อีกไม่นาน ราคาก็ล่วงลงธรณี ปัจจุบัน น่าติดตาม

SAUCE นี่น่าซื้อในสมัย 50 บาท ทำกำไรได้ดีมาก ปันผลก็ดี ปัจจุบัน ราคา 100 กว่าๆ รอไปก่อน

APRINT ไม่ได้ซื้อเพราะ ไม่เห็นว่าจะแข่งกับ SE-ED ขนาด SE-ED ยังไม่ซื้อ

Stanly ไม่ได้ซื้อ ทั้งๆที่ DCA จริงๆ เห็นว่ารถยนต์ส่วนใหญ่ ใช้ไฟ Stanly แต่ตอนนั้นไม่ซื้อเพราะราคาแพงมากๆ PE สูง

PSL ไม่ได้ซื้อ เพราะเข้าใจผิด นึกว่าที่ราคาสูงๆขึ้น สูงขึ้น เป็นการปั่น ปั่น ปั่น สุดท้ายกำไรออกมาให้เห็นๆเลย

TTA ก็เช่นเดียวกับ PSL

RCL ตอน 15 ไม่ได้ซื้อ เพราะอ่านข่าวแล้วเชื่อว่า โหงฮก กำหนดราคาเองไม่ได้ กำไรก็จะไม่ได้สูงขึ้นอย่าง PSL TTA ภายหลังปรากฎค่าขนตู้คอนเทนเนอร์ก็สูงขึ้น อิอิ

FE ไม่ได้ซื้อเพราะคิดว่า การโฆษณา ไม่ได้เก่งจริง มีแต่โฆษณาให้กลุ่ม ทำให้ยอดขายโตแบบ conservative โดยส่วนตัวคิดว่า P-FCB แจ๋วกว่าเล็กน้อย

TR ไม่ได้ซื้อเพราะยอดขายตัวแม่ดูแล้วไม่ค่อยก้าวกระโดด กำไรที่เพิ่มขึ้น เป็นเหมือนกับ การชดเชยกำไรที่เคยลดลง

WG ไม่ได้ซื้อเพราะยังติดใจผู้บริหาร ที่ไม่ปันผล

สำหรับพี่แล้ว ธุรกิจด้านบนที่เขียนไว้ดีๆหมดเลย แต่ส่วนใหญ่ เหตุผลหลักที่ไม่ได้ซื้อเพราะราคาแพงครับ ยกเว้น TR WG

คือ ราคาในตลาดเป็นราคาขายกิจการแบบแปลกๆ โดยใช้ราคาที่ซื้อขายในตลาดเป็นเกณ ซึ่งมันแปลก

เช่นสมัยก่อน bigc ทำกำไรได้ดี และกำลังโตขึ้น แต่ราคาลง พร้อมข่าวร้ายต่างๆ

ปัจจุบัน ข้าวร้ายเพรียบ แต่ไม่ได้ตรงไปที่ bigC กำไรเพิ่มขึ้น แต่ PE ไปไกลมาก

ถ้ามาซื้อตอนนี้ 24 บาท แถ้วถือไป อีก 2 ปี สมมุติ นะ สมมุติ ราคามันกลับมาอยู่ที่ 20 บาท แล้วจะไปโทษใครหละ ถ้าไม่โทษว่าเราซื้อผิดราคา
ภาพประจำตัวสมาชิก
คัดท้าย
Verified User
โพสต์: 2917
ผู้ติดตาม: 0

วิธีที่วอเรนซื้อหุ้น

โพสต์ที่ 102

โพสต์

Jeng เขียน:ใน detail ที่คัดท้ายพยายามบอกว่าพลาด มักจะเกี่ยวโยงเรื่องราคา

สมมุติว่า เราเลือกหุ้นอย่างดี และคิดว่ามีคูเมืองที่แข็งแกร่ง คือธุรกิจนี้จะไม่เจ๊งง่ายๆ และเมื่อเราได้ซื้อที่ราคาต่ำแล้ว

แต่สุดท้าย ถ้าราคามันต่ำลงไปอีก ถ้าเรายึดตามแนวลุงบัพ ลุงบัพก็เคยบอกว่า ถ้าทนไม่ได้ที่เห็นราคาลงไปครึ่งหนึ่ง ก็อย่าซื้อหุ้นเลย
นี่แหละพี่ วิธีที่ผมว่าเป็นวิธีของเทวดาหละครับ

ถ้าเป็นบัฟเฟต เค้ามั่นใจข้อมูล ถ้าราคาลงไปเค้าก็ถือไว้ ....

ทีนี้หันมามองเรามั่ง ... ถ้า CEI หล่นลงมา ... เราถือไว้ดีหรือไม่ ? ตอน CEI เริ่มทรุดแรกๆ มีใครตอบได้หรือไม่ ?

ทีนี้มาดู METCO ... ผมถามว่าตอนนี้ มีใครฟันธง อะโชะ ได้หรือไม่ ว่าราคามันลงแบบไม่มีเหตุผล หรือว่า มันไม่ดีจริงๆ มีใครตอบได้มั้ย

ทีนี้มาดู PL คิดว่าราคาที่ลง ควรถือหรือขาย? มันลงจริงหรือว่าลงไม่จริง ? มันดี ควรค่าจะถือ หรือไม่ ?

มาดู PAP ที่ค่าขายเพิ่มขึ้น เหตุผลเกิดจากอะไร ? และจะกระทบนานแค่ไหน ?

คำถามคือ ถ้าเราใช้แนวทางแบบบัฟเฟต เราควรทำอย่างไรครับ ?

พอเข้าใจสิ่งที่ผมพยายามบอกมั้ยครับ ? คือ ถ้าคุณมั่นใจ ว่ากิจการที่ถือ มันเยี่ยมจริงๆ ปัญหามันเกิดแค่ชั่วคราว ก็ถือไว้แบบลุงบัฟ ผมก็ไม่สะดุ้งสะเทือนหรอก ... แต่ว่าการหาข้อมูลนี่ซิครับ ที่คนเดินดิน กับ เทวดา มันต่างกัน
แก้ไขล่าสุดโดย คัดท้าย เมื่อ จันทร์ มิ.ย. 13, 2005 12:29 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
The crowd, the world, and sometimes even the grave, step aside for the man who knows where he's going, but pushes the aimless drifter aside. -- Ancient Roman Saying
Jeng
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 14784
ผู้ติดตาม: 1

วิธีที่วอเรนซื้อหุ้น

โพสต์ที่ 103

โพสต์

โค้ด: เลือกทั้งหมด

คำถามคือ ถ้าเราใช้แนวทางแบบบัฟเฟต เราควรทำอย่างไรครับ ?
ควรดูราคาที่มันลงให้น้อยลง แล้วไปทำการบ้านอย่างอื่นเพิ่มขึ้น เพื่อให้รู้จักกิจการมากขึ้นครับ

ไป visit company ไปประชุมผู้ถือหุ้น แวะไปที่ร้านค้านั้นๆเพื่อดูว่ายอดขายจริงเป็นอย่างไร สัมภาษณ์เพื่อนๆในกรณีที่ใช้สินค้านั้นๆ เป็นต้น

ดูราคาให้น้อยลงครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
คัดท้าย
Verified User
โพสต์: 2917
ผู้ติดตาม: 0

วิธีที่วอเรนซื้อหุ้น

โพสต์ที่ 104

โพสต์

Jeng เขียน:

โค้ด: เลือกทั้งหมด

คำถามคือ ถ้าเราใช้แนวทางแบบบัฟเฟต เราควรทำอย่างไรครับ ?
ควรดูราคาที่มันลงให้น้อยลง แล้วไปทำการบ้านอย่างอื่นเพิ่มขึ้น เพื่อให้รู้จักกิจการมากขึ้นครับ

ไป visit company ไปประชุมผู้ถือหุ้น แวะไปที่ร้านค้านั้นๆเพื่อดูว่ายอดขายจริงเป็นอย่างไร สัมภาษณ์เพื่อนๆในกรณีที่ใช้สินค้านั้นๆ เป็นต้น

ดูราคาให้น้อยลงครับ

คำตอบของพี่ คือ คำตอบของคนไม่มีหุ้นครับ แต่พี่ลองคิดซิครับ ถ้าพี่มีหุ้นอยู่ ... จะทำอย่างไร

อย่าง Case ผมไปถามเพื่อนที่ขาย PAP มาก่อนแล้วครับพี่ ก็ขายดีครับ ขายเพิ่ม แต่แล้วค่าขายก็เพิ่มมากกว่า

ผมโทษตัวเองครับ ว่าผมหาข้อมูลไม่พอ แต่ ... ผมจะถามตัวเองต่อครับ ว่าทำอย่างไรถึงจะพอ ...

ผมเองทำธุรกิจนะ พี่เองก็ทำ พี่คงรู้ว่าเหตุปัจจัยหลายอย่าง ที่มันไม่ได้เป็น Logic แบบ 0 1 0 1 ... คือ บางทีปัจจัยภายนอกมันไม่ดี บริษัทเราอาจจะดีก็ได้ ปัจจัยภายนอกอาจมากระทบโดยเราไม่คาดก็ได้

บางทีแผนงานเราวางไว้ดี มันอาจไม่เป็นไปตามที่คิด บางทีเราอาจได้กำไรเป็นกอบเป็นกำเพราะส้มหล่นก็มีเยอะ ...

ธุรกิจในตลาดก็เหมือนกันนะผมว่า ต้องเข้าใจธุรกิจมากๆๆๆ แบบที่บัฟเฟตบอกแหละครับ นั่นคือเรื่องที่ต้องทำ เหมือนที่ผมเทียบว่า เทวดาบอกว่าก็เหาะข้ามไปซิ ... นั่นคือ ผมพยายามจะบอกว่า วิธีของบัฟ มันทำได้จริง แต่มันไม่ใช่ง่ายนะ สำหรับพวกเรา และถ้าเราจะลงทุนให้ได้เหมือนเค้าจริงๆ เราก็น่าต้องทำอะไรมากขึ้นกว่านี้
แก้ไขล่าสุดโดย คัดท้าย เมื่อ จันทร์ มิ.ย. 13, 2005 12:34 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
The crowd, the world, and sometimes even the grave, step aside for the man who knows where he's going, but pushes the aimless drifter aside. -- Ancient Roman Saying
Jeng
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 14784
ผู้ติดตาม: 1

วิธีที่วอเรนซื้อหุ้น

โพสต์ที่ 105

โพสต์

เท่าที่ผมจำได้ ลุงบัพจะลงทุนในหุ้น เขาก็จะให้เวลาอย่างน้อย น้อยที่สุด คือถือไว้ 3 ปี

แต่พวกเรา เล่นดูผลประกอบการรายไตรมาส และดูราคากันเป็นประจำ พอราคาลง ก็วิ่งไปหาเหตุผล

ตรงนี้ครับ ที่แตกต่าง

แตกต่างจากลุงบัพ เพราะแกลงทุนเหมือนกับตลาดหุ้นไม่มีตัวตน และแกก็ลงทุนในลักษณะที่ว่า ถ้าตลาดหุ้นต้องปิดกิจการชั่วคราว ห้ามซื้อขาย 5 ปี แกก็ไม่เดือดร้อน
ภาพประจำตัวสมาชิก
คัดท้าย
Verified User
โพสต์: 2917
ผู้ติดตาม: 0

วิธีที่วอเรนซื้อหุ้น

โพสต์ที่ 106

โพสต์

Jeng เขียน:เท่าที่ผมจำได้ ลุงบัพจะลงทุนในหุ้น เขาก็จะให้เวลาอย่างน้อย น้อยที่สุด คือถือไว้ 3 ปี

แต่พวกเรา เล่นดูผลประกอบการรายไตรมาส และดูราคากันเป็นประจำ พอราคาลง ก็วิ่งไปหาเหตุผล

ตรงนี้ครับ ที่แตกต่าง

แตกต่างจากลุงบัพ เพราะแกลงทุนเหมือนกับตลาดหุ้นไม่มีตัวตน และแกก็ลงทุนในลักษณะที่ว่า ถ้าตลาดหุ้นต้องปิดกิจการชั่วคราว ห้ามซื้อขาย 5 ปี แกก็ไม่เดือดร้อน
พี่เจ๋ง หมดตัวได้เลยนะครับพี่ เหอๆ ... พี่ถือ 3 ปีนี่ ผมว่าราคาลงได้แบบบักโกรกเลยนะ

ผมมองว่า บัฟเฟต เค้ากล้าถือ เพราะเค้าต้องไปคุยกับทีมผู้บริหารแล้วครับ ว่าลึกๆบริษัทจะแก้ปัญหายังไง แบบวงใน ไม่งั้น 3 ปี ต่อให้บัฟเฟต ก็เละครับ ถ้าแค่ถือ 3 ปีรอนะ
The crowd, the world, and sometimes even the grave, step aside for the man who knows where he's going, but pushes the aimless drifter aside. -- Ancient Roman Saying
Jeng
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 14784
ผู้ติดตาม: 1

วิธีที่วอเรนซื้อหุ้น

โพสต์ที่ 107

โพสต์

โค้ด: เลือกทั้งหมด

อย่าง Case ผมไปถามเพื่อนที่ขาย PAP มาก่อนแล้วครับพี่ ก็ขายดีครับ ขายเพิ่ม แต่แล้วค่าขายก็เพิ่มมากกว่า 
คืองี้คัดท้าย ทำธุรกิจก็รู้ดีอยู่แล้ว ว่าการขายเพิ่มมากๆอาจจะทำให้ขาดทุนก็ได้ แต่ยังมี 2 นัยสำคัญคือ

1. ขาดทุนไปเรื่อยๆ เพราะ.... คงต้องไปหาสาเหตุ

2. ขาดทุนชั่วคราว แล้วจะกลับมาทำกำไรได้ เพราะยอดขายที่เพิ่มขึ้น ทำให้เกิด economy of scale

ความรู้เหล่านี้เป็นประสบการณ์ทั้งนั้นครับ ลุงบัพเขาก็พลาดนะ ทำไมถึงมองว่าเขาสำเร็จ แล้วเราลอกเลียนแบบ แล้วเราพลาด แล้วเราก็เลยคิดว่าเขาเป็นเทวดา อืม

พี่ว่าเขาแก่กว่าเราเท่านั้นเอง
ภาพประจำตัวสมาชิก
คัดท้าย
Verified User
โพสต์: 2917
ผู้ติดตาม: 0

วิธีที่วอเรนซื้อหุ้น

โพสต์ที่ 108

โพสต์

Jeng เขียน: พี่ว่าเขาแก่กว่าเราเท่านั้นเอง
ถูกต้องครับพี่ ผมมองว่า

1. เค้าแก่กว่า อันนี้เรื่องความรู้ประสบการผมไม่เถียง
2. เค้ามีอิทธิพลกว่าด้วย

ผมไม่เชื่อว่าพี่เจ๋ง หรือผมจะโง่กว่าบัฟเฟต แบบขาดลอย ...ผมเชื่อว่าคนเราโง่ หรือ ฉลาดกว่ากันจริง แต่ไม่มากขนาดเห็นผิดเป็นชอบ

ผมเชื่อว่าสิ่งที่ทำให้เรา ตัดสินใจต่างกันมากๆ คือ ข้อมูล ... ที่เราได้มันไม่เท่ากัน เมื่อข้อมูลไม่เท่ากัน แต่พยายามทำเหมือนกัน ความอันตรายก็ต่างกันมหาศาล ...
The crowd, the world, and sometimes even the grave, step aside for the man who knows where he's going, but pushes the aimless drifter aside. -- Ancient Roman Saying
ภาพประจำตัวสมาชิก
คัดท้าย
Verified User
โพสต์: 2917
ผู้ติดตาม: 0

วิธีที่วอเรนซื้อหุ้น

โพสต์ที่ 109

โพสต์

ฟันธง ... ผมเชื่อว่าบัฟเฟต ต่างกับเราตรงที่เค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลภายใน จากบริษัทที่เค้าลงทุนไปแบบถึงแก่น ...

แต่เราไม่สามารถทำได้แบบนั้น ....

นี่คือ คำว่า วงใน แบบหนึ่ง

แต่เป็นวงใน ที่ใช้ในการลงทุนแบบเน้นคุณค่า

สิ่งนี้คือสิ่งที่ผมพยายามบอกว่า เค้าเหาะได้ แต่เราเหาะไม่ได้ ... ดังนั้น ผมเชื่อว่า ในหลายๆอย่างแล้ว เราต้องมีวิธีของเราเอง ... จะทำแบบเค้าหมดคงไม่ได้ครับ
แก้ไขล่าสุดโดย คัดท้าย เมื่อ จันทร์ มิ.ย. 13, 2005 12:46 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
The crowd, the world, and sometimes even the grave, step aside for the man who knows where he's going, but pushes the aimless drifter aside. -- Ancient Roman Saying
Jeng
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 14784
ผู้ติดตาม: 1

วิธีที่วอเรนซื้อหุ้น

โพสต์ที่ 110

โพสต์

คืองี้ ทุกวันๆที่ผ่านไป ไม่นับอดีต เราก็ช้ากว่าบัพเฟตครับ ในแต่ละวัน

วันนี้บัพเฟตทำอะไร

วันนี้ พี่นั่งโพส คุยโม้ คุยนั่น คุยนี่เรื่อยเปื่อย

พี่ว่าบัพเฟตกำลังมองหาหุ้นดีๆ และกำลังใช้เหตุผลพิจารณดูว่า ที่ว่าดี ดีจริงหรือเปล่า มีอะไรซ่อนอยู่มั๊ย จะรู้ได้อย่างไร
ภาพประจำตัวสมาชิก
คัดท้าย
Verified User
โพสต์: 2917
ผู้ติดตาม: 0

วิธีที่วอเรนซื้อหุ้น

โพสต์ที่ 111

โพสต์

Jeng เขียน:คืองี้ ทุกวันๆที่ผ่านไป ไม่นับอดีต เราก็ช้ากว่าบัพเฟตครับ ในแต่ละวัน

วันนี้บัพเฟตทำอะไร

วันนี้ พี่นั่งโพส คุยโม้ คุยนั่น คุยนี่เรื่อยเปื่อย

พี่ว่าบัพเฟตกำลังมองหาหุ้นดีๆ และกำลังใช้เหตุผลพิจารณดูว่า ที่ว่าดี ดีจริงหรือเปล่า มีอะไรซ่อนอยู่มั๊ย จะรู้ได้อย่างไร
นี่เราคุยเรื่อยเปื่อยเหรอครับพี่เจ๋ง ผมว่าไม่นะ ...

เรากำลังคุยถึงวิธีการของเรานะ กลยุทธของเรา เราแลกเปลี่ยนแนวคิดกันนะ

ถ้าเราแค่ออกไปคุ้ยหาหุ้น เราก็ทำได้เหมือนเดิมครับ ผมเชื่อว่าคนเรามีขีดจำกัดของความสามารถ เหมือนมีจับกังคนนึง ถ้าให้แบกของ 50 kg วันนี้ พรุ่งนี้เค้าบอกว่า เค้าจะแบก 100 kg เค้าก็หลังอาน วันต่อไปอยากได้เงินเพิ่ม ก็ไปแบบ 200 Kg ตายกันพอดี

ถ้าคนเราจะยกหิน 1 ตัน แล้วใช้มือยก ... พี่ว่าเราจะทำได้มั้ย ?
เราทำไม่ได้ด้วย แขน แต่เราใช้คานงัด เราเลยทำได้

ถ้าพี่กับผมแค่กลับไปหาหุ้น .. แล้วพยายามจะทำให้ได้ มากขึ้นๆๆๆๆ มันไม่ต่างอะไรกับการพยายามยกหิน 1 ตันด้วยมือ ไม่ต่างกับจับกัง ที่พยายามหาเงินโดยเพิ่มน้ำหนักของที่แบกขึ้นเรื่อยๆ

แต่ถ้าเราเปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนที่กลยุทธ เปลี่ยนที่แนวทางของเรา เราก็น่าจะมีสิทธิ ก้าวกระโดดได้ ผมคิดแบบนี้นะครับ
The crowd, the world, and sometimes even the grave, step aside for the man who knows where he's going, but pushes the aimless drifter aside. -- Ancient Roman Saying
Jeng
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 14784
ผู้ติดตาม: 1

วิธีที่วอเรนซื้อหุ้น

โพสต์ที่ 112

โพสต์

โค้ด: เลือกทั้งหมด

นี่คือ คำว่า วงใน แบบหนึ่ง 

แต่เป็นวงใน ที่ใช้ในการลงทุนแบบเน้นคุณค่า 
ทุกอย่างย่อมต้องมีจุดเริ่มต้น การมองว่าเขามีเงินเยอะ มีอำนาจมาก ซื้อทั้งบริษัทก็ได้ มีวงใน

ม่ายเห็นด้วย

ลองย้อนกลับไปสมัยแรกๆที่เขาเล่นหุ้นแล้วยังไม่รวยดูซิ การที่เขาเล่นหุ้นสมัยนั้น แล้วได้กำไร 23 % ในสมัยที่ตลาดหุ้นนิวยอร์ค ตอนนั้นก็ไม่ได้ต่างจาก เมืองไทยตอนนี้ ( มีกราฟ 100 ปี )

ตอนที่เขามีเงินนิดเดียวแบบเราๆท่านๆ ลุงบัพทำไง
ลูกอิสาน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 6483
ผู้ติดตาม: 1

วิธีที่วอเรนซื้อหุ้น

โพสต์ที่ 113

โพสต์

ผมเห็นด้วยกับคุณโลโซพูดนะครับ
ความไม่รู้คือความเสี่ยง แต่ใครเล่าครับจะไปรู้ซะทุกเรื่อง
แม้แต่เจ้าของกิจการเอง ยังไม่รู้หรือควบคุมความเสี่ยงได้ไม่ทั้งหมด
ดังนั้นการขาดทุนย่อมเกิดขึ้นได้ แม้เราจะทำการบ้านมาอย่างดี
แต่คงไม่เป็นไร หากเราจะขาดทุนบ้าง 1-2 ตัว แต่อีก 6-8 ตัวเรายังทำกำไรได้ดี พอที่จะมาชดเชย และยังมีกำไรเหลือ

วอร์เรนก็เคยขาดทุนในหุ้นหลายตัว ดังนั้นการที่เพื่อนๆ TVI จะขาดทุนในหุ้นที่คัดท้ายพูดมาก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่จริงผมลงทุนในหุ้นแทบทุกตัวที่พูดมา (เว้นแต่ cei) มีตัวที่ทำให้เพียงขาดทุนตัวเดียวและจำนวนเงินเล็กน้อยคือ pap ซึ่งผมเคยตั้งกระทู้เล่าให้เพื่อนๆฟัง

ดังนั้นไม่มีใครที่ไม่เคยขาดทุนในหุ้นครับ แม้แต่วอร์เรน ผมสรุปเอาเอง

ส่วนประเด็นที่คัดท้ายต้องการสื่อ ไม่รู้ผมเข้าใจถูกหรือเปล่า

1.ทำไมถึงขาดทุน ทั้งที่เลือกดีแล้ว มองข้ามอะไรไปหรือเปล่า ทำไมไม่เอามาถกกัน

2.หุ้นที่ดีให้ผลตอบแทนสูง ทำไมไม่เอามาพูดกัน ว่าดีอย่างไร ทำอย่างไรถึงจะรู้ว่าเป็นหุ้นดี อย่างไรที่เรียกว่ามีขีดความสามารถในการแข่งขันที่ดี มีส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัยอย่างไร มูลค่าทีแท้จริงควรเป็นเท่าไหร่


แต่ก่อนตอบคำถาม 2 ข้อข้างบน
อยากให้มองโลกในความเป็นจริง

ก่อนหน้านี้ ผมจำได้ว่าคัดท้ายเคยพูดทำนองว่า การวิเคราะห์ทางเทคนิค แต่ละคนก็จะมีเครื่อง-วิธีการเฉพาะตน ซึ่งไม่สามารถที่จะนำมาบอกกันได้ เพราะว่านักลงทุนคนอื่นจะรู้ และจะทำให้เครื่องมือ-วิธีการนั้นใช้ไม่ได้อีกต่อไป

ฉันใดฉันนั้น เทคนิควิธีการเคล็ดลับของเซียน vi ....ก็คงไม่แตกต่างกัน เทคนิควิธีเหล่านี้ เป็นผลของการทุ่มเทเรียนรู้ ศึกษายาวนาน คงไม่มีใครนำมาพูดแบบเปิดโล่งโจ้ง เปรียบเหมือนคัดท้ายยังไม่แก้ผ้าเลย แล้วจะให้คนอื่นแก้ผ้าตาม ได้อย่างไรกัน :lol:


:oops: ผมเปรียบเทียบให้เห็นภาพพจน์นะ ไม่ได้มีเจตนาเสียดสีนะครับ :o

สรุปว่าต้องเรียนรู้กันต่อไปครับ ว่าหุ้นดี-ไม่ดี ต่างกันอย่างไร รู้ได้อย่างไร
เท่าที่ผู้รู้ได้เขียนหนังสือเผยแพร่ ได้แลกเปลี่ยนความเห็นในเวปบอร์ด
ผมก็คิดว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากพออยู่แล้ว อยู่ที่ตัวเราเองแล้ว ที่จะต้องไปทำการบ้านเพิ่มเติม และนำหลักการมาประยุกต์เพื่อให้เหมาะสมกับตัวเราครับ :o
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
CK
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 9795
ผู้ติดตาม: 0

วิธีที่วอเรนซื้อหุ้น

โพสต์ที่ 114

โพสต์

ขอพูดเรื่อง metco หน่อยครับ รู้สึกเหมือนถูกพาดพิง

อันที่จริงผมไม่เคยได้ไปนั่งประชุมสามัญประจำปี ไม่เคยพบผู้บริหารตัวจริง
ไม่เคยเยี่ยมชมโรงงาน ไม่เคยศึกษาเจาะลึกธุรกิจลงไปในรายละเอียดแต่
ประการใด

จริงๆ แล้วไม่รู้ด้วยซ้ำครับ สินค้าที่เขาขายน่ะ หน้าตาเป็นอย่างไร การ
สินใจซื้อขาย ทำอยู่บนพื้นฐานของงบการเงิน ข่าวการให้สัมภาษณ์ของ
ผู้บริหารทุกคน และทำวิจัยเกี่ยวกับประวัติของผู้บริหารย้อนหลังไปถึงปี
2535

ตัดสินใจเข้าซื้อครั้งแรกที่ราคร 60 บาท (แต่ดันขายหมูไปที่ 66 หลังได้ปันผล)
มาเข้าซื้ออย่างจริงๆ จังๆ (และถือยาว) ที่ 120 บาท ก่อนที่จะขายหมดที่ 300
ระหว่างทาง มี trading บ้าง เป็นช่วงๆ ครับ

ทำไมถึงซื้อ -- ชอบบริษัทญี่ปุ่น ผู้บริหารตงฉินมาก วิสัยทัศน์ดี ไม่เคยซื้อ
หรือขายหุ้นตัวเองออกมา ปันผลสม่ำเสมอ ยอดขายโต ปรับตัวเร็ว คุมต้นทุนดี
โบร๊กเกอร์เชียร์ขาย อยู่ในอุตสาหกรรมโตเร็ว (ขณะนั้น)

ทำไมถึงขาย -- มติที่ประชุมประจำปี 2547 มีแนวโน้มว่ากำไรบริษัทมาถึง
จุดอิ่มตัว ต้องมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่เพื่อสามารถเติบโต
แบบก้าวกระโดดได้อีกครั้ง ซึ่งคาดว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 - 2 ปี

ประกอบกับเจอหุ้นตัวใหม่ น่าสนใจกว่ามากๆ ที่ราคาปัจจุบัน

คิดจะซื้ออีกหรือไม่ -- คิดครับ ผมคิดว่า metco ใน 3 ปีข้างหน้ามีโอกาสโตสูง

ตอนนี้เป็นช่วงผลัดใบ รุ่นที่สามขึ้นถือบังเหียน กำลังดูอยู่ครับว่ารุ่นที่สามจะ
สามารถเทียบชั้นรุ่นที่สองและหนึ่งได้หรือไม่ ในการฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ใน
ปีนี้
Jeng
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 14784
ผู้ติดตาม: 1

วิธีที่วอเรนซื้อหุ้น

โพสต์ที่ 115

โพสต์

เคยอ่านที่แมรี่แต่ง บอกว่าถ้าคุณซื้อหุ้น เบิกไชน์ตอนนี้ สมมุตินะ จำตัวเลขจริงไม่ได้

คือ ถ้าซื้อ 40000 เหรียญ แล้วถือ แล้วราคามันลงไปที่ 30000 เหรียญ แล้วถือ เมื่อราคาขึ้นไป 80000 เหรียญ

ถ้าคุณซื้อที่ 40000 เหรียญ คุณจะได้กำไรต่อปี เท่าไร

ถ้าคุณซื้อที่ 30000 เหรียญ คุณจะได้กำไรต่อปี เท่าไร

อืม คือดูเหมือนว่า ถ้าเราซื้อบริษัทที่เราศึกษามาอย่างดี และเราค่อนข้างแน่ใจว่า ราคาขึ้นแน่ๆ เพราะผลประกอบการดีมาโดยตลอด อย่างน้อย 10 ปี เป็นต้น

ต่อให้ซื้อแล้วราคาลง ก็ได้กำไร แต่กำไรมาก หรือกำไร น้อยขึ้นอยู่กับว่าเราซื้อที่ราคาเท่าไร

เธอไม่ได้เขียนว่า ซื้อ 40000 พอราคาลงมา 30000 ขาดทุน 10000

คือเรากำลังคุยกันคนละมุมโลกเลยนะ ( แซวเล่น )
ภาพประจำตัวสมาชิก
คัดท้าย
Verified User
โพสต์: 2917
ผู้ติดตาม: 0

วิธีที่วอเรนซื้อหุ้น

โพสต์ที่ 116

โพสต์

Jeng เขียน:เคยอ่านที่แมรี่แต่ง บอกว่าถ้าคุณซื้อหุ้น เบิกไชน์ตอนนี้ สมมุตินะ จำตัวเลขจริงไม่ได้

คือ ถ้าซื้อ 40000 เหรียญ แล้วถือ แล้วราคามันลงไปที่ 30000 เหรียญ แล้วถือ เมื่อราคาขึ้นไป 80000 เหรียญ

ถ้าคุณซื้อที่ 40000 เหรียญ คุณจะได้กำไรต่อปี เท่าไร

ถ้าคุณซื้อที่ 30000 เหรียญ คุณจะได้กำไรต่อปี เท่าไร

อืม คือดูเหมือนว่า ถ้าเราซื้อบริษัทที่เราศึกษามาอย่างดี และเราค่อนข้างแน่ใจว่า ราคาขึ้นแน่ๆ เพราะผลประกอบการดีมาโดยตลอด อย่างน้อย 10 ปี เป็นต้น

ต่อให้ซื้อแล้วราคาลง ก็ได้กำไร แต่กำไรมาก หรือกำไร น้อยขึ้นอยู่กับว่าเราซื้อที่ราคาเท่าไร

เธอไม่ได้เขียนว่า ซื้อ 40000 พอราคาลงมา 30000 ขาดทุน 10000

คือเรากำลังคุยกันคนละมุมโลกเลยนะ ( แซวเล่น )
ผิดประเด็นครับพี่เจ๋ง

ผมไม่ได้บอกว่า ให้ดูราคานะ ... แต่ว่าเวลาซื้อเวลาขาย พี่ไม่ดูราคาเหรอครับ หุ้นของลุงบัฟ มันลงแล้วมันก็ขึ้น เพราะกิจการดีจริง

คำถามของผมคือ แล้วอย่าง CEI ละ ผมไม่ได้เจาะจง CEI นะ แค่ยกมาเป็นตัวอย่าง

หลังจาก VI คนนึงได้ซื้อ CEI ไปแล้ว
เค้าจะรู้ได้อย่างไรว่ามันในเวลาปัจจุบัน มันเป็นทองแท้ หรือ ทองเก๊ ..?

ตรงนี้ตะหากครับ แล้วแมรี่บัฟเฟต อาจจะพูดอีกอย่างครับ ถ้าซื้อ CEI ตอน 300 แล้วถือมาจนถึงวันนี้ ... อาจจะเปลี่ยนไปพูดว่า เฮ้อ กุไม่น่าเลย ..
The crowd, the world, and sometimes even the grave, step aside for the man who knows where he's going, but pushes the aimless drifter aside. -- Ancient Roman Saying
Jeng
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 14784
ผู้ติดตาม: 1

วิธีที่วอเรนซื้อหุ้น

โพสต์ที่ 117

โพสต์

อ๋อ เขาก็บอกนี่ คัดท้าย ว่าให้ขาย เมื่อพื้นฐานเปลี่ยน และเวลาขาย ก็ได้เรียนรู้นะ ว่าการที่เราคิดว่ากิจการแบบนี้ มัน DCA แต่มันไม่ใช่ แค่โดนยกเลิกการผลิตก็ขาดทุนแล้ว
Jeng
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 14784
ผู้ติดตาม: 1

วิธีที่วอเรนซื้อหุ้น

โพสต์ที่ 118

โพสต์

โค้ด: เลือกทั้งหมด

เคยอ่านที่แมรี่แต่ง บอกว่าถ้าคุณซื้อหุ้น เบิกไชน์ตอนนี้ สมมุตินะ จำตัวเลขจริงไม่ได้ 

คือ ถ้าซื้อ 40000 เหรียญ แล้วถือ แล้วราคามันลงไปที่ 30000 เหรียญ แล้วถือ เมื่อราคาขึ้นไป 80000 เหรียญ 

ถ้าคุณซื้อที่ 40000 เหรียญ คุณจะได้กำไรต่อปี เท่าไร 

ถ้าคุณซื้อที่ 30000 เหรียญ คุณจะได้กำไรต่อปี เท่าไร 

อืม คือดูเหมือนว่า ถ้าเราซื้อบริษัทที่เราศึกษามาอย่างดี และเราค่อนข้างแน่ใจว่า ราคาขึ้นแน่ๆ เพราะผลประกอบการดีมาโดยตลอด อย่างน้อย 10 ปี เป็นต้น 

ต่อให้ซื้อแล้วราคาลง ก็ได้กำไร แต่กำไรมาก หรือกำไร น้อยขึ้นอยู่กับว่าเราซื้อที่ราคาเท่าไร 

เธอไม่ได้เขียนว่า ซื้อ 40000 พอราคาลงมา 30000 ขาดทุน 10000 

คือเรากำลังคุยกันคนละมุมโลกเลยนะ ( แซวเล่น )
ที่ยกตัวอย่างนี้ เพราะ ถ้าเราเลือก PAP แบบโดยดูมาอย่างดี อย่างยาวนาน แล้วราคามันลงเหลือ 26 เราอาจจะกระโดดดีใจ แล้วหาเงินมาซื้อเพิ่มก็ได้นะ

เพราะรู้ว่ามันต้องขึ้นแน่ๆ อยู่ที่ราคานี้ไม่ได้

แต่ที่เราเวียนหัวอยู่ทุกวันนี้เพราะ มันใหม่ และเราไม่รู้กันจริงๆว่า กำไรที่ลดลง ลดลงเพราะอะไร

กาลเวลาครับ เราก็คอยตามดู PAP ไปอีก 10 ปี พร้อมๆกับดูหุ้นตัวอื่นๆไปเรื่อยๆ

อย่างสบายๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
คัดท้าย
Verified User
โพสต์: 2917
ผู้ติดตาม: 0

วิธีที่วอเรนซื้อหุ้น

โพสต์ที่ 119

โพสต์

ลูกอิสาน เขียน:ส่วนประเด็นที่คัดท้ายต้องการสื่อ ไม่รู้ผมเข้าใจถูกหรือเปล่า

1.ทำไมถึงขาดทุน ทั้งที่เลือกดีแล้ว มองข้ามอะไรไปหรือเปล่า ทำไมไม่เอามาถกกัน

2.หุ้นที่ดีให้ผลตอบแทนสูง ทำไมไม่เอามาพูดกัน ว่าดีอย่างไร ทำอย่างไรถึงจะรู้ว่าเป็นหุ้นดี อย่างไรที่เรียกว่ามีขีดความสามารถในการแข่งขันที่ดี มีส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัยอย่างไร มูลค่าทีแท้จริงควรเป็นเท่าไหร่
เปล่าเลยครับ ผมแค่อยากจะชี้ให้เห็นว่า การเชื่อมั่นในข้อมูล ของ VI แบบคนทั่วๆไปนั้น ต้องรู้จักตัวเอง ว่าข้อมูลเราเชื่อได้แค่ไหน ... เพราะความเสี่ยงของข้อมูลเรานั้นมีอยู่พอสมควร

ผมเล่นหุ้น ผมไม่เคยมีมาร์เกตติ้งครับ ผมเล่นหุ้นไม่เคยถามใคร ผมคงไม่ได้น้อยเนื้อต่ำใจว่าใครจะบอกหรือไม่บอกหุ้นในเว็บบอร์ดครับ บอกมา ผมก็ต้องเอาไปทำการบ้านอย่างหนักอยู่ดี คนที่รู้จักผมดีว่าผมเล่นหุ้นยังไง คงจะทราบว่าผมโยนความโลภจากกำไรเป็นล้านๆที่อยู่ตรงหน้าไปได้ ผมนั่งเฉยๆได้ โดยไม่ทำอะไร

ผมเพียงแต่ไม่อยากให้คนที่อ่านเว็บบอร์ด และเข้าใจไปว่า ทำแค่แบบที่บัฟเฟตบอก ก็พอแล้ว ... มันไม่ใช่แค่นั้น ไอ้คำพูดของบัฟเฟต มันมีอะไรมากกว่านั้นมากในเชิงปฏิบัติครับ และผมก็เลยเสนอว่า เราอาจจะแลกเปลี่ยนข้อมูลที่พอจะแลกกันได้ ในเชิงลึกของหุ้นแต่ละตัวกันมากขึ้น จะดีมั้ย เพื่อจะได้เป็นประโยชน์มากขึ้น ก็แค่นั้นเองครับ
The crowd, the world, and sometimes even the grave, step aside for the man who knows where he's going, but pushes the aimless drifter aside. -- Ancient Roman Saying
Jeng
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 14784
ผู้ติดตาม: 1

วิธีที่วอเรนซื้อหุ้น

โพสต์ที่ 120

โพสต์

เอากราฟหุ้น Berkshire Hathaway มาให้ดูเล่น

อิอิ แม่แต่หุ้นของลุงบัพที่ผลประกอบการเห็นว่าสม่ำเสมอ แต่ราคาเคยขึ้น ไป 80000 แล้วก็ลงมา 40000 แล้วก็กลับมาเป็น 83000 ในปัจจุบัน

ซึ่งจาก 40000 มาเป็น 83000 ในปัจจุบันใช้เวลาเกือบ 5 ปี ผมว่าหุ้นในเมืองไทย ที่ได้ผลตอบแทนดีกว่า Bershire มีตั้งเยอะ ไม่รู้ผมพูดผิดหรือเปล่า คือดูจากกราฟนะ และ ปันผลของ Berkshire ไม่มีซะด้วย

รูปภาพ